• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

‘ส.ตราสารหนี้ไทย’ ชี้ปี 64 เห็นมูลค่าออกหุ้นกู้ทะลุ 1 ล้านล้านบาทแน่

Started by Cindy700, October 08, 2021, 10:37:39 AM

Previous topic - Next topic

Cindy700



'ส.ตราสารหนี้ไทย' ชี้ปี 64 เห็นมูลค่าออกหุ้นกู้ทะลุ 1 ล้านล้านบาทแน่ โตแรงไม่หวั่นโควิด-ล็อกดาวน์
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ไทยบีเอ็มเอ) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทย ในปัจจุบันยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้มีการระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ โดยมูลค่าการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ (สะสม 9 เดือน) เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 มียอดการออกรวมเท่ากับ 817,556 ล้านบาท

โดยกลุ่มธุรกิจที่เสนอขายสูงสุด 5 กลุ่มแรกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่ พลังงาน 20.6% อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 15.1% ธุรกิจการเงิน 13.6% บริการ 12.8% และเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 11.8% ซึ่งพบว่าผู้จัดจำหน่ายใช้ช่องทางติดต่อเสนอขายตราสารหนี้ผ่านออนไลน์และแอพพลิเคชั่นมากขึ้น ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ทำให้แม้มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ยังเห็นการซื้อขายหุ้นกู้เหมือนภาวะปกติ หลังจากมีตัวอย่างการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมาแล้วว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ และการซื้อมากนัก โดยในปี 2564 ประเมินว่าโอกาสที่จะเห็นการออกหุ้นกู้มีมูลค่าทะลุ 1 ล้านล้านบาทได้ และเชื่อว่ามูลค่าจะเกินเป้าหมายที่คาดไว้ช่วงต้นปีนี้ ว่าจะมีการออกหุ้นกู้มูลค่าประมาณ 9 แสนล้านบาทแน่นอน


"สถานการณ์หุ้นกู้ในประเทศไทย หลังเห็นวิกฤตกรณีเอเวอร์แกรนด์ หรือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับสองของจีน ที่ขาดสภาพคล่องนั้น จะมีความกังวลถึงหุ้นกู้ในกลุ่มอสังหาฯ ไทยหรือไม่ ขณะนี้มองว่ายังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะหากประเมินจากผู้ออกหุ้นกู้ในรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ามีความหลากหลายกว่า 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของมูลค่าหุ้นกู้ทั้งหมด ไม่ได้กระจุกตัวมากนักในกลุ่มอสังหาฯ หรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดกลุ่มเดียวเท่านั้น โดยกลุ่มอสังหาฯ มีสัดส่วนเพียง 11% ของหุ้นกู้คงค้างทั้งหมด หรือประมาณ 4.4 แสนล้านบาทเท่านั้น จากมูลค่าหุ้นกู้คงค้างทั้งหมดประมาณ 4 ล้านล้านบาท รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ กว่า 75% เป็นผู้ออกหุ้นกู้ในกลุ่มระดับลงทุน หรืออินเวสต์เมนต์ เกรดทั้งนั้น ซึ่งจะมีเรทติ้งตั้งแต่ AAA จนถึง BBB- หมายความว่าเป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มั่นคง ผลประกอบการดี อยู่ในกลุ่มที่น่าลงทุน" นางสาวอริยากล่าว

นางสาวอริยากล่าวว่า ด้านกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว์) ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 พบว่า นักลงทุนยังคงซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยกว่า 37,579 ล้านบาท แต่กลับมาขายสุทธิค่อนข้างมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ยังเห็นว่านักลงทุนต่างชาติ ยังมียอดการซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 915,918 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทย โดยกว่า 90% เป็นการถือครองในตราสารหนี้ระยะยาว และมีอายุเฉลี่ยของพันธบัตรที่ถือครองเท่ากับ 9.4 ปี

โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ของไทยในช่วงไตรมาส 3 ปรับตัวในทิศทางขาขึ้น นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตามทิศทางเดียวกันกับพันธบัตรสหรัฐจากทั้งปัจจัยภายนอก ได้แก่ แนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐ และการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ปริมาณพันธบัตรที่จะเพิ่มขึ้นมากจากความต้องการระดมทุนของรัฐบาลไทย ทำให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 0.18% มาอยู่ที่ร้อยละ 0.56 และรุ่นอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.61% มาอยู่ที่ 1.89%

นางสาวอริยากล่าวว่า สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 นี้ แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีล) จะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางในตลาดโลก แต่ส่วนชดเชยความเสี่ยง (Credit spread) ของหุ้นกู้ที่ปรับลดลง ประกอบกับสภาพคล่องในระบบ ทำให้ต้นทุนของผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชนไม่ได้เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น ทำให้การออกหุ้นกู้ระยะยาวของปีนี้จะไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ส่วนทิศทางบอนด์ยีลระยะยาวในรุ่น 10 ปีของไทย ในช่วงที่เหลือของปีนี้เชื่อว่าจะปรับขึ้นได้อีกไม่มากนัก เพราะตลาดได้ปรับตัวล่วงหน้าสะท้อนปัจจัยหลักต่างๆ ไปแล้ว โดยอาจแกว่งตัวได้ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะมีการทยอยประกาศออกมา