• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

JCK คาดปีหน้าปิดการขายนิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 จำนวน 500 ไร่

Started by PostDD, January 24, 2022, 05:21:12 PM

Previous topic - Next topic

PostDD

JCK คาดปีหน้าปิดการขายนิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 จำนวน 500 ไร่ สร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4.5 พันล้าน จ่อผุดเฟส 3 อีก 1,800 ไร่

JCK มั่นใจขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมภายในปี 64 นี้ จำนวน 60 ไร่ได้ตามเป้าหมาย และที่เหลืออีกราว 500 ไร่ คาดขายได้หมดภายในปี 65 มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท เหตุหลังเปิดประเทศมีนักลงทุนต่างชาติตบเท้าแห่เยี่ยมชมโรงงาน เนื่องจากมีจุดเด่นทำเลทอง คมนาคมสะดวก ไม่ไกลกรุงเทพและมอเตอร์เวย์ หนุนผลประกอบการปี 65 เติบโตโดดเด่น จ่อขยายทีเอฟดี เฟส 3 อีก 1,800 ไร่

นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ JCK เปิดเผยว่า ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปี 2564 นี้ บริษัทฯคาดว่าจะสามารถขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 จำนวน 60 ไร่ได้ตามเป้าหมาย และที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 500 ไร่ คาดว่าจะสามารถขายได้หมดภายในปี 2565 ปิดโครงการทีเอฟดี เฟส 2 และจะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท สาเหตุเนื่องจากภายหลังรัฐบาลเปิดประเทศ พบว่านักลงทุนต่างประเทศได้แสดงความสนใจติดต่อเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 เป็นจำนวนมาก เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้การคมนาคมขนส่งเป็นไปด้วยความสะดวก ขณะที่ราคาขายต่อไร่ไม่สูงประมาณ 9 ล้านบาทต่อไร่

"บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปีหน้า หรือจะสามารถสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท และเตรียมขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 3 จำนวนที่ดินประมาณ 1,800 ไร่ ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างพัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงราย ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว และทาวเฮาส์ คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ภายในไตรมาส แรกของปี 2565 จะสนับสนุนให้ผลประกอบกายของบริษัทในปี 2565 เติบโตโดดเด่น"

ทั้งนี้บริษัทให้ความสนใจกับการพัฒนาก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยว ทาวเฮาส์ โดยชะลอการลงทุนคอนโดมิเนียม เนื่องจากเล็งเห็นว่าจำนวนคอนโดมิเนียมเหลือตกค้างในตลาดจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 3 แสนยูนิต และส่วนใหญ่จะอยู่ใจกลางเมืองราคาเกิน 5 ล้านบาท และแทบไม่พบการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เนื่องจากต้นทุนในการซื้อที่ดินพุ่งสูงตามราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เกิดการระบายอสังหาริมทรัพย์เหลือตกค้างในตลาด ดังนั้นต้องการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาออกมาตรการให้สิทธิลดค่าธรรมเนียมการโอนและภาษี ให้ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป จากเดิมให้สิทธิลดหย่อนกับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น นอกจากจะเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการให้มีกำลังในการพัฒนาโครงการใหม่ ก่อให้เกิดการจ้างงาน และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