• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - fairya

#3741


นายวราวุธ นาถประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานปฏิบัติการ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)  จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า จากผลกระทบโรคโควิด-19 ระบาด ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการส่งพัสดุทั้งเชิงบวกและเชิงลบ โดยเฉพาะด้านสุขอนามัยของพนักงานและลูกค้า บริษัทจึงต้องเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยทั้งศูนย์กลางคลังสินค้าหรือฮับดีซี จุดรับส่งพัสดุต่างๆ หน้าร้านต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริการ รวมถึงการป้องกันไม่นำเชื้อไวรัสไปสู่ลูกค้า 

นอกจากนี้ การระบาดของไวรัสทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันมาชอปปิงออนไลน์ อีคอมเมิร์ซมากขึ้น บริษัทจึงต้องขยายธุรกิจให้ทันความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ด้วยการเพิ่มสปีดในการขยายฮับการส่งพัสดุให้เกิดภายใน 1 เดือน จากปกติใช้เวลา 3 เดือนจึงจะแล้วสร็จ โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มชอปปิงอีคอมเมิร์ซจะบูมต่อเนื่อง เพราะเป็นไฮซีซั่นที่มาร์เก็ตเพลสยักษ์ใหญ่จะจัดมหกรรมลดราคา เช่น 9 เดือน 9, 10 เดือน 10 และ 11 เดือน 11 เป็นต้น 

"เทศกาล 9.9 หรือ 10.10 ทำให้ผู้บริโภคชอปปองอีคอมเมิร์ซมากขึ้น เราต้องเร่งขยายกำลังการรับส่งพัสดุให้ทันความต้องการ"  

นอกจากนี้ กลยุทธ์การขยายธุรกิจช่วง 4 เดือนสุดท้าย จะเห็นบริการใหม่ๆตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น เช่น เคอรี่ คูล การขนส่งสินค้าบริการแบบควบคุณอุณหภูมิ จะเปิดตัวไตรมาส 4 ปัจจุบันอยู่ระหว่างจับมือพันธมิตรพัฒนาธุรกิจ และเคอรี่ แอลทีแอล(LTL) การส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมากและขนาดใหญ่(เบาท์) เกิน 30 กิโลกรัม(กก.)ขึ้นไป เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆมากขึ้น  

ด้านนายอิศรินทร์ ภัทรมัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการลงทุน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)  จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทยังย้ำกลยุทธ์เดิม EXPRESS ในการขยายธุรกิจผลักดันการเติบโต ได้แก่ E: Express มุ่งรักษาการเป็นผู้นำในธุรกิจหลักคือการส่งพัสดุให้แข็งแกร่ง รับตลาดอีคอมเมิร์ซ ชอปปิงออนไลน์ โซเชียลคอมเมิร์ซโตแรง P:Partnership ผนึกพันธมิตรสร้างโมเดลธุรกิจให้เกิดการ win-win ทุกฝ่าย R:Retail ยึดลูกค้ารายย่อยเป็นศูนย์กลางหรือ 2C ทั้งธุรกิจร้านค้าไปสู่ลูกค้า(B2C) และการส่งพัสดุจากบุคคลถึงบุคคล(C2C) ถือเป็นสัดส่วนลูกค้าใหญ่รวม 98% ขณะที่ลูกค้าภาคองค์ธุรกิจ(B2B)มีเพียง 2% เท่านั้น 


E:Expansion ขยายขอบเขตธุรกิจทั้งแนวราบและดิ่ง หาสิ่งที่ซีนเนอร์ยีธุรกิจหลัก ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจใหม่ ซื้อกิจการ เพิ่มมูลค่าธุรกิจ S:System นำเทคโนโลยีพัฒนาบริการตอบสนองลูกค้า และ S:Sustainability ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนรอบด้าน  

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าสร้างความหลากหลายให้ธุรกิจหรือไดเวอร์ซิไฟ เพื่อกระจายความเสี่ยง ที่ผ่านมามีการเปิดตัวเคอรี่มีเดีย ใช้พื้นที่รถ หน้าร้าน คลังสินค้า เพื่อสื่อสารการตลาด โปรโมทสินค้าให้พันธมิตร มีเคอรี่ แคนเซลล์(Kerry Can-sell) เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า ช่วยสร้างรายได้ให้บริษัท 

ล่าสุด จะเปิดตัวเคอรี่ คูล ในไตรมาส 4 รองรับการส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ เจาะตลาดสินค้าเกษตร เครื่องดื่ม อาหาร และผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรู ซึ่งลูกค้ามีความต้องการสูง ทำให้แนวโน้มการเติบโตมีมาก รวมถึงการเปิดตัวเคอรี่ แอลทีแอล บริการสินค้าที่มีน้ำหนักมากเกิน 30 กก.ขึ้นไป ต้องการพื้นที่มากในการขนส่งสินค้า เช่น เฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ 

"ทั้ง 2 บริการ ตลาดมีความต้องการสูงมาก แต่ผู้เล่นยังกระจัดกระจาย ไม่มีใครเป็นผู้นำตลาดอย่างชัดเจน ไม่มีบริการครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่วนด้านบริการที่มียังไม่ตอบโจทย์ หรือแก้ Pain point ให้กับลูกค้าได้ เราจึงนำประสบการณ์ด้านเอ็กซ์เพรสหรือส่งพัสดุกว่า 15 ปี มาต่อยอดตลาด เพราะมองว่ามีศักยภาพมหาศาล"   

นอกจากนี้ จะเปิดตัวเคอรี่ วอลเล็ท เพื่อเชื่อมต่อระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั้ง ระบบคิวอาร์โค้ด บัตรแรบบิท บัตรเดบิต เครดิตการ์ด ฯ ตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคและปูทางสู่สังคมไร้เงินสด(Cashless)เต็มขั้น ซึ่งบริการดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทในแง่การสร้างความจงรักภักดี สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการจัดลอยัลตี้โปรแกรมให้ฐานลูกค้ามีกว่า 10 ล้านราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่แอ๊คทีฟ รวมถึงข่วยต่อยอดการชำระค่าบริการของเคอรี่ทั้งการจัดเก็บเงินปลายทาง(COD) เชื่อมอีโคซิสเทมของบริษัทให้แกร่งขึ้น

ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกบริษัทส่งพัสกุกว่า 166 ล้านชิ้น เติบโต 10.8% ส่วนรายได้รวมกว่า 8,800 ล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 638 ล้านบาท
#3742


นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะทำงานกลุ่มมาตรการสำหรับการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ (Business Resume) ภายใต้คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้มีข้อเสนอเปิดเมืองปลอดภัย เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเสริมจากการผ่อนคลายการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของภาครัฐ

 จากการศึกษาแนวทางการเปิดประเทศของหลายประเทศทั้ง TDRI และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า การพิจารณาสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 นั้น หลายประเทศไม่ได้เน้นตัวเลขจำนวนคนติดเชื้อเป็นหลัก แต่ได้พิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยสีเหลือง-แดง จำนวนผู้เสียชีวิต หรือจำนวนเตียงที่พร้อมรับ รวมถึงเน้นข้อมูลการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งรัฐบาลควรมีการเปิดเผยสถิติรายพื้นที่ในข้อมูลเหล่านี้เพื่อช่วยกันให้ข้อมูลทำความเข้าใจกับประชาชน และอาศัยช่วงเวลานี้เร่งสื่อสารทำความเข้าใจให้ เกิดความเชื่อมั่นเพื่อไม่ให้เกิดความกังวลโดยประชาชนสามารถดำเนินชีวิตและทำธุรกิจในช่วงที่มีการระบาดอย่างปลอดภัย โดยหอการค้าไทย รวมถึงสถาบันทางวิชาการ ภาคเอกชนยินดีช่วยสื่อสารสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน

ทั้งนี้การสื่อสารเรื่องจำนวนการจัดหาวัคซีนควรจะชัดเจน ตามแผนการจัดหาวัคซีน โดยในเดือนก.ย.นี้ เริ่มจะมีปริมาณมากขึ้น จึงต้องเร่งสร้างความมั่นใจและกระจายวัคซีนให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่ม 608 เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะสนับสนุนการกระจายวัคซีนให้ประชาชน ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนของโครงการไทยร่วมใจในพื้นที่ กทม. คาดว่าจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติมเพื่อเก็บตก ควบคู่ไปกับการเร่งฉีดเข็มที่ 2

 
สำหรับมาตรการการเปิดดำเนินการ COVID FREE SETTING ของภาครัฐ ทั้งในเรื่องการจัดเตรียมสถานประกอบการให้ได้ตามมาตรฐาน การฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ หรือการมีผลตรวจ ATK นั้น ครั้งนี้เป็นมาตรการขอความร่วมมือ ที่ไม่ได้บังคับเต็มรูปแบบ เนื่องจากความไม่พร้อมหลายอย่าง และมีปัญหาด้านการควบคุมมาตรการต่าง ๆ ดังนั้น ควรมีการจัดการวางรูปแบบการจัดการที่สามารถปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะเรื่อง ATK ในราคาให้เหมาะสม และรูปแบบการบันทึกข้อมูลที่เชื่อถือได้

นอกจากนั้น ในเรื่องระบบ Digital Health Pass ที่ภาคเอกชนนำเสนอ เพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมการแพร่ระบาดนั้น หากภาครัฐจะใช้ระบบของกระทรวงสาธารณสุข หรือระบบหมอพร้อมเป็นหลัก ก็ควรวางแผนเพื่อรองรับการใช้งานจำนวนมากและเชื่อมข้อมูลกับต่างประเทศให้ได้ แต่หากระยะแรก ระบบไม่สามารถรองรับการใช้งานจำนวนมากได้ ก็ควรใช้เฉพาะบางกิจการที่มีความเสี่ยงหรือบางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น ซึ่งภาครัฐควรมีการวางแผนเตรียมการระยะยาว เพื่อให้รองรับการใช้งานให้ได้หลายกรณีรวมถึงครอบคลุมถึงคนต่างชาติด้วย

"หอการค้าไทยเชื่อว่า ทุกฝ่ายกำลังพยายามทำงานกันอย่างหนัก เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ แต่หากมีการระบาดเพิ่มขึ้นมาอีกรอบ ก็ควรพิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่อย่างรอบคอบ และควรกำหนดการปิดพื้นที่เป็นโซน ไม่ควรกำหนดปิดทั้งจังหวัด เช่น ปิดเป็นบางเขต บางอำเภอ หรือปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็น Super spreader เท่านั้น โดยพื้นที่ที่ควรเน้นการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ ตลาด โรงงาน และแคมป์คนงาน" นายสนั่น กล่าว
#3743


ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ออกคำสั่งให้ Binance หยุดให้บริการด้านกระดานเทรดเหรียญคริปโตและการชำระเงินในสิงคโปร์ ตลอดจนขอให้ยุติการชักชวนประชาชนชาวสิงคโปร์เข้าลงทุนในธุรกิจกระดานเทรด

จากการรายงานของ straitstimes ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของสิงคโปร์ ระบุว่าหน่วยงานกำกับดูแลได้ตรวจสอบการดำเนินงานของ Binance.com และเห็นว่าผู้ให้บริการเว็บไซต์ Binance "มีลักษณะเข้าข่ายอาจละเมิดกฎหมายบริการการชำระเงินสำหรับการดำเนินธุรกิจให้บริการชำระเงินและชักชวนธุรกิจดังกล่าวจากผู้อยู่อาศัยในสิงคโปร์โดยไม่มีใบอนุญาตที่เหมาะสม" โฆษกกล่าวในการตอบสนองต่อข้อสงสัยของสื่อ

อย่างไรก็ตาม MAS ยังได้จัดระดับของ Binance.com ไว้ในรายการ Investor Alert List (ธุรกิจด้านการลงทุนที่ต้องเฝ้าระวัง) โดยในวันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายนที่ผ่านมาเพื่อเตือนผู้บริโภคในสิงคโปร์ว่า Binance ไม่ได้รับการควบคุมหรือได้รับอนุญาตในสิงคโปร์เพื่อให้บริการชำระเงินใดๆ โดยรายชื่อระบุถึงบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก MAS ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนรู้สึกว่าผู้ให้บริการเหล่านั้นถูกคว่ำบาตรจากหน่วยงานกำกับดูแลของสิงคโปร์

ณ วันที่ 2 กันยายน เว็บไซต์ของ MAS ได้ระบุรายชื่อบริษัท 699 แห่ง รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ซึ่งอาจเข้าใจผิดว่าอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ MAS

โฆษกกล่าวเสริมว่า MAS ได้มีส่วนร่วมกับ Binance Ruay Asia Services ของ Binance และคาดว่านิติบุคคลที่จดทะเบียนในสิงคโปร์จะ "เริ่มระงับอย่างเป็นระเบียบในทันที" ของการอำนวยความสะดวกในการโอนสินทรัพย์โทเค็นการชำระเงินดิจิทัลระหว่างบริษัทและบริษัทแม่ Binance

"BAS (Binance Asia Services) จะแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงการจัดการที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด" โฆษกของ MAS กล่าว

อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่มาเลเซียสั่งให้ Binance ปิดการใช้งานการแลกเปลี่ยนหลัก Binance.com และแอปพลิเคชั่นมือถือในประเทศ

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์มาเลเซียเรียกมันว่าการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผิดกฎหมาย โดยได้วาง Binance และหน่วยงาน Binance อื่น ๆ อีกสามแห่ง รวมถึง Binance Asia Services ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ในรายการแจ้งเตือนนักลงทุนเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Binance ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยปริมาณการซื้อขาย ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก รวมถึงในมาเลเซีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา อิตาลี และไทย

นอกจากนี้ Binance Markets ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอังกฤษ ถูกห้ามไม่ให้ทำธุรกิจที่มีการควบคุมในประเทศในเดือนมิถุนายน เนื่องจากกังวลว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการป้องกันการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงินอื่นๆ บนแพลตฟอร์ม

ขณะเดียวกันหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของญี่ปุ่นยังได้ออกประกาศเตือนว่า Binance ไม่ได้ลงทะเบียนเพื่อทำธุรกิจภายในประเทศ

นอกจากนี้ในเดือนกรกฎาคม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกงได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ Binance โดยระบุว่าการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซีไม่ได้รับใบอนุญาตหรือลงทะเบียนเพื่อเสนอขายหลักทรัพย์ หลังจากนั้น Binance ได้ออกแถลงการณ์เพื่อจำกัดผู้ใช้ในฮ่องกงจากการซื้อขายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์

ในการตอบสนองต่อประกาศของ MAS บน Binance.com Binance Singapore ซึ่งดำเนินการภายใต้ Binance Asia Services กล่าวว่าประกาศดังกล่าว "ไม่มีผลกระทบโดยตรง" ต่อบริการที่มีให้

อย่างไรก็ตาม "Binance Singapore (Binance.sg) เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก Binance.com โดยมีผู้บริหารและทีมผู้บริหารท้องถิ่นของตนเอง และไม่เสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใด ๆ ผ่านเว็บไซต์ Binance.com หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ และในทางกลับกัน "Binance Singapore มุ่งเน้นที่การเติบโตของระบบนิเวศสกุลเงินดิจิทัลของสิงคโปร์และการให้บริการผู้ใช้ในสิงคโปร์" Binance Singapore กล่าวในแถลงการณ์

ในแถลงการณ์แยกต่างหาก Binance.com กล่าวว่า "กำลังทำงานอย่างแข็งขันกับ MAS เพื่อแก้ไขข้อกังวลที่พวกเขาอาจมีผ่านการเจรจาที่สร้างสรรค์" และบริษัทใช้ "แนวทางการทำงานร่วมกัน" ในการทำงานกับหน่วยงานกำกับดูแล

"เราปฏิบัติตามภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามอย่างจริงจังมาก เรากำลังติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบาย กฎเกณฑ์ และกฎหมายในพื้นที่ใหม่นี้ เราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ MAS และหน่วยงานกำกับดูแลระดับโลกอื่น ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง" แถลงการณ์ดังกล่าว

ขณะนี้ Binance Asia Services ได้รับการยกเว้นจากการถือครองใบอนุญาตภายใต้พระราชบัญญัติบริการชำระเงินของสิงคโปร์ สำหรับการให้บริการโทเค็นการชำระเงินดิจิทัล เนื่องจากใบอนุญาตอยู่ระหว่างการตรวจสอบดำเนินการแพลตฟอร์ม Binance.sg ซึ่งให้ชาวสิงคโปร์และผู้อยู่อาศัยที่นี่ซื้อขายคู่ใน Bitcoin, Ethereum และ Binance Coin นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันการฝากและถอนเงินดอลลาร์สิงคโปร์ผ่านแพลตฟอร์มการชำระเงิน Xfers Direct

ทั้งนี้เมื่อเดือนที่แล้ว Binance Singapore ได้ประกาศแต่งตั้ง Richard Teng ทหารผ่านศึก MAS เป็นผู้บริหารระดับสูงคนใหม่ซึ่ง Richard Teng ทำงานกับ MAS มา 13 ปี และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการเงินองค์กรครั้งล่าสุด เขายังเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่กำกับดูแลที่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์อีกด้วย
#3744
สถาบันเพิ่มผลผลิตฯ จับมือ มจธ.จัดตั้งศูนย์พัฒนาขีดความสามารถ

เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ จัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ (National Institute of Competitiveness Enhancement หรือ NICE) โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) และพัฒนาศักยภาพองค์กรสู่การดำเนินงานที่เป็นเลิศ

ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เปิดเผยว่า "การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในครั้งนี้ นับเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญ ที่ทำให้สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติได้มีโอกาสนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่มาหลอมรวมให้เกิดเป็นก้าวแห่งการพัฒนาด้านวิชาการ ทั้ง การจัดการ นวัตกรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ควบคู่กับแก้ไขปัญหาด้านอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยจะเริ่มดำเนินงานจาก การพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) ร่วมกับ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Excellence Center) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติในด้านการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน สู่การเป็นเสาหลักของผู้ประกอบการ ทำหน้าที่ส่งมอบองค์ความรู้ ผ่านการฝึกอบรม งานวิจัย และงานบริการให้คำปรึกษาแบบเบ็ดเสร็จ พร้อมเป็นศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ ในรูปแบบของการเป็นเพื่อนร่วมเดินทางในการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริม และสร้างความเข้มแข็งให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน"

ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ

รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า "มจธ.เป็นองค์กรที่ตื่นตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคมเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เราเป็นสถาบันการศึกษาที่สร้างผลงานวิชาการทั้งในด้านการวิจัยการผลิตบัณฑิต การให้คำปรึกษา และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ STECO จะทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ในมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรมผ่านโครงการจัดตั้งศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ ในช่วงสภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดข้อจำกัดในการใช้ชีวิตของประชาชนทั่วไปและผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการต่างๆ ที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ความสามารถในการสร้างรายได้ลดลง เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีสัญญาณที่ดีในการที่กิจกรรมทางธุรกิจจะกลับเข้าสู่ความปกติใหม่ จึงได้เกิดศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ (National Institute of Competitiveness Enhancement หรือ NICE) ภายใต้ความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงาน โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) และพัฒนาศักยภาพองค์กรสู่การดำเนินงานที่เป็นเลิศ"

รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ. กล่าวว่า "ปัจจุบันธุรกิจต่างเผชิญสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นประกอบกับความไม่แน่นอนต่างๆ ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงหลายๆ ปัจจัย ทั้งจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่ทำให้การดำเนินงานต่างๆ ภายในองค์กรและซัพพลายเชนปรับเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่ากำไร" ทั้งนี้ เพื่อยกระดับความสามารถภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติจึงร่วมมือกับศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร หรือ STECO ในการขับเคลื่อนการทำงานของศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ National Institute of Competitiveness Enhancement หรือ NICE) โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) และพัฒนาศักยภาพองค์กรสู่การดำเนินงานที่เป็นเลิศ ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้และความเข้าใจในการบริหารและจัดการธุรกิจภาคอุตสาหกรรมทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม ที่จะให้คำปรึกษาในการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน แก้ปัญหาหรือต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ประสบความสำเร็จ นำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน

ดร. วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ.
ดร. วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ.

ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) ดำเนินงานภายใต้ภารกิจหลัก ได้แก่ การวิจัยสร้างองค์ความรู้ด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขัน อาทิ การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขัน การให้คำปรึกษาทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขัน อาทิ การพลิกฟื้นธุรกิจสู่ความยั่งยืน การพัฒนาบุคลากรของภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถสร้างและขับเคลื่อนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันองค์กรได้ และการรับรองสมรรถนะบุคคล นอกจากนี้ STECO ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ความรู้เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรม โดยในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดโควิดที่ผ่านมา STECO ได้ดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน การเผยแพร่คู่มือสร้างรากฐานธุรกิจ SME สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และกิจกรรม STECO Online Forum ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศ คณาจารย์ และผู้เข้าร่วมกิจกรรม ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://steco.kmutt.ac.th
#3745


ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดโควิด-19 พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ารักษาด้วยระบบ Home-Community isolation ยังมีจำนวนมาก และคาดการณ์แนวโน้มว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะ 2 เดือนนี้ (เดือนกันยายน-ตุลาคม) ที่สำคัญสมาชิกในครอบครัวของผู้ติดเชื้อมีอัตราการติดเชื้อสูง เนื่องจากต้องสัมผัสใกล้ชิดเป็นเวลานานถึง 24 วัน ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล เครียด รวมถึงการถูกตีตราจากคนในชุมชน สสส. จึงเร่งหารือกับ กลุ่มคนตัวD และภาคีเครือข่าย ริเริ่มโครงการ "เพื่อนกันวันติดโควิด .. สื่อฟื้นฟูสุขภาวะผู้ป่วยและคนใกล้ชิดในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19" โดยพัฒนาช่องทางสื่อออนไลน์ ผ่านช่องรายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" เพื่อฟื้นฟูสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจที่เหมาะสมแก่คนไทย โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ารักษาด้วยระบบ Home-Community isolation และสมาชิกในครอบครัว รวมถึงผู้ที่ต้องดูแลผู้ที่ติดเชื้อ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

ดร.สุปรีดา กล่าวว่า รายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" มีแนวคิด ให้ความรู้สึกเป็นเพื่อน มีข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปันกำลังใจ โดยใช้หลักการ 4C ดังนี้ 1.Content ข้อมูลแนวทางการปฏิบัติตนตั้งแต่การป้องกันจนถึงการรักษา 2.Consult รายการที่เป็นได้ทั้งที่ปรึกษา ที่พึ่งทางร่างกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม 3.Community มีความเป็นชุมชนที่เกื้อกูลกัน เป็นเพื่อนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว หรือถูกทอดทิ้ง และ 4.Compassion ฟื้นฟูด้านสภาพจิตใจ ลดการตีตรา สร้างจิตสำนึกสาธารณะให้แก่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทำให้สถานการณ์ในสังคมดีขึ้น โดยนำเสนอในรูปแบบถ่ายทอดสดที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้มีปฏิสัมพันธ์ได้ทุกวัน เริ่ม 6 กันยายนนี้ไปจนถึง 31 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 15.00-21.00 น. ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กแฟนเพจเพื่อนกันวันติดโควิด ยูทูบเพื่อนกันวันติดโควิด และ AIS PLAY โดยมีเป้าหมายเข้าถึงคนไทยทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในระบบ Home-Community Isolation ทั่วประเทศ



นายวันชัย บุญประชา อุปนายกสมาคมส่งเสริมภาคประชาสังคม และที่ปรึกษากลุ่มคนตัวD กล่าวว่า รายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในการสนับสนุน ทั้งด้านข้อมูลสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค พื้นที่ต้นแบบการทำ Home-Community Isolation รวมถึงวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และบริษัท บุญมีฤทธิ์ มีเดีย จำกัด คัดกรองเนื้อหาในการดูแลสุขภาวะทางกาย จิต สังคมและปัญญา ขณะนี้ กลุ่มคนตัวD ได้เชื่อมประสานกับเครือข่ายสถานีวิทยุกว่า 100 สถานีทั่วประเทศ เพื่อให้นักสื่อเสียงสุขภาวะมีความพร้อมที่จะนำความรู้ที่ถูกต้องจากรายการไปสื่อสารต่อในชุมชนเพื่อกระจายสู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง นอกจากนี้ ได้เปิดช่องทางเยียวยาและฟื้นฟูสุขภาวะกลุ่มเป้าหมายที่เผชิญวิกฤตโควิด-19 ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจกลุ่มปิด "เพื่อนคุยกันวันติดโควิด" โดยมีนักจิตวิทยา และผู้ปฏิบัติงานอาสาด้านสุขภาพจิตทำหน้าที่ฟื้นฟูเยียวยาจิตใจแบบกลุ่ม (Self-help group) คอยเป็นที่ปรึกษาพูดคุย พร้อมให้สมาชิกได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ส่งต่อกำลังใจเพื่อนสมาชิก เพื่อเป็นพลังในการดำเนินชีวิตต่อได้ โดยมีเป้าหมายผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม 500 คน



นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) กล่าวว่า ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร ทั้ง AIS 5G, AIS Fibre, AIS Super Wifi รวมถึงบริการดิจิทัลต่างๆ เพื่อเสริมขีดความสามารถของทุกภาคส่วนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะวิกฤตโควิด-19 มุ่งเป้าหมายช่องทางหลักส่งต่อเนื้อหาที่จะเป็นประโยชน์ช่วยเหลือประชาชน ผ่านการทำงานร่วมกับ สสส. กลุ่มคนตัวดีD ผลิตช่องรายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" ที่จะออกอากาศสด และรับชมย้อนหลังผ่านทาง AIS PLAY วิดีโอแพลตฟอร์มของ AIS ทุกช่องทางที่มีผู้ใช้บริการรวมกว่า 6 ล้านคน ทั้งนี้ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน AIS PLAY ได้ที่ https://m.ais.co.th/lp ทั้ง Apple App store, Google Play Store, กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TV, Apple TV และเว็บไซต์ aisplay.ais.co.th ถือเป็นกำลังใจให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตที่มีสุขภาวะที่ดีขึ้น

ผู้ที่สนใจรับชมรายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" สามารถติดตามที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/HomeIsolationFriends และยูทูบ เพื่อนกันวันติดโควิด และ AIS Play เริ่ม 6 ก.ย. นี้
#3746


ตั๋วเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเจอ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่คาดว่าจะเป็นเกมคัมแบ็กนัดแรก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เวลานี้กลายตั๋วหายากไปเป็นที่เรียบร้อย และถูกนำมาขายต่อในราคาสูงลิ่วตอนนี้

โรนัลโด้ เซ็นสัญญากลับสู่บ้านหลังเก่าที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พลางถูกคาดหมายว่าจะสวมเครื่องแบบ "ผีแดง" ลงเล่นนัดแรกเจอกับ "สาลิกาดง" ในบ้านตัวเอง วันที่ 11 กันยายนนี้ ซึ่งตั๋วเข้าชมนัดดังกล่าวหมดเกลี้ยงไปแล้ว

แน่นอนว่าสาวกแฟน.กำลังควานหาตั๋วเข้าชมเกมนี้กันให้ควั่ก ซึ่งก็มีคนหัวใสเอาตั๋วที่ตัวเองมีอยู่ออกมาขายต่อตามตลาดมืด และถูกอัพราคาเพิ่มเป็นใบละ 700 ปอนด์ (ประมาณ 31,411 บาท) สำหรับตั๋วราคาถูกสุด

ขณะที่ตั๋วแถวหน้า เห็นนักเตะแบบชัดแจ๋ว ตอนนี้ก็ถูกโก่งจากหน้าบัตรเป็น 2,500 ปอนด์ (ประมาณ 112,183 บาท) ไปแล้ว ซึ่งก็เป็นธรรมดาสำหรับเกมที่มีคุณค่าและมีเรื่องราวแพงระยับขนาดนี้
#3747


ศ.นพ.ยง ชี้ สายพันธุ์ไวรัส Delta ทำประสิทธิภาพวัคซีนทั่วโลกลดลง แต่ยังสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ เผย ทีมยังเร่งวิจัยจะให้ เข็มที่ 3 อย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด วัคซีนเข็มที่ 3 ต้องใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน

วันนี้(3ก.ย.) นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan โดยระบุว่า จากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

ประเทศที่ฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก 80 เปอร์เซ็นต์ในผู้ใหญ่แล้วเช่น อิสราเอลซึ่งมีประชากรเพียง 9 ล้านคน ก็มีผู้ป่วยต่อวันเป็นพันและเข้าสู่หลักหมื่นแล้ว เมื่อเปรียบเทียบต่อประชากรแล้ว มากกว่าประเทศไทยเสียอีก

ในอเมริกาเอง ก็มากกว่าแสนต่อวันแล้ว อัตราการเสียชีวิตลดลง ก็ยังวันละ ประมาณ 1,000 จากข้อมูล CDC's COVID Data Tracker วันที่ 2 กันยายน มีผู้ป่วยใหม่ 153,728 คน เสียชีวิต 1209 ราย

ประเทศไทยเองก็เป็นสายพันธุ์ไวรัส Delta เกือบทั้งหมด มาเป็นเดือนแล้ว วัคซีนที่ใช้อยู่ในโลกนี้ จะลดประสิทธิภาพในการป้องกันลง แต่ยังสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ และลดอัตราการเสียชีวิต

ขณะนี้ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เราจึงต้องรีบให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยง และสตรีตั้งครรภ์

เรายังมีความหวังว่า ถ้าอัตราการให้วัคซีนเป็นอย่างขณะนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราก็สามารถที่จะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้

ทีมของเรายังมุ่งมั่นในการทำการศึกษาวิจัย การใช้วัคซีนตามทรัพยากรที่เรามีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การศึกษาวิจัยขณะนี้ กำลังศึกษาว่าจะให้ เข็มที่ 3 อย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด ที่จะป้องกันสายพันธุ์ที่เปลี่ยนไป

เพื่อเตรียมรองรับการให้วัคซีนเข็มที่ 3 ที่จะต้องใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน

ขอโทษด้วยที่หายไปนาน เพราะไปมัวเก็บขยะอยู่
#3748


วันที่ 2 กันยายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมความรู้เรื่องการเงินการลงทุนสำหรับแรงงานระหว่าง นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กับ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมี นางสาวจิราภรณ์ ปุญญฤทธิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนางสิริวิภา สุพรรณธเนศ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นพยานในการลงนามผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting

ศาสตราจารย์ นฤมล เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำการทำงานในรูปแบบประชารัฐ ด้วยการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่มในการบริหารจัดการเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะชีวิตที่จำเป็น และต่อยอดสู่การลงทุนได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน และสำนักงาน ก.ล.ต. จึงเป็นการร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจการสร้างความเข้าใจและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการมีความรู้เรื่องการเงินการลงทุน ซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่จำเป็นให้แก่กลุ่มแรงงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานกลุ่มเปราะบาง ให้มีทักษะด้านการบริหารจัดการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้เรื่องความรอบรู้ทางการเงินของประชาชนเป็นวาระแห่งชาติ



รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดริเริ่มของความร่วมมือในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของกระทรวงแรงงานและสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ต้องการให้แรงงานไทยโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้มีความรู้และทักษะการบริหารจัดการเงิน มีวิธีการใช้เงินอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะชีวิตที่จำเป็นในการบริหารจัดการเงินและหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถต่อยอดสู่การลงทุนได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพและเป้าหมายของตนเอง นอกเหนือจากกลุ่มเปราะบางแล้ว ยังมีกลุ่มแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนขับแท็กซี่ เป็นต้น ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเพื่อเป็นอาวุธทางปัญญาในการจัดการทางการเงิน ตลอดจนความเสี่ยงในการลงทุนเบื้องต้น จึงขอฝากให้พัฒนาเนื้อหาในหลักสูตรให้ครอบคลุมและเหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้แรงงานไทยทุกคนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพต่อไป

"หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือนี้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่แรงงาน โดยเฉพาะการช่วยให้แรงงานมีทักษะการลงทุน สามารถประกอบอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีภูมิคุ้มกันทางการเงินในช่วงที่ต้องปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในยุค New Normal และผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างปลอดภัย" รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
#3749


"DDD" รุกเซ็นสัญญา ดึง "แคทรีโอนา เกรย์" (Catriona Gray) มิสยูนิเวอร์สปี 2018 เป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่แบรนด์ "สปาร์คเคิล" (Sparkle) ขยายตลาดฟิลิปปินส์เพิ่ม พร้อมวางเป้าติด Top 10 แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟันในประเทศฟิลิปปินส์ ในปี65

นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ "SNAILWHITE" เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ "สปาร์คเคิล" (Sparkle) หนึ่งในผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครืออย่าง บริษัท  คิวรอน  จำกัด ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ว่า บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของผู้บริโภคมากขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์ ขยายตลาด และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ

ล่าสุด บริษัทฯได้เซ็นสัญญากับ "แคทรีโอนา เกรย์" (Catriona Gray) มิสยูนิเวอร์สปี 2018 จากประเทศฟิลิปปินส์ มาเป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่ให้กับแบรนด์ "สปาร์คเคิล" (Sparkle) เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และทำตลาดในประเทศฟิลิปปินส์มากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ "สปาร์คเคิล" (Sparkle) ที่จะเข้าทำตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ จะประกอบไปด้วยยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, น้ำยาบ้วนปาก และผลิตภัณฑ์ฟอกฟันขาว ที่ไม่ทำลายเคลือบฟัน ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายในประเทศฟิลิปปินส์จะเป็น ช่องทางห้างสรรพสินค้า และออนไลน์เป็นหลัก 

สำหรับเหตุผลที่บริษัทฯเลือก "แคทรีโอนา เกรย์" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น เนื่องจากเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของฟิลิปปินส์และอาเซียนในขณะนี้ อีกทั้งยังมีบุคลิกที่เปล่งประกาย และมีรอยยิ้มบนใบหน้าที่สวยงาม มียอดผู้ติดตามบนอินสตาแกรมสูงถึง 12.3 ล้านคน โดยเป้าหมายหลังจากที่เดินหน้าทำตลาดในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการขยายตลาดผ่านช่องทางขายทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ คาดว่าในปี2565  "สปาร์คเคิล" (Sparkle) จะที่ติด 1 ใน 10 ของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟันในประเทศฟิลิปปินส์
#3750
newnormal ในยุค โควิด ต้องนี่เลย สเปรย์แอลกอฮอล์ สูตรออแกร์นิค 40ml

ฟรี #สบู่แผ่น ล้างมือ (ใช้ได้50ครั้ง)
-กลิ่นมิ้นต์หอมสดชื่น -กลิ่นแคนดี้หอมหวาน
เซตละ 99 บาท (ส่งฟรีจ้า *ของแถมจำนวนจำกัด) คุ้มมากกกกกกกกกแถมน่ารักมากกกกอีกด้วย แค่หยิบมาใช้ใครๆก็มอง บอกเลยแม่...
IG : littlejinny_shop 
ID : @littlejinny 
Tel : 0859092391

รับตัวแทน สต้อคแน่น ฮิตสุดๆ แพคเกจไม่เหมือนใคร






























#3751


ถึงจะสู้ศึกผ่านปัญหามาทุกวิกฤติ คู่รักจอมทรหด บอย-อนุวัฒน์ และ เจี๊ยบ-พิจิตตรา  ก็ไม่เคยท้อ แถมยังพร้อมช่วยเหลือแบ่งปันให้ผู้อื่นเสมอ ล่าสุดหลังมีประกาศคลายล็อกให้ธุรกิจร้านอาหาร บอย และ เจี๊ยบ ก็พร้อมขานรับปฏิบัติตามทุกนโยบายรัฐ กลับมาเปิดร้านชาบู GOTOKU BY SHABU KING ย่านพุทธมณฑล หลังปิดร้านมากว่า 2 เดือน พร้อมจัดโต๊ะเว้นระยะห่างรักษาความปลอดภัย ไม่มีเครื่องปรับอากาศ นั่งได้ 75% มีเครื่องปรับอากาศ 50% และยังคงให้ล้อรถพุ่มพวง หรือ รถกับข้าวบอยเจี๊ยบ หมุนต่อไปเพื่อช่วยเหลือสังคมที่ยังคงได้รับความเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ตอนนี้ทำมาแล้วเข้าเดือนที่ 4 แล้ว

บอย : เราก็พยายามประคองซึ่งกันและกันให้ได้นานที่สุด เราก็บอกกับน้องๆว่าตอนนี้ถ้าเรายังไหวกันอยู่เราก็จะดูแลพวกเค้าโดยที่ไม่ลดเงินเดือนเขา เป็นเหมือนครอบครัว เป็นเรื่องของการดูแลซึ่งกันและกันมาตลอดไม่ว่าจะกี่วิกฤต

เจี๊ยบ : และอย่างที่รู้คือในวิกฤตครั้งนี้เราก็ได้ทำรถกับข้าวบอยเจี๊ยบ เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปเป็นวงกว้างตามชุมชนต่างๆด้วย เรารู้สึกว่าเราได้มาในส่วนของกำลังใจที่เวลาเราให้แล้วเรารู้สึกเป็นพลังที่ดีมากๆ ถึงแม้ว่ามันจะขาดทุนในส่วนของเงินไปก็ตาม แต่ที่ได้มาเป็นเรื่องราวที่ดีๆกลับมา

บอย : ครั้งนี้รถกับข้าวบอยเจี๊ยบ คู่ค้าที่เราสั่งผักสั่งวัตถุดิบกับเค้า บางครั้งเขามาถึงเขาก็เอาของวางที่ร้านแล้วก็บอกว่าไม่คิดเงิน บางคนก็เอาข้าวมาให้ เอาอาหารแห้งมาให้ ทุกวันนี้ก็ยังมีเข้ามาเรื่อยๆ เลยรู้สึกว่าถึงแม้มันจะขาดทุนตรงที่เป็นรายได้ไปแต่มันได้กำไรในเรื่องของความสุข เราทั้งคู่ และ พนักงานทุกคนที่อยู่ก็ยินดีที่จะส่งกำลังใจกลับไปให้ทุกคนในรูปแบบรถกับข้าวบอยเจี๊ยบครับ

ถาม เรื่องงานตัวเองต้องพักนานขนาดไหน?

บอย : เพลงตอนนี้ ต้องกลับไปเริ่มเรียนร้องใหม่เลยครับ (หัวเราะ) ยาวๆครับ ไม่เคยหยุดงานนานขนาดนี้ พี่ๆน้องๆนักร้องก็คงเหมือนๆกัน ถ้าถามถึงแผนสอง ผมเชื่อว่าเดี๋ยวสถานการณ์มันจะพาให้เราคิดออกเองว่าเราควรจะไปต่อยังไง

เจี๊ยบ : ละครน่าจะรอดูมาตรการการผ่อนคลายว่าจะเริ่มกลับมาถ่ายทำกันได้เมื่อไหร่ ทุกกองก็คงต้องรัดกุมมากขึ้นค่ะ  แต่ส่วนใครที่ท้องหิวตอนนี้ไม่ต้องรอแล้วนะคะ เพราะตอนนี้ ร้านชาบู GOTOKU ของเราเปิดให้นั่งได้แล้วถ้าหิวคิดถึงเรางมาหาเราได้นะคะ ร้านเปิดแล้ว ยินดีบริการทั้งทานในร้าน และ delivery 02-441-9911, 06-1396-9784   หรือ Line: @gotoku59
#3752


FOMO Pay กลายเป็นบริษัท FinTech แห่งแรกของสิงคโปร์ที่ได้รับใบอนุญาติประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยได้รับการควบคุมภายใต้พระราชบัญญัติบริการการชำระเงิน (PSA) โดย Monetary Authority of Singapore (MAS) ซึ่งจะเป็นผู้ให้บริการโซลูชันการชำระเงินแบบครบวงจร

FOMO Pay สถาบันการชำระเงินรายใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ซึ่งช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสำหรับสถาบันการเงินและองค์กรธุรกิจ ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้รับใบอนุญาตใหม่จาก Monetary Authority of Singapore (MAS) เพื่อดำเนินกิจกรรมที่ได้รับการควบคุมใหม่ 3 กิจกรรม (Merchant Acquisition Service, Domestic บริการโอนเงินและบริการโทเค็นการชำระเงินดิจิทัล) โดยการได้รับใบอนุญาตเหล่านี้ทำให้บริษัทมีฐานมั่นคงในการจัดหาโซลูชั่นการชำระเงินที่น่าเชื่อถือซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับลูกค้า รวมถึงองค์กร SMEs และสถาบันการเงิน

โดยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564 ใบอนุญาตของ FOMO Pay จะสามารถให้บริการชำระเงินโดยขึ้นอยู่กับแนวทางการกำกับดูแลภายใต้ MAS ดังต่อไปนี้

1. บริการจัดหาผู้ค้า : ผู้ค้าสามารถใช้ประโยชน์จากบริการ FOMO Pay เพื่อยอมรับและประมวลผลธุรกรรมการชำระเงินออนไลน์และออฟไลน์

2. บริการโอนเงินภายในประเทศ : ลูกค้าสามาถใช้ FOMO Pay ในการดำเนินงานด้านบริการโอนเงินในประเทศสิงคโปร์ให้กับลูกค้าได้

3. บริการโทเค็นการชำระเงินดิจิทัล : โดยขณะนี้ FOMO Pay ได้อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมด้วยโทเค็นการชำระเงินดิจิทัล ซึ่งรวมบริการที่หลากหลายไม่จำกัดเฉพาะสกุลเงินดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือ CBDC เท่านั้น

หลุยส์ หลิว ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง FOMO Pay กล่าวถึงการพัฒนาของบริษัทว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับใบอนุญาตเหล่านี้เพื่อปรับขนาดโซลูชันการชำระเงินสำหรับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าเป้าหมายของเรา เราภูมิใจที่ได้รับการยอมรับในฐานะบริษัท FinTech ชั้นนำในสิงคโปร์ และฉันภูมิใจในความพยายามอย่างไม่ลดละของทีมงานของเราในการสร้างกรอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบ นโยบาย ขั้นตอน และระบบการจัดการความเสี่ยงซึ่งทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เราจะยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานกำกับดูแลและพันธมิตรเพื่อให้แน่ใจว่าและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติที่ปลอดภัยสำหรับความต้องการชำระเงินของลูกค้าของเรา"

นอกเหนือจากใบอนุญาตบริการโอนเงินข้ามพรมแดนก่อนหน้าของ FOMO Pay แล้ว ปัจจุบันบริษัทยังมีกิจกรรมควบคุมหลัก 4 ใน 7 กิจกรรมภายใต้กรอบการอนุญาต Payment Services Act (PSA) ซึ่งบริการที่หลากหลายนี้ช่วยยกระดับความเป็นผู้นำในฐานะผู้ให้บริการโซลูชั่นการชำระเงินแบบครบวงจรในสิงคโปร์และภูมิภาค

"FOMO Pay เริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่ในการสร้างผลกระทบในภูมิภาคด้วยเทคโนโลยีของเรา เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ ควบคุมความสามารถในการรับชำระเงินดิจิทัลและเติมเต็มความจำเป็นในการอัปเกรดระบบการชำระเงินแบบเดิม การเพิ่มกิจกรรมควบคุมใหม่เหล่านี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่จะผลักดันให้เราเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการโซลูชันการชำระเงินชั้นนำและเชื่อถือได้ในภูมิภาค ในระดับท้องถิ่น ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการแสวงหา Smart Nation และ Cashless Society ของสิงคโปร์ผ่านนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเรา นอกจากนี้ บริษัทของเราจะยังคงลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนและการทดลอง CBDC ในขณะที่เรามุ่งสู่การนำไปใช้และมีส่วนร่วมในระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพสำหรับคนรุ่นต่อไป" หลุยส์ หลิว กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ FOMO Pay

FOMO Pay ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 โดยเริ่มต้นในฐานะบริษัท FinTech ของสิงคโปร์ โดยนำเสนอโซลูชั่นหลักในการช่วยเหลือผู้ค้าออนไลน์และออฟไลน์ให้เชื่อมต่อกับวิธีการชำระเงินดิจิทัล รวมถึง e-wallets บัตรเครดิต และอื่นๆ จนถึงปัจจุบัน FOMO Pay เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการชำระเงินดิจิทัลรายใหญ่ที่สุด ให้บริการผู้ค้ากว่า 10,000 รายในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงค้าปลีก โทรคมนาคม การท่องเที่ยวและการบริการ อาหารและเครื่องดื่ม (F&B) การศึกษา และอีคอมเมิร์ซ ในปีที่ผ่านมา FOMO Pay ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาเชิงรุกและเป็นพันธมิตรเพื่อส่งเสริมแนวนวัตกรรมภายในระบบนิเวศของการชำระเงินดิจิทัล
#3753


นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ปรับมาตรการผ่อนคลายในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ดังนั้น เพื่อดำเนินการตามแนวทางการผ่อนปรน และรองรับความต้องการเดินทางของผู้ใช้บริการรถไฟในเส้นทางสายใต้ การรถไฟฯ จึงได้พิจารณาเปิดเดินขบวนรถท้องถิ่นเพิ่ม จำนวน 2 ขบวน และปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทางของขบวนรถในบางขบวนใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง  ดังนี้

ขบวนรถท้องถิ่นสายใต้ เปิดเดินขบวนรถเพิ่ม จำนวน 2 ขบวน   
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454  ยะลา – สุไหงโกลก – ยะลา

ขบวนรถที่ปรับเปลี่ยนสถานีต้นทาง/ปลายทาง จำนวน 4 ขบวน
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447/448  สุราษฎร์ธานี – ยะลา - สุราษฎร์ธานี เปลี่ยนเป็นสุราษฎร์ธานี – สุไหงโกลก –
สุราษฎร์ธานี
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451/452  นครศรีธรรมราช – ยะลา – นครศรีธรรมราช เปลี่ยนเป็นนครศรีธรรมราช – สุไหงโกลก – นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ ในการปรับการให้บริการเดินรถในครั้งนี้ การรถไฟฯ ได้คำนึงถึงความสะดวกในการให้บริการประชาชน ควบคู่กับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด–19 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยได้กำหนดจุดคัดกรองวัดไข้ผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่สถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ การให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมกับให้สแกนแอพพลิเคชัน ไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันไทยชนะ ให้กรอกข้อมูลการเดินทางแทน พร้อมกับต้องกรอกข้อมูลเดินทางข้ามจังหวัด-ข้ามเขตผ่านเว็บไซต์ "หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" https://covid-19.in.th/ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด สำหรับประชาชนที่ต้องการเดินทาง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
#3754


วันที่ 1 ก.ย. 64 นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า(กขค.)หรือบอร์ดแข่งขันทางการค้า เปิดเผยว่า ได้รับทราบข่าวการโอนกิจการของบริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด หรือกลุ่มซีพีไปยังบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)  ที่เป็นการรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้ง ซึ่งรวมถึงทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดทั้งหมดของที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว โดยเรื่องนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของสำนักงานการแข่งขันทางการค้าไปการพิจารณาดูว่า การโอนกิจการดังกล่าวเป็นจะขัดเงื่อนไขที่คณะกรรมการแข่งขันทางการค้ากำหนดไว้หรือไม่ หลังจากที่เห็นชอบให้กลุ่มซีพีควบรวมกับบริษัท เทสโก้ สโตร์ส จำกัด และได้กำหนด 7 เงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติตาม โดยได้กำชับให้ฝ่ายกฏหมายดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้

"คงต้องพิจารณาว่าการปรับโครงสร้างของกลุ่มซีพี โดยการโอนกิจการของโลตัสทั้งหมดให้สยามแมคโคร ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกจะเข้าข่ายผิดเงื่อนไข 7 ข้อ หรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ" นายสกนธ์ กล่าว

    
สำหรับ 7 เงื่อนไขที่กลุ่มซีพีต้องปฏิบัติ ประกอบด้วย


1. ห้ามธุรกิจในเครือควบรวมธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายอื่นนาน 3 ปี ไม่รวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

2. หลังควบรวมแล้วให้เพิ่มสัดส่วนสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี

3. หลังควบรวมแล้วห้ามมิให้ใช้หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาด

4. ให้คงสัญญาที่ทำไว้กับซัพพลายเออร์ 2 ปี

5. กำหนดระยะเวลาเครดิตเทอม กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นเวลา 30-45 วัน เป็นเวลา 3 ปี

6. ให้รายงานผลประกอบการต่อ กขค. เป็นเวลา 3 ปี

7. หลังควบรวมแล้วให้จัดทำ code of conduct เผยแพร่ต่อสาธารณะ
 
#3755


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยว่า วันนี้(1ก.ย.)เป็นวันแรกที่กรมสรรพากรเปิดให้ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)ในประเทศไทยตามกฎหมายe-Serviceที่กรมฯได้ประกาศใช้เริ่มวันที่ 1 ก.ย.นี้เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้ มีผู้ประกอบการดังกล่าวได้เข้ามาจดทะเบียนแล้วประมาณ 69 ราย ในจำนวนนี้ เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่กลุ่มเป้าหมายของกรมฯประมาณ 20 ราย

ทั้งนี้ กรมฯมีเป้าหมายผู้ประกอบการเข้ามาจดทะเบียนแวตกับกรมฯรวมประมาณ 100 ราย อย่างไรก็ดี ระบบเราจะเปิดรับจดทะเบียนแวตตลอดคาดการณ์รายได้จากผู้ประกอบการเหล่านี้ประมาณ 5,000 ล้านบาท

"ตัวเลขคาดการณ์รายได้จำนวน 5,000 ล้านบาทนี้ เราคาดการณ์ในช่วงที่เราทำกฎหมาย คือ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งยังไม่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 แต่ตอนนี้ ตัวเลขการค้าขายผ่านระบบออนไลน์สูงขึ้น ก็เชื่อว่า ตัวเลขรายได้ที่คาดการณ์เป็นตัวเลขขั้นต่ำ"

ทั้งนี้ เมื่อผู้ประกอบการเข้ามาจดทะเบียนกับกรมฯแล้ว จะเริ่มชำระภาษีแวตต่อกรมฯได้ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป โดยเป็นการชำระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับในรายที่ยังไม่ยอมเข้ามาจดทะเบียนแวตกับนั้น กรมฯจะใช้ความร่วมมือกับต่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิกที่ช่วยเหลือด้านการเก็บภาษีดังกล่าวจำนวน 130 ประเทศ ทั้งนี้ ประมวลรัษฎากรใหม่ให้อำนาจเพิ่มเติมที่สามารถออกหมายผู้ประกอบการเลี่ยงภาษีเรียกทางอิเล็กทรอนิกส์เหมือนผู้ประกอบการไทย และ สามารถอายัดบัญชีที่ผู้ประกอบการดังกล่าวจดในประเทศไทยได้ รวมถึง ออกหมายเรียกพยานในการชำระภาษีได้ด้วย

"เราจำเป็นต้องร่วมมือกับต่างประเทศ จึงต้องเป็นภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศเหล่านั้น ให้ช่วยกันเก็บภาษีพวกบริษัทข้ามชาติที่เอาเปรียบบริษัทในประเทศ"
ส่วนอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทเหล่านี้จะต้องชำระ คือ 7% เท่ากับผู้ประกอบการจดแวตในไทย ซึ่งจุดมุ่งหมายของกรมฯ คือ ทำให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างบริษัทต่างประเทศกับในประเทศ โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนชำระภาษีแวต

ปัจจุบันกรมฯจัดเก็บรายได้จากภาษีแวตปีละประมาณกว่า 8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจออนไลน์ไม่มากนัก เพราะธุรกิจออนไลน์ในประเทศยังไม่มีการเติบโตมากนัก ขณะที่ ธุรกิจออนไลน์ต่างประเทศได้เข้ามาทำธุรกิจในไทยจำนวนมาก เราจึงต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ธุรกิจในประเทศ
#3756


เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินเรื่อง 'สเต็มเซลล์' แต่ส่วนใหญ่มองข้ามไป เพราะมองว่าไกลตัว อาจจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ รวมถึงคิดว่าตนเองคงเข้าไม่ถึงหรือสุดท้ายคงอาจไม่เข้าใจและไม่ได้รับข้อมูลมากเพียงพอ เนื่องจากหากเราทราบประโยชน์ก็จะเห็นความสำคัญของสิ่งนี้อย่างแท้จริง

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าร่างกายของคนเรามีสเต็มเซลล์ซ่อนอยู่ในทุกอวัยวะเริ่มตั้งแต่ชีวิตก่อกำเนิดจากเซลล์แรก เป็นเซลล์ตัวอ่อนและเจริญเติบโตเป็นอวัยวะต่างๆ เป็นร่างกายที่สมบูรณ์ในที่สุด ซึ่งระหว่างที่เราเจริญเติบโตหรือมีอายุมากขึ้นก็จะมีสเต็มเซลล์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือสเต็มเซลล์ทำหน้าที่ฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆ ยิ่งถ้าเป็นในแง่ของนักกีฬายิ่งมีประโยชน์มาก สามารถยืดระยะเวลาการใช้งานร่างกาย รวมถึงทำให้ส่วนที่บาดเจ็บนั้นหายเร็วขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นจะดีแค่ไหนถ้ามีการจัดเก็บเต็มเซลล์ไว้สำหรับใช้บำบัดรักษาโรคและฟื้นฟูสภาพความเสื่อมของร่างกายสำหรับตนเองรวมถึงคนในครอบครัว เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที นอกจากนี้เรื่องค่าใช้จ่ายที่ใครๆ กังวล ทุกวันนี้มีระบบผ่อนจ่ายที่ช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย

ระบบการจัดเก็บระดับสากลของ "ไครโอวิวา"
ระบบการจัดเก็บระดับสากลของ "ไครโอวิวา"

- เก็บสเต็มเซลล์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

"สเต็มเซลล์" หรือ "เซลล์ต้นกำเนิด" เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นว่า มีบทบาทในทางบำบัดรักษาโรคให้กับผู้เป็นเจ้าของและบุคคลในครอบครัว แบ่งได้เป็น สเต็มเซลล์ ที่เก็บเกี่ยวได้จากตัวอ่อน (Embryonic stem cell) และสเต็มเซลล์ชนิดโตเต็มวัย (Adult stem cell) ได้จากมนุษย์ที่เติบโตแล้ว เซลล์จากตัวอ่อนยังเป็นสิ่งต้องห้ามในทางศีลธรรม เพราะการสกัดสเต็มเซลล์ จำเป็นต้องทำลายตัวอ่อน ในขณะที่เซลล์ชนิดโตเต็มวัยที่ได้จากตัวผู้รักษาเองไม่มีการทำลายชีวิตตัวอ่อน จึงเป็นที่ยอมรับมากกว่า เช่น สเต็มเซลล์เก็บจากเลือดในสายสะดือ เนื้อเยื่อสายสะดือและเยื่อหุ้มรก

สเต็มเซลล์ จึงถูกมองว่า มีบทบาทความสำคัญยิ่งสำหรับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกคนในครอบครัว โดยสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ เนื้อเยื่อสายสะดือและเยื่อหุ้มรกสามารถจัดเก็บได้ตอนแม่คลอด ไม่เจ็บปวด อีกทั้งจัดเป็นเซลล์ที่มี HLA ตรงกับทารก 100% ซึ่งมีการศึกษาแล้วว่า สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือสามารถรักษาได้มากกว่า 85 โรค ทั้งแก่ลูกน้อยและพี่น้องร่วมสายโลหิตที่มีเนื้อเยื่อตรงกัน เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งไขกระดูก มะเร็งในเด็กบางชนิด และโรคที่ไม่ใช่มะเร็งอย่าง โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันที่เป็นมาแต่กำเนิด โรคเม็ดตา.ิซึมที่เป็นมาแต่กำเนิด เป็นต้น



นอกจากนี้สเต็มเซลล์ชนิดที่เรียกว่า "มีเซนไคมอลสเต็มเซลล์" (Mesenchymal Stem Cells) หรือ "เอ็มเอสซี" (MSC's) ที่ได้จากเนื้อเยื่อสายสะดือหรือเยื่อหุ้มรกยังมีศักยภาพสูงในการแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ ได้ เช่น เซลล์ไขมัน กระดูกอ่อน กระดูก จึงมีประโยชน์ในการนำมาใช้รักษาฟื้นฟูสภาวะเสื่อมในผู้ใหญ่ โดยมีการศึกษาพบว่า สามารถใช้ฟื้นฟูโรคได้หลายชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคข้อเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคสมองพิการ โรคออสทิสติก โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือฉีกขาด โรคไตอักเสบ โรคตับอักเสบ โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) และอีกกว่า 45 รายงานการวิจัยจาก 597 การศึกษาวิจัยทั่วโลก ที่พบว่ามีการรักษาโควิด-19 ด้วยสเต็มเซลล์อีกด้วย

จากคุณประโยชน์ของสเต็มเซลล์ ที่เป็นอีกทางเลือกในการรักษาโรค ทำให้สังคมโลกตื่นตัวเรื่องการเก็บสเต็มเซลล์ไว้สำหรับอนาคตและกลายเป็นที่มาของ "ธนาคารสเต็มเซลล์" เกิดขึ้นหลายแห่งทั่วโลก และมีครอบครัวจำนวน ไม่น้อย ยอมจ่ายค่าบริการจัดเก็บรักษา เพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของครอบครัวในอนาคต

- ธนาคารสเต็มเซลล์คืออะไร

ในปัจจุบันมีหน่วยงานทำหน้าที่เสมือน "ธนาคาร" แต่แตกต่างกันตรงที่ไม่ได้รับฝากเงิน ทว่ารับจัดเก็บเซลล์ของมนุษย์แทน หรือที่เรียกว่า "ธนาคารสเต็มเซลล์" ซึ่งให้บริการจัดเก็บรักษาสเต็มเซลล์ไว้ ใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัว หรือแม้แต่การบริจาคแก่บุคคลอื่นนำไปใช้รักษาโรคที่ทางการแพทย์ยอมรับว่าสเต็มเซลล์สามารถรักษาได้ และ "ไครโอวิวา" ก็เป็นหนึ่งในธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์และผู้นำนวัตกรรมสเต็มเซลล์สำหรับใช้ในครอบครัวในประเทศไทย มาตรฐานระดับสากลที่ได้รับความไว้วางใจ

จิรัญญา ประชาเสรี  ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัดและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัดและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับในประเทศไทย มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ 'ธนาคารสเต็มเซลล์" หลายแห่งเช่นกัน ทั้งที่เป็นบริษัทของเอกชนและหน่วยงานของภาครัฐ โดยในส่วนธนาคารสเต็มเซลล์ของภาครัฐนั้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้รับมอบหมายจากแพทยสภา ประกาศเป็นข้อบังคับว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2545 เกี่ยวกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ในราชกิจจานุเบกษากำหนด เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2545 ให้ทำหน้าที่จัดหาอาสาสมัครผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหรือสเต็มเซลล์ ที่ไม่ใช่ญาติให้แก่ผู้ป่วย โดยจัดตั้ง "ธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตแห่งชาติ" เพื่อเป็นศูนย์กลางทะเบียน ตั้งแต่ปี 2545 โดยมีคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพงานสเต็มเซลล์ ซึ่งเป็นผู้บริหารและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก 5 สถาบันมาร่วมงาน ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และจากหน่วยงานอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นการตั้งของโรงพยาบาลเอง อาทิ ศูนย์ความเป็นเลิศทางงานวิจัยสเต็มเซลล์ของศิริราช ที่มุ่งสร้างงานวิจัยพื้นฐานพัฒนาสเต็มเซลล์ให้เป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคที่เกิดจากความเสื่อมหรือโรคที่มีความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น

ส่วนธนาคารสเต็มเซลล์ของเอกชน ในประเทศไทยมีอยู่หลายแห่งเช่นกัน และในจำนวนนี้ "บริษัทไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด" คือผู้นำนวัตกรรมสเต็มเซลล์สำหรับใช้ในครอบครัวในประเทศไทย มาตรฐานระดับสากล "บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด" ถือเป็นผู้นำทางด้านธนาคารสเต็มเซลล์มีความเป็นเลิศทางวิชาการ ด้วยรางวัลการันตีความสำเร็จมากมาย ด้วยการสร้างมาตรฐานที่แตกต่าง จนได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการมายาวนาน กับความสำเร็จที่พร้อมอยู่เคียงข้างทุกคุณภาพชีวิตของทุกคนในครอบครัว หวังเจาะตลาดกลุ่มลูกค้า "Personal Life" ทุกเพศทุกวัยและทุกไลฟ์สไตล์ ที่สนใจในเรื่องการดูแลสุขภาพและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพระดับสูง

ร่วมวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19
ร่วมวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19

- ความเชื่อมั่นในการเก็บสเต็มเซลล์กับไครโอวิวา

จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัดและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่าเหตุใดไครโอวิวาฯถึงได้รับการไว้วางใจจากทุกครอบครัวมาเป็นเวลากว่า 14 ปี "ก่อนอื่นต้องขอบคุณความไว้วางใจจากลูกค้าที่มั่นใจในการบริการของเรา และทีมงานที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งจนในปัจจุบันถ้าพูดถึงไครโอวิวาฯ ในแต่ละสาขาทั่วโลกวันนี้เรามีเก็บสเต็มเซลล์ไว้มากกว่า 1,000,000 ยูนิต และอยู่ใน TOP 10 ของโลก โดยมีการพัฒนาและขยายเครือข่ายที่แข็งแกร่งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ตะวันออกกลาง หรือ ออสเตรเลียก็ไว้ใจให้เราเก็บสเต็มเซลล์ อย่างตอนนี้ดิฉันได้รับมอบหมายให้ไปบริหารที่สาขาสิงคโปร์ ร่วมถึงโซนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้เพิ่มอีกด้วย

ทั้งนี้ทุกบริการของไครโอวิวาฯประเทศไทยจะวางแผน 3-5 ปี เพื่อทำการศึกษาและทดลองจนมั่นใจที่จะให้บริการนั้นแก่ลูกค้า ทำให้ล่าสุดเราได้เปิดตัวนิยามใหม่ "Your Life is Your Choice" เจาะกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่สนใจในการดูแลสุขภาพ ก่อนหน้านี้เราโฟกัสกลุ่มคุณแม่และครอบครัวเป็นหลัก แต่วันนี้ต้องการให้ทุกคน ทุกเพศมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงศึกษาวิธีการใหม่ ทำให้พบนวัตกรรมที่นำ "ไขมัน" มาเป็นประโยชน์เพื่อใช้เติมเต็มในส่วนที่เราบกพร่องได้ และยังสามารถนำไปเพาะเลี้ยงให้เป็นสเต็มเซลล์ของตนเองเพื่อใช้ในศาสตร์ชะลอวัย

จัดเก็บ สเต็มเซลล์ เมื่อถึงเวลาสามารถนำมาใช้ได้ทันที
จัดเก็บ สเต็มเซลล์ เมื่อถึงเวลาสามารถนำมาใช้ได้ทันที

- สเต็มเซลล์กับไวรัสโควิด-19

"ดร.นพ. ศุภชัย เอกวัฒนกิจ" โลหิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์และโลหิตวิทยา ผู้อำนวยการแพทย์ พร้อมด้วย "กมลรัตน์ ศรีถวิล" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้เราได้รับเชิญไปร่วมสนทนาเพื่ออัพเดตถึงบทบาทของสเต็มเซลล์ในปัจจุบัน รวมถึงความสามารถของสเต็มเซลล์กับการรักษาฟื้นฟูร่างกายจากโรคโควิด-19 ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์การระบาดของโรคดังกล่าวในขณะนี้

ด้าน กมลรัตน์ ศรีถวิล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในการเก็บสเต็มเซลล์ หากเรากลัวเจ็บ เราก็สามารถเก็บได้ตั้งแต่แรกคลอด ซึ่งเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ในการวางแผนให้ โดยจะเก็บจากเลือดสายสะดือ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มี HLA ตรงกับทารก 100% และสามารถให้พี่น้องใช้ได้ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการเก็บเนื้อเยื่อเป็นเส้นสายสะดือรวมถึงเนื้อเยื่อหุ้มรกด้วย ซึ่งนำมาใช้ในเรื่องของการฟื้นฟูได้ดี สามารถให้คุณพ่อคุณแม่ ปูย่า ตายาย ที่เป็นญาติสายตรงใช้ได้ แต่ใน14ปีที่ผ่านมามีวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้น โดยผู้ใหญ่ยังสามารถเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองได้จากไขมัน แต่สเต็มเซลล์ที่ได้จากวัยผู้ใหญ่จะมีอายุมากกว่า เมื่อเทียบกับสเต็มเซลล์ของทารก ดังนั้น ณ เวลานี้ กล่าวได้ว่า ทุกคนสามารถใช้สเต็มเซลล์ของตัวเองเพื่อใช้ในการรักษาโรคโคหรือฟื้นฟูภาวะเสื่อม ได้ ครอบครัวในส่วน ผู้ที่เก็บสเต็มเซลล์ไว้จึงโชคดีที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ยามที่ต้องการ อย่างไรก็ดีสเต็มเซลล์ที่เก็บรักษาไว้โดยวิธีการแช่แข็งในไนโตรเจนเหลว จะไม่มีการหมดอายุ

สำหรับท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน สเต็มเซลล์ได้มีบทบาทในการช่วยเสริมการรักษาโรคติดเชื้่อโควิด-19 ด้วยเช่นกัน โดย ดร.นพ. ศุภชัย กล่าวว่า สเต็มเซลล์สามารถมาช่วยต่อสู้กับโควิด-19 ได้ โดยมีงานศึกษาวิจัยล่าสุดจากทีมวิจัยในประเทศจีน ซึ่งศึกษาในผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงมากและรุนแรงน้อย เปรียบเทียบระหว่างการรักษามาตรฐาน และการรักษามาตรฐาน ควบคู่กับการใช้สเต็มเซลล์ ชนิดที่เรียกว่า Mesenchymal Stem Cells (MSCs) พบว่า กลุ่มคนไข้ที่ได้รับการรักษาควบคู่สเต็มเซลล์ MSCs มีผลการรักษาดีขึ้น คนไข้สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น

"ดร.นพ. ศุภชัย เอกวัฒนกิจ" โลหิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์และโลหิตวิทยา ผู้อำนวยการแพทย์ (ขวาจากรูป) พร้อมด้วย "กมลรัตน์ ศรีถวิล" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด
"ดร.นพ. ศุภชัย เอกวัฒนกิจ" โลหิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์และโลหิตวิทยา ผู้อำนวยการแพทย์ (ขวาจากรูป) พร้อมด้วย "กมลรัตน์ ศรีถวิล" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด

"การรักษามี 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการรักษาจำเพาะที่ใช้ยาเพื่อมุ่งเป้าไปทำลายเชื้อไวรัส ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า มียาที่จำเพาะต่อไวรัสชนิดนี้ ส่วนที่สอง เป็นการรักษาแบบสนับสนุน ซึ่งเป็นการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ที่ทำให้คนไข้ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน เป็นส่วนที่ทำให้ปอดทำงานไม่ได้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งกลไกตรงนี้เป็นผลจากการตอบสนองของร่างกายที่มากเกินไป และสเต็มเซลล์ MSCs มีคุณสมบัติที่จะไปลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้มากเกินไป"

กมลรัตน์ กล่าวเสริมว่า นอกจากมีการใช้ MSCs มาช่วยลดความรุนแรงของระบบภูมิคุ้มกันแล้ว ยังช่วยในเรื่องการฟื้นฟูด้วย จากที่มีการศึกษาในประเทศอื่นๆ รวมถึงในจีน ทั้งนี้มี รายงานการวิจัยกว่า 45 ชิ้นระบุว่า มี 597 การทดลองทางคลินิกทั่วโลก ที่มีการรักษาโรคโควิด-19 ด้วยวิธี Cell and Gene therapy โดยกลไกในการทำงานของ MSCs ที่ช่วยในการรักษาโรคปอดอักเสบโควิด-19 ได้เช่น สามารถฟื้นฟูเนื้อเยื่อปอด ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์เยื่อบุถุงลม ยับยั้งการเกิดพังผืดที่ปอดและรักษาความผิดปกติที่ปอด

ทุกคนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วยสเต็มเซลล์ที่จะช่วยดูแลสุขภาพและช่วยชะลอวัย มาร่วมดูแลสุขภาพและอนาคตของท่านและคนที่เรารักไปด้วยกัน สอบถามข้อมลเพิ่มเติมได้ที่ 02 203 6982 , 094 449 9445 www.facebook.com/cryoviva, www.cryoviva.com
#3757


จากการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  (ศบค.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2564 มีมติเห็นชอบปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรและมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด – 19 ในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ให้ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านค้า และร้านอาหาร เปิดให้บริการได้ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และ นายนพพร วิฑูรชาติ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย ร่วมกันเปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้หารือร่วมกับภาคีเครือข่าย ในการเดินหน้าเปิดธุรกิจอย่างปลอดภัย และยกระดับมาตรการป้องกันและคัดกรองขั้นสูงสุด เพื่อเป็นการช่วยฟื้นฟูธุรกิจของผู้ประกอบการและร้านค้า ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ให้กลับมามีรายได้ และช่วยพยุงการจ้างงานของแรงงานในระบบค้าปลีกและบริการ

ทั้ง 2 สมาคมฯ มีความเชื่อมั่นว่าทางรอดของเศรษฐกิจไทย คือ การกลับมาเปิดธุรกิจอย่างปลอดภัย พร้อมการรองรับของระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ผนึกกับการร่วมมือของทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ผู้ประกอบการ ร้านค้า และประชาชน ที่ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดและทำให้เกิดขึ้นได้จริงจะช่วยให้การเปิดเมือง เปิดห้างในครั้งนี้ ไม่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และต้องกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง

"เราเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการที่รัฐบาลสามารถนำวัคซีนเข้ามาได้ในปริมาณที่มากขึ้นและเพียงพอ มีการจัดหา ATK (Antigen Test Kit) เพื่อเป็นการคัดกรองผู้ติดเชื้อได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดหาและการกระจายวัคซีน มีการจัดระเบียบให้ประชาชนและชุมชนดูแลกันเอง รวมกับการติดเชื้อรายใหม่มีจำนวนที่ลดลง และจำนวนของผู้หายป่วยมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง ประชาชนทุกคนมีความรับผิดชอบในตนเองและสังคม ทำให้มีการเปิดเมือง และ เปิดห้างได้อย่างปลอดภัย ปัจจัยทั้งหมดนี้จะเป็นความหวังที่ทำให้ประเทศไทยกลับมาฟื้นตัว และทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง" นายญนน์ กล่าวเสริม

 
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และ สมาคมศูนย์การค้าไทย ได้ดำเนินการตามเกณฑ์และเงื่อนไขในการปฏิบัติเข้มข้นขั้นสูงสุด โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามมาตรการของ ศบค. ดังต่อไปนี้

1. ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ สามารถเปิดดำเนินการได้ทุกแผนก และปิดบริการเวลา 20.00 น.

2. ห้ามจัดกิจกรรมมากกว่า 25 คน

3. ร้านอาหาร เปิดได้ตามเงื่อนไข ดังนี้

3.1 ร้านอาหารที่อยู่นอกอาคาร หรือในอาคารแต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีลักษณะโล่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี ให้นั่งรับประทานได้ 75% ของจำนวนที่นั่งปกติ

3.2 ร้านอาหารที่เป็นห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ให้นั่งรับประทานได้ 50% ของจำนวนที่นั่งปกติ

3.3 งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน

4. ร้านเสริมสวย เปิดให้บริการไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อคน ต้องมีการนัดหมายก่อนเข้าใช้บริการ

5. ร้านนวด เปิดได้เฉพาะนวดเท้า

6. คลินิกเสริมความงาม เปิดจำหน่ายสินค้าเท่านั้น (ตามมาตรการของ ศบค.)

ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ตายยังเยอะ! พบเสียชีวิต 256 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 15,972 ราย ไม่รวม ATK อีก 2,028 ราย
'พยากรณ์อากาศ' วันนี้ 'กรมอุตุนิยมวิทยา' เตือน ฝนตกหนักบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก
เปิดเงื่อนงำ-จุดอ่อนคดี "โจ้คลุมถุง" ตำรวจเอาผิดตำรวจ...ไม่ง่าย
7. กลุ่มธุรกิจที่ยังไม่เปิดให้บริการ มีดังนี้

7.1 สถาบันกวดวิชา

7.2 โรงภาพยนตร์

7.3 สปา

7.4 สวนสนุก สวนน้ำ

7.5 ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ

7.6 ห้องประชุมจัดเลี้ยง

8. ผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ ต้องดำเนินการตามมาตรการการป้องกันโรค D-M-H-T-T ของ
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารสุข และประเมินตนเองผ่าน Thai Stop Covid Plus รวมทั้งคัดกรอง ผู้ให้บริการผ่าน Platform Thai Safe Thai ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และต้องปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

9. สำหรับการเปิดห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ รวมถึงร้านค้าในศูนย์การค้าฯ ต่างๆ ในวันที่ 1 กันยายนนี้ ขอให้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ประกอบการ และร้านค้าแต่ละรายเป็นหลัก

10. หากมีประกาศของจังหวัดอื่นใด นอกเหนือจากนี้ให้ปฏิบัติตามประกาศของจังหวัดนั้นๆ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และ สมาคมศูนย์การค้าไทย ยืนยันที่จะปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ และ ศบค. อย่างเต็มกำลัง เพื่อการเปิดเมือง เปิดห้างอย่างปลอดภัย และร่วมผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิดครั้งนี้ไปให้ได้
#3758


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงทุกส่วนราชการได้พิจารณานำมติของที่ประชุม ครม. ครั้งล่าสุดเกี่ยวกับแนวทางการนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ราชการ ไปปฏิบัติ เพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการใช้พลังงานทดแทนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่จำเป็นต้องให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันแก้ไข

สำหรับแนวทางการดำเนินการนั้น ที่ผ่านมา ครม.ได้เห็นชอบในหลักการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ที่ขบเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือรถยนต์อีวี มาใช้ในราชการแทนรถยนต์เดิมที่หมดอายุการใช้งานหรือจะต้องจัดซื้อจัดจ้างขึ้นใหม่ เพื่อรองรับภารกิจต่าง ๆ ของหน่วยงานนั้น หรือนำมาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ โดยในระยะแรกให้เริ่มจากหน่วยงานสำคัญที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นก่อน โดยเฉพาะให้ส่วนราชการที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ถือปฏิบัติตามแนวทางนี้อย่างเคร่งครัดก่อนหน่วยงานอื่น


ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม. ยังได้มีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยให้กระทรวงพลังงาน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่น ๆ ติดตามและประเมินผลการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นระยะ อย่างต่อเนื่อง จากนั้นให้รายงานผลการประเมินมาให้กับที่ประชุมครม. รับทราบโดยเร็ว เพื่อจะพิจารณาขยายผลการดำเนินการตามความเหมาะสมไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป

สำหรับแนวทางการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ถือเป้นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่พยายามหาทางส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบ และจัดเตรียมสิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ไว้รองรับการลงทุนการผลิต โดยตั้งเป้าหมายในปี68ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่30%จากสัดส่วนการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งตามนโยบายรัฐบาลได้หาทางส่งเสริมและนำร่องการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในส่วนราชการก่อน เพื่อทำให้เกิดตัวอย่างและเกิดความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น
#3759


เพชรบุรี – รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ เดินเท้าถามไถ่ทุกข์สุขชาวบ้านโป่งลึก บางกลอย ตรวจเยี่ยมคุณภาพชีวิต น้ำสะอาดจากระบบประปาบาดาล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมชมแปลงสาธิตการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน และแสดงความยินดีที่ พื้นที่แก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

วันนี้ (29 ส.ค. ) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ลงพื้นที่บ้านโป่งลึก บางกลอย อำเภอแก่งกระจาน ซึ่งห่างไกลจากตัวจังหวัดเพชรบุรี ใช้เวลาเดินทางไปกลับกว่าสี่ชั่วโมง โดยมีนายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และหัวหน้าส่วนราชการให้การต้อนรับ พร้อมร่วมติดตามการตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชน

นายวราวุธ กล่าว แสดงความยินดี ที่พื้นที่แก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การลงพื้นที่เพื่อติดตามผลความคืบหน้าโครงการฯ ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนยังมีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขอีกหรือไม่ รัฐบาลมีความเป็นห่วงทุกด้าน เพื่อความอยู่ดีมีสุขของพี่น้องประชาชน ว่ายังขาดอะไรอยู่บ้างและสิ่งที่ขาดจะต้องเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว ต้องเร่งดำเนินการให้เรียบร้อย ตรงไหนที่ดีอยู่แล้วต้องเร่งพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับพื้นที่ที่เป็นมรดกโลกด้วย

โดยแสดงความห่วงใยวิถีคุณภาพชีวิตตรวจมาตรฐาน โครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล ส่งเสริมการดำเนินงาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมยืนยันว่า ชาวบ้านมีน้ำสำหรับบริโภคเพียงพอ เป็นแหล่งน้ำดื่มสะอาดที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง และมีการติดตั้งระบบในการกระจายน้ำให้ทุกหมู่บ้าน ระบบสูบน้ำบาดาลด้วยพลังแสงอาทิตย์ หลังจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกเดินเยี่ยม สนทนา ไต่ถามทุกข์สุขของชาวบ้าน รอบหมู่บ้าน เยี่ยมครัวเรือน พร้อมมอบสิ่งของจำเป็น ข้าวสาร น้ำปลา แอลกอฮอล์ โดยมีนายนิรันดร์ พงษ์เทพ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านบางกลอย เป็นตัวแทนรับมอบที่จะส่งให้ถึงมือชาวบ้านทุกครอบครัว

ต่อจากนั้นร่วมชมแปลงสาธิตการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน ตำบลห้วยแม่เพรียง พร้อมมอบต้นพันธ์กล้าไม้ มะนาว ไผ่ซางหม่น ทุเรียน ขนุน มังคุด มะม่วง ฯลฯ ให้ชาวบ้านไว้ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวบ้านโป่งลึก บางกลอย อย่างมั่นคงต่อไป
#3760


ขายบุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า dragon1616

เทียบกับบุหรี่ธรรมดาแล้วบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าหรือน้อยกว่า?
เป็นความจริงที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีกลไกการทำงานที่ไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ธรรมดา ทำให้ผู้สูบลดความเสี่ยงที่จะได้รับสารที่เป็นอันตรายจากการเผาไหม้บางตัวเช่นน้ำมันดินหรือทาร์ (Tar) และคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

แต่จากที่กล่าวมาข้างต้นสารประกอบอื่น ๆ ที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีบางงานวิจัยที่ระบุว่า ไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าบุหรี่ธรรมดา ทำให้สามารถถูกสูดเข้าไปในปอดส่วนลึกได้มากกว่า อนุภาคที่เล็กนี้จะจับเข้ากับเนื้อเยื่อปอดและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและยากที่กลไกธรรมชาติของร่างกายจะขับออกมาได้

บุหรี่ไฟฟ้าเสพติดหรือไม่?
แน่นอนว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคติน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติด ดังนั้นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าจึงทำให้ผู้สูบ "ติด" ได้ไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา นอกจากนี้รูปแบบและขั้นตอนในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าก็มีความใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ธรรมดามาก ทำให้ผู้สูบยังคงติดในพฤติกรรมการสูบเหมือนบุหรี่ธรรมดา

หากสังเกตในต่างประเทศจะพบว่า โฆษณาของบุหรี่ไฟฟ้ามีลักษณะการใช้ข้อความจูงใจหรือจุดขายไม่ต่างไปจากบุหรี่ธรรมดา เช่น การเพิ่มเสน่ห์ในทางเพศ ทำให้อารมณ์ดี ซึ่งส่งผลในทางจิตวิทยาให้ผู้สูบมีความเชื่อ ฝังใจในคุณสมบัติเหล่านั้นและดำรงพฤติกรรมการสูบมาเรื่อย ๆ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือโฆษณาของบุหรี่ไฟฟ้ายังเน้นถึงข้อดีบางอย่างที่เหนือกว่าบุหรี่ เช่น การมีรสชาติที่หลากหลายกว่า ดีต่อสุขภาพมากกว่า มีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยและหลากหลายกว่า ไม่มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าจุดขายเหล่านี้ย่อมดึงดูดและทำให้ผู้สูบมีแนวโน้มที่จะติดกับการสูบได้มากขึ้นด้วย

ข้อดีของการใช้บุหรี่ไฟฟ้า

บุหรี่ไฟฟ้ามีข้อดีที่แตกต่างจากการใช้บุหรี่ปกติทั่วไป เช่น บุหรี่ไฟฟ้าไม่มีควันจากการเผาไหม้เหมือนในบุหรี่ปกติทั่วไป ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าไม่มีส่วนประกอบของน้ำมันดินหรือทาร์ (Tar) และคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) หรือสารพิษอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมองแตก และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ยังตรวจพบสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในระดับที่ต่ำกว่าบุหรี่ปกติทั่วไปอีกด้วย

กระทรวงสาธารณสุข ประเทศอังกฤษได้เปิดเผยหลักฐานเกี่ยวกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าว่ามีความปลอดภัยมากกว่าการใช้บุหรี่ปกติทั่วไปสูงถึง 95% และมีประสิทธิภาพในการช่วยให้เลิกพฤติกรรมการสูบบุหรี่ได้ สาเหตุสำคัญคือในบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีส่วนประกอบของใบยาสูบ มีเพียงนิโคตินที่เป็นสารเสพติดแต่ให้โทษน้อยกว่าใบยาสูบ ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่เสพติดนิโคติน

องค์การอาหารและยาพบร่องรอยของสารพิษ 0.1% ในน้ำยา E-Liquid หรือ E-Juice เช่น สารไนโตรซามีน (Nitrosamines) และสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง และก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย เช่น ปากแห้ง ระคายเคืองในลำคอ ไอแห้ง เป็นต้น

แต่ยังไม่มีหลักฐานทางการวิจัยที่สรุปอย่างชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้จริง และในหลายประเทศการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าถือว่าผิดกฎหมาย รวมถึงประเทศไทยด้วย


Tags :: ขายบุหรี่ไฟฟ้า,ขายบุหรี่ไฟฟ้า เก็บเงินปลายทาง,ขายบุหรี่ไฟฟ้าราคาถูก