• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Shopd2

#3721


บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า ประเมิน SET INDEX สัปดาห์นี้จะแกว่งตัว Sideway-Sideway Down ในกรอบ 1,500-1,530 จุด จากยังไม่มีปัจจัยใหม่ โดยสถานการณ์โคิด-19 ยังคงมีผลมากสุดต่อการลงทุน ข้อมูลล่าสุดยังไม่เห็นสัญญาณบวกจาก 1.จำนวนผู้ติดเชื้อทรงตัวระดับสูง 2.แนวโน้มการระบาดทั้งต่างจังหวัดรวมถึง กทม. และปริมณฑล ยังไม่เห็นสัญญาณกลับตัว หรือชะลอตัว 3.การติดเชื้อต่อวันในวันอาทิตย์สูงกว่าหายป่วยกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม มีข้อดีเล็กน้อยคือการเสียชีวิตต่อวันลดลง แต่เชื่อว่าผลบวกต่อการลงทุนยังจำกัด

ขณะที่สัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/64 โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play ซึ่งเป็นกลุ่มที่รับผลกระทบมากสุดกับการระบาดโควิด-19 ต้องติดตามว่าทั้งนักวิเคราะห์และผู้บริหารจะมีมุมมองอย่างไรหลังจากนี้ทั้งในเชิง Outlook และปัจจัยพื้นฐาน (Valuation , Target Price) อิงข้อมูลจาก Bloomberg ประเมินว่าสัปดาห์นี้ SET 100 จะรายงานราว 72 ตัว

ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฎเต็มไปด้วยปัจจัยที่ค่อนไปทางลบ จึงคาด SET INDEX จะแกว่งไซด์เวย์ โดยมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่ากระตุ้นแรงขายนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้นอกเหนือจากการประกาศผลประกอบการ ได้แก่ การรายงานตัวเลข CPI สหรัฐในวันพุธ Bloomberg ประเมิน +5.4%YoY เชื่อตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ใกล้เคียงคาดหรือดีกว่าคาดเล็กน้อย เพื่อมิให้ FED รีบถอนสภาพคล่องออกจากตลาด (QE Tapering) และสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศหากมีสัญญาณบวก อาทิ หายป่วยสูงกว่าติดเชื้อต่อวัน หรือ ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ตลาดอาจเริ่มตอบรับเชิงบวก อย่างไรก็ตามหากเกิดเหตุการณ์ตรงข้ามกันก็อาจจะเป็นแรงกดดันแทน

กลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำหุ้น Defensive อย่างสื่อสารและโรงไฟฟ้าเช่นเดิม ได้แก่ ADVANC BCPG BGRIM GPSC GULF รวมถึงกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า อย่าง ASIAN DELTA HANA KCE TU เชื่อว่าจะ Outperform ได้มากกว่า Domestic Play

แนะนำ GPSC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 95 บาท) คาดผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/64 จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นของ IPP ตามปัจจัยฤดูกาล (ค่าความพร้อมจ่ายที่สูงขึ้นของทั้ง GHECO-one และ GIPP) และการรับรู้กำไรที่สูงขึ้นจาก XPCL

KCE (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 90 บาท) คาด KCE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ที่ 531 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 644% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 6% จากไตรมาสก่อนหน้า) โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากรายได้ที่ขยายตัวสู่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในปี 63 และ เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสแรก ตามจำนวนวันดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคา
#3722


อิเลียด คิปโชเก้ สุดยอดนักวิ่งชาวเคนย่า กลายเป็นคนที่ 3 ที่สามารถป้องกันแชมป์ มาราธอน โอลิมปิก หลังจากทำเวลา 2 ชั่วโมง 8 นาที 38 วินาที ปิดท้ายการแข่งขัน โตเกียว เกมส์ 2020 อย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม

คิปโชเก้ คือเจ้าของสถิติโลกวิ่งมาราธอนคนปัจจุบัน โดยทำเอาไว้ในรายการ เบอร์ลิน มาราธอน เมื่อเดือนกันยายนปี 2018 ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 1 นาที 39 วินาที ล่าสุด โตเกียว เกมส์ นักวิ่งวัย 36 ปีเริ่มกระชากฉีกหนีกลุ่มคู่แข่งตั้งแต่กิโลเมตรที่ 31 ก่อนคว้าเหรียญทองด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 8 นาที 38 วินาที สถิตินี้ถือว่าดีกว่าเหรียญทอง โอลิมปิก ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อปี 2016 เพียงแค่ 6 วินาทีเท่านั้น

ภายหลัง คิปโชเก้ ให้สัมภาษณ์ถึง โตเกียว เกมส์ ที่เลื่อนมา 1 ปีเพราะไวรัสโควิด-19 แต่ในที่สุดก็สามารถจัดการแข่งขันได้ว่า "โตเกียว 2020 มันได้จัดเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้มีความหมายมาก ความหมายคือเราสามารถกลับมาใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ เราอยู่บนเส้นทางชีวิต สิ่งนี้คือความหมายของกีฬา โอลิมปิก ซึ่งผมดีใจที่มาป้องกันแชมป์ได้สำเร็จและแสดงให้คนรุ่นต่อไปได้เห็นว่า ถ้าคุณเคารพกีฬาและมีวินัยก็สามารถทำงานที่รับมอบหมายได้สำเร็จ"

แน่นอนสิ่งที่ คิปโชเก้ พยายามจะสื่อก็คือทุกคนต้องมีวินัย เพราะการจะป้องกันแชมป์ มาราธอน โอลิมปิก น้้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเขากลายเป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถกลับมาคว้าเหรียญทองได้อีกครั้ง

สำหรับ 2 คนก่อนหน้า คิปโชเก้ ที่สามารถป้องกันเหรียญทอง โอลิมปิก คนแรกต้องย้อนไปปี 1960 กับ 1964 คือ อาเบเบ บิกิเลีย ตามด้วยปี 1976 กับ 1980 คือ วัลเดอมาร์ เซียร์ปินสกี้
#3723


คณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นำโดย ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ได้ถอดบทเรียนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของหลายประเทศ ที่มีการทำงานที่น่าสนใจในการจัดหาวัคซีน ประกอบไปด้วยประเทศในอาเซียน 4 ประเทศ บราซิล และ อิสราเอล


ประสบการณ์ต่างประเทศในการจัดหาวัคซีน

สิงคโปร์ ถือว่าเป็นประเทศที่สามารถจัดหาวัคซีนได้รวดเร็วมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย โดยเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดหาวัคซีนเชิงรุกอย่างแท้จริง โดยเริ่มจัดหาวัคซีนตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2563 ผ่านความร่วมมือของ "TxVax Panel" จัดตั้งโดย Economic Development Board (คล้ายสภาพัฒน์ฯ) นำโดยภาคเอกชน นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ศึกษาและคัดเลือกวัคซีนที่น่าสนใจ ก่อนจะส่งต่อให้ Planning Committee ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานและราชการที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ลงความเห็นว่าควรสั่งซื้อวัคซีนชนิดใด ถือเป็นการทำงานแบบ two-track (ในขณะที่ไทยทำแบบ one-track) 

สิงคโปร์ตัดสินใจลงนามสั่งซื้อวัคซีนเร็วมากคือสั่งซื้อ Moderna เดือนมิถุนายน 2563 Pfizer และ Sinovac ในเดือนสิงหาคม 2563 แต่ที่สำคัญคือ สิงคโปร์ไม่มีข้อจำกัดจากกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้สามารถสั่งจองวัคซีนที่อาจยังไม่ประสบความสำเร็จ และแม้จะยังไม่ได้รับการรับรองจาก Health Science Authority (คล้าย อย. ของไทย) เป็นการทำสัญญาสั่งจองวัคซีนล่วงหน้าไว้เป็นหลักประกัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิงคโปร์จะได้รับวัคซีนในปริมาณที่มากและรวดเร็ว


อินโดนีเซีย มีการใช้การทูตช่วยเจรจาในระดับสูง มีรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของคณะเจรจาจัดหาวัคซีน และใช้ประโยชน์ทาง Geopolitics โดยได้รับการบริจาคช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และยังได้เป็น Hub สำหรับผลิต Sinovac ในภูมิภาค

มาเลเซีย ผู้รับผิดชอบจัดหาวัคซีนคือ รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นการแบ่งงานออกจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ยังเชื่อมโยงกันทำให้มีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น รัฐมนตรีคนนี้มีศักยภาพ เห็นได้จาก 

- สามารถจัดประชุมเพื่อจัดหาวัคซีนร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ ได้ตั้งแต่ เดือนเมษายน 2563 ก่อนจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดหาวัคซีน (JKJAV) อย่างเป็นทางการ 


- การสั่งวัคซีนได้รวดเร็ว เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น โดยสั่งวัคซีนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 และ 

- สื่อสารกับประชาชนตลอดเวลา เช่น ชี้แจงว่าทำไมมาเลเซียถึงฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน (สิงคโปร์ หรือ อินโดนีเซีย) หรือ แถลงแผนการกระจายวัคซีนที่ชัดเจน

ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีบริบทใกล้เคียงกับไทย ในเชิงที่ว่าเคยติดข้อจำกัดจากกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อจองวัคซีนได้ ยกเว้นว่าประธานาธิบดีให้ความเห็นชอบ และ "ปลดล็อค" ข้อจำกัดได้ในเดือนพฤศจิกายนซึ่งช้ากว่าไทยเสียอีก แต่ฟิลิปปินส์สามารถจัดหาวัคซีนได้มากกว่าไทยพอสมควร

โดยปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ช่วยให้ฟิลิปปินส์จัดหาวัคซีนได้มาก คือ การที่เอกชนและรัฐบาลท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดหาวัคซีนอย่างมากและเริ่มมีบทบาทเร็ว เช่น การซื้อวัคซีน AstraZeneca ในเดือนพฤศจิกายน 2563 จำนวน 2.6 ล้านโดส นั้นเป็นการจัดซื้อของบริษัทเอกชนทั้งหมด เพื่อนำมาฉีดให้พนักงานและครอบครัว รวมถึงการซื้อวัคซีน AstraZeneca ในเดือนมกราคม2564 อีกกว่า 14 ล้านโดสที่เกิดจากเอกชนร่วมลงเงินกับรัฐบาลท้องถิ่น

อิสราเอล เป็นประเทศกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับวัคซีน ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่กระทรวงการคลัง ร่วมกับผู้นำทางการเมืองของอิสราเอลได้สงวนเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อจัดหาวัคซีนโดยเฉพาะ อิสราเอลจึงพร้อมที่จะซื้อวัคซีน Pfizer ในราคาต่อโดสที่สูงกว่าสหภาพยุโรปเกือบเท่าตัว (23 ยูโร เทียบกับ 12 ยูโร)

นอกจากนี้ บริษัทยาต้องการที่จะใช้อิสราเอลเป็นพื้นที่วิจัยและประเทศแบบอย่าง เนื่องจากระบบสาธารณสุขและระบบข้อมูลมีความพร้อม โดยข้อมูลทางการแพทย์ที่อิสราเอลเก็บและส่งให้กับบริษัท Pfizer ประกอบด้วย จำนวนการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงที่พบในผู้ที่ฉีดวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีน ระยะเวลาพัฒนาภูมิคุ้มกัน ตลอดจนข้อมูลประชากรของผู้ป่วย เช่น อายุและเพศ เป็นต้น บริษัท Pfizer สามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตั้งกลยุทธ์การขาย และการวิจัยพัฒนาวัคซีน การเตรียมการล่วงหน้าและความพร้อมของระบบสาธารณสุขและระบบข้อมูลของอิสราเอลเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อิสราเอลสามารถจัดหาวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว

บราซิล  ใช้หน่วยงานรัฐและสาธารณสุขที่กระจายกันเจรจาจัดซื้อวัคซีนกับผู้ผลิตโดยตรง ประกอบกับมีแผนงานและข้อกฎหมายที่สามารถรองรับมาตรการฉีดวัคซีนอยู่ก่อนแล้ว ทำให้บราซิลมีการเจรจาการจัดซื้อวัคซีนได้หลากหลายเจ้าและมีการจัดการวัคซีนที่ค่อนข้างรวดเร็ว เห็นได้จากการในช่วงแรกของการระบาดบราซิลมีการสั่งซื้อวัคซีนและร่วมมือผลิตวัคซีนภายในประเทศกับ Sinovac และ AstraZeneca ทำให้สามารถฉีดวัคซีนในเข็มแรกได้ครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ บราซิลก็ปรับเปลี่ยนแผนการจัดซื้อวัคซีนค่อนข้างรวดเร็ว โดยเพิ่มความหลากหลายของวัคซีน 


 


จากข้อสรุปการจัดหาวัคซีนของประเทศต่างๆที่หยิบยกมาจะพบว่าทุกประเทศ (ยกเว้นอิสราเอล) ได้รับวัคซีนมากกว่า 2 ชนิดก่อนไทย และทุกประเทศ (ยกเว้นอิสราเอลและสิงคโปร์) ได้รับวัคซีนผ่านช่องทางCOVAX และเริ่มได้รับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 ขณะที่ไทยเพิ่งจะมีวัคซีน 3 ชนิดในเดือน มิ.ย.2564 ที่ผ่านมา

หลายประเทศในอาเซียนได้รับวัคซีนบางชนิดที่คนไทยหลายคนเรียกร้อง (วัคซีนไฟเซอร์และโมเดิร์นนา) เร็วกว่าหรือในปริมาณมากกว่าประเทศไทย ในขณะที่ในประเทศไทยมีการอธิบายมาตลอดว่าที่หาวัคซีนดังกล่าวไม่ได้เพราะปริมาณการผลิตของบริษัทมีจำกัด ถูกประเทศร่ำรวยซื้อไปจนหมดแล้ว ไม่เหลือให้ประเทศอื่นเท่าไร ทำให้ไทยไม่ได้สั่งซื้อวัคซีนกลุ่มนี้ในตอนแรกในขณะที่หลายประเทศสั่งก่อนหน้า แต่ในระยะหลังที่ประเทศที่มีรายได้ใกล้เคียงไทยเริ่มได้รับวัคซีนกลุ่มนี้ด้วยก็น่าจะแสดงถึงจุดอ่อนในกระบวนการจัดหาวัคซีนของไทย

"ในความเป็นจริงก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะการจัดหาวัคซีนน่าจะมี 'เทคนิค' และ 'ลูกเล่น' มากกว่าเพียงการติดต่อและถามตรงๆ กับผู้แทนบริษัทวัคซีนว่า 'คุณมีวัคซีนพอให้เราจองไหม' และเมื่อเขาบอกว่าไม่มีทางเราก็ยอมแพ้และเลิกติดต่อ ในขณะที่หากเป็นนักธุรกิจที่ต้องการซื้อสินค้าที่เขาคิดว่าจำเป็นมากก็มักจะสรรหาช่องทางต่างๆ หรือใช้เทคนิคการเจรจาที่หลากหลายเพื่อให้ได้มา นอกจากนี้กรณีวัคซีนยังเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับประเทศและระดับโลกด้วย เราก็ควรรู้จักใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อให้ได้วัคซีนมามากขึ้นผ่านช่องทางการทูตเช่นกัน"

ข้อสังเกตสำคัญบางประการในการจัดหาวัคซีน 

1.ทีมจัดหาวัคซีนในเกือบทุกประเทศมีองค์ประกอบมากกว่าบุคลากรด้านการแพทย์ละสาธารณสุข หลายประเทศมีกระทรวงต่างประเทศ (กรณีประเทศไทย กระทรวงต่างประเทศเริ่มเข้ามาช่วยจัดหาวัคซีนอย่างไม่เป็นทางการในระยะหลังเท่านั้น ยังถือเป็น 'งานฝาก') สิงคโปร์มีหน่วยงานวางแผนด้านเศรษฐกิจ (คล้ายสภาพัฒน์ฯ ของเรา) มีส่วนร่วมซึ่งน่าจะทำให้มีมุมมองด้านเศรษฐกิจมากขึ้น บางประเทศให้รัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ มีเพียงประเทศอิสราเอลที่การจัดหาเป็นหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่เนื่องจากทีมแพทย์อิสราเอลมีประสบการณ์บริหารในสถานการณ์วิกฤติบ่อยครั้งน่าจะทำให้ประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านมากกว่า ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีอิสราเอลมีบทบาทสูงในการเจรจากับบริษัทไฟเซอร์จนทำให้อิสราเอลเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้วัคซีนจากไฟเซอร์ในจำนวนมากและน่าจะเร็วที่สุดในโลก 

2.เกือบทุกประเทศเปิดช่องทางการจัดหาวัคซีนที่มากกว่าทีมจัดหาหลัก ไม่ว่าจะเป็นให้รัฐบาลท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และที่สำคัญคือ ภาคเอกชนมีบทบาทโดยตรงในการนำเข้าวัคซีนได้ แต่มักไม่ใช่วัคซีนหลักที่รัฐบาลจัดหา หรือถ้าจัดหามาได้ก็ต้องกระจายวัคซีนตามลำดับความสำคัญที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งตรงกับข้อเสนอแนะ TDRI ที่กล่าวถึงก่อนหน้า

3.การมีโรงงานผลิตหรือบรรจุวัคซีนได้ในประเทศมีส่วนช่วยในการได้มาซึ่งวัคซีน แต่คาดว่าไม่ได้มีผลมากนัก ตัวอย่างเช่น อิสราเอลซึ่งไม่มีโรงงานในประเทศเลยแต่สามารถจัดการวัคซีนได้เร็วที่สุด การเจรจาและหาช่องทางที่หลากหลายในการได้มาซี่งวัคซีนน่าจะสำคัญกว่า

4.มีบางประเทศติดขัดปัญหาข้อกฎหมายในการจองหรือจัดหาวัคซีน แต่ส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาได้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศไทย (ฟิลิปปินส์แก้ปัญหาได้ในเดือนพฤศจิกายน 2563 หนึ่งเดือนหลังประเทศไทย) เร็วกว่า (อินโดนีเซียออกคำสั่งประธานาธิบดีตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563) หรือช้ากว่า (บราซิลที่ต้องรอถึงมีนาคม 2564 จึงแก้ปัญหากฎหมายประมูลสินค้าได้) อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มีการสั่งซื้อวัคซีนอย่างกระฉับกระเฉงเร็วกว่าไทยหลังจากแก้ปัญหาเชิงกฎหมายดังกล่าวแล้ว

ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย

ประเทศไทยควรใช้บทเรียนจากประสบการณ์ต่างประเทศที่กล่าวถึงข้างต้นในการปรับกระบวนทัพการจัดหาวัคซีน ดังนี้

1.'สร้าง'ทีมจัดหาวัคซีนใหม่ที่มีความหลากหลายมากกว่าปัจจุบันที่เป็นเพียงแพทย์เท่านั้น โดยควรมีทั้งกระทรวงต่างประเทศ ทูต บุคคลากรสาธารณสุข โดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่นกระทรวงต่างประเทศสามารถมีส่วนร่วมเต็มตัวไม่ใช่ทำหน้าที่แบบ 'งานฝาก' เหมือนทุกวันนี้

2.หรือ'เสริม' ทีมจัดหาวัคซีนปัจจุบัน (ระบบ two-tracks แบบสิงคโปร์) ให้มีความหลากหลายมากขึ้นดังกล่าวข้างต้น

3.ทีมจัดหาวัคซีนต้องมีความคล่องตัวในการดำเนินงาน ไม่ติดระบบราชการมากเกินไป

4.การซื้อวัคซีนไม่จำเป็นต้องซื้อจากบริษัทเสมอไป แต่อาจขอซื้อจากประเทศที่จองไปแล้วแต่เหลือใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะจองมากเกินแต่ประชาชนเขาไม่อยากฉีดยี่ห้อที่จอง

5.นอกจากการหาซื้อวัคซีนที่ผลิตสำเร็จแล้ว ยังควรทำการจองวัคซีนที่ใกล้ประสบความสำเร็จแต่ยังไม่ผ่านการรับรอง โดยต้องสื่อสารกับประชาชนให้ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจสูญเงินจองถ้าวัคซีนนั้นไม่ประสบความสำเร็จ วิธีนี้จะทำให้คิวจองของเราไม่ยาวเกินไป

6.อาจทำการ'แลกเปลี่ยน' วัคซีนที่บางประเทศเหลือฉีดโดยขอยืมมาก่อนแล้วอาจซื้อคืนให้ทีหลัง (โดยใช้โควตาการซื้อที่เรามีอยู่แต่ได้มาช้า) 

และ 7.ใช้กลวิธีทางการทูตทุกลักษณะและในเชิงรุก ในการขอซื้อหรือขอรับบริจาคจากมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย
#3724


มาร์สไทยแลนด์อิงค์ เดินหน้าแผนการสร้างธุรกิจยั่งยืน (Sustainable in a Generation Plan) ตามนโยบายบริษัทแม่ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด มุ่งเน้น 3 ด้านหลัก "Healthy Planet - Thriving People - Nourishing Wellbeing" นำร่องลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ยั่งยืน เน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือย่อยสลายได้ เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้เกิดขึ้น ล่าสุดจัดแคมเปญ "แลกแล้ว-ลดเลย" เปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้มีส่วนร่วมช่วยลดการใช้ขยะ นำถุงเปล่าอาหารสุนัขหรืออาหารแมวมาแลกรับส่วนลด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

นายรัชกร เจนพัฒนพงศ์ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและอินโดจีน มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ผู้ดำเนินธุรกิจแบรนด์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ PEDIGREE®, WHISKAS®, IAMS® ROYAL CANIN®, CESAR®, SHEBA®, TEMPTATIONS® รวมทั้งทรายอนามัยสำหรับแมวแบรนด์ CATSAN® เปิดเผยว่า มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ได้เดินหน้าธุรกิจเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยง ควบคู่ไปกับแผนการสร้างธุรกิจยั่งยืน (Sustainable in a Generation Plan) ตามโยบายของบริษัทแม่ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด

สำหรับแผนการสร้างธุรกิจยั่งยืน (Sustainable in a Generation Plan) ของ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด จะมุ่งเน้นใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ Healthy Planet, Thriving People และ Nourishing Wellbeing

• Healthy Planet ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ยั่งยืน มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ โดยมีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกบริสุทธิ์ลง 25% ภายในปี 2025 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในห่วงโซ่การผลิตลง 27% ภายในปี 2025 และ 67% ภายในปี 2050 รวมถึงลดการใช้น้ำที่ไม่ยั่งยืนในห่วงโซ่การผลิต เริ่มด้วยการลดลง 50% ภายในปี 2025 และบริหารจัดการที่ดินทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพ
• Thriving People มุ่งพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกร คนงาน ผู้หญิง และเด็ก ผ่านโครงการต่างๆ ที่ครอบคลุมในเรื่องของการพัฒนารายได้เกษตรกร ภายใต้โปรแกรมที่ผสมผสานแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี การคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและไม่ใช้แรงงานเด็กในส่วนของโรงงานผลิตของ Mars ทุกแห่ง รวมทั้งโรงงานของซัพพลายเออร์ด้วย
• Nourishing Wellbeing เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคอย่างโปร่งใส สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพ โดยพัฒนาคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ของบริษัท มุ่งเน้นความปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหารผ่าน Mars Global Food Safety Center เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านความปลอดภัยของอาหารในระยะยาว 3 ประการ ได้แก่ การจัดการความเสี่ยงจากสารพิษจากเชื้อรา การจัดการความเสี่ยงด้านจุลินทรีย์ และความมั่นคงสมบูรณ์ของอาหาร



"นโยบายของมาร์ส ในการดำเนินธุรกิจ จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นและนำมาซึ่งการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เริ่มตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับความท้าทายด้านความปลอดภัยของอาหาร ไปจนถึงประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ร่วมงานและชุมชนโดยรอบ" นายรัชกร กล่าว

ล่าสุด มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ได้เปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้มีส่วนร่วมในการช่วยลดขยะเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยังยืน กับแคมเปญ "แลกแล้ว-ลดเลย" เพียงนำถุงเปล่า อาหารสุนัขหรืออาหารแมวแบรนด์ใดก็ได้ขนาด 1 กิโลกรัมขึ้นไป นำมาใช้แลกเป็นส่วนลดอาหาร Pedigree, IAMS, Whiskas สูงสุด 100 บาท โดยแคมเปญดังกล่าว เฉพาะร้านค้าทั่วประเทศที่ร่วมรายการ และขยายระยะเวลาไปจนถึง 31 ส.ค.64 หรือ ติดตามรายละเอียดได้ทาง FB: Pedigree Thailand และ FB: Whiskas Thailand
#3725


8 ส.ค. 64 เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตรวจความพร้อมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตบางแค แห่งที่ 2 บริเวณโรงเรียนคลองหนองใหญ่ เขตบางแค โดยมี คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย สำนักงานเขตบางแค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่และให้ข้อมูล

ทั้งนี้ กทม.ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ หรือ Community Isolation เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจรับรองว่าติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต โดยมีเป้าหมายเปิดศูนย์พักคอยฯ ให้ได้มากที่สุด เพื่อแยกผู้ป่วยโควิด-19 ออกมาจากบ้าน นำมาพักคอยที่ศูนย์ฯ มีการคัดกรองอาการและดูแลเบื้องต้น เพื่อรอการส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล ลดปัญหาการแพร่ระบาดและติดเชื้อของคนในครอบครัวและชุมชน

สำหรับศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตบางแค แห่งที่ 2 โรงเรียนคลองหนองใหญ่ ใช้พื้นที่อาคารเรียน 5 ชั้น 2 อาคาร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 312 เตียง แบ่งเป็น ผู้ป่วยระดับสีเหลือง/แดง 48 เตียง ผู้ที่มีผลการตรวจ ATK ติดเชื้อ 33 เตียง และผู้ป่วยระดับสีเขียว 231 เตียง โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลบางปะกอก 8 และศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วย กำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 9 ส.ค. 64 นี้


จากนั้น เวลา 11.15 น. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตบางแค แห่งที่ 1 ตั้งอยู่ที่ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางแค (เรืองสอน) ซึ่งเป็นศูนย์พักคอย 1 ใน 7 แห่ง ที่กรุงเทพมหานครเตรียมขยายศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย


โดยได้ปรับเป็นศูนย์พักคอยกึ่งโรงพยาบาลสนาม (Community Isolation plus : CI plus) เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการระดับสีเหลืองได้รับการรักษาเพิ่มขึ้น สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 150 เตียง แบ่งเป็น ชาย 62 เตียง หญิง 77 เตียง พ่อลูกอ่อน 4 เตียง และแม่ลูกอ่อน 7 เตียง โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วย

ทั้งนี้ ศูนย์พักคอยฯ เขตบางแค เริ่มรับผู้ป่วยเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยที่เข้าพักในศูนย์พักคอยฯ จำนวนสะสม 443 ราย และพักรักษาจนครบกำหนด 14 วันโดยไม่มีอาการรุนแรง และหายเป็นปกติกลับบ้านได้แล้ว คิดเป็นร้อยละ 60 และส่งต่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล คิดเป็นร้อยละ 20 (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ส.ค. 64 เวลา 11.00 น.)

ซึ่งศูนย์พักคอยฯ มีความพร้อมในทุกด้านสำหรับการดูแลผู้ป่วย ด้วยทีมแพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมยารักษาและเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาฟ้าทะลายโจร ถังออกซิเจน เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว อาหารหลัก 3 มื้อ และของใช้จำเป็นอื่ๆ ให้กับผู้ป่วยด้วย ศูนย์พักคอยฯ ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ซึ่งกรุงเทพมหานครพร้อมที่จะให้บริการประชาชน เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วที่สุด

ขณะนี้กรุงเทพมหานครได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อแล้ว 65 แห่ง สามารถเปิดรับผู้ป่วยได้แล้ว 50 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้ 8,597 ราย และยังมีศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถานประกอบการและประชาชนทั่วไป อีก 5 แห่ง สามารถรับผู้ป่วยได้ 960 ราย

นอกจากนี้ยังมีศูนย์พักคอยแบบ Semi Community Isolation อีก 23 แห่ง สามารถรับผู้ป่วยได้ 527 รวมจำนวนศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 93 แห่ง สามารถรับผู้ป่วยได้ 10,084 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ส.ค. 64 เวลา 09.55 น.)

ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 สามารถโทรติดต่อสายด่วน 1330 หรือ สายด่วนโควิด 50 เขต 20 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการประเมินเข้าสู่ระบบการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) หรือเข้าพักที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (Community Isolation : CI) หรือโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
#3726
 ข้าวสุรินทร์  ข้าวอินทรีย์อร่อย ข้าวออแกนิคอร่อย ข้าวปลอดสารอร่อย ข้าวเพื่อสุขภาพอร่อย Delicious Organic Rice เทรนด์ใหม่! ข้าวออแกนิคหรือข้าวอินทรีย์ อร่อยดีแถมมีประโยชน์อีกเพียบ  ข้าวออร์แกนิคไทยมีราคาแพง  ข้าวหอมมะลิใหม่จากท้องนาอินทรีย์จังหวัดสุรินทร์ ถ้าเราพูดถึงข้าวอินทรีย์ซึ่งประเทศไทยมีปลูกหลายจังหวัด หลายภาค แต่ถ้าจะพูดถึงความอร่อย ความหอม เราต้องยกนิ้วให้ข้าวอินทรีย์จากทางภาคอีสานเลย เพราะสภาพภูมิอากาศที่นั่นเอื้ออำนวยต่อการปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์มาก เรียกว่าถ้าอากาศยิ่งร้อน ข้าวจะยิ่งหอมอร่อย ข้าวorganic  ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพที่ดีที่สุด มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อหุ่งสุก จะนิ่ม หอม อร่อย.

7 ชนิดของข้าวเกษตรอินทรีย์ยอดนิยม
- ข้าวกล้องหอมมะลิ 105 อินทรีย์ : มีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามันบีรวม ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ช่วยบำรุงสมอง
- ข้าวขัดขาวหอมมะลิ 105 อินทรีย์ : มีธาตุเหล็กสูง ป้องกันโรคโลหิตจาง
- ข้าวกล้องหอมมะลิแดง อินทรีย์ : ช่วยลดน้ำตาลในเลือด บำรุงสายตา ป้องกันโรคเบาหวาน เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย มีเส้นใยสูง ป้องกันมะเร็งในลำไส้
- ข้าวกล้องหอมนิล อินทรีย์ : บำรุงผิว พร้อมมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวทั่วไปถึง 7 เท่า
- ข้าวปะกาอำปึล : ข้าวที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ทานแล้วไม่อ้วน
- ข้าวไรซ์เบอรี่ : มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์ต่อร่างการ อร่อย นุ่ม ไม่แข็ง
- ข้าวผสมห้าสายพันธุ์ เป็นข้าวรวมคุณประโยชน์ของข้าวทุกชนิดไว้ด้วยกัน ข้าวorganic   ข้าวหอมมะลิใหม่ 100% มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ขาวใส หอมนุ่ม อร่อย เป็นข้าวหอมมะลิเเรกเกี่ยว คุณภาพดีสดใหม่จากชาวนาจังหวัดสุรินทร์ ที่ปลูกเเละดูเเลเอาใจใส่อย่างดี นอกเหนือจากช่วยเรื่องสุขภาพ ป้องกันโรคต่างๆแล้ว ข้าวอินทรีย์ยังมีความพิเศษในทุกขั้นตอน เพราะชาวนาใส่ใจในการปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีเลย เพราะฉะนั้นความพิถีพิถันเริ่มตั้งแต่การเตรียมดิน ไปจนถึงการสีข้าว ที่สำคัญข้าวอินทรีย์ที่เราทานกัน ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชาวนาไทยของเราอีกด้วยนอกจาก ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคจะประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว เรื่องของการผลิตมั่นใจว่าปลอดภัยจากสารเคมีอย่างแน่นอน ตั้งแต่เรื่องข อง ตลาดข้าวอินทรีย์ - การเตรียมดิน
- เตรียมดินแบบธรรมชาติ ไถกลบตอซัง
- ฟางข้าวบำรุงดิน
- ใส่ใจแปลงนา
- คอยเช็กระดับน้ำ เฝ้าระวังศัตรูพืช โดยไม่ใช่สารกำจัดศัตรูพืช
- การสีข้าว
- ชาวนาจะทำการสีข้าวล่วงหน้า 2 – 3 วัน
- เก็บข้าวโรงเก็บเฉพาะ
- มีการแยกข้าวอินทรีย์ในโรงเก็บ เพื่อไม่ให้ข้าวปนกัน

เรียกได้ว่าข้าวกล้องอินทรีย์
ปลูกใจ ปอลดภัย ไร้สารเคมี .. เห็นประโยชน์มากมายแบบนี้อย่าลืมหันมาทานข้าวอินทรีย์กันนะ
เห็นแบบนี้แล้ว...เชื่อหรือยังว่า ข้าวอินทรีย์พวกนี้ไม่ได้ปลูกได้ง่ายๆ เรียกว่าเป็นงานคราฟท์ฝืมือชาวนาไทยเลยทีเดียว แถมยังมีข้อดีของนาอินทรีย์ที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง เพราะการไม่ใช่สารเคมี เลยทำให้ระบบนิเวศน์ที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์ ย้อนกลับไปเหมือนสมัยก่อนที่ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" มีสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็น นก แมลงปอ กุ้ง หอย ปู ปลา ก็ยังมีให้เห็น ซึ่งแตกต่างจากนาชนิดอื่นๆ อย่างชัดเจน และยังช่วยให้คุณภาพชีวิตชาวนาดีขึ้น ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องเสียเงินซื้ออาหาร เพราะถ้าอยากทานอะไรก็หาเองในนาได้สบายๆ หรือจะปลูกเองไว้ทานในบ้าน เหลือเท่าไหร่ก็ขายสร้างรายได้หลายทางอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   [url=https://www.facebook.com/horganig.thailand]ข้าวออแกนิคสำหรับทารกส่งทั่วไทย
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :  https://www.facebook.com/Horganik/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์
2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์
3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์  (  ข้าวผกาอำปึลปลอดสารพิษ)
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7. ข้าวไรซ์เบอรี่ (  ขายข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์)

#ข้าวอินทรีย์อร่อย #ข้าวออแกนิคอร่อย #ข้าวปลอดสารอร่อย #ข้าวเพื่อสุขภาพอร่อย #ข้าวสุขภาพอร่อย
#3727


"ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย"  หนึ่งในธนาคารสมาชิกกลุ่มซีไอเอ็มบี กลุ่มการเงินชั้นนำของอาเซียน ได้จัดงานแถลงข่าวเนื่องในโอกาสวันอาเซียน ซึ่งตรงกับวันที่ 8 เดือน 8 ของทุกปี  ในหัวข้อ ASEAN Outlook Amid COVID-19 Storm "วิเคราะห์การลงทุนในอาเซียนท่ามกลางพายุโควิด" 

ล่าสุด ธนาคารรายงานสถิติ ยอดคงค้าง "มูลค่าการลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ" (Thai Direct Investment : TDI) จำแนกรายประเทศ จากข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า 10ประเทศ ที่ภาคธุรกิจไทยเน้นไปลงทุนสะสมมากที่สุด 10อันดับ  ณ ไตรมาส 1 ปี 2564 ดังนี้

1. ฮ่องกง มูลค่า 77,257 ล้านบาท

2. สหราชอาณาจักร  มูลค่า 23,337 ล้านบาท

3. เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 12,137 ล้านบาท


4. ลาว มูลค่า 3,707 ล้านบาท

5. มอริเชียส มูลค่า 2,729 ล้านบาท

6. อินโดนีเซีย มูลค่า 2,507 ล้านบาท

7. จีน มูลค่า 2,101 ล้านบาท

8. บริติช เวอร์จินไอส์แลนด์ มูลค่า 1,290 ล้านบาท

9. ไต้หวัน มูลค่า 747 ล้านบาท

10.เวียดนาม มูลค่า 465 ล้านบาท


และหากดุราย "ธุรกิจ" ที่คนไทย นิยมไปลงทุนมากที่สุด10 อันดับ  ดังนี้

1. การทำเหมืองแร่และเหมืองหิน มูลค่า 57,177 ล้านบาท

2. การเงินและการประกันภัย  มูลค่า  31,150 ล้านบาท

3. การผลิตเครื่องดื่ม มูลค่า 7,871 ล้านบาท

4. การขายส่งและการขายปลีก มูลค่า 6,515 ล้านบาท

5. การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์  มูลค่า 3,293 ล้านบาท

6. การขนส่งและคลังสินค้า มูลค่า 3,203 ล้านบาท

7. การผลิตไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำและระบบปรับอากาศ มูลค่า 1,303 ล้านบาท

8. ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร มูลค่า 832 ล้านบาท

9.  กิจกรรมการก่อสร้าง มูลค่า 785 ล้านบาท

10. การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า มูลค่า 385 ล้านบาท

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ชี้เงินลงทุน TDI ปีนี้ยังโตแซง FDI แม้เผชิญพายุโควิด

"เกษม พันธ์รัตนมาลา" กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)  ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)  มองว่า บริษัทไทย มองหาโอกาสลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านตลอดเวลา จากตัวเลข  Thailand Direct Investment (TDI) คนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559  แม้ปี 2563 จะเผชิญโควิดแต่ TDI ยังคงโตสูงสุด มีมูลค่า 564,000 ล้านบาท  และโตต่อเนื่องมาถึงปีนี้  

อย่างไรก็ตามจากการแพร่ระบาดโควิด-19  ในฝั่งประเทศเกิดใหม่ของเอเชีย ตั้งแต่ต้นปี 2564 มานี้ ส่งผลให้ มูลค่า TDI  ในไตรมาส  1 ปีนี้  ยังเติบโตอยู่ที่ 9,300 ล้านบาท แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตถึง 181 ,000 ล้านบาท และยังพบว่า ในไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทไทยมีการขายเงินลงทุนในอาเซียนบางส่วน มูลค่าราว 23,000 ล้านบาท โยกย้ายเงินลงทุนมาในประเทศฝั่งยุโรปแทน มูลค่าราว 33,000 ล้านบาท

แต่มองว่า แนวโน้ม TDI ทั้งปีนี้ เม็ดเงินลงทุนอาจชะลอลงบ้าง จากผลกระทบโควิด  แต่มูลค่าเงินลงทุนจะยังคงมากกว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย(FDI ) แน่นอน 

"เงินลงทุน TDI ขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกับพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศว่าจะสามารถเข้าลงทุนหรือซื้อกิจการสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงไหน ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ทุกไตรมาสในไตรมาส 1 ปีนี้ยังคงโตได้แม้ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยังไม่มีผลกระทบจากโควิด"  

สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารซึ่งมีความเชี่ยวชาญการลงทุนในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคาร ยังมุ่งจับมือบริษัทไทยออกไปลงทุนใน "ตลาดอาเซียน" ที่ยังคงสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนได้ดีต่อเนื่องหลังโควิดคลี่คลาย

ปัจจุบันพบว่า บริษัทไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนผลตอบแทนจากการไปลงทุนอาจต้องรอ 3-5 ปี หากธุรกิจเติบโต แข่งขันได้  เงินลงทุนจะเริ่มกลับเข้ามาในประเทศ ส่งให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้น

สายตาต่างชาติ ไม่สน "ลงทุนในไทย"

ขณะที่ เงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย Foreign Direct Investment (FDI) "เกษม" กล่าวว่า  เงินลงทุน FDI กลับน้อยกว่าเงินที่คนไทยนำไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดย FDI ปีก่อน ติดลบ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมองย้อนกลับไปก่อนมีโควิด FDI มาไทยไม่ได้สูงมาตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาถึงตอนนี้

"ตลาดไทยไม่น่าสนใจในสายตาต่างชาติอีกต่อไป เพราะเราไม่ค่อยมีบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่วนใหญ่เป็น sector ใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี สินค้าไฮเทค สมาร์ทโฟน รถ EV ซึ่งต้องมีเงินทุนใหม่ๆ มารองรับ ถ้าถามว่าไทยจะมีอุตสาหกรรมใดที่จะพัฒนาเพื่อต่อยอดเศรษฐกิจของเราเองได้ เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องนำไปคิด ทำไมต่างชาติเขามองข้ามเราไป หรือโครงสร้างพื้นฐานเราเองมีปัญหา เช่น เรื่องคน เรื่องการศึกษา แรงงานเราค่าแรงไม่ถูก แต่ทักษะสูงไม่พอหรือเปล่า รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ไม่เอื้อ ทำให้ประเทศไทยขาดความน่าสนใจในการลงทุน อย่าว่าแต่นักลงทุนต่างชาติเลย แม้แต่นักลงทุนไทยยังไปลงทุนเพื่อนบ้าน" 
#3728


นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เปิดเผยว่า  ได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรเร่งขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรให้แก่สหกรณ์การเกษตร  เกษตรกรและผู้ที่สนใจทั่วไปได้นำไปปลูกเพื่อป้อนเป็นวัตถุดิบให้กับกระทรวงสาธารณสุขนำไปผลิตเป็นยาสมุนไพรเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19  โดยกรมวิชาการเกษตรสนับสนุนต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นผลงานวิจัยปรับปรุงพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตรจำนวน 2 สายพันธุ์ที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูง


คือ สายพันธุ์พิจิตร 4-4 ซึ่งมีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์มากถึง 12.20  กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม  และสายพันธุ์พิษณุโลก 5-4  มีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์มากถึง  8.89 กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม  ให้กับสหกรณ์ที่สนใจร่วมโครงการส่งเสริมปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรรวมทั้งเกษตรกร  ซึ่งมั่นใจว่าสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น


นายพิเชษฐ์  วิริยะพาหะ  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า  ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรได้เตรียมต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรไว้ 2 สายพันธุ์ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงกว่าพันธุ์การค้าทั้ง 2 สายพันธุ์  คือพันธุ์พิจิตร 4-4 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 3,880 กิโลกรัมต่อไร่ และพิษณุโลก 5-4 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4,187 กิโลกรัมต่อไร่  จำนวน 800,000 ต้น

โดยจะมอบให้จังหวัดอุทัยธานีนำไปปลูกนำร่องเป็นจังหวัดแรก จำนวน 24,000 ต้น    และเปิดให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่สนใจลงทะเบียนจองต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรได้ฟรีโดยจำกัดคนละ 5 ต้น ผ่านเว็บไซต์กรมวิชาการเกษตร   ตั้งแต่วันที่ 7 – 31 สิงหาคมนี้   และจะเริ่มแจกต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายให้ผู้ที่สั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2564 เป็นต้นไป
"นอกจากกรมวิชาการเกษตรจะแจกต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรให้กับผู้ที่สนใจแล้ว  ยังได้จัดทำคู่มือการปลูกฟ้าทะลายโจรให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย  เพื่อเป็นแนวทางให้เกษตรกรและผู้สนใจได้นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมในพื้นที่ของตนเอง  โดยในคู่มือจะประกอบไปด้วย   สารสำคัญในฟ้าทะลายโจร  การปลูกและการดูแลรักษา  การจัดการศัตรูพืช  การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว  โดยสามารถดาวน์โหลดคู่มือดังกล่าวได้ผ่านทางเว็บไซต์ กรมวิชาการเกษตร
#3729


เมื่อเร็วๆ นี้ นายอรรถพล  ฤกษ์พิบูลย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนกลุ่ม ปตท.  ส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในโครงการลมหายใจเดียวกัน ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 13 จังหวัด  ได้แก่ปทุมธานี นครปฐม ฉะเชิงเทรา ระยอง อุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย บึงกาฬ นนทบุรี เลย สมุทรปราการ ชลบุรี และภูเก็ต


เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปยังภูมิภาคในการต่อลมหายใจผู้ป่วย  COVID-19 ให้มีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น  โดยมีนายสุพัฒน์พงษ์  พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี

โดย ปตท. และบริษัทในกลุ่มประกอบด้วย  ปตท.สผ.  ไทยออยล์   ไออาร์พีซี  จีซี   จีพีเอสซี และ โออาร์ ร่วมกันสนับสนุนและส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ High Flow  ชุด Isolation Gown PE Gown  ถุงมือ  หน้ากากอนามัย และอุปกรณ์เพื่อใช้ปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถพยาบาลในการรับส่งผู้ป่วย 

รวมถึงกาแฟดริป คาเฟ่อเมซอน และน้ำดื่มจิฟฟี่ เพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าที่สำคัญในการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้  รวมมูลค่ากว่า18 ล้านบาท


ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. พร้อมสนับสนุนและเคียงข้างบุคลากรทางการแพทย์ คนไทยและประเทศชาติ ให้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันโดยเร็ว เพราะเชื่อมั่นว่า "เราคนไทยทุกคนล้วนมีลมหายใจเดียวกัน
#3730


นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า คาดรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะเติบโตต่อเนื่อง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้น โดยบริษัทประเมินสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งในไตรมาส 2 ปี 2564 เฉลี่ยที่ 66.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าในช่วงที่เหลือราคาน้ำมันดิบจะแกว่งในกรอบ 60-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ บริษัทยังได้อานิสงส์จากการปรับราคาก๊าซธรรมชาติย้อนหลังตามราคาพลังงานที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 อีกด้วย

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในประเทศยังเผชิญปัญหาในการเข้าพัฒนาพื้นที่โครงการจี 1/61 (แหล่ง เอราวัณ) แม้บริษัทจะยอมรับเงื่อนไขของผู้รับสัมปทานเดิมแล้วก็ตาม จึงคาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการผลิตได้ตามสัญญาที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD)  โดยบริษัทได้จัดทำแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตในแหล่งอื่นบริเวณอ่าวไทยเข้ามาชดเชย รวมถึงการเตรียมแท่นผลิตในกรณีที่สามารถเข้าพื้นที่ได้ในระยะถัดไป

ส่วนโครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) คาดว่าจะดำเนินการได้ตามแผน จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและติดตั้งแพลตฟอร์ม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย.2564 นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมขุดเจาะและเจรจาซื้อขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ในต่างประเทศ คาดว่าจะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตโครงการ Oman Block 61 ในโอมานเต็มที่ 1,500 MMSCFD ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.9 หมื่นบาร์เรลต่อวัน ส่วนโครงการฮาสสิ เบอร์ราเคซ (HBR) ในแอลจีเรียคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ กำลังการผลิต 1-1.3 หมื่นล้านบาร์เรลต่อวัน

สำหรับโครงการลัง เลอบาห์ (Lang Lebah) ในมาเลเซียคาดว่าจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย (FID) ได้ตามแผน และจะเริ่มดำเนินการขุดเจาะได้ภายในปี 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ค้นพบเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการซาราวัก SK438 และ PM407 อยู่ระหว่างประเมินศักยภาพทางปิโตรเลียม


ในการนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายปี2573 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจพลังงานทางเลือก จะมีกำไรสุทธิ 20% ส่วนธุรกิจหลักคือการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมจะลดสัดส่วนลงเหลือ 80%

ทั้งนี้ บริษัทประเมินยอดขายไตรมาส 3 ปี 2564 จะลดลงเหลือ 4.05 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานแยกก๊าซของ บมจ.ปตท. (PTT) แต่คาดว่ายอดขายทั้งปีจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 4.12 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น จากปี 2563 หนุนให้อัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายขั้นต้น (EBITDA Margin) เติบโตตามเป้าหมายที่ 70-75%
#3731


"เรือใบสีฟ้า" ตกเป็นข่าวกับปีกตัวเก่งทีมชาติอังกฤษมาอย่างยาวนาน ก่อนที่ทีมจะบรรลุข้อตกลงกับ แอสตัน วิลล่า ปิดดีลดึง กรีลิช มาร่วมทัพได้สำเร็จ ซึ่งเจ้าตัวจะเซ็นสัญญาอยู่โยงกับทีมไปจนถึงปี 2027 และจะได้สวมเสื้อหมายเลข 10 แทนที่ของ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า 

การย้ายทีมครั้งนี้ของ แจ็ค กรีลิช ทำให้เขามีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของเกาะอังกฤษ ที่ 100 ล้านปอนด์ หรือประมาณ หรือประมาณ 4,600 ล้านบาท ทุบสถิติเดิมที่ พอล ป็อกบา เคยทำเอาไว้ หลังย้ายจาก ยูเวนตุส กลับมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ค่าตัว 93.25 ล้านปอนด์

"ผมมีความสุขอย่าไม่น่าเชื่อที่ได้ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้" กรีลิช เริ่มกล่าว

"ซิตี้ เป็นทีมที่ดีที่สุดในประเทศ ณ เวลานี้ โดยมีผู้จัดการทีมที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลก เหมือนความฝันที่เป็นจริงที่ผมได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรแห่งนี้"

"ตลอดระยะเวลา 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาคว้าแชมป์ได้อย่างต่อเนื่อง เป๊ป ช่วยทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปอีกระดับ ฟุต.ที่นี่มันน่าตื่นเต้นที่สุดในยุโรป การลงเล่นภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป ถือเป็นเรื่องที่ดี ผมจะได้เรียนรู้จากเขา ถือเป็นสิ่งที่พิเศษ และนักฟุต.ทุกคนก็ต้องการ"

"ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่น่าทึ่งมากๆ ผมรอแทบไม่ไหวแล้วที่จะได้เริ่มพบปะกับทุกคนที่นี่" เจ้าของค่าตัวแพงที่สุดในเกาะอังกฤษคนใหม่ ทิ้งท้าย
#3732


เอเอฟพี - ผู้นำสหรัฐฯแถลงต่อประชาชนผ่านทางโทรทัศน์ในวันอังคาร (3 ส.ค.) ว่าสหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกในการต่อสู้การระบาดไวรัสเดลตาประสบความสำเร็จบริจาควัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 110 ล้านโดสใน 65 ประเทศทั่วโลก ยืนยัน "วัคซีนอเมริกาของฟรีไม่ได้ขาย"

เอเอฟพีรายงานวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน แถลงผ่านทางโทรทัศน์ไปยังประชาชนทั่วประเทศในวันอังคาร (3) ชี้ว่า สหรัฐฯ เป็นชาติผู้นำในการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ไปทั่วโลกท่ามกลางการระบาดไวรัสสายพันธุ์เดลตา เป็นการประกาศตามหลังสหรัฐฯ เพิ่งประสบความสำเร็จเห็นตัวเลขชาวอเมริกันในประเทศเข้าฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็มจำนวน 70% ช้ากว่ากำหนดที่ตั้งไว้ในวันชาติสหรัฐฯ 4 ก.ค

"เป็นความพยายามเริ่มแรกของสหรัฐฯ ในการเข้าช่วยเหลือโลกเพื่อต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาด" ทำเนียบขาวแถลง

ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวผ่านทางโทรทัศน์มีใจความว่า "มาจนถึงวันนี้เราได้ส่งมอบไปแล้วกว่า 110 ล้านโดสไปยัง 65 ประเทศ" และเขายังเสริมต่อว่า "วัคซีนเหล่านี้ที่บริจาคมาจากอเมริกาเป็นของฟรี เราไม่ได้ขาย" และชี้ว่า "ไม่มีเงื่อนไขข้อผูกมัดใดๆ เพราะเราทำไปเพื่อช่วยชีวิตผู้คนแค่นั้นเอง"

เอเอฟพีรายงานว่า สหรัฐฯ ได้ส่งมอบวัคซีนโควิด-19 จำนวน 111.7 ล้านโดส ส่วนใหญ่ผ่านโครงการโคแวกซ์ รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศเป็นต้นว่า สหภาพแอฟริกา AU และชุมชนแคริบเบียน ที่รู้จักในนาม CARICOM

ไบเดนแถลงว่า "อ้างอิงจากสหประชาชาติ นี่มันมากไปกว่าการบริจาคเมื่อเทียบกับจำนวนชาติอื่นๆ รวมกันทั้งหมด"

เอเอฟพีรายงานว่า ชาติผู้รับบริจาคส่วนใหญ่คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โคลัมเบีย เวียดนาม บังกลาเทศ ปากีสถาน และแอฟริกาใต้

ทั้งนี้ บังกลาเทศประกาศวานนี้ (4) ว่า ธากามีวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการบริจาคจากจีนและสหรัฐฯ ผ่านโครงการโคแวกซ์อย่างเพียงพอที่จะสามารถฉีดให้ประชาชนจำนวน 12 ล้านคนได้ใน 1 สัปดาห์

"โครงการแจกวัคซีนโควิด-19 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค สำหรับเจ้าหน้าที่การแพทย์แนวหน้าบังกลาเทศที่ศูนย์สาธารณสุข 14,000 แห่ง" เอ.เค.เอ็ม โมซัมเมล เฮค (A.K.M Mozammel Haque) รัฐมนตรีอาวุโสบังกลาเทศแถลง

