เปิดประวัติผู้ป่วยโอมิครอนรายแรกของไทย ผลตรวจร่างกายแทบปกติทุกอย่าง ยกเว้น

[PostDD]

          เปิดประวัติผู้ป่วยโอมิครอนรายแรกของไทย พบไม่เคยติดโควิดมาก่อน และไม่มีการแสดงอาการให้เห็น ส่วนผลการตรวจร่างกายอื่น ๆ ไม่มีร่องรอยในปอด อุณหภูมิปกติ แต่ค่าเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย


ประวัติผู้ป่วยโอมิครอน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          จากกรณีที่พบผู้ป่วยโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นรายแรกของประเทศไทย ซึ่งคนคนนี้เป็นชาวอเมริกัน เดินทางมาจากประเทศสเปน ตอนนี้อยู่ระหว่างการรักษาแล้ว

อ่านเพิ่มเติม : ไล่ไทม์ไลน์ ผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์โอมิครอน รายแรกในไทย-สธ. พร้อมเผย อันตรายแค่ไหน

ประวัติผู้ป่วยโอมิครอน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          ล่าสุด วันที่ 6 ธันวาคม 2564 กระทรวงสาธารณสุข มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมของผู้ป่วยโควิดรายนี้ สามารถจำแนกข้อแตกต่างจากโควิดสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น อัลฟา เบตา หรือเดลตา รายละเอียดดังนี้

          - ผู้ติดเชื้อรายนี้ ไม่มีการแสดงอาการที่เกี่ยวกับโรคโควิด 19 เลย รวมถึงไม่มีโรคประจำตัว และไม่เคยติดโควิด 19 มาก่อนด้วย

          - อุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส มีอัตราการเต้นของหัวใจ 96 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิตอยู่ที่ 136/84 มิลลิเมตรปรอท และค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ในอัตรา 100%

          - เมื่อมีการเอกซเรย์ทรวงอก พบว่า มีสภาพปกติ ไม่มีร่องรอยของโรคโควิดแต่อย่างใด

          - ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด มีจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำกว่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานเล็กน้อย อยู่ที่ 4,020 cell/ml (มาตรฐานอยู่ที่ 4,500-10,000 cell/ml) ขณะเดียวกันค่าอื่น ๆ เช่น ฮีโมโกลบิน, ฮีมาโทคริต ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ

          อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเพิ่งมีผู้ป่วยโอมิครอนรายแรก ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุปได้ว่า การที่เม็ดเลือดขาวต่ำกว่ามาตรฐาน จะเกี่ยวข้องกับโรคนี้หรือไม่

ประวัติผู้ป่วยโอมิครอน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอมิครอน

- เป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา 2-5 เท่า

- ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย คล้ายโรคไข้หวัด

- ยังไม่มีผู้เสียชีวิต

ประวัติผู้ป่วยโอมิครอน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen

ประวัติผู้ป่วยโอมิครอน
ภาพจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID-19 <<  ได้ที่นี่

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเปาโล