• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#8761


GTH "Golden triangle health" ผนึก NRF และ ม.ขอนแก่น เซ็น MOU นำเมล็ดกัญชงลงแปลงปลูกที่แรกในประเทศไทย เพื่อพัฒนาการปลูกและการสกัดกัญชง สถาบันวิจัยแคนนาบิสครบศาสตร์ ด้าน "จุลภาส เครือโสภณ" นำร่องพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

นายจุลภาส (ทอม) เครือโสภณ ผู้ก่อตั้งบริษัท (Founder) บริษัท GTH "Golden triangle health" จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทฯ ร่วมกับ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ที่ให้บริษัทย่อย บริษัท ซูเปอร์ แพลนส์ จำกัด เข้าถือหุ้น GTH ในสัดส่วน 49% และ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำพิธีปลูกกัญชงและพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการว พัฒนาการปลูกและสกัดกัญชงสถาบันวิจัยแคนนาบิสครบศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1.พัฒนาและวิจัยการปลูก การสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชกัญชงเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

2.เพื่อร่วมมือในการทดลอง วิจัย ปลูกและสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงสายพันธุ์คุณภาพที่บริษัทฯ นำเข้าเมล็ดพันธุ์ โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะส่งเสริมการปลูกพืชกัญชงในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เบื้องต้น 400 ไร่ โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้รับผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากมหาวิทยาลัย 3.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาสายพันธุ์กัญชงโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้ได้มาซึ่งกัญชงสายพันธุ์ไทยที่มีค่าสาร CBD สูงและค่าสาร THC ต่ำตามที่กฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนด โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้รับผลผลิตจากสายพันธุ์กัญชงไทยที่มีการพัฒนาคุณภาพ

4.เพื่อร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การนำผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีส่วนผสมของกัญชงหรือสารสกัดกัญชงที่มาจากการพัฒน่ร่วมกันให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ 5.เพื่อร่วมมือในการ พัฒนาและสกัดโปรตีนจากพืชกัญชงรวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้โปรตีนสูงจากโปรตีนของพืชกัญชง และ6.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาและจัดตั้งหลักสูตรการศึกษาในเรื่องโปรตีนจากพืชสนับสนุนและจัดสรรบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อหลักสูตรดังกล่าว

ด้านนางสาวณัฏฐิฏา ภูมิภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท GTH "Golden triangle health" จำกัด เปิดเผยว่าการปลูกและสกัดสารจากผลผลิตพืชกัญชงในส่วนของเมล็ดพันธุ์ที่บริษัทฯ นำเข้ามา เช่น เทอร์พีน (Terpene) น้ำมันในพืชกัญชงและสารสกัด CBD เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายไปพัฒนาและผสมในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตคิดค้นและวิจัย พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น นอกจากนี้ยังสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายตามความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ตลอดจนพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคต่อไปภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย

"ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจกัญชงในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยคาดว่าหลังจากเริ่มปลูกและสามารถเก็บเกี่ยว เพื่อนำมาสกัดสารสำคัญต่างๆจะทำให้ตลาดสามารถขยายไปได้มากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนผู้ที่สนใจเกี่ยวกับธุรกิจกัญชงหรือสารสกัดจากกัญชง สามารถสอบถามได้ที่ บริษัท GTH ผ่านทางไลน์ @hemp_house" นางสาวณัฏฐิฏา กล่าว

อนึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่ศึกษาค้นคว้างานวิจัยทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีทั้งงานวิจัยพื้นฐาน งานวิจัยประยุกต์ มีนักวิจัยและเครื่องมือการวิจัยที่มีศักยภาพที่จะดำเนินการวิจัยต่างๆ ทุกด้านและทุกสาขาวิชา ดังนั้นมหาวิทยาลัยจึงได้จัดตั้งสถาบันวิจัยแคนนาบิสครบศาสตร์ ดำเนินการวิจัยและพัฒนา เกี่ยวกับพืชกัญชงและกัญชา เพื่อปลูกประเมินลักษณะประจำพันธุ์และปริมาณสารสำคัญในกัญชง THC และ CBD ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตลอดจนพัฒนาระบบการผลิตกัญชงให้เหมาะสมกับพื้นที่ภาคอีสาน นอกจากจะเป็นประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว ยังทำหน้าที่ส่งเสริมถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับกัญชง เป็นศูนย์กลางข้อมูล เพื่อเผยแพร่ความรู้ ข่าวสารให้กับวิสาหกิจชุมชน ชุมชน หน่วยงาน ภาครัฐบาล เอกชน ให้เกิดการต่อยอดสู่การอุตสาหกรรม
#8762


ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ วิเคราะห์การระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน  โดยเฉพาะในกลุ่มกำลังซื้อที่เป็นกลุ่มตลาดโรงงาน อีกทั้งภาพรวมการเปิดโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีปริมาณลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การปรับตัวและมองหาช่องว่างของตลาดยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในสถานการณ์การระบาดที่ยังไม่เห็นบทสรุป

การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 3 เริ่มมีผลกระทบชัดเจน ในพื้นที่ที่กำลังซื้อหลักเป็นพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมหรือกลุ่มโรงงานซึ่งมีโอกาสที่จะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลกระทบโดยตรงจากรายได้ที่ไม่แน่นอนและการระบาดของคลัสเตอร์ใหม่ในกลุ่มโรงงาน สะท้อนให้เห็นจากยอดการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านใหม่ (นิติบุคคล) ในไตรมาสแรกปีนี้ของกลุ่มสินค้าทาวน์เฮ้าส์ ที่ปรับตัวลดลงมากในจังหวัดนครปฐม (-88%)  สมุทรสาคร (-45%) และ สมุทรปราการ (-28%)  
ส่วนภาพรวมการเปิดโครงการใหม่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในไตรมาสแรกปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 โดยมีจำนวนยูนิตเปิดใหม่รวม 12,985 ยูนิต ลดลง 7,212 ยูนิต (-35%) จากการที่ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวโดยจับกลุ่มเป้าหมายที่ยังมีกำลังซื้อและได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ไม่มาก พบว่ากลุ่มสินค้าที่มียูนิตเปิดขายสูงสุดคือคอนโดมิเนียม โดยมียูนิตขายใหม่เข้ามาในตลาด 5,857 ยูนิต ลดลง (-15%) จากไตรมาสแรก 2563 ซึ่งกลุ่มนี้เริ่มเห็นภาพการชะลอเปิดตัวตั้งแต่ต้นปี 2563  รองลงมาคือ กลุ่มทาวน์เฮ้าส์มียูนิตเปิดขายใหม่ 4,159 ยูนิต ลดลง (-56%) จากไตรมาสแรก 2563 ส่วนบ้านเดี่ยวมียูนิตเปิดขายใหม่ 1,274 ยูนิตลดลง (-44%) จากช่วงเดียวกัน  

กลุ่มโครงการที่เปิดใหม่และขายดี เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท และกลุ่ม 5-10 ล้านบาท ซึ่งถ้าเจาะลึกลงไปในรายสินค้าจะเห็นว่ากลุ่มทาวน์เฮ้าส์เป็นสินค้าเปิดใหม่ที่ขายดีที่สุด โดยกลุ่มระดับราคาที่ขายดีเป็นช่วงระดับราคา 3-4 ล้านบาท (ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น) และระดับราคา 5-7 ล้านบาท (ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น) และที่น่าสนใจคือ บ้านแฝดในระดับราคา 5-7 ล้านบาทในพื้นที่เมืองรอบนอก ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนบ้านเดี่ยวที่ขยับราคาสูงขึ้นเป็น 8-10 ล้านบาท โดยพื้นที่ที่ทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝดมีการเปิดขายใหม่มากที่สุด คือโซนฝั่งบางนา-ศรีนครินทร์ รามอินทรา รังสิต-ลำลูกกา (ไม่เกินแนววงแหวนตะวันออก) ส่วนกลุ่มคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่และขายดีมีแนวโน้มที่จะปรับราคาลดลงเป็นกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่แน่ชัดว่ายาวนานเพียงใด ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าและอาจจะไม่ได้ตามเป้าหมายในปี 2564  การติดเชื้อโควิด-19 ที่กระจายเพิ่มในกลุ่มแรงงานก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น กลุ่มกำลังซื้อใหม่ยังมีอัตราการว่างงานสูง กลุ่มกำลังซื้อต่างชาติที่ยังไม่กลับมาในปีนี้  หรือการอนุมัติสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น จะเป็นอุปสรรคที่ชะลอความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้ตลาดมีแนวโน้มหดตัวลงเป็นกลุ่มกำลังซื้อที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น และเกิดการแข่งขันแย่งตลาดที่ยังมีกำลังซื้อดังกล่าว  


ด้วยเหตุนี้ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ เห็นว่าการปรับตัวและมองหาโอกาสจากช่องว่างของตลาดเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่อุปสงค์ชะลอตัว อาทิ การเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบน้อย การกำหนดเซ็กเมนต์โดยนำเสนอสินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

 การสร้างรูปแบบบริการที่รองรับสถานการณ์การใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัล การบริหารสภาพคล่องของกระแสเงินสด การบริหารจัดการต้นทุนและความสมดุลของสต็อคบ้านที่ก่อสร้างกับอัตราการขายที่เหมาะสม การกำหนดแผนสำรองกรณีกลุ่มเซ็กเมนต์เดิมไม่สร้างยอดขาย การปรับรูปแบบสินค้าได้เร็ว การมองหาโอกาสในทำเลใหม่ๆ และกลุ่มเซ็กเมนต์ที่อุปทานในพื้นที่มีเหลือไม่มากหรือมีคู่แข่งขันน้อย

รวมทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ในทำเลซึ่งได้ประโยชน์จากการปรับปรุงผังเมืองกรุงเทพมหานคร จะเป็นช่องสำหรับเติมเต็มความต้องการสินค้าในบางระดับราคาที่ไม่สามารถเป็นไปได้ตามผังเมืองเดิม และเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างสถานการณ์ที่โควิด-19 ยังไม่เห็นบทสรุป
#8763


ฌอน สตริคแลนด์ นักสู้ชาวอเมริกัน ยังคงรักษาฟอร์มเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม หลังอาศัยทักษะชั้นเชิงการต่อสู้ โดยเฉพาะพลังหมัดเอาชนะคะแนน ยูเรียห์ ฮอลล์ คู่ต่อกรชาวจาเมกาไปได้ ในการต่อสู้คู่เอกของศึก UFC FIGHT NIGHT: Hall VS Strickland เมือช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ไฮไลท์ของรายการเป็นการต่อสู้ในพิกัดรุ่นมิดเดิลเวต ระหว่าง "TARZAN" วัย 30 ปี ที่ยังไม่เคยแพ้แบบซับมิทชันให้กับผู้ใดและชนะมาแล้ว 4 ไฟต์ติดต่อกัน พบกับ "PRIMETIME" จอมโหดจากจาเมกาวัย 36 ปี เริ่มยกแรก สตริคแลนด์ ดูดีกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะจังหวะเดินออกหมัด ในขณะที่ ฮอลล์ รอกะระยะบวกหวังปิดบัญชีเร็วเช่นกัน ยก 2 TARZAN ยังคงมีอาวุธหมัดชุดไว้ทิ้งระยะไม่ให้ ฮอลล์ ที่เริ่มมีลูกเตะ ได้เข้าประชิด

ยกที่ 3 สตริคแลนด์ สบโอกาสเทคดาวน์ใส่ ฮอลล์ และเป็นฝ่ายคอนโทรลเกมได้จนจบยก ยกที่ 4 สตริคแลนด์ ได้ใจเดินรุกไล่ทันทีหวังน็อคให้ได้แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เข้าสู่ยกสุดท้าย ฮอลล์ รู้ตัวว่าเป็นรองเป็นฝ่ายเดินเข้าใส่ แต่เหมือนยิ่งเดินยิ่งเจ็บ เมื่อ สตริคแลนด์ มีแย็ปสกัดจังหวะการเข้าทำของ PRIMETIME สวยๆหลายครั้ง ครบ 5 ยก ฌอน สตริคแลนด์ ชนะคะแนน ยูเรียห์ ฮอลล์ ไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์

หลังเก็บชัยชนะ 5 ไฟต์ติดต่อกัน และยังเพิ่มสถิติเป็นชนะ 24 แพ้ 3 เจ้าของฉายา TARZAN ให้สัมภาษณ์กับ UFC ถึงฟอร์มของตัวเองว่า "ผมยังคงทำงานอย่างหนัก ทุกคนรู้ว่าไม่ใช่ไฟต์ง่าย มันก็สนุกดีนะ มันโคตรจะเหนื่อยเลยกับการต่อสู้แบบ 5 ยกและถึงตอนนี้ผมต้องมองไปที่คู่แข่งคนต่อไปแล้ว"

ในขณะที่รองคู่เอกเป็นการต่อสู้ในรุ่นสตรอว์เวตหญิงระหว่าง เชยานเน บายส์ สาวน้อยอเมริกันวัย 26 ปี เจ้าของสถิติชนะ 5 แพ้ 2 ขึ้นสังเวียนพบกับ กลอเรีย เด เปาลา คู่แข่งวัย 26 ปี จากบราซิล ที่มีสถิติชนะ 5 แพ้ 3 และไม่เคยถูกน็อคหรือแพ้ซับมิทชัน โดยการต่อสู้คู่นี้จบลงด้วยเวลาเพียงแค่นาทีแรกของยกที่ 1 เท่านั้น เมื่อ ชายาเน บายส์ ได้จังหวะวางแข้งซ้ายใส่ปลายคาง เด เปาลา ในจังหวะลุกขึ้นยืน ก่อนตามถล่มจนกรรมการสั่งยุติการต่อสู้

ผลการแข่งขันอย่างเป็นทางการศึก UFC FIGHT NIGHT: Hall VS Strickland

คู่หลักในรายการ

คู่เอก - รุ่นมิดเดิลเวต
ฌอน สตริคแลนด์ ชนะคะแนน ยูเรียห์ ฮอลล์

รองคู่เอก - รุ่นสตรอว์เวตหญิง
เชยานเน บายส์ ชนะ TKO กลอเรีย เด เปาลา ยกที่ 1

รุ่นเวลเตอร์เวต
เจสัน วิตต์ ชนะคะแนน ไบรอัน บาร์เบเรนา

รุ่นเวลเตอร์เวต
จาเร็ด กูเดน ชนะ TKO นิคลาส สโตลเซ ยกที่ 1

รุ่นฟลายเวต
ซารุคห์ อดาเชฟ ชนะคะแนน ไรอัน เบอนัวต์

รุ่นเฟเธอร์เวต
เมลซิค บัคห์ดาซาร์ยาน ชนะ TKO คอลลิน แอนกลิน ยกที่ 2

รุ่นไลต์เวต
คริส กรูสซ์ตเซมัคเชอร์ ชนะคะแนน ราฟา การ์เซีย

รุ่นเฟเธอร์เวต
แดนนี ชาเวซ เสมอ ไค คามากา

รุ่นสตรอว์เวตหญิง
ยินห์ ยู เฟรย์ ชนะคะแนน แอชลีย์ โยเดอร์

รุ่นเวลเตอร์เวต
ฟิลิป โรว์ ชนะ TKO โอเรียน กอสซี ยกที่ 2
#8764


ด้วยสถานการณ์วิกฤตของประเทศไทย จากผลพ่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด และช่องทางการขายผ่านร้านสะดวกซื้ออย่าง เซ่เว่นอีเลฟเว่น ที่มีสาขาทั่วประเทศ กว่า 7,000 สาขา เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหลายรายหมายปอง อยากจะได้นำสินค้าเข้ามาวางขาย

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดกว้าง ต้อนรับผู้ประกอบการรายเล็กอย่างเอสเอ็มอี ทำให้การนำสินค้าเข้ามาวางขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากยุคนี้ แต่ความยากอยู่ที่จะทำอย่างไรรักษายอดขาย และรักษาพื้นที่วางขายให้อยู่ได้นานๆเป็นเรื่องที่ยากกว่า วันนี้ ทางบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ นำเรื่องราวและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ตลอดจนแนวคิดของ 5 SMEs ไทยที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าทศวรรษ มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้ต่อยอดธุรกิจสู่ความสำเร็จ


ขนมตาล EZY SWEET ยกระดับขนมไทยด้วยเทคโนโลยี

นับเป็นอีกหนึ่ง SME ที่ต้องจับตามอง เพราะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการขนมไทยเพียงไม่กี่ราย ที่เป็นคู่ค้ากับ เซเว่น อีเลฟเว่น มานานเกือบ 10 ปี อย่าง บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเติบโตจนเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ "แม่สุนีย์ ขนมไทย" ปัจจุบันได้ผันตัวมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET ให้กับ ซีพี ออลล์ เนื่องจากเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดขนมไทยรวมถึงการส่งเสริมองค์ความรู้อย่างรอบด้านโดยเฉพาะเทคโนโลยี และการตลาด

นายก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ แม่สุนีย์ ขนมไทย ทำให้บริษัทมีความคิดที่จะต่อยอดโอกาสไปสู่ขนมไทยประเภทอื่นๆ จึงได้ร่วมปรึกษากับซีพี ออลล์ ในการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ทดลองผลิตขนมตาล ภายใต้โจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ขนมตาลยังคงนุ่ม หอม น่ารับประทานเหมือนเพิ่งนึ่งมาใหม่ มีเนื้อสัมผัสและรสสัมผัสไม่เปลี่ยนแปลงแม้นำไปอุ่น โดยใช้เวลาในการคิดค้นประมาณ 1 ปี จนได้มาเป็นกระบวนการผลิตที่เป็นเทคนิคเฉพาะของบริษัท สามารถผลิตได้ในปริมาณมากถึง 6,000 ชิ้นต่อวัน และมีอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) ประมาณ 1 สัปดาห์



สร้างยอดขายในเซเว่น 65,000 ชิ้นต่อวัน

"การผลิตขนมไทยแบบเดิมๆ จะใช้ภูมิปัญญาที่ได้รับถ่ายทอดมา แต่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อช่วยยืดอายุขนมและรักษารสชาติให้คงเดิม สำหรับตัวขนมตาลถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะปัญหาคือเนื้อขนมจะแข็งหากทิ้งไว้นาน หรือแฉะเมื่อนำไปอุ่น ทำให้รสชาติเปลี่ยนได้ แต่จากการแนะนำด้านเทคโนโลยีของซีพี ออลล์ ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ บวกกับวัตถุดิบตาลพันธุ์ดีที่เรารับซื้อจากเกษตรกร จ.เพชรบุรี ทำให้เมื่อออกวางจำหน่ายจึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดจำหน่ายสูงสุดถึงวันละประมาณ 10,000 ชิ้นต่อวัน จากยอดขายทั้งหมดของบริษัทในสินค้าทุกประเภทที่วางจำหน่ายในปัจจุบันร่วม 9 รายการ ทั้งในส่วนของแบรนด์แม่สุนีย์ ขนมไทย และ EZY SWEET ที่มียอดขาย 650,000 ชิ้นต่อวัน การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ของตนเอง แต่สิ่งที่จำเป็นคือพันธมิตรและคู่คิดที่ดี" ก้องปพัฒน์ กล่าว


20 ปี ขนมไทย "แม่ละมาย" ในเซเว่น
สร้างยอดขายกว่า 100 ล้านบาทต่อปี

คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ "แม่ละมาย" เพราะมีสินค้าครอบคลุมทั้งเครื่องดื่มและขนมหวานวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่นนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นส่งในเซเว่น อีเลฟเว่นเพียงแค่ 20 สาขา กระทั่งปัจจุบันมีจำหน่ายมากกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ โดยมีสินค้ามากกว่า 10 ตัว อาทิ วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลัก,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำลำไย,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง,ลูกตาลลอยแก้ว,วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลักในน้ำใบเตย,เครื่องดื่มเม็ดแมงลักผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำแดง,น้ำขิงผสมวุ้นมะพร้าว,น้ำใบเตยผสมวุ้นมะพร้าว และยังมีสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล, เต้าทึง ซึ่งได้สร้างยอดขายให้บริษัทมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี



ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรกรเติบโตไปด้วยกัน 

นายวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย ผู้ผลิตขนมหวานตรา "แม่ละมาย" เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์ "แม่ละมาย" เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน คือ การได้แบ่งปันโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเหล่าซัพพลายเออร์ ด้วยการมอบความรู้ให้กับเกษตรกรในเรื่องการเพาะปลูก การเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต การเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้คุณภาพของวัตถุดิบ ที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าคุณภาพส่งต่อให้กับผู้บริโภค ตลอดจนรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศในรูปแบบประกันราคา ไม่ว่าจะเป็นวุ้นน้ำมะพร้าว,เม็ดแมงลัก,ลำไยอบแห้ง,ลูกตาล,สัปปะรด คิดเป็นปริมาณการใช้งานเฉลี่ยกว่า 1,000 ตันต่อปี และก่อให้เกิดการจ้างงานในชุมชนคิดเป็นจำนวนเงินราว 12-14 ล้านบาทต่อปี

"การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องรู้จักแบ่งปันโอกาสการเติบโตให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในส่วนของเรามองว่า เกษตรกร ถือเป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" วีระ กล่าว

นอกจากการให้โอกาสแล้ว ในฐานะที่เป็น SME สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือ การพัฒนาตัวเองและสินค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้มีการนำ แห้ว ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นของ จ.สุพรรณบุรี มาใช้เป็นส่วนประกอบในวุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง และได้ทีม ซีพี ออลล์ มาช่วยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง ให้มีความสวยงามทันสมัย สะดวกต่อการบริโภค รวมถึงมาตรฐานการผลิต เนื่องจากมองว่ายิ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน ยิ่งต้องพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด



30 ปี เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา"ในเซเว่น
ลดความผิดพลาด สร้างคุณภาพสม่ำเสมอ

นับเป็นเวลาร่วม 30 ปีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชลกิจปทานผล ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพและอยู่เคียงข้างเป็นบริษัทคู่ค้ากับเซเว่น อีเลฟเว่น มาโดยตลอด จนในวันนี้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ได้ถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการและยังคงเดินทางร่วมกับซีพี ออลล์ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภคทุกวัน



นำเครื่องจักรช่วยลดความผิดพลาดให้กิจการเล็กๆ 

ชลกุล ชลกิจปทานผล หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.ชลกิจปทานผล เล่าย้อนความให้ฟังว่า เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา" เป็นสินค้าตัวที่ 3 ที่บริษัทส่งขายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น จากเดิมเคยทำวุ้นกะทิและวุ้นน้ำมะพร้าวในน้ำเชื่อม แต่ด้วยความไม่แน่นอนในเรื่องของราคาวัตถุดิบหลักอย่างมะพร้าว จึงทำให้คุณพ่อมองหาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งก็คือ "เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม" โดยใช้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ในรูปแบบพร้อมดื่มและแบบถ้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบการจำหน่ายสู่แบบถุงภายใต้แบรนด์ "บางช้าง" ในราคาเพียง 8-12 บาทเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี และสร้างยอดขายสูงสุด 100,000 ถ้วยต่อวัน

"แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้เพียง 3 ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านมักสอนเสมอก็คือ เราจะต้องเป็น SME ที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้นิยามใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเอง SME (Small Micro Enterprises) นั่นคือพยายามทำให้องค์กรเล็กที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อจึงหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาเครื่องจักรเพื่อลดความผิดพลาดในส่วนต่างๆ เพราะการเป็นคู่ค้ากับซีพี ออลล์ สิ่งสำคัญคือเราต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้วันนี้เราสามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้นจาก 10,000 ถ้วยต่อวันในปี 2545 เป็น 120,000 ถ้วยต่อวัน ด้วยคนจำนวนเท่ากันคือ 15 คน" ชลกุล กล่าว


"วรพร" ผลไม้แปรรูป เลือกวัตถุดิบคุณภาพ
20 ปี ในเซเว่น ช่วยส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน

"วรพร" แบรนด์ผลไม้แปรรูปที่ยืนหยัดอยู่ในธุรกิจผลไม้แปรรูปมานานกว่า 50 ปี อีกทั้งยังเป็นคู่ค้าสำคัญของซีพี ออลล์มาถึงกว่า 20 ปี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด ปัจจุบันถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภค

ชัยพร โสธรนพบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด เล่าย้อนความให้ฟังว่า แบรนด์"วรพร" ถือกำเนิดจากธุรกิจครอบครัวโดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ มะม่วงแช่อิ่ม กระทั่งเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับโอกาสจาก ซีพี ออลล์ ให้นำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมกับถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านต่างๆ เรียกว่าเป็นการพลิกโฉม มะม่วงแช่อิ่มแบบเดิมๆ ที่ดองใส่ขวดโหล สู่บรรจุภัณฑ์พร้อมรับประทานเจ้าแรกของประเทศ



3 ข้อหัวใจหลักทำให้ "วรพร" ประสบความสำเร็จ

สำหรับรสชาติและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในวันนี้ "วรพร" สามารถสร้างยอดขายจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้สูงถึงกว่า 130 ล้านบาทต่อปี โดยยอดขายกว่า 60-65% มาจากมะม่วงแช่อิ่มพร้อมทาน มะม่วงแช่อิ่มพร้อมพริกเกลือ มะขามแช่อิ่ม มะดันแช่อิ่ม มะปรางแช่อิ่ม มะม่วงกวน และมะม่วงกวนปรุงรส ที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น

"ด้วยความที่สินค้าของเราเป็นสินค้าเพื่อการบริโภค หัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจึงต้องมี 3 ข้อนี้คือ 1.ต้องสร้างมาตรฐานการผลิต เพื่อให้ได้สินค้าที่ได้มาตรฐาน ต้องหมั่นทดสอบสินค้าอยู่เสมอว่ามีรสชาติคงเดิมหรือไม่ ถ้ารสชาติเปลี่ยนไปก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด มาจากขั้นตอนการผลิตหรือวัตถุดิบ เพื่อจะได้รีบดำเนินการแก้ไข 2.ใช้วัตถุดิบคุณภาพ เราเลือกใช้มะม่วงของ จ.ฉะเชิงเทรา แหล่งผลิตมะม่วงที่ดีที่สุดของประเทศไทย โดยเรารับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรประมาณ 5,000 ตันต่อปี และ 3.ส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน เรามองว่า เกษตรกร เป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" ชัยพร กล่าว

จากร้านห้องแถว คุณเก๋ขนมหวาน
สู่รายได้ 140 ล้าน/ปี ในเซเว่น

จากห้องแถว 2 คูหา กำลังการผลิตเพียง 10,000 ถ้วยต่อวัน ในปี 2551 ยอดขายเพียงหลักล้านบาทต่อปี สู่โรงงานขนาดมาตรฐานที่มีกำลังการผลิต 60,000 ถ้วยต่อวัน กับยอดขายที่สูงถึงกว่า 140 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี การจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น มนสวรรณ ศรัณย์เวชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการเรียนรู้และปรับตัวรอบด้าน พร้อมกับเปิดกว้างด้านความคิด เนื่องจากเดิมบริษัทเป็นที่รู้จักในนามของ "คุณเก๋ขนมหวาน" แต่ปัจจุบันได้มีโอกาสก้าวมาพัฒนาสินค้าร่วมกับซีพี ออลล์ ภายใต้แบรนด์ EZY SWEET มีสินค้าส่งจำหน่ายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น รวม 10 ชนิด อาทิ สาคูเปียกข้าวโพด ทับทิมกรอบกะทิสด รวมมิตรกะทิสด ด้วยยอดผลิตสูงสุด 60,000 ถ้วยต่อวัน



องค์ความรู้ที่ดี ก้าวย่างสำคัญ SMEs เติบโตยั่งยืน

"SMEs ส่วนใหญ่คิดจะพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่เราอาจจะพลาดองค์ความรู้ดีๆ ที่จะได้รับจากพันธมิตร เช่น งานวิจัยการตลาด เทคโนโลยีด้านการผลิต การอบรมเพิ่มทักษะด้านต่างๆ ซึ่งเรามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้สินค้าของเราสามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เรายังสามารถส่งต่อองค์ความรู้ที่ได้รับกลับไปสู่ซัพพลายเชนของเราได้อีกด้วย อาทิ เรื่องของธรรมาภิบาล จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน แต่เราต้องสร้างการเติบโตให้กับชุมชน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแบบองค์รวม" มนสวรรณ กล่าว

การเติบโตที่แข็งแกร่ง เกิดจากการนำเอาประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของตนเอง โอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
#8765


นายณัฎฐา คหาปนะ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสำนักงานไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงยังคงมีความต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ แต่กำลังซื้อของคนกลุ่มนี้ไม่ลดลง ทำให้บางโครงการสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลาไม่นาน เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการลงทุนพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง


" แม้ทิศทางของตลาดบ้านจะมียอดขายดี แต่การที่มีอุปทานใหม่เข้ามาเพิ่มเกินความต้องการอาจจะทำให้ตลาดชะลอตัวได้ เนื่องจากตลาดบ้านหรูยังเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเล็กและอุปสงค์ของตลาดกลุ่มนี้ยังคงมีเพียงจำกัด "


อุปทานบ้านในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน (ทั้งโครงการ) พบว่าการอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับกลุ่มบ้านที่มีระดับราคาขาย 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่ปี 2560 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2564 มีอยู่ในช่วงปีละตั้งแต่ 1,489 หน่วย จนถึง 2,278 หน่วย โดยจำนวนใบอนุญาตจัดสรรในปี 2561 มีจำนวนสูงสุด คือ 2,669 หน่วย ส่วนในระยะเวลา 5 เดือนของปีนี้พบว่ามีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในกลุ่มบ้านที่มีระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป อยู่ที่ 578 หน่วย


จำนวนหน่วยเหลือขายของโครงการบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ณ ครึ่งปีแรกของปี 2564 มีทั้งสิ้น 224 โครงการ มีหน่วยสะสมจำนวนทั้งสิ้น 20,018 หน่วย และขายไปได้ทั้งสิ้น 13,276 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ร้อยละ 66 โดยอัตราการขายเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งมีอัตราการขายอยู่ที่ร้อยละ 30 และปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขายเพิ่มมาอยู่ที่ร้อยละ 66 ในครึ่งปีแรกของปี 2564

นายณัฎฐา ระบุ จำนวนหน่วยขายได้ใหม่ในครึ่งปีแรก 2654 พบว่ามีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ทั้งสิ้น 1,610 หน่วย ซึ่งเป็นหน่วยขายได้ที่มีจำนวนค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่เฉลี่ยประมาณ 2,500 หน่วยต่อปีเท่านั้น และคาดว่าในครึ่งปีหลังของปี 2564 นี้ จำนวนหน่วยขายได้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้นเกือบประมาณ 3,000 หน่วย

บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10-20 ล้านบาท มีอุปสงค์สูงสุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7,218 หน่วย รองลงมาคือบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 21 – 30 ล้านบาท และ 31 – 40 ล้านบาท มีอุปสงค์อยู่ที่ 2,612 หน่วย และ 1,871 หน่วยตามลำดับ ในส่วนของอัตราการขายที่สูงสุด คือ บ้านระดับราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท เนื่องจากอุปทานที่มีอยู่จำกัด ทำให้อัตราการขายสูงที่สุด ซึ่งมีอัตราการขายอยู่ในอัตราร้อยละ 83 รองลงมาได้แก่ บ้านระดับราคาระหว่าง 21 – 30ล้านบาท และ ระดับราคา 51 – 60 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตราร้อยละ 77 และ 74 ตามลำดับ ส่วนบ้านระดับราคา 61 – 70 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่มีอุปสงค์ต่ำที่สุดและอัตราการขายต่ำที่สุด

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในครึ่งปีหลัง 2564 ยังมีสัญญาณที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดอสังหาฯ ประเภทอื่น เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อบ้านในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจหดตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบจากการเข้มงวดสินเชื่อของธนาคาร เพราะเป็นกลุ่มที่มีความมั่งคั่งทางการเงินที่ยังสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ตามปกติและส่วนใหญ่จะซื้อด้วยเงินสดมากกว่าการขอสินเชื่อ แม้ในช่วงนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงก็ตาม


โดยในครึ่งปีหลังผู้ประกอบการรายใหญ่ค่อนข้างที่จะระมัดระวังการเปิดตัวโครงการใหม่และขยับขยายการพัฒนาโครงการแนวราบไปในบริเวณชานเมืองมากขึ้น เช่น โซนเหนือและตะวันตกของกรุงเทพฯ เพราะยังมีพื้นที่ให้เหลือพัฒนา อีกทั้งราคาที่ดินยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับในตัวเมือง เพราะพื้นที่ย่านชานเมืองมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากการพัฒนาถนน รถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ๆ การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ประเภทมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีการพัฒนาและกระจายออกไปยังพื้นที่บริเวณชานเมืองมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อสามารถเลือกทำเลที่อยู่อาศัยได้ตามความต้องการ

นอกจากรูปแบบบ้าน ทำเล คุณภาพที่มีผลต่อการตัดสินใจ สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง คือ สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการรวมไปถึงสภาพแวดล้อมหน้าโครงการ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อได้เห็นถึงความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการอื่นๆ เป็นสิ่งที่จะสามารถช่วยในการตัดสินใจของผู้ซื้อได้เร็วยิ่งขึ้น

"จากจำนวนผู้ประกอบที่มีการพัฒนาโครงการแนวราบและเปิดตัวโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มอุปทานของตลาดบ้านเพิ่มขึ้นและมีมากกว่าอุปสงค์ ทำให้เกิดภาวะการแข่งขันสูงเพราะตัวเลือกที่หลากหลายไม่สอดคล้องกับผู้ซื้อที่ค่อนข้างมีจำกัด อย่างไรก็ดีหากแต่สามารถพัฒนาโครงการที่มีจุดเด่น ออกแบบโครงการได้ตอบโจทย์ตรงตามความต้องการต่อผู้อยู่อาศัยโครงการก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน"
#8766


"บิ๊กป๋อม" อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ อุปนายกสมาคมกีฬาฟุต.แห่งประเทศไทยฯ ฝ่ายพัฒนาฟุตซอลและฟุต.ชายหาด ได้กล่าวถึงภาพรวม ในการจัดการแข่งขัน CONTINENTAL FUTSAL CHAMPIONSHIP THAILAND 2021 และ ผลงานของ ทีมฟุตซอล ทีมชาติไทย ในการเตรียมทีมก่อนไป ฟุตซอลโลก 2021 ว่า

"ในนาม สมาคมกีฬาฟุต.แห่งประเทศไทยฯ ผมต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ช่วยสนับสนุน ทำให้เกิดการแข่งขันในครั้งนี้ ทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย ศบค. กรมควบคุมโรค ฝ่ายจัดการเเข่งขัน และ ทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมแรงร่วมใจทำงานหนักกันทุกวัน จนทัวร์นาเม้นต์นี้ประสบความสำเร็จ ซึ่ง รายการนี้มีความสำคัญต่อทีมฟุตซอล ทีมชาติไทย เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการทดสอบเตรียมทีมในระยะแรก ก่อนไป ฟุตซอลโลก"

"รายการนี้ เรามีทีมที่ไป ฟุตซอลโลก ถึง 5 ทีม เข้ามาร่วมแข่งขัน การแข่งขันทุกแมตช์จึงเข้มข้นมาก ๆ อีกทั้งต้องลงเล่น 5 แมตช์ ใน 6 วัน ก็ถือว่าหนักมาก ในการเเข่งขันระดับนานาชาติเเบบนี้ ต้องขอชมเชยทุกทีม ที่เล่นกันเต็มที่ในทุกเเมตช์ เป้าหมายสำคัญของทีมชาติไทยครั้งนี้ ก็คือ การทดสอบระบบทีม เเละ การทำงานร่วมกันของทีมกับหัวหน้าผู้ฝึกสอน เเละ ทีมสต๊าฟฟ์ชุดใหม่ ก่อนหน้านี้ เรามีเวลาเตรียมทีมฝึกซ้อมเพียง 9 วัน เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น ซึ่งผลงานโดยรวมออกมาได้ขนาดนี้ ค่อนข้างน่าพอใจในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่การเข้ามาชิงกับ อิหร่าน ก็ถือว่าทุก ๆ คนได้ผ่านเกมที่มีมาตรฐานสูง หลากหลายสไตล์ รวมทั้ง ผ่านสภาวะความกดดันในแต่ละแมตช์มาได้"

"สำคัญคือ เราสามารถประเมินทีมในขณะนี้ได้ ซึ่งมีทั้งข้อดีเ เละ จุดด้อย ที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกันอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องของเกมรับ และ สมรรถภาพของร่างกาย รวมถึง รายละเอียดต่าง ๆ ในด้านเเท็คติค ความเข้าใจในการใช้ Video Support เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาระบบทีมให้ลงตัว ก่อนการเเข่งขัน ฟุตซอลโลก โอกาสนี้ ผมขอเเสดงความชื่นชม และ ยกย่องความเป็นนักสู้ของนักฟุตซอลทีมชาติ ที่มีสปิริตทีมที่ยอดเยี่ยม เห็นได้ว่า เกือบทุกเกมที่เราโดนนำก่อน แต่สุดท้ายก็สามารถกลับมาคว้าชัยชนะได้ นั่นเป็นปัจจัยสำคัญ ที่เราได้ในเเง่ของทัศนคติการเล่น และ ความมุ่งมั่นกระหายชัยชนะ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของทีมชาติไทยชุดนี้ ในการไปสู้ศึกในเวทีโลก"

"หลังจากนี้ เราจะมีเวลาอีกประมาณเดือนเศษ จบทัวร์นาเม้นต์นี้ ก็จะปล่อยนักเตะได้กลับไปพัก ก่อนจะเรียกรวมพลอีกครั้ง ในฐานะฝ่ายพัฒนาฟุตซอลและฟุต.ชายหาด ของ สมาคมกีฬาฟุต.ฯ ก็ต้องเร่งเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งการฝึกซ้อม และ หาเกมอุ่นเครื่องเพิ่มอีก 4-5 แมตช์ โดยเฉพาะทีมจากยุโรป หรือ แอฟริกา เรามีเเผนงานในการจัดทัวร์นาเม้นต์ เพื่อทดสอบระบบทุกอย่างของทีมในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้พร้อมมากที่สุด ก่อนจะไป เวิลด์คัพ"

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000075195
#8767



นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สายการบินไทยแอร์เอเชียได้รับผลกระทบการระบาดหลายระลอกจากวิกฤติโควิด-19 มานานกว่า 1 ปีครึ่ง โดยเฉพาะการระบาดระลอก 4 ส่งผลให้ไทยแอร์เอเชียประกาศหยุดทำการบินเส้นทางในประเทศชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.-8 ส.ค.นี้

ล่าสุดทางไทยแอร์เอเชียได้ออกมาตรการระยะสั้นเพื่อควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย เพื่อเลื่อนและแบ่งจ่ายเงินเดือนพนักงาน โดยสายการบินฯได้ขอความร่วมมือจากพนักงานเพิ่มเติม สำหรับเดือน ก.ค.2564 ดังนี้

พนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไป รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เลื่อนการจ่ายเงินเดือนทั้งหมดไปในเดือน ก.ย. 2564

พนักงานระดับปฏิบัติการขึ้นไปที่ Active (ปฏิบัติงานอยู่) จ่ายเงินเดือน 50% และเลื่อนการจ่าย 50% ที่เหลือไปในเดือน ก.ย.2564

พนักงานที่ Inactive (ไม่ได้ปฏิบัติงาน) เลื่อนการจ่ายเงิน 25% ไปในเดือน ก.ย.2564

หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐ เมื่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ออกประกาศระงับทำการบินขนส่งผู้โดยสารเข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) เป็นการชั่วคราว มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา

นายธรรศพลฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าแนวโน้มตลอดเดือน ส.ค.นี้ ไทยแอร์เอเชียจะยังคงหยุดทำการบินเส้นทางในประเทศเป็นการชั่วคราวตลอดทั้งเดือน ถึงแม้ว่ารัฐบาลยังไม่ประกาศล็อกดาวน์เกี่ยวกับระงับเที่ยวบินชั่วคราวเพิ่มเติม ณ ปัจจุบัน แต่จากการประเมินแนวโน้มและสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อในไทยที่พุ่งสูงแล้ว น่าจะล็อกดาวน์ต่อ ถึงอนุญาตให้ทำการบิน สายการบินก็คงทำการบินกันน้อยมาก เพราะไม่คุ้มทุน มีเพียงการเดินทางตามความจำเป็น ทำธุระ หรือค้าขาย ยังไม่สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ

"อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูประกาศของรัฐบาลอีกที แต่ดูแนวโน้มแล้วน่าจะล็อกดาวน์ต่อ ไม่สามารถทำการบินได้ เพราะฉะนั้นในเดือน ส.ค.นี้ทำให้สายการบินไทยแอร์เอเชียมีรายได้เป็นศูนย์ และอาจจะไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานเลย โดยจะยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากสำนักงานประกันสังคมให้ช่วยจ่ายรายได้ชดเชยแก่พนักงานของไทยแอร์เอเชียซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 5,000 คน"

สำหรับแผนการปรับโครงสร้างกิจการเพื่อมุ่งเสริมสภาพคล่องของไทยแอร์เอเชียที่ประกาศเมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา น่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ย.นี้ เงินทุนก้อนแรกน่าจะเข้ามาเสริมสภาพคล่องแก่ไทยแอร์เอเชียในเดือนดังกล่าว แล้วนำมาจ่ายเงินเดือนพนักงานย้อนหลังที่ติดค้างไว้

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952173
#8768



แง้มให้รู้ว่ากำลังจะมีผลงานเพลงซิงเกิ้ลใหม่อีกไม่นานสำหรับกลุ่มศิลปินร็อกมากฝีมือ 7Days Crazy นำโดย โบ๊ต-ธีรพล มาลัยวงศ์ (ร้องนำ), โต้ง-ศรายุทธ พรหมประสาท (กีตาร์) และ ไอส์-พิเชษฐ์ สุวรรณพันธุ์ (เบส) แต่ก่อนจะได้ไปฟังพร้อมกัน ช่วงนี้วงไม่ปล่อยให้แฟนๆ คิดถึงนาน เลยขอหยิบเอาเพลง "ฉันนอนไม่หลับ" ซิงเกิ้ลเปิดตัววงในค่ายข้าวสารเอ็นเตอร์เทนเมนท์ มาทำใหม่ในแบบฉบับอะคูสติกเวอร์ชั่นให้ฟังแบบสบายๆ กันก่อน


โบ๊ต-ธีรพล นักร้องนำเล่าถึงการทำงานเพลงนี้ว่า "เพลงนี้เราได้ลองเปลี่ยนสไตล์ดนตรีที่แปลกใหม่กว่าเดิมในแบบของวงเรา จากที่เราเคยทำเพลงแบบร็อกหนัก เพลงนี้ก็จะปรับให้มีจังหวะมากขึ้น แฟนๆ ก็ชอบกันนะครับ บอกว่าดนตรีเรามีสีสันมากขึ้น ฟังง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้วงเรายังมีเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ก็คือนแบบอะคูสติกเวอร์ชั่นมาให้ฟังกันด้วย ซึ่งสไตล์ดนตรีเวอร์ชั่นนี้เราพยายามตัดซาวน์พวกอิเล็กทรอนิกส์ออกไป เหลือไว้ในพาร์ทกีตาร์โปร่ง จะได้ฟังง่ายขึ้น ในเรื่องดนตรีจะเป็นโต้งมือกีตาร์ของเราเป็นคนขึ้นโครงเพลงมาก่อน แล้วทุกคนก็มาช่วยกันปรับให้ลงตัว ส่วนการร้องของผมก็เป็นฟิลสบายๆ ครับ จริงๆ เพลงนี้เราเตรียมงานกันมาซักพักแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้รวมตัวกันยากหน่อย แต่เราก็พยายามทำเพลงออกมาให้ดีมากที่สุด ฝากติดตามด้วยครับ"
#8769



แรงบันดาลใจในวัยเด็กที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกลบไป หรือละทิ้งความพยายามที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง สำหรับ สาวเก่งมากความสามารถ หนึ่งในนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง "หมอเจี๊ยบ-พญ.ศรินทิพย์ สุนทรัช" ผู้ก่อตั้งเดอะ โคลฟเวอร์ คลินิก (The Clover Clinic) กลับนำแรงบันดาลใจที่มีมาต่อยอดเป็นสิ่งที่ตนเองหลงใหล โดยเริ่มต้นจากคำว่า "อยากช่วยเหลือคนอื่นๆ" กับการเริ่มต้นธุรกิจความสวยความงามของตัวเอง แม้เป็นลูกสาวคนโตของบ้านจากพี่น้อง 3 คน แต่ที่ผ่านมาครอบครัวไม่ได้บังคับให้สานต่อธุรกิจที่บ้านเลย (ธุรกิจเซียงกง) ให้เลือกตามความชอบของตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกว่าเลือกถูก เพราะอาชีพในปัจจุบันตรงกับจริต และมีความสุขในทุกวันที่ได้ออกไปทำงานดูแลคนไข้


หมอเจี๊ยบ-พญ.ศิริทิพย์ เรียนจบมัธยมปลายสายวิทย์-คณิตศาสตร์ จากโรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในวัยเด็กคิดเสมอว่าอยากทำอะไร แต่ด้วยธุรกิจของครอบครัวเป็นเซียงกงคือ นำเข้าอะไหล่รถยนต์ญี่ปุ่นมาขาย จึงมองว่าไม่ได้เหมาะกับตัวเอง อีกทั้งตอนนั้นมีการพูดคุยกับคุณพ่อว่า ในครอบครัวมีผู้สูงอายุ ประกอบกับตัวเองชอบดูแลช่วยเหลือคนอื่นๆ จึงเป็นที่มาให้เลือกเรียนสายแพทย์ จึงศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังเรียนจบได้มีโอกาสไปศึกษาต่อด้านผิวหนังที่มหาวิทยาลัยเวลส์ รวมทั้งศึกษาต่อด้านผิวหนังและความงามที่มหาวิทยาลัยไมอามี และด้านชะลอวัย (Anti-aging) ได้รับ American board anti-aging medicine


"ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรียนแพทย์ทั่วไป 6 ปี จากนั้นไปเรียนต่อเฉพาะทาง Diploma Skin เพราะสนใจด้านผิวหนังและความงาม  สามารถวิเคราะห์ได้จากการมองเห็นตั้งเเต่แรกและตรวจเพิ่มเติม ส่วนเรื่องความงามเป็นคนที่ชอบเรื่องความสวยความงามอยู่แล้ว คิดว่ารักษาแบบนี้น่าจะดีกับคนไข้ ถึงแม้เป็นเพียงการแก้ไขรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการช่วยรักษาจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะการทำให้คนไข้ มีความมั่นใจมีความสุขมากขึ้น ถึงแม้เป็นการรักษาแบบ Outside-In แต่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทั้งภายในและภายนอกกี่ยวข้องกันหมด เรารักษาผสมผสานทั้ง Inside-Out และ Outside-In พอดูแลคนไข้แบบองค์รวมทั้งหมด คนไข้มั่นใจมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เห็นตัวอย่างหลายๆ เคสไม่ใช่แค่ภายนอกดีขึ้นอย่างเดียว หลายอย่างเช่นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ความมั่นใจ เรื่องการงาน ทุกอย่างดีขึ้นหมด ทำให้ชอบและรักที่จะทำงานนี้ และทำให้รู้ว่านี่คืองานที่เป็นตัวตนและตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด"

เส้นทางการทำงานของหมอเจี๊ยบ เริ่มต้นทันทีหลังเรียนจบกับเส้นทางความสวยความงาม โดย 8 ปีแรกทำที่คลินิกความงามทั่วไป ตอนนั้นรู้สึกว่าใช่ เพราะเวลารักษาคนไข้ ไม่ได้คิดว่าเป็นการรักษา แต่มองว่าเป็นการแนะนำเพื่อน มีการพูดคุยบางคนสนิทจนเป็นมิตรภาพยาวนาน ที่ยังคุยกันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่ดีกับคนไข้ไปโดยปริยาย บางคนดูแลเขาตั้งแต่เป็นนักศึกษา จนปัจจุบันแต่งงานมีลูกไปแล้ว ก็เป็นการตอกย้ำความคิดของเราในวันที่เริ่มต้นว่า อยากดูแลทุกคนให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ  รู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติที่อยู่ในหลายช่วงของชีวิตคนอื่น เป็นคนที่ช่วยทำให้คนที่เป็นทุกข์เพราะสิวเรื้อรังดีขึ้น ทำให้เจ้าสาวรู้สึกสวยที่สุดในวันแต่งงาน หรือเป็นส่วนที่ทำให้คนไข้ได้ดูแลตัวเองและรักตัวเอง และส่งพลังบวกไปยังคนรอบข้าง

สำหรับจุดเปลี่ยนที่มาเริ่มต้นทำคลินิกของตัวเอง หมอเจี๊ยบยอมรับว่าเพราะมองเห็นว่า อยากมอบประสบการณ์และทุกอย่างให้คนไข้ในแบบดีที่สุด อยากใช้อะไรที่เลือกมาแล้วว่าดีที่สุด อยากหลุดจากกรอบเดิมๆ ที่เคยทำมา อยากใช้ยาและเครื่องมือดีที่สุด และมอบบริการที่ดีและจริงใจเหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ถึงแม้ต้องซื้อเครื่องมือราคาแพงและลงทุนสูงแต่อยากเน้นสิ่งที่อยากทำเป็นหลัก เลยเป็นจุดเริ่มต้น The Clover สาขาแรกที่สุขุมวิท 26 ด้วยความที่อยากมีสถานที่ ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนไข้ โดยเป็นย่านออฟฟิคมุ่งเน้นการที่ไม่มีเซลล์ขาย เพราะไม่อยากให้คนไข้รู้สึกอึดอัดและถูกยัดเยียด ลูกค้าทุกคนได้เจอกับคุณหมอโดยตรง ถึงแม้ว่าการขายแบบ hard sale อาจช่วยให้ยอดขายมากขึ้น แต่การทำคลินิกตามความชอบของตัวเอง คิดว่าตัวเองอยากใช้บริการคลินิกแบบไหน จึงอยากทำให้คนที่เข้ามาสบายใจ ที่สำคัญคือ ประทับใจและต้องกลับมาอีกครั้ง เลยยึดแนวทางนี้จนขยายสาขามาเรื่อยๆ และเติบโตขี้นจนถึงปัจจุบัน


การทำงานในฐานะลูกน้องและเจ้าของธุรกิจสาวไฟแรงอย่างหมอเจี๊ยบยึดหลัก ต้องจริงใจทั้งกับพนักงาน ที่มองว่าเหมือนครอบครัว เรียกได้ว่าพนักงานแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ โดยเราต้อง Give&Take ให้คนอื่นก่อน และดูแลทุกคนให้ดีๆ เหมือนคนในครอบครัว ให้โอกาสเขาพัฒนาศักยภาพ เช่นเดียวกับคนไข้ เราต้องมีความจริงใจ พยายามใช้สิ่งที่ดีที่สุด และมีราคาที่สมเหตุสมผล คนไข้รับได้และเราอยู่ได้ เหมือนหลักการง่ายๆ คือ ความจริงใจ เวลาที่เราอยากคบใครยาวๆ มองว่า ต้องมีความจริงใจต่อกัน ก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาว


ส่วนแนวคิดหลักในการดำเนินชีวิต คุณหมอคนสวยพยายามทำหน้าที่แต่ละวันให้ดีที่สุด ซึ่งมองว่ายังใช้ได้ตลอด โดยต้องตั้งเป้าหรือเซตความสำคัญในแต่ละวัน เพราะใน 1 วัน มีจำกัด ดังนั้นต้องตั้งความสำคัญกับเรื่องที่จะทำในแต่ละวัน และเริ่มต้นลงมือทำ โดยนอกเหนือจากงานประจำแล้ว ชอบเล่นโยคะเพราะช่วยฝึกสมาธิให้การทำงาน ทำให้จิตใจสงบ และเอาไว้มองตัวเอง รับรู้การเคลื่อนไหวของตัวเอง เล่นมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว นอกจากนั้นงานอดิเรกที่ทำเพิ่มเติมจากงานบริหารคลินิกคือ การลงทุนต่างๆ เพื่อให้มี passive income สำหรับการต่อยอดในอนาคตอีกด้วย ซึ่งในอนาคตอยากขยายสาขา (ปัจจุบันมี 5 สาขา) เพื่อรองรับความต้องการของคนไข้  และรวมไปถึงเพิ่มแนวทางรักษาแบบแอนไท-เอจจิ้ง ให้มากขึ้น เนื่องจากจะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้นมีเรื่องของ Inside-Out ในแง่การดูแลสุขภาพ จะสามารถดูแลได้องค์รวมให้คนไข้มากยิ่งขึ้น

https:// www.dailynews.co.th/news/110745/
#8770



การระบาดของ "โรคโควิด-19" ระลอกใหม่ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ขยายพื้นที่สีแดงเข้มให้มาครอบคลุมจังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี ในขณะที่หลายฝ่ายต้องการให้ภาครัฐดำเนินการคู่ขนานในการวางแผนเตรียมปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับหลังการระบาด 

รวมทั้งเมื่อการระบาดเริ่มคลี่คลายจะทำให้ประเทศไทยสามารถเตรียมดึงการลงทุนและการท่องเที่ยวใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ได้อย่างเต็มที่ทันที โดยเฉพาะการเตรียมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลาในการจัดทำโครงการ

ปรัชญา สมะลาภา ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออก หอการค้าไทย กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรใช้เวลาช่วงจังหวะนี้ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ปรับโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่เพียงเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออก ทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ เพราะเราไม่รู้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะจบเมื่อไร และจบแบบไหน สิ่งที่ควรจะทำในขณะนี้คือเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ในช่วงเวลาปกติ บางโครงการต้องใช้เวลานานทั้งขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง งบประมาณ ระยะเวลาดำเนินการ

สำหรับเมืองท่องเที่ยวในอีอีซี เช่น เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ควรต้องเร่งดำเนินการในหลายเรื่องนอกเหนือจากที่มีการพัฒนาชายหาด

บริเวณอ่าวนาจอมเทียน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวของเมืองพัทยาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของภาคตะวันออกซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมหลายประเด็นเช่น ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ปัญหาการจราจร การซ่อมแซมถนน ระบบการระบายน้ำ ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

"ผมมองว่าขณะนี้ช่วงเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีในการที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปรับปรุงกฎหมาย แก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โครงการต่างๆ ที่ค้างท่อ โครงการที่จะรองรับนักท่องเที่ยวควรเร่งทำให้เสร็จ อะไรที่ควรทำก็ทำ ไม่ใช่เปิดประเทศแล้วค่อยมาเริ่มทำ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นหากจะทำอาจก็ไม่ทันการณ์แล้ว"


วิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมเจ้าท่าได้รับนโยบายจากกระทรวงคมนาคมให้เร่งปรับปรุงชายฝั่งทางทะเลเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยล่าสุดได้ดำเนินโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นโครงการต่อเนื่องของกรมเจ้าท่า ในการบูรณะชายฝั่งในพื้นที่ภาคตะวันออกและเป็นแหล่งธุรกิจภาคการท่องเที่ยว

"ก่อนหน้านี้กรมฯ ได้ดำเนินการเสริมทรายชายหาดพัทยา เพื่อเพิ่มพื้นที่บริเวณชายหาดให้กว้างขึ้น เหมาะแก่การทำกิจกรรม และสนับสนุนการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี" 

ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าจึงได้ดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องบริเวณหาดจอมเทียนเพราะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อ และยังอยู่ระหว่างจัดสรรงบประมาณปี 2565 เพื่อศึกษาเสริมทรายชายหาดบางเสร่เพิ่มเติม

รายงานข่าวระบุว่า สำหรับชายหาดบางเสร่ที่กรมเจ้าท่า เตรียมศึกษาการเสริมทรายชายหาด อยู่ในเขตอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งทำให้ชายหาด "บางเสร่" เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ระหว่างสัตหีบและหาดจอมเทียน โดยเป็นชายหาดติดถนนที่เดินทางสะวด มีความยาวของชายหาด 1,500 เมตร รวมทั้งมีการพัฒนาพื้นที่ชายหาดรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จึงมีความเหมาะสมที่จะได้รับการพัฒนาเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมต่อกัน

