• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 33.90 บาท/ดอลลาร์

Started by deam205, October 12, 2021, 12:52:02 AM

Previous topic - Next topic

deam205

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ซึ่งผู้ส่งออกรอขายดอลลาร์ โดยแนวรับจะอยู่ในโซน 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.90 บาทต่อดอลลาร์ "อ่อนค่า"ลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์

 

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทย ระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินกล้ากลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังตลาดคลายกังวลปัญหาการเจรจาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ (Debt Ceiling)

 

สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อมุมมองเศรษฐกิจและแนวโน้มการลดคิวอี หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls: NFP) ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก

 

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

 

ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าเฟดต่อมุมมองด้านเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls: NFP) เดือนกันยายน เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 2 แสนราย ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะยังคงมั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดแรงงานและสนับสนุนการทยอยลดคิวอีในเดือนพฤศจิกายนหรือไม่ 

 

นอกเหนือจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ตลาดจะติดตามรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อวิเคราะห์ว่าเฟดได้กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงรายละเอียดการทยอยลดคิวอีหรือการขึ้นดอกเบี้ยอย่างไรบ้าง และนอกจากนี้ ตลาดจะติดตามสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนกันยายน ที่อาจหดตัวราว -0.2% จากเดือนก่อนหน้า กดดันโดยยอดขายรถยนต์ที่ลดลง ซึ่งหากไม่รวมยอดขายรถยนต์และน้ำมัน ยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น +0.2%

 


สะท้อนว่าการใช้จ่ายในสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ว่าระดับราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนกันยายน จะอยู่ที่ระดับ 5.3% ทั้งนี้ ตลาดจะติดตามว่า อัตราเงินเฟ้อมีการเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าหรือไม่ เพราะหากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น แต่ภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจยังคงชะลอลงอาจทำให้ ตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง เพราะยังกังวลปัญหา Stagflation อยู่ ทั้งนี้ เรามองว่า การใช้จ่ายในสหรัฐฯ จะทยอยฟื้นตัวได้ดี หลังสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้นจากการเร่งแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนตุลาคม ที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 73.5 จุด

 

ฝั่งยุโรป – แม้ว่าปัจจุบันการเลือกตั้งเยอรมนียังไม่ได้ข้อสรุปว่า พรรคไหนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสม (Coalition Government) ได้ แต่ล่าสุด เริ่มมีความเป็นไปได้ว่า พรรค Green และ FDP ที่ได้ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกัน อาจบรรลุข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลกับ พรรค SPD ที่ได้เสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบ Traffic light (SPD+Green+FDP) อาจส่งผลดีต่อตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นเยอรมนีและค่าเงินยูโร เนื่องจากรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง รวมถึงมีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และอาจมีนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามการเจรจาการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป เพราะพรรค CDU/CSU ที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังพร้อมที่จะเจรจากับพรรค Green และ FDP

ฝั่งเอเชีย – ตลาดการเงินยังคงจับตาปัญหาหนี้ Evergrande รวมถึงปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาฯ รายอื่นในจีน โดยตลาดจะรอลุ้นว่า Evergrande จะสามารถขายสินทรัพย์เพื่อมาจ่ายเงินคืนให้กับผู้ถือหุ้นกู้ได้หรือไม่ ภายในระยะเวลา Grace period 30 วัน นับตั้งแต่มีการผิดนัดชำระหนี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว ตลาดจะติดตามการประชุมของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK)  โดยตลาดมองว่า BOK จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.75% เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมก่อนหน้า ซึ่งเราคาดว่า BOK อาจขึ้นดอกเบี้ยได้อีกครั้งในเดือนธันวาคม หลังเศรษฐกิจก็ทยอยฟื้นตัวได้ดี

 

ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะจับตาการประมูลบอนด์ LB249A วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท โดยหากผลการประมูลออกมาดีหรือผู้เล่นในตลาดยังมีความต้องการบอนด์อยู่มาก อาจช่วยทำให้บอนด์ยีลด์ในช่วง front-end อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมากจากระดับปัจจุบัน หลังจากที่ยีลด์ front-end ได้ปรับตัวขึ้นกว่า 0.17% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเรามองว่าน่าจะ priced-in แนวโน้มการคงดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจนถึงปี 2023 ไปพอสมควรแล้ว

 

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ควรจับตาการประมูลบอนด์ที่จะถึงนี้ เพราะหากดีมานด์ความต้องการบอนด์สูงกว่าคาด อาจช่วยให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาลงทุนในบอนด์ไทยและหนุนเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมาก เพราะเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยงด้านอ่อนค่าจากปัจจัยเสี่ยงภายใน อาทิ ปัญหาน้ำท่วมที่ต้องเฝ้าระวังความรุนแรงของพายุที่กำลังจะเข้าสู่ประเทศ รวมถึง สถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มเจอยอดการระบาดที่สูงขึ้น โดยเฉพาะยอดการตรวจเชิงรุกแบบ ATK

 

ส่วนในมุมแนวโน้มเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ในสัปดาห์นี้ เงินดอลลาร์อาจเริ่มอ่อนค่าลงได้ หลังตลาดเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) ลดความน่าสนใจของการถือเงินดอลลาร์เพื่อเป็น Safe Haven หลยความผันผวนในตลาด นอกจากนี้ หากเจ้าหน้าที่เฟดเริ่มกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจหรือเริ่มมองว่าเฟดยังไม่ควรรีบลดคิวอี ก็อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าต่อได้ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังมีโมเมนตัมหนุนอยู่บ้างจากปัจจัยเสี่ยง อาทิ ความกังวลเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจชะลอตัว หรือ Stagflation และ ปัญหาหนี้ Evergrande

 

ทั้งนี้ หลังจากที่เงินบาทพยายามอ่อนค่าทะลุระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ มาหลายครั้ง แต่ยังไม่ผ่าน ในช่วงที่ผ่าน ทำให้ในเชิงเทคนิคัล โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มแผ่วลงในระยะสั้นได้ ซึ่งเรามองว่า เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้ส่งออกต่างรอเข้ามาทยอยขายดอลลาร์ ขณะที่ ผู้นำเข้าต่างรอซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า โดยแนวรับของเงินบาทจะอยู่ในโซน 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.00 บาท/ดอลลาร์

 

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.00 บาท/ดอลลาร์