และเสริมต่อว่า "จะมีประชาชนจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านจะได้รับวัคซีนโควิด-19 ภายใน 1 สัปดาห์ ผู้สูงอายุ แรงงาน และเจ้าของกิจการร้านค้าจะได้รับตามลำดับความเหมาะสม"

เอเอฟพีรายงานว่า ธาการยังประกาศขยายมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดออกไปในวันอังคาร (3)

ซึ่งถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะออกมาเป็นชาติผู้นำการแจกวัคซีนโควิด-19 ไปทั่วโลก แต่กลับเป็นว่าคนในประเทศยังลังเลที่จะฉีดวัคซีน เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานในวันจันทร์ (2) ว่า มีจำนวนตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ต่ำกว่า 50,000 คนต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นทั่วสหรัฐฯ ขณะที่โรงพยาบาลต่างออกมาชี้ว่า "ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19"

ไบเดนใช้โอกาสนี้ร้องขอไปยังชาวอเมริกันที่ยังไม่ได้รับวัคซีนให้เข้ารับวัคซีนโควิด-19 โดยเร็วโดยชี้ว่า การระบาดไวรัสเดลตาเหมือนไฟป่าที่ไหม้ลามอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

เขาระบุว่า "มันเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดโดยเฉพาะมันเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้"

และในการแถลงเขายังกล่าวไปถึงบริษัทใหญ่ในอเมริกาที่ออกคำสั่งให้พนักงานต้องเข้ารับวัคซีนโควิด-19 และแนวโน้มกระแสคนไม่รับวัคซีนเพิ่มโดยเฉพาะในพื้นที่มีการระบาดอย่างรวดเร็ว

เอเอฟพีรายงานว่า บริษัทดิสนีย์ เฟซบุ๊ก กูเกิล วอลมาร์ท และบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ ไทสัน ฟู๊ดส์ (Tyson Foods) ต่างออกมาชี้ว่าบริษัทเหล่านี้มีหน้าที่ต้องกำหนดให้พนักงานของตัวเองเข้ารับวัคซีนโควิด-19
#3733
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ PremiereKato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอนเฟสบุ๊ค ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- สอนพื้นฐานของเฟสบุ๊ค และการตั้งค่าต่างๆที่ควรรู้ ก่อนทำธุรกิจ
- สอนสร้างเพจเฟสบุ๊คยังไงให้น่าโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
- สอนเช็คข้อความและรูปภาพใน Facebook ลดปัญหาการทำงานที่เสียเวลา
- รู้ทันกับกฎระเบียบต่างๆในการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค 
-  วิธีการนำเพื่อนหรือ พนักงานเข้ามาช่วยบริหารในเพจเฟสบุ๊ค ลดความเสี่ยงจากการโดยยึดเพจ
- สอนการสร้างบัญชีธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้บัญชีส่วนตัวในการยิง เลี่ยงการถูกปิดบัญชี
- สอนวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้วยสถิติ [ผู้สอนจบโทด้านงานวิจัยสถิติโฆษณาโดยตรง]
 - สอนดูคู่แข่งเพื่อมาวิเคราะห์ และพัฒนาสินค้าของตัวเองอย่างมืออาชีพ
- สอนสร้างกลุ่มเป่าหมาย แบบตีวง ล้อมคอก เพื่อเผด็จศึก
- สอนสร้างกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ
- สอนการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ การมีส่วนร่วม, การเพิ่มยอดไลค์, วีดีโอและข้อความ เชิงลึกแบบเป็นระบบ วิเคราะห์เห็นภาพ
- สอนยิงแอดแบบไม่ให้คู่แข่งดึงข้อมูลของเราได้
- สอนการสร้างกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่ายิงแอดบน Instagram
- A/B Testing (การทดสอบเปรียบเทียบคุณภาพการเข้าถึงของโฆษณา)
- สอนสร้าง Lookalike Audience เพื่อหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เชิงสถิติ
- การวางแผน สร้างระบบข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot) ในกล่องข้อความเฟสบุ๊ค
- วิธีใช้ เครื่องมือสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot)เพื่อปิดการขาย
- วิธีการตั้งค่าการชำระเงิน /การออกใบเสร็จรับเงิน จากเฟสบุ๊ค
- สอนให้วิเคราะห์เพจของผู้เรียนแบบมืออาชีพ แบบยั่งยืนไม่โดนหลอก
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

Facebook :https://www.facebook.com/katostock
- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://katoacademy.com/profile_kato

วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ

#สอนเฟสบุ๊ค #สอนเฟสบุ๊คตัวต่อตัว #สอนการตลาดออนไลน์ #สอนถ่ายรูป #สอนโฟโต้ช๊อป


 

 

 
 
#3734


ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด–19 ในปัจจุบันทำให้หลายคนจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) แต่ทราบหรือไม่ว่าการนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมนานๆ โดยไม่ขยับหรือเปลี่ยนอิริยาบถ รวมถึงการนั่งอย่างที่ไม่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังจากการนั่งผิดท่าเป็นระยะเวลานาน และอาจลุกลามจนเป็นออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ได้โดยไม่รู้ตัว แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผมจากสารสกัดธรรมชาติ 'ธัญ' (THANN) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ มาแนะ "นั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน" กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย อาทิ 'ไทม์ ทู รีเฟรช' (Time to RefreshTM), 'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser), 'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) และ 'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) ร่วมกับเซเลบริตี้สาวสวยมาเผยเคล็ดลับการสร้างความผ่อนคลายระหว่างทำงานอยู่ที่บ้านตามแบบฉบับของตนเอง อาทิ ปณิตา ศรไทยเทวา, ศิตา ชุติภาวรกานต์ และ สิรี วงศ์รักมิตร



กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด ได้แนะนำการจัดท่านั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน ว่า "ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) รวมถึงอาการปวดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อและเอ็น (Tendinitis) และอาการปวดชาจากปลายประสาทที่ถูกกดทับบริเวณหลัง บ่า คอ ศีรษะ แขน และข้อมือ อาการเหล่านี้มักพบได้บ่อยกับกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่นั่งทำงานในท่าเดิมนานเกินไป โดยไม่มีการขยับปรับเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ ซึ่งอาการในระยะแรกนั้นอาจไม่รุนแรงมากเหมือนเป็นการปวดธรรมดาทั่วไป หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคปวดเรื้อรังได้



การจัดท่านั่งที่ถูกต้องในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

· ศีรษะ ตั้งตรง ไม่ยื่นคอ เก็บคาง ไม่หนีบโทรศัพท์คุย
· ตา อยู่ระดับเดียวกับหนาจอ ห่างประมาณ 45-60 ซม.

· หลัง นั่งหลังตรง พิงพนักเล็กน้อย

· ต้นขาและสะโพก นั่งบนเบาะให้เต็มก้น และขนานกับพื้น

· ข้อมือและแขน อยู่ระนาบเดียวกกับแป้นพิมพ์ หากใช้เม้าส์ควรมีที่รองข้อมือ

· ข้อศอก แนบลำตัว งอศอกทำมุม 90-120 องศา

· ไหล่ ไม่ยกและปล่อยแขนช่วงบนตามธรรมชาติ

· หัวเข่า ควรอยู่ระดับเดียวกับสะโพก ให้ปลายเท้าวางล้ำไปข้างหน้าเล็กน้อย

· เท้า วางแนบพื้น หากความสูงของโต๊ะไม่พอดี ควรใช้กล่องหรือที่รองมาไว้วางเท้า



คนส่วนใหญ่ที่นั่งทำงานทั้งวันมักมีอาการปวดหลังส่วนบนและส่วนล่างตามมา สาเหตุจากท่านั่งที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการนั่งท่าใดท่าหนึ่งนานจนเกินไป ดังนั้นควรแก้ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมงด้วยท่าที่เหมาะสม ได้แก่

· ผสานมือทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงขึ้นไปเหนือศีรษะ ยืดตัวค้างไว้ 10 วินาที ทำติดต่อกัน 5 ครั้ง จะช่วยฝึกยืดตัวระหว่างนั่งทำงาน
· นำมือทั้ง 2 ข้างท้าวเอวแล้วหมุนสะโพกไปข้างหลัง สลับกันซ้าย-ขวา ทำซ้ำ 20 ครั้ง จะช่วยให้กระดูกสันหลังยืดยุ่นตัวมากขึ้น ช่วยลดอาการปวดหลังได้
· เก็บคางเข้าหาแนวกลางลำตัวค้างไว้ 5 วินาที ทํา 10 ครั้ง จะช่วยลดภาวะคอยื่นไปข้างหน้า

นอกจากนี้ยังมีวิธีผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกายจากอาการเมื่อยล้า โดยสามารทำได้ดังนี้

· ยืนตัวตรงชิดกําแพง พยายามให้ศีรษะ ไหล่ และหลัง ชิดติดกําแพงให้มากที่สุด ยกแขนขึ้นทํามุมตั้งฉาก ผ่อนบ่าสบายๆ ให้รู้สึกเกร็งบริเวณสะบักด้านหลังค้างไว้ 10 วินาที ทําซํ้า 10 ครั้ง จะช่วยลดการเกร็งของคอ บ่าและไหล่
· ยืนก้มตัวหันหน้าเข้าหากำแพงในระยะห่างที่พอดี โน้มตัวไปข้างหน้าโดยใช้มือยันกําแพงไว้ และปล่อยตัวลง ค้างไว้ 10 วินาที ทําซํ้า 5-6 ครั้ง จะช่วยยืดกล้ามเนื้อด้านหน้า และลดภาวะหลังค่อม
· นั่งไขว้ขาข้างขวาเหมือนท่านั่งไขว่ห้าง แล้วหมุนลําตัวด้านบนไปทางขวาค้างไว้ 10 วินาที ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง จะช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลังและสะโพก
· นั่งไขว้ขาข้างขวาเป็นเลข 4 แล้วก้มตัวลงไปด้านหน้าค้างไว้ 10 วินาที ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง จะช่วยลดอาการปวดหลัง, สะโพกและก้น



ภาวะออฟฟิศซินโดรมนั้น นอกจากจะมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานด้วยท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยร่วม คือ "ความเครียด" จากการทำงาน ดังนั้นจึงควรหาเวลาผ่อนคลายทางด้านอารมณ์ระหว่างการทำงานด้วยการใช้กลิ่นหอมบำบัด (Aromatherapy) จากน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ อาทิ ไทม์ ทู รีเฟรช และ ก้านไม้หอม นอกจากนี้การทำสปาด้วยตัวเองที่บ้านด้วยการแช่ตัวในน้ำอุ่นที่ผสมบาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ หรือการนวดตัวด้วยบอดี้ บัตเตอร์ ร่วมกับท่านวดเพื่อความผ่อนคลาย นอกจากจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและความเครียดแล้ว ยังสามารถบำรุงผิวให้เนียนุ่มชุ่มชื้นไปพร้อมกันได้"



ธัญ' (THANN) ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ผสานคุณค่าแห่งพืชพรรณจากแหล่งธรรมชาติชั้นดีทั่วโลกและเทคโนโลยีอันทันสมัย ตลอดระยะเวลากว่า 19 ปีที่ผ่านมา 'ธัญ' (THANN) มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ธรรมชาติผสานเทคโนโลยีชั้นนำ ผ่านการทดสอบจากสถาบันวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง Spincontrol Asia Co.,Ltd. (France), Skinnova Lab Co.,Ltd. และ Dermscan Asia อาทิ Dermatological test, Irritation test และ Efficacy test เพื่อยืนยันในคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม และครั้งนี้แบรนด์ 'ธัญ' (THANN) ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีจำหน่ายในร้านและเคาน์เตอร์ 'ธัญ' (THANN) กว่า 100 สาขาในทวีปเอเชีย อเมริกา และยุโรป ไทม์ ทู รีเฟรช (Time to RefreshTM) ขนาด 15 มล. ราคา 410 บาท เติมความสดชื่นระหว่างวัน ด้วยส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 8 ชนิด อาทิ เกล็ดสาระแหน่ (Menthol), ยูคาลิปตัส (Eucalyptus), เปปเปอร์มินท์ (Peppermint), เลมอน (Lemon peel oil), โรสแมรี่ (Rosemary ), กานพลู (Clove), พริกไทยดำ (Black Pepper ) และจันทน์เทศ (Nutmeg) เนื้อเจลบางเบา สูตรเย็น มอบคุณค่าการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วย ออแกนิค เชียร์บัตเตอร์ (Organic shea butter), ออแกนิค โกโก้บัตเตอร์ (Organic cocoa butter), ออแกนิค โจโจ้บา ออยล์ (Organic jojoba oil) และออแกนิค อาร์แกน ออยล์ (Organic argan oil)



'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser) ขนาด 150 มล. ราคา 1,450 บาท มอบกลิ่นหอมนุ่มนวลจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานได้มากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ตกแต่ง และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น โต๊ะทำงาน หรือห้องนอน มีให้เลือก 5 กลิ่น อาทิ อะโรมาติก วูด ( Aromatic wood), โอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence), อีสเทิร์น ออร์ชาร์ด (Eastern Orchard), อีเดน บรีซ (Eden Breeze) และ เอิร์ลเกรย์ อินฟิวชั่น (Earl Gray Infusion)



'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) ขนาด 295 มล. ราคา 990 บาท เติมเต็มความชุ่มชื้น คืนชีวิตชีวา สู่ผิว ด้วยคุณค่าการบำรุงของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ อาทิ น้ำมันรำข้าว (Rice Bran Oil), น้ำมันอโวคาโดออแกนิค (Organic Avocado oil), น้ำมันดาวอินคาออแกนิค (Organic Inca Inchi oil) และน้ำมันมะกอก (Olive oil) มอบความชุ่มชื้นสู่ผิวได้ยาวนาน พร้อมมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงประสิทธิภาพ สูตรบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่อุดตันรูขมุขน พร้อมกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ มีให้เลือก 6 กลิ่น คือ กลิ่นอะโรมาติก วูด (Aromatic Wood) เติมเต็มความเบิกบาน มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของ ส้ม จันทน์เทศ ส้มแทงเจอรีน และไม้จันทน์, กลิ่นโอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence) สดชื่นเบาสบายด้วยกลิ่นอายแห่งโลกตะวันออกด้วยส่วนผสมของตะไคร้และมะกรูด, กลิ่นอีเดน บรีซ (Eden Breeze) ให้ความสงบสมดุล แฝงความอบอุ่นอ่อนหวานด้วยส่วนผสมของดอกมะลิและดอกกุหลาบ, กลิ่นอีสเทิร์น ออร์เชิร์ด (Eastern Orchard) สดชื่นรื่นรมย์ด้วยส่วนผสมของส้มยูซุ มะนาว น้ำมันหอมระเหย และดอกมะลิ, กลิ่นสปริง ฟอเรสต์ (Spring Forest) สะอาด สดชื่น มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของหญ้าแฝก เมล็ดถั่ว และเจอราเนียม และกลิ่นลาเวนเดอร์โรสแมรี่ (Lavender & Rosemary) ที่มอบความผ่อนคลายด้วยส่วนผสมของดอกลาเวนเดอร์และดอกโรสแมรี่



'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) ขนาด 350 มล. ราคา 1,550 บาท ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายสูตรเสริมประสิทธิภาพที่ให้มากกว่าความชุ่มชื้น คืนความเรียบเนียนสู่ผิว ผิวเรียบเนียนขึ้น 19%, ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น 22.9% แม้เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง รวมถึง 90% ของผู้ทดสอบผิวมีความกระจ่างใสขึ้น ด้วยส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาตินานาชนิด อาทิ สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากใบชิโซะ (Nano shiso extract), สารสกัดจากจมูกข้าวบาร์เลย์ (Barley extract), เมล็ดเชียบัตเตอร์ออแกนิค (Organic Shea Butter), โจโจ้บา ออยล์ ออแกนิค (Organic Jojoba oil), น้ำมันมะพร้าวออแกนิค (Organic Coconut oil), น้ำมันรำข้าว (Rice bran oil), สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากบุทเชอร์บรูม (Butcher]s broom extract), สารสกัดมิลค์ทิสเทิล (Milk Thistel extract), สารสกัดจากสนหางม้า (Horsetail extract), สารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Bladderwrack extract), สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์ (Kelp extract), สารสกัดจากใบไอวี่ (Ivy extract) และ สารสกัดจากรากชะเอมเทศ (Licorice extract) โดยแนะนำให้ใช้ควบคู่กับการออกกำลังกายจะช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น



สัมผัสความผ่อนคลายกับผลิตภัณฑ์ 'ธัญ' (THANN) อาทิ 'ไทม์ ทู รีเฟรช' (Time to RefreshTM), 'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser), 'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) และ 'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) ได้แล้ววันนี้ที่ออนไลน์สโตร์ www.thann.co.th (ส่งฟรีทั่วประเทศ) และร้าน 'ธัญ' (THANN) ทั้ง 12 สาขาทั่วประเทศ อาทิ สาขาสุขุมวิท 47, ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ชั้น 3 ศูนย์การค้าเกษร, ชั้น 5 ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม, ชั้น 1 และชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, ชั้น 4 ไอคอน สยาม, ร้านวูว์ ถนนเจริญราษฎร์ และสาขาถนนพระปกเกล้า (ตรงข้ามวัดเจดีย์หลวง) จังหวัดเชียงใหม่, สาขาป่าตอง (หน้าโรงแรม La Flora ป่าตอง) จังหวัดภูเก็ต และ ธัญ เวลเนส เดสทิเนชั่น จ.พระนครศรีอยุธยา
#3735












 โควิดลดกระหน่ำราคา ที่ดินติดทะเล ริมทะเล สูงจากน้ำทะเลประมาณ 6-9 เมตร ขนานนามฝั่งแดง ทะเลสวยสดชื่นสดใส 5ไร่ ไรละ 3.5ลบ. แบ่งขายโฉนดครุฑแดง ต.ทรายทอง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ 

ธรรมชาติฟินอารมณ์สุดสุด วิวสวยงาม Unseen Thailand พร้อมสวนมะพร้าวเต็มพื้นที่ เก็บเกี่ยวได้เลย ที่ดินที่หายาก ลักษณะทางธรรมชาติไม่เหมือนที่ใด  เห็นวิวทะเลหมู่เกาะต่างๆ เช่น เกาะทะลุ เกาะสิงห์ เกาะสังข์ อื่นๆ

นับแสนปีหินกรวดมนมากมายกองกันจนเป็นแนวจากกรดที่ทับถมกันเป็นหินทรายที่มีอายุ 60-214 ล้านปี อยู่ด้านใต้ลงไปแล้วถูกน้ำพามาถมกันนอกจากจะเห็นเป็นศิลาแลงแล้วยังมีหินทรายที่แข็งแทรกตัวอยู่ในชั้นหินกรวดมนซึ่งเป็นลักษณะเด่น นับได้ว่าที่ดินแห่งนี้เป็นที่ดินที่ ทำเลหายาก ที่ดินทำเลทอง ที่ดินติดทะเลหน้ากว้าง มีทางสาธารณะรถยนต์ขับเข้าถึงที่ดิน
น้ำไฟเข้าถึง แหล่งชุมชน สัมผัสได้ถึงความงามเด่นอันตระการตา สนใจโทร/ไลน์

โทร  0837124115
line id : 0837124115

ปักหมุด
ใกล้ ตำบล ทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย ประจวบคีรีขันธ์
https://maps.app.goo.gl/PL2am3Ehn6rWut786
#3736









เช่ารถโควิดแสนถูก600บาท/วัน เช่านานยิ่งคุ้ม แสนถูก เช่าง่าย รถสะอาดปลอดภัย คุ้มค่า วีออส  ยาริส ซิตี้ อัลเมร่า แคมรี่ อัลติส ซีวิค กระบะมิตซูไททั้น ตู้Volkswagen
รับรถแคราย นนทบุรี สถาบันโรคทรวงอก  
มีบริการส่งถึงที่ ประกันรถ 5000 โทร

083-7124115  
Line id : 0837124115
www.รถเช่าดี.com

https://www.facebook.com/profile.php?id=100004405322209
#3737


ท่อเอสซีจี ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium" ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ใหม่ เป็นรายแรกในประเทศไทย ยืนยันส่งมอบความสะอาด ปลอดภัย มั่นใจอย่างสูงสุดให้แก่ผู้บริโภค ด้วยท่อไร้สารตะกั่ว (LEAD FREE) ซึ่งผ่านกระบวนการผลิตจากเทคโนโลยีสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนตกค้าง ตอบโจทย์ทุกการใช้งานที่หลากหลาย

มาพร้อมสัญลักษณ์ No.1 LEAD FREE และการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) 17-2561 รายแรกในประเทศไทย นับว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ท่อให้ดียิ่งขึ้น โดย มอก.ใหม่นี้ครอบคลุมในเรื่องของกระบวนการผลิตและเนื้อท่อที่จะต้องมีความปลอดภัย ปราศจากโลหะหนักปนเปื้อน อาทิเช่น สารตะกั่ว และแคดเมียม เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ สะอาด และปลอดภัยยิ่งขึ้น ครอบคลุมครบทุกความต้องการ ทั้งภายในบ้าน อาคาร และสถานที่ที่ใส่ใจความอนามัยอย่างสูงสุด

ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการันตีคุณภาพ ทั้งจาก NSF International ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อพีวีซี รองรับการออกแบบอาคาร Green Building ตาม WELL Building Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่คำนึงถึงสุขภาวะหรือคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยเป็นสำคัญ ฉลากเขียว (Green Label) ผลิตภัณฑ์ผลิตจากวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และ SCG Green Choice
โดยอ้างอิงมาตรฐาน ISO14021 ในด้านกลุ่มส่งเสริมสุขภาพและสุขอนามัยที่ดี (Well-being) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างสูงสุด

นอกจากนี้ ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium มีท่อให้เลือกใช้ได้อย่างหลากหลาย จึงพร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกบ้าน (End-user) ช่าง ผู้รับเหมา สถาปนิก หรือเจ้าของโครงการต่างๆ ยกระดับคุณภาพสินค้าอย่างมีมาตรฐาน ควบคู่การยกระดับคุณภาพชีวิต ให้ทุกการใช้งานสะอาด ปลอดภัย มั่นใจยิ่งขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
#3738












ขายบ้านสวยพร้อมเข้าอยู่  ใจกลางชุมชน  ในตัวอำเภอเมือง จ.สมุทรสาคร เนื้อที่ 36 ตารางวา 1,200,000 บาท  ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง สาธ่รณูปโภคครบครัน โฉนดเลขที่ 79680 เลขที่ดิน 103  หน้าสำรวจ 8795  อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก  คสล.ชั้นเดียว  เลขที่  27/6  หมู่่ที่ 3  ต.บางหญ้าแพรก  อ.เมือง จ.สมุทรสาคร  เข้าจากถนนธรรมคุณากร  เลี้ยวเข้าถนนสายสมุทรสาคร-สมุทรปราการ   ที่ตั้งอยู่ใกล้  อบต.บางหญ้าแพรก  อยู่ใกล้วีดโกรกกรากใน  วัดสามัคคีศรัทธาราม   ทางคมนาคมสะดวกสบาย  น้ำไฟถึง 
 
สนใจโทร 083-712-4115
LINE ID  : 0837124115

https://www.google.com/maps/place/13%C2%B031'49.8%22N+100%C2%B017'02.1%22E/@13.530491,100.2839079,17z
 
#3739


นายมนัส วงษ์จันทร์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หรือ กฟก. เปิดเผยว่า จากที่มีพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เพราะส่งผลให้การดำเนินงานด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สิน เป็นไปด้วยความคล่องตัว โดยเฉพาะกรณีแก้ปัญหาหนี้ที่ใช้บุคคลค้ำประกัน และได้นำมาสู่การออกระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรว่าด้วยการจัดการหนี้ของเกษตรกร กรณีหนี้ที่มีบุคคลค้ำประกันพ.ศ. 2563 ที่ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ มีอำนาจในการเข้าไปแก้ไขหนี้ที่เกิดจากอาชีพการเกษตรด้วยการกู้ยืมโดยใช้บุคคลค้ำประกัน จากสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น สหกรณ์ ธกส. ธนาคารพาณิชย์ และนิติบุคคล รวมทั้งธนาคารของรัฐ เป็นต้น

" ทั้งนี้ตามกฎหมายเดิมนั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงหนี้ที่ใช้บุคคลค้ำประกัน ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯจัดการได้เฉพาะหนี้ที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน พอรัฐบาลได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้ผลักดันให้แก้กฎหมายจนสำเร็จ และส่งผลให้กองทุนฟื้นฟูฯเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้บุคคลค้ำประกันได้ ดังนั้นจึงขอฝากไปยังพี่น้องเกษตรกรว่า อย่าปล่อยให้ปัญหาหนี้ลุกลามจนถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย หรือถูกฟ้องดำเนินคดีบังคับคดีขายทอดตลาด เมื่อมีปัญหาหนี้สินขอให้พี่น้องเกษตรกรเดินเข้ามาปรึกษา กองทุนฟื้นฟูฯ พร้อมให้คำปรึกษาหาทางออก เพื่อให้ทุกคนสามารถรักษาที่ดินทำกินให้กับลูกหลานไว้ต่อไป "


ผู้อำนวยการสำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร กล่าวต่อไปว่า การเข้าไปจัดการหนี้ให้พี่น้องเกษตรกรตามระเบียบฯ กรณีหนี้ที่มีบุคคลค้ำประกันพ.ศ. 2563 ต้องไม่เกิน 500,000 บาท และ ต้องมีบุคคลมาค้ำประกันซึ่งแบ่งเป็น หนึ่ง หนี้เงินต้นคงค้างไม่เกิน 200,000 บาท ให้องค์กรเกษตรกรร่วมกับเกษตรกรหาผู้ค้ำประกัน 2 คน เช่น ให้บุคคลเดิมมาค้ำประกัน แต่ถ้าบุคคลเดิมหรือทายาทไม่มาค้ำประกัน หรือค้ำประกันแล้วยังไม่พอ สามารถที่จะเอาสมาชิกองค์กรเกษตรกรมาค้ำให้ได้รวม 2 คน สอง หนี้เงินต้นคงค้างตั้งแต่ 200,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ให้องค์กรเกษตรกร ร่วมกับเกษตรกรหาผู้ค้ำประกัน 3 คน โดยให้บุคคลเดิมค้ำรวมทั้งทายาท ถ้ายังไม่พอให้สมาชิกองค์กรเกษตรกรมาค้ำประกัน และสาม หนี้เงินต้นคงค้างตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป ให้องค์กรเกษตรกรร่วมกับเกษตรกรหาผู้ค้ำประกัน 4 คน ประกอบด้วย ทายาท 1 คน และสมาชิกองค์กรเกษตรกร 3 คน

"แต่กรณีไม่มีทายาทมาค้ำประกัน ตามระเบียบได้เปิดโอกาสให้ให้องค์กรเกษตรกรมอบหมายกรรมการองค์กรเกษตรกรหรือสมาชิกองค์กรเกษตรกรมาค้ำประกันแทนได้ ถือเป็นข้อดีและเป็นประโยชน์ ถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นคำตอบว่า ทำไม กองทุนฟื้นฟูฯจึงต้องกำหนดให้เกษตรกรสังกัดองค์กร สืบเนื่องจาก เกษตรกรที่จะมาเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องไปเป็นสมาชิกองค์กรเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกองทุนฟื้นฟูฯ ดังนั้นการทำกิจกรรมหรือทำภาระผูกพันใดๆ องค์กรเกษตรกรต้องรับรู้ รวมทั้งมาค้ำประกัน นั่นหมายความว่า สมาชิกเองต้องเข้าร่วมกิจกรรม กรรมการองค์กรก็ต้องเข้ามาดูแลสมาชิก ทำให้เป็นความผูกพัน เกิดการช่วยเหลือกัน นำมาซึ่งความเข้มแข็งให้กับองค์กรเกษตรกร " นายมนัส กล่าวในที่สุด
#3740


"สรรพากร"เล็งแก้โครงสร้างภาษีใหม่ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำประโยชน์คนรวย-เอื้อคนชั้นกลาง เล็งปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่"สอท."เปิดผลสำรวจโควิดหนัก แรงงานขาด ฉุดกำลังผลิตส่งออกวูบ จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนแรงงาน ม.33

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.64 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า แนวทางการปรับโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องกับกรมสรรพากรคือการปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยหลักการคือจะต้องดำเนินการเพื่อเอื้อให้คนชั้นกลางได้ผลประโยชน์มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากค่าลดหย่อนทางภาษีเงินได้ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนที่ได้ประโยชน์คือ คนที่มีรายได้สูง ส่วนคนชั้นกลางที่อยู่ในฐานภาษีได้รับประโยชน์ที่น้อยกว่า ส่วนการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น จะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเห็นว่าหากจะปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะต้องลดให้กับคนชั้นกลางลงมาที่อยู่ในฐานภาษี อย่างไรก็ตามการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องแก้ไขประมวลกฎหมายของกรมฯ และมีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นอัตราแบบขั้นบันใด ( Progressive Rate)

"ปัจจุบันค่าลดหย่อนทางภาษีที่กรมฯให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีมากเกือบ 20 รายการ คิดเป็นค่าลดหย่อนทางภาษีรวมกันทุกรายการมากกว่า 2 ล้านบาท เช่น ค่าลดหหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 6 หมื่นบาท, ค่าลดหย่อนบุตร 3 หมื่นบาท, ค่าใช้จ่ายในการซื้อเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป หักลดหย่อนตามจริงแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีการลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการซื้อหน่วยลงทุน RMF 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท และเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่เกิน 15 % ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นต้น"

สำหรับบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งได้ปรับปรุงอัตราและขั้นบันใดของเงินได้ใหม่ และเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2560 ได้กำหนด 8 ขั้นบันใดของเงินได้ เริ่มตั้งแต่เงินได้ที่ไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี, เงินได้ที่มากกว่า 150,000 แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท เสียในอัตรา 5 % และขั้นบันใดสุดท้าย หรืออัตราสูงสุด คือ รายได้ที่มากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป จ่ายในอัตรา 35%
แหล่งข่าว กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา รายได้ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รัฐบาลต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีของประเทศ โดยการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลลงมา แต่ยังไม่สามารถปรับเพิ่มภาษีโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้รายได้ของรัฐบาลลดต่ำลง

ทั้งนี้ ใน 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ณ เดือนพ.ค.นี้ รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.441 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.98 แสนล้านบาท หรือ 12.1% ขณะที่ กรมสรรพากร ซึ่งเป็นกรมฯที่ทำรายได้มากที่สุดของรัฐบาล ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 จัดเก็บได้ 1.059 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.38 แสนล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมาย 11.5 % ส่วนในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 2.394 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3.36 แสนล้านบาท หรือ 12.3%

วันเดียวกัน นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ "การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้งรักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วนใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 53.6 มีการจ้างงานลดลง 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 31.3 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 10.3 และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 4.8

โดยในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง น้อยกว่า 30% คิดเป็นร้อยละ 45.2 โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 26.5 โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 - 50% คิดเป็นร้อยละ 20.5 และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 7.8 เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค หรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็นร้อยละ 51.8 รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็นร้อยละ 49.4 และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 41.6

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็นร้อยละ 50.0 รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็นร้อยละ 48.8 และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็นร้อยละ 45.8

ส่วนกรณีที่ภาครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใดพบว่า 3 อันดับแรกได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 69.9 รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 66.9 และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 65.1

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน ม.33 คิดเป็นร้อยละ 92.8 รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) คิดเป็นร้อยละ 69.9 และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือร้อยละ 1 ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 66.9

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็นร้อยละ 83.1 รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็นร้อยละ 68.1 และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็นร้อยละ 65.7