วิทยา กล่าวว่า สำหรับชายหาดจอมเทียน ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่ชายหาดถดถอยและลดขนาดลงไปทุกปี ไม่เพียงพอต่อความต้องการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่ภาคพิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.จึงได้ประสานขอให้กรมเจ้าท่าดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยิ่งหนัก! พบเสียชีวิตสูง 178 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 18,912 ราย
เคาะ! 'ประกันโควิด' ป่วย-ตายที่บ้าน เคลมค่ารักษาพยาบาลได้
'3กูรูเศรษฐศาสตร์' ชี้ 3 เดือน ไทยเผชิญความเสี่ยง สาธารณสุขล่ม - ศก.ทรุด - ตกงานพุ่ง 
อีกทั้งการรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปี 2552 ได้ศึกษาและจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่อ่าวไทยตะวันออก และจัดให้พื้นที่ชายหาดจอมเทียนเป็นพื้นที่กัดเซาะรุนแรงต้องได้รับการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ส่งผลให้ในปี 2557 กรมเจ้าท่า ได้ทำการว่าจ้างสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี

โดยมีพื้นที่ศึกษาตลอดแนวชายหาดจอมเทียน ความยาว 6.2 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณหน้าร้านอาหารลุงไสวถึงบริเวณแนวโขดหินหน้าสวนน้ำพัทยาปาร์ค วอเตอร์เวิล์ด ระยะที่ 1 มีความยาว 3,575 เมตร และ ระยะที่ 2 มีความยาว 2,855 เมตร

ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า ได้ทำการว่าจ้าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนระยะที่ 1 มีระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่เดือน พ.ค.2563–พ.ย.2565 รวมระยะเวลา 900 วัน วงเงินราว 586 ล้านบาท โดยแหล่งทรายที่จะนำมาใช้เสริมบริเวณชายหาดจอมเทียนนำมาจากทิศตะวันตกของเกาะรางเกวียน ห่างจากชายหาดจอมเทียนไปทางทะเลประมาณ 15 กิโลเมตร ปัจจุบันเริ่มเสริมทรายชายหาด ตั้งแต่โรงแรมจอมเทียนชาเล่ต์จนถึงโรงแรมยู จอมเทียน พัทยา มีผลการดำเนินงานคิดเป็น 4.39%

อย่างไรก็ดี ภายหลังโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนแล้วเสร็จ จะช่วยบูรณะฟื้นฟูชายหาดจอมเทียนให้กลับมาสวยงาม และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวชายหาดจอมเทียน สร้างรายได้สู่ชุมชนและประเทศ ให้สอดรับกับนโยบายภาครัฐในการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการท่องเที่ยวและการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป
#8771



นายอเลฮานโดร โอโซริโอ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าได้ประกาศศึกสู้โควิดระลอก 4 ผนึกพันธมิตร "KBank-CRG-PTG" (ธนาคารกสิกรไทย (KBank) บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน) (PTG) และอีกหลายเครือข่ายพันธมิตร ผ่าน 4 กิจกรรมหลักซึ่งจะเริ่มต้นส.ค. ส่งโครงการ "สู้ไปด้วยกัน" เร่งสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ภายใต้งบประมาณรวมกว่า 160 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้ป่วยที่แยกกักตัวที่บ้าน โรงพยาบาลและองค์กรการกุศล รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับ เพื่อมุ่งบรรเทาความเดือดร้อนให้คนไทย พร้อมเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กให้สามารถประคับประคองธุรกิจต่อไปได้ ทั้งนี้ 4 กิจกรรมหลักภายใต้โครงการ "สู้ไปด้วยกัน" ประกอบด้วย พร้อมใจสู้คู่ร้านค้า โดยแกร็บร่วมกับ KBank "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ควบคู่ไปกับการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายและกระแสเงินสดหมุนเวียนให้กับธุรกิจร้านอาหาร มอบเงินสนับสนุนให้กับพาร์ทเนอร์ร้านค้าที่ใช้บัญชีกสิกรไทยในอัตรา 15% ของยอดขายในเดือน ส.ค. (จำกัดวงเงินสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อร้าน) โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.grabmerchantth.com/grabfood-kbank


เตรียมจัดแคมเปญ "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อมอบส่วนลดค่าอาหาร 50% เมื่อสั่งอาหารผ่าน GrabFood พร้อมช่วยโปรโมตร้านอาหารขนาดเล็กทั่วประเทศผ่านสื่อและแอพลิเคชั่น โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ พร้อมใจสู้คู่สังคมไทย: โดยแกร็บร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย พร้อมส่งเสริมการบริจาคสมทบทุนโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19ร่วมกับ CRG เพื่อช่วยจัดส่งอาหารจากแบรนด์ในเครือด้วยบริการ GrabExpress ให้กับผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นอกจากนี้ ยังได้มอบส่วนลดค่าบริการให้กับเครือข่ายช่วยเหลือสังคม อาทิ เพจเราต้องรอด และโรงพยาบาลศิริราช ในการจัดส่งอาหารหรือยาให้กับผู้ป่วย


นอกจากนี้ชวนผู้ใช้บริการเปลี่ยนคะแนน GrabRewards เป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนมูลนิธิของโรงพยาบาลต่างๆ อาทิ มูลนิธิรามาธิบดี โดยแกร็บจะร่วมสมทบทุนอีกเท่าตัวของยอดบริจาคทั้งหมดด้วย พร้อมใจสู้คู่พี่คนขับ: สร้างความอุ่นใจและพร้อมให้ความช่วยเหลือพาร์ทเนอร์คนขับที่ถือเป็นด่านหน้าในการให้บริการการเดินทางและการจัดส่งอาหาร-พัสดุผนึก PTG มอบสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับบริการพ่นฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหารของแกร็บที่สถานีบริการปั๊มน้ำมันพีที 855 สาขาทั่วประเทศไทยตลอดเดือนสิงหาคมฟรี รวมไปถึงกล่องใส่อาหาร ร่วมกับ GQ Apparel ทยอยมอบหน้ากากผ้ารุ่น GQWhite™ Mask พร้อมลายสกรีน Vaccinated จำนวน 150,000 ชิ้นให้กับพาร์ทเนอร์คนขับที่ได้รับวัคซีนแล้ว พร้อมใจสู้คู่คนไทย: โดยการมอบส่วนลดค่าบริการส่งอาหารและพัสดุผ่าน GrabFood GrabMart และ GrabExpress เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค ทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมถึง 19 กันยายน 2564 และมอบส่วนลดสูงสุด 80% สำหรับผู้ใช้ใหม่ (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU80" มอบส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับผู้ใช้เดิม (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU30"
#8772



ข้อมูลจากแถลงของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) ณ วันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมามีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมระลอกเมษายนถึง 549,512 ราย ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มการระบาด 578,375 ราย มีผู้เสียชีวิตรวม 4,679 คน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การคาดการณ์เหตุการณ์การระบาด รวมทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทำได้ยาก เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงแม้รัฐบาลจะใช้มาตรการล็อคดาวน์เพื่อคุมการระบาดในพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัด และขยายเป็น 13 จังหวัดมานานกว่า 2 สัปดาห์ หากแต่การระบาดของโรคขณะนี้ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของการระบาดระลอกล่าสุด 

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ในไทยสามารถเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 หมื่นคนต่อวันในช่วงกลางเดือน ก.ย.หากไม่มีมาตรการที่เข้มข้นเพียงพอ และถึงแม้มีมาตรการที่เข้มข้นกว่าที่ผู้ป่วยจะลดจำนวนลงก็ใช้เวลานานหลายเดือน 

ในสถานการณ์ที่การต่อสู้กับโรคระบาดทำได้อย่างยากลำบากช่วงเวลา 3 เดือนต่อจากนี้ (ส.ค. - ต.ค.) ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงทั้งในด้านความสามารถของระบบสาธารณสุขที่ตึงตัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจที่จะทรุดตัวลงจากการแพร่ระบาดที่ขยายออกไปในหลายพื้นที่ และลามไปยังภาคการผลิต และที่เป็นผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาก็คือเรื่องของการตกงานของแรงงานจำนวนมากเป็นผลกระทบที่ตามมาต่อเนื่อง 

"กรุงเทพธุรกิจ" รวบรวมความเห็นของนักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ ที่ติดตามสถานการณ์และคาดการณ์ถึงภาพอนาคตระยะสั้นของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นภาายใน 3 เดือนข้างหน้าทั้งในเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวมทั้งข้อเสนอแนะที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการเพื่อแก้วิกฤติที่เกิดขึ้น ดังนี้ 



นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบไปแล้วกว่า 9 แสนล้านบาท โดยเศรษฐกิจในปีนี้เมื่อเจอการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อจะหวังให้เติบโตสัก 1% ก็ยากและเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจปีนี้จะไม่ขยายตัวเลย

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวมากคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 15% ของจีดีพี และมีการจ้างงานมากถึง 10 ล้านคน การที่ภาคการท่องเที่ยวปิดไปเกือบหมดนั้นหมายความว่าคนเกือบ 10 ล้านคนตกงานไม่มีรายได้ ซึ่งกระทบการใช้จ่ายของประชาชนมาก

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในขณะนี้ถือว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วงเนื่องจากเราต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายพันธุ์มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วคือสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งตัวอย่างที่มีการระบาดในหลายประเทศคือในอินเดีย และล่าสุดในอินโดนิเซียมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้น 10 เท่าภายใน 5 สัปดาห์จนมีผู้ป่วยรายใหม่หลายหมื่นคนต่อวัน 

"เมื่อสายพันธุ์ชนิดนี้ของโควิด-19 เข้ามาเป็นสายพันธุ์หลักในไทยทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยมีความเสี่ยงที่จะรับไม่ไหวเห็นได้จากสัญญาณว่าเริ่มมีการขาดแคลนถังออกซิเจน เริ่มมีการให้ผู้ป่วยออกมานอนนอกอาคารของโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์เริ่มติดโควิด-19 รวมทั้งต้องเอานักศึกษาแพทย์มาช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด ส่วนเมรุที่เผาศพก็เผาศพต่อเนื่องกันจนบางที่พัง"

ทั้งนี้การประกาศล็อคดาวน์เพื่อต่อสู้กับโควิดของรัฐบาลถือว่ามีความจำเป็นและเป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในระลอกต่อไป ซึ่งมีระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นที่จะเตรียมตัว เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนจากสถานะประเทศที่รับมือกับโควิด-19 ไม่ได้เป็นประเทศที่สามารถรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ได้อีกครั้ง 

โดยมี 3 เรื่องที่รัฐบาลต้องทำคือ 1.เร่งรัดการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความพร้อมรับมือกับการกลายพันธุ์ของโควิด-19 

2.เร่งรัดการจัดหาและนำเข้าวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน โดยในเรื่องนี้รัฐบาลและเอกชนควรร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดหาวัคซีนทางเลือกหลายๆยี่ห้อเข้ามาในประเทศไทย

และ3.การบริหารจัดการวัคซีนซึ่งจำเป็นที่จะต้องจัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่ที่สำคัญ ในจุดพื้นที่อ่อนไหวต่อการแพร่ระบาด ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ รวมทั้งพื้นที่ซึ่งมีการแออัดของผู้คนจำนวนมาก ที่มีความเสี่ยงที่จะติดต่อกันง่าย 

"โจทย์ใหญ่ของปีนี้คือการพยุงเศรษฐกิจให้ไปได้ก่อน ระยะเวลา 3 เดือนนี้สำคัญมากๆหัวใจของการฟื้นเศรษฐกิจอยู่ที่วัคซีน หากสามารถจัดการทั้ง 3 ส่วนนี้ได้ดี เมื่อเริ่มเปิดเมืองแล้ว ประเทศไทยจะอยู่ในฐานะที่สามารถรับมือกับการระบาดของโควิดได้อีกครั้ง"นายกอบศักดิ์ กล่าว 


นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันถือว่าวิกฤติมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีควรจะต้องตัดสินใจใช้ "ยาแรง" ในการแก้ไขปัญหา หมายถึงการล็อคดาวน์นั้นต้องทำจริงจัง กำหนดให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านแล้วให้มีระบบการส่งอาหาร ยา ให้ซึ่งสามารถที่จะใช้กำลังพลในกองทัพมาช่วยเหลือเรื่องนี้ได้เพราะนายกรัฐมนตรีเองก็เป็น รมว.กลาโหมซึ่งจะสามารถจัดการได้ 

ทั้งนี้การใช้มาตรการล็อคดาวน์แบบเข้มข้นต้องสื่อสารให้ประชาชน และภาคเอกชนเข้าใจตรงกันว่าเป้าหมายคือรัฐบาลต้องการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ภายใน 3 เดือน ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้ต้องกำหนดเป้าหมายการฉีดวัคซีนและติดตามการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย โดยกำหนดไว้ที่เดือนละ 10 ล้านโดสเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยการเร่งฉีดให้ประชาชนให้ได้อย่างน้อย 70% ของประชากรในประเทศ ซึ่งการที่จะฉีดได้รวดเร็วตามแผนดังกล่าวภายใน 3 เดือนนี้จะต้องกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆไม่ควรกระจุกการฉีดอยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่งเฉพาะ 

"ใน 3 เดือนนี้ต้องคุมโควิดให้อยู่ก่อน แม้จะต้องใช้ยาแรง แต่หากทำเพื่อให้โรคนี้มันจบลง เอกชน  กับประชาชนก็น่าจะเข้าใจเพราะไม่มีใครอยากให้การระบาดเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ เมื่อคุมโควิดอยู่ได้หลังจากนั้นก็กลับมาฟื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย ท่องเที่ยวในประเทศซึ่งหากสามารถทำได้เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายก็ยังสามารถที่จะขยายตัวได้" นายมนตรี กล่าว 

นายมนตรีกล่าวด้วยว่าในปี 2564 เศรษฐกิจของไทยอาจจะขยายตัวได้ประมาณ 1% หรือต่ำกว่า 1% ซึ่งการที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้มาจากภาคการส่งออกแต่ การส่งออกที่ขยายตัวได้มากก็มาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และการส่งออกที่ได้อานิสงค์จาการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก 

ซึ่งในขณะนี้หากรัฐบาลสามารถควบคุมโควิด-19 ได้ในระย 3 เดือน ก็จะยังคงมีช่วงเวลาที่สามารถจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งมาตรการที่สามารถทำได้คือการนำเอามาตรการการจูงใจการใช้จ่ายของผู้มีรายได้สูงซึ่งเป็นส่วนบนของ "ปิดรามิด" ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ ได้แก่ มาตรการช็อปดีมีคืน ซึ่งสามารถเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อรายได้ถึง 1แสนบาทต่อราย

หากมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 1 ล้านรายก็จะมีเงินหมุนเวียนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีอย่างน้อย 3 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะจัดเก็บรายได้เพิ่มจากภาษีได้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทนำมาใช้จ่ายในด้านต่างๆ ส่วนการคืนภาษีให้กับประชาชนก็จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2565 

ขณะที่ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้กล่าวในการเสวนาทางคลับเฮาส์ : CEO โซเซ Just Say SO" จัดเสวนา "CEO โซเซ The Legend..สร้างตำนานผ่านวิกฤติ" จัดโดยฐานเศรษฐกิจและกรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2564 ว่าช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้ หากรัฐบาลแก้ปัญหาโควิดไม่ได้อย่างทันจะลามสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยภาคการผลิตจะหยุดชะงักมากขึ้น และหากลามถึงการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวเดียวแล้วจะน่าห่วงมาก และหากผลิตไม่ได้เศรษฐกิจไม่โตคนขาดรายได้ คนไม่มีเงินไปจ่ายหนี้แบงก์ ผลกระทบจะลามถึงสถาบันการเงินในที่สุด

"เราอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและวิกฤติยังแย่กว่านี้ได้ เพราะวิกฤติโควิดรอบนี้กระทบเศรษฐกิจจริง มีคนล้มตายและเจ็บป่วย ต่างจากวิกฤติปี 2540 ที่กระทบภาคการเงินและคนรวยเท่านั้น"

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเห็นเค้าพายุกำลังจะมา เพราะต้นปี 2564 นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ประเมินจีดีพี 3.5% แต่ผ่านมาครึ่งปีลด 3-4 ครั้งแล้ว จนเหลือ 1.5% หรือตอนนี้อาจเหลือไม่ถึง 1%

ส่วนการประเมินเศรษฐกิจระยะข้างหน้าทำได้ยาก เพราะไม่รู้จริงว่าสายพันธุ์เดลต้าระบาดแรงแค่ไหน รวมทั้งเรามีชุดตรวจไม่พอและสุดท้ายปัญหาแก้ไม่ทันจะลามไปกระทบสถาบันการเงิน รวมทั้งหากรัฐบาลยังทำเช่นนี้แล้วโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าระบาดแรงมากเหมือนต่างประเทศ จะทำให้ปัญหาใหญ่ขึ้น และมองว่าโควิด-19 ยังติดคนไทยได้อีก 50 ล้านคน เพราะคนฉีดวัคซีนครบ 2 โดส มีแค่ 3-4 ล้านคน สมมติคนติดเชื่อแต่ไม่รู้ว่าติดเชื้อก็นำเชื้อไปติดให้คนที่เหลืออีก 60 ล้านคนได้

ปัญหาในวิกฤติโควิด-19รอบนี้ เห็นด้วยว่า ปัญหาอยู่ที่การบริหารของรัฐบาล แต่ยังมีทางออกเพื่อแก้ไข 3 ปัญหา ตอนนี้ คือ

1.เมื่อวัคซีนไม่พอแล้วจะแบ่งให้ใครอันดับแรก ซึ่งต้องแบ่งให้บุคคลการด้านการแพทย์และสาธารณสุขก่อน ที่ผ่านมาฉีดแล้ว 7 แสนราย และต้องฉีดซ้ำ ทำให้ต้องใช้วัคซีนเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้วัคซีนขาดแคลนมากขึ้นไปอีก และตอนนี้รัฐบาลต้องถามตัวเองว่าจะฉีดให้ผู้สูงอายุที่ไม่อยู่ในภาคการผลิต หรือฉีดให้ผู้อยู่ภาคการผลิตคนวัยทำงานเพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อ

"เมื่อวัคซีนไม่พอแล้ว ทำให้รัฐบาลมาถึงจุดบีบบังคับ ให้ตัดสินใจแม้เป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจ แต่ถ้าบอกประชาชนให้ชัดเจนได้ก็ดี ว่าจุดยืนของรัฐบาลอยู่ตรงไหนในเรื่องนี้ หากยังพูดกล้อมแกล้มแบบนี้ ในความกล้อมแกล้ม ยิ่งทำให้เราไม่รู้ทิศทาง"

2.ชุดตรวจยังไม่มากพอเพราะหากเลือกฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุก่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าคนที่อายุน้อย 30-100 เท่า ดังนั้น รัฐบาลต้องพยายามแยกระหว่างคนติดเชื้อ กับคนไม่ติดเชื้อ เพื่อให้คนไม่ติดเชื้อยังสามารถเข้าไปทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะคนในภาคการผลิต ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

 สำหรับทางออกของปัญหานี้ เสนอว่า หากวัคซีนยังไม่พอแล้ว ก็ต้องตรวจให้มาก ทำชุดตรวจโควิด-19 ราคา 5-10 บาท หรือแจกฟรีได้หรือไม่ เพราะโรงงานที่มีแรงงานหลักพันคนจะได้ตรวจกันทุกวัน ต้องแจกชุดตรวจให้มากที่สุด

3.การเยียวยาทันหรือไม่ เพราะสุดท้ายหากยังเกิดปัญหาวัคซีนไม่พอ ชุดตรวจเชื้อยังทำช้าไปอีก คนทำงานไม่ได้ ไม่มีรายได้ ถ้าทุกคนเป็นหนี้แบงก์แล้ว สุดท้ายปัญหาที่สะสมทั้งหมด จะส่งผลกระทบกลับเป็นความเสี่ยงต่อธนาคาร ซึ่งต้องเร่งเยียวยาให้ทัน

"นโยบายการเงินถ้ามองแง่บวก เงินเฟ้อต่ำหนี้ต่างประเทศก็ไม่มี มองว่า ยังใช้นโยบายการเงินได้ พิมพ์เงินมาช่วยเหลือได้ แต่ต้องรู้ว่าจะทำเอาสิ่งนี้มาให้ทันท่วงที อย่าเป็นมาตรการที่ตามปัญหา เพราะตั้งแต่ต้นปีมานี้เราเห็นรัฐบาลมีแต่มาตรการตามปัญหา ไม่เคยมีมาตรการที่แก้ปัญหาก่อนที่จะเกิดเลย" นายศุภวุฒิกล่าว 
#8773



สมาคมธนาคารไทยประสานธนาคารสมาชิก พร้อมรับโอนเงินเยียวยาประกันสังคมผ่านระบบพร้อมเพย์ ให้ผู้ประกันตน ม.33 ที่ได้รับสิทธิรับเงินช่วยเหลือจากคำสั่งล็อคดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม รวม 13 จังหวัด 9 ประเภทกิจการกว่า 2.87 ล้านราย แนะผู้ได้สิทธิรีบสมัครพร้อมเพย์ด้วยบัตรประชาชนก่อนวันที่ 4 ส.ค.นี้

เช็กสิทธิได้เลย เงินเยียวยา ม.33 ถึงมือผู้ประกันตน 4 ส.ค.นี้ ธนาคารโอนเข้าบัญชีผ่านระบบพร้อมเพย์ รีบสมัครด่วน
  
 

สมาคมธนาคารไทยประสานธนาคารสมาชิก พร้อมรับโอนเงินเยียวยาประกันสังคมผ่านระบบพร้อมเพย์ ให้ผู้ประกันตน ม.33 ที่ได้รับสิทธิรับเงินช่วยเหลือจากคำสั่งล็อคดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม รวม 13 จังหวัด 9 ประเภทกิจการกว่า 2.87 ล้านราย แนะผู้ได้สิทธิรีบสมัครพร้อมเพย์ด้วยบัตรประชาชนก่อนวันที่ 4 ส.ค.นี้

ทั้งนี้สมาคมธนาคารไทยได้มีการประสานธนาคารสมาชิก เพื่อเตรียมพร้อมดำเนินการรับโอนเงินเยียวยาประกันสังคมเข้าบัญชีธนาคารผ่านระบบพร้อมเพย์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้นายจ้างและผู้ประกันตน ม.33 ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกปิดกิจการตามประกาศคำสั่งของ ศบค.

โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะทำการโอนให้ผู้ประกันตนตาม ม.33 ที่ได้รับสิทธิในวันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 เฉพาะ 10 จังหวัด จำนวนผู้ประกันตนกว่า 2.87 ล้านราย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา สำหรับ 3 จังหวัดที่เหลือได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา จะแจ้งการโอนเงินให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง

ทั้งนี้นายจ้างและผู้ประกันตน ม.33 ที่จะได้รับเงินช่วยเหลือนี้ ต้องเป็นผู้ได้สิทธิตามคุณสมบัติและเงื่อนไข โดย สปส.จะเปิดให้ตรวจสอบสิทธิบนเว็บไซต์ของ สปส.โดยผู้ประกันตนที่มีบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนจะได้รับการโอนเงินเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องติดต่อธนาคารเพื่อเปิดบัญชีใหม่ หรือลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยบัตรประชาชนใหม่

สำหรับผู้ประกันตนที่ได้สิทธิและมีบัญชีธนาคาร แต่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชน หรือเดิมผูกด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ สามารถดำเนินการผูกบัญชีหรือเปลี่ยนพร้อมเพย์จากโทรศัพท์มือถือมาเป็นผูกกับหมายเลขบัตรประชาชนด้วยตนเอง ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารที่มีบัญชีอยู่เช่น Mobile Application, Internet Banking และเครื่อง ATM ตามช่องทางที่แต่ละธนาคารให้บริการ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาธนาคาร เพื่อความสะดวกและลดความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19

ส่วนผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิและยังไม่เคยมีบัญชีเงินฝาก สามารถใช้บริการเปิดบัญชีผ่านช่องทางออนไลน์ จากนั้นค่อยลงทะเบียนผูกพร้อมเพย์ด้วยหมายเลขบัตรประชาชน ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อขอรับสิทธิตามมาตรการเยียวยาดังกล่าว หากมีข้อสงสัยเรื่องการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชน หรือช่องทางที่สามารถทำได้ สามารถศึกษาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ หรือติดต่อสอบถามผ่านคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารที่ใช้บริการอยู่ทั้งนี้ ผู้ประกันตน ม.33 สามารถตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาได้ที่ https://www.sso.go.th หรือโทรศัพท์สายด่วนประกันสังคม 1506 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

อนึ่งหากผู้ประกันตนมีความจำเป็นต้องไปทำธุรกรรมที่สาขาของธนาคาร ทางสมาคมธนาคารไทย ขอความร่วมมือผู้ติดต่อใช้บริการ ณ สาขาธนาคาร ในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานดูแลความปลอดภัยที่ธนาคารแต่ละแห่งได้กำหนดไว้ เพื่อร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้สมาคมธนาคารไทยได้มีการประสานธนาคารสมาชิก เพื่อเตรียมพร้อมดำเนินการรับโอนเงินเยียวยาประกันสังคมเข้าบัญชีธนาคารผ่านระบบพร้อมเพย์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้นายจ้างและผู้ประกันตน ม.33 ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกปิดกิจการตามประกาศคำสั่งของ ศบค.

โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะทำการโอนให้ผู้ประกันตนตาม ม.33 ที่ได้รับสิทธิในวันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 เฉพาะ 10 จังหวัด จำนวนผู้ประกันตนกว่า 2.87 ล้านราย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา สำหรับ 3 จังหวัดที่เหลือได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา จะแจ้งการโอนเงินให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง

ทั้งนี้นายจ้างและผู้ประกันตน ม.33 ที่จะได้รับเงินช่วยเหลือนี้ ต้องเป็นผู้ได้สิทธิตามคุณสมบัติและเงื่อนไข โดย สปส.จะเปิดให้ตรวจสอบสิทธิบนเว็บไซต์ของ สปส.โดยผู้ประกันตนที่มีบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนจะได้รับการโอนเงินเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องติดต่อธนาคารเพื่อเปิดบัญชีใหม่ หรือลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยบัตรประชาชนใหม่

สำหรับผู้ประกันตนที่ได้สิทธิและมีบัญชีธนาคาร แต่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชน หรือเดิมผูกด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ สามารถดำเนินการผูกบัญชีหรือเปลี่ยนพร้อมเพย์จากโทรศัพท์มือถือมาเป็นผูกกับหมายเลขบัตรประชาชนด้วยตนเอง ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารที่มีบัญชีอยู่เช่น Mobile Application, Internet Banking และเครื่อง ATM ตามช่องทางที่แต่ละธนาคารให้บริการ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาธนาคาร เพื่อความสะดวกและลดความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19

ส่วนผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิและยังไม่เคยมีบัญชีเงินฝาก สามารถใช้บริการเปิดบัญชีผ่านช่องทางออนไลน์ จากนั้นค่อยลงทะเบียนผูกพร้อมเพย์ด้วยหมายเลขบัตรประชาชน ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อขอรับสิทธิตามมาตรการเยียวยาดังกล่าว หากมีข้อสงสัยเรื่องการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชน หรือช่องทางที่สามารถทำได้ สามารถศึกษาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ หรือติดต่อสอบถามผ่านคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารที่ใช้บริการอยู่ทั้งนี้ ผู้ประกันตน ม.33 สามารถตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาได้ที่ https://www.sso.go.th หรือโทรศัพท์สายด่วนประกันสังคม 1506 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

อนึ่งหากผู้ประกันตนมีความจำเป็นต้องไปทำธุรกรรมที่สาขาของธนาคาร ทางสมาคมธนาคารไทย ขอความร่วมมือผู้ติดต่อใช้บริการ ณ สาขาธนาคาร ในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานดูแลความปลอดภัยที่ธนาคารแต่ละแห่งได้กำหนดไว้ เพื่อร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
#8774
ขายที่ดินศรีเชียงใหม่หนองคาย พร้อมต้นพยุงเกือบ500ต้น ในหมู่บ้านทำเลดี ใกล้แม่น้ำโขง

ขายที่ดินศรีเชียงใหม่หนองคาย พร้อมต้นพยุงอายุ3ปีเกือบ500ต้น 18ไร่ ในหมู่บ้านทำเลดี ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ไร่ละ ขายถูกมาก ไร่ละ 1,200,000บาท
ขายถูกที่ดินศรีเชียงใหม่ หนองคาย ต้นพยุงอายุ3ปีเกือบ500ต้น 18ไร่ ในหมู่บ้านทำเลดี ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ไร่ละ ขายถูกมาก ไร่ละ 1,200,000บาท คุ้มมาก แนะนำซือ
ขายที่ดินหนองคาย-ศรีเชียงใหม่  ต้นพยุงอายุ3ปีเกือบ500ต้น ในหมู่บ้านทำเลดี ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคา ที่ดินมีโฉนดพร้อมโอน

ขายที่ดินศรีเชียงใหม่ หนองคาย พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาทิ บ้านสร้างแล้ว 80% ต้นพยุงอายุ3ปีเกือบ500 ต้นหน้ากว้างติดถนนดำประมาณ120เมตร มี 18ไร่โฉนด ผืนเดียวกันไร่ละ 1,200,000บาท
เขตพื้นที่ ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ใกล้แม่น้ำโขง สปป.ลาว ที่ดินเจ้าของขายเอง

สนใจติดต่อ ตู่ 080-8459561

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.rubpostban.com/?p=1851

คำค้น
ขายที่ดินศรีเชียงใหม่-หนองคาย, ขายที่ดินศรีเชียงใหม่หนองคายพร้อมต้นพยุงอายุ3ปีเกือบ500ต้น, ขายที่ดินหนองปลาปาก-ศรีเชียงใหม่-พร้อมต้นพยุงเกือบ500ต้น, ขายที่ดิน18ไร่เชียงใหม่-หนองคาย 
#8775



นายธีระธัช รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วิลล่า ฟอเรสต์ กล่าวว่า ได้เปิดตัวเฟสแรก คือ "โรงเรียน ที่ซึ่งสะท้อนถึงการเรียนรู้รอบด้านควบคู่คุณธรรม" เพราะการศึกษามีความสำคัญ เป็นรากฐานของชีวิต จึงได้ร่วมกับ Wells International School, Chonburi Campus สานพลังเสริมสร้างจินตนาการการเรียนรู้วิถีใหม่ เพื่อพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้คู่คุณธรรม



ทั้งนี้มีข้อเป้าหมายร่วมกันที่จะเพื่อบ่มเพาะกล้าพันธุ์ให้เติบใหญ่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้เป็นโรงเรียนวิถีใหม่ มีศูนย์การเรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติ ที่เด็กๆ จะได้มาเรียนรู้ มีที่นาให้เด็กๆ เอาเท้าสัมผัสดินสัมผัสหญ้า และมีแปลงผักให้ทดลองปลูกผักเก็บผัก และทำกิจกรรมร่วมกันที่จะสร้างสรรค์จินตนาการให้เด็กๆ เก่งและดี มีความสุข และมีความอ่อนน้อม โดยนำเอาวัฒนธรรม Globalization มาผสมผสานกับ Localizaion เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลง



ดร.เรย์ เดอ ลา เพนญ่า ครูใหญ่ โรงเรียนนานาชาติ เวลส์, แคมปัสอ่อนนุช กล่าวว่า คุณพ่อเคยมาทำงานในเมืองไทย ตั้งแต่ปี 1960 ทำทางด้านโครงการในพระราชดำริฯ ร.9 ทำให้ได้รับรู้และซึมซับในเรื่องราว 'เศรษฐกิจพอเพียง' มีความประทับใจมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เลยตัดสินใจมาอยู่เมืองไทย และประกอบอาชีพ 'ครู' ด้วยความเชื่อว่า "Changing the World, One student at a time"

"โรงเรียนนานาชาติ เวลส์ อยู่ในกรุงเทพฯ อ่อนนุช ทองหล่อ และบางนา มีประสบการณ์มา 20 ปีแล้วในการจัดการเรียนการสอนที่ทำให้นักเรียนที่จบทุกๆ ปีสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย จึงมีความตั้งใจจะขยายสาขาอีก แล้วมาเจอที่ชลบุรี โครงการวิลล่า ฟอเรสต์ รู้สึกหลงใหลไปกับธรรมชาติต้นไม้หลากพันธุ์ และที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งและศูนย์รวมที่นำเอาหลักคิดวิถีพอเพียงมาใช้"



ดังนั้นจึงอยากจะสร้างโรงเรียนแห่งนี้ในพื้นที่ 24 ไร่ ให้เป็นแคมปัสที่สามารถจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืนสามารถที่จะเรียนรู้ได้ตั้งแต่ในห้องเรียนไปจนถึงนอกห้องเรียน โดยจะสร้างพื้นการเรียนการสอนให้มีคุณภาพเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน ซึ่งไม่ใช่เก่งแค่วิชาการ แต่สามารถพัฒนาต่อยอดสู่ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เพราะบรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติต้นไม้ จะทำให้โล่ง หายใจสะดวก ทำให้สนุกในการเรียนรู้ เกิดการเรียนรู้ที่ดี เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และนี่คือหัวใจแห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ



ด้วยบรรยากาศที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ได้ดีนั้น สามารถรองรับนักเรียนมัธยมที่จะทำ Diploma หรือ ประกาศนียบัตร ได้ตามความสนใจ สำหรับเด็กประถมจะทำให้เด็กๆ เกิดกระบวนการเรียนรู้ได้ดีขึ้น เพราะมีพื้นที่ได้ทำกิจกรรม มีแปลงผักปลูกต้นไม้ หรือจะนำสิ่งแวดล้อมธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำงานศิลปะได้ด้วย

"สิ่งสำคัญที่สุดในแคมปัสแห่งนี้ สามารถรองรับกลุ่มคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ได้อย่างดี เด็กตื่นมาไปเรียนได้เลย ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องจราจร รถติด เหมือนกรุงเทพฯ ทั้งคนในครอบครัวก็จะอยู่ด้วยกันมากขึ้น พร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ-แม่-ลูก เด็กๆ ไม่ต้องรอพ่อแม่นาน แล้วก็ได้ไม่นอนดึก ทำให้เกิดความสุข สุขภาพดี การเรียนรู้ยิ่งดี"

โครงการต้นแบบชีวิตวิถีใหม่แห่งนี้ ยังมีแนวคิดแห่ง 'บ-ว-ร' ในส่วนของ 'บ-บ้าน' ที่ให้มากว่าคำว่าบ้าน และ 'ว-วัด' ที่มาของการพัฒนาจิตใจของทุกชาติและศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจ และมีให้ติดตามกันในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.085 399 4030