• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Shopd2

#3741


"สรรพากร"เล็งแก้โครงสร้างภาษีใหม่ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำประโยชน์คนรวย-เอื้อคนชั้นกลาง เล็งปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่"สอท."เปิดผลสำรวจโควิดหนัก แรงงานขาด ฉุดกำลังผลิตส่งออกวูบ จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนแรงงาน ม.33

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.64 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า แนวทางการปรับโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องกับกรมสรรพากรคือการปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยหลักการคือจะต้องดำเนินการเพื่อเอื้อให้คนชั้นกลางได้ผลประโยชน์มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากค่าลดหย่อนทางภาษีเงินได้ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนที่ได้ประโยชน์คือ คนที่มีรายได้สูง ส่วนคนชั้นกลางที่อยู่ในฐานภาษีได้รับประโยชน์ที่น้อยกว่า ส่วนการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น จะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเห็นว่าหากจะปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะต้องลดให้กับคนชั้นกลางลงมาที่อยู่ในฐานภาษี อย่างไรก็ตามการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องแก้ไขประมวลกฎหมายของกรมฯ และมีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นอัตราแบบขั้นบันใด ( Progressive Rate)

"ปัจจุบันค่าลดหย่อนทางภาษีที่กรมฯให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีมากเกือบ 20 รายการ คิดเป็นค่าลดหย่อนทางภาษีรวมกันทุกรายการมากกว่า 2 ล้านบาท เช่น ค่าลดหหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 6 หมื่นบาท, ค่าลดหย่อนบุตร 3 หมื่นบาท, ค่าใช้จ่ายในการซื้อเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป หักลดหย่อนตามจริงแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีการลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการซื้อหน่วยลงทุน RMF 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท และเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่เกิน 15 % ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นต้น"

สำหรับบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งได้ปรับปรุงอัตราและขั้นบันใดของเงินได้ใหม่ และเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2560 ได้กำหนด 8 ขั้นบันใดของเงินได้ เริ่มตั้งแต่เงินได้ที่ไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี, เงินได้ที่มากกว่า 150,000 แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท เสียในอัตรา 5 % และขั้นบันใดสุดท้าย หรืออัตราสูงสุด คือ รายได้ที่มากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป จ่ายในอัตรา 35%
แหล่งข่าว กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา รายได้ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รัฐบาลต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีของประเทศ โดยการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลลงมา แต่ยังไม่สามารถปรับเพิ่มภาษีโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้รายได้ของรัฐบาลลดต่ำลง

ทั้งนี้ ใน 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ณ เดือนพ.ค.นี้ รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.441 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.98 แสนล้านบาท หรือ 12.1% ขณะที่ กรมสรรพากร ซึ่งเป็นกรมฯที่ทำรายได้มากที่สุดของรัฐบาล ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 จัดเก็บได้ 1.059 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.38 แสนล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมาย 11.5 % ส่วนในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 2.394 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3.36 แสนล้านบาท หรือ 12.3%

วันเดียวกัน นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ "การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้งรักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วนใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 53.6 มีการจ้างงานลดลง 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 31.3 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 10.3 และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 4.8

โดยในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง น้อยกว่า 30% คิดเป็นร้อยละ 45.2 โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 26.5 โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 - 50% คิดเป็นร้อยละ 20.5 และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 7.8 เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค หรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็นร้อยละ 51.8 รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็นร้อยละ 49.4 และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 41.6

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็นร้อยละ 50.0 รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็นร้อยละ 48.8 และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็นร้อยละ 45.8

ส่วนกรณีที่ภาครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใดพบว่า 3 อันดับแรกได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 69.9 รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 66.9 และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 65.1

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน ม.33 คิดเป็นร้อยละ 92.8 รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) คิดเป็นร้อยละ 69.9 และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือร้อยละ 1 ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 66.9

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็นร้อยละ 83.1 รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็นร้อยละ 68.1 และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็นร้อยละ 65.7
#3742


วิจัยกรุงศรีรายงานว่าอุปสงค์ในประเทศเดือนมิถุนายนยังคงซบเซา แต่เศรษฐกิจยังพอได้แรงหนุนจากการส่งออก ส่วนภาคการผลิตในไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแม้ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนบ้างเล็กน้อย (+1.2% MoM sa) แต่โดยรวมยังอ่อนแอ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน (+0.2%) โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามทิศทางการส่งออก ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียงเล็กน้อย จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกที่เติบโตในอัตราสูง (46.1%YoY) ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเติบโตกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ



เศรษฐกิจไตรมาส 2 อ่อนแอลงจากไตรมาสแรก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสามของ COVID-19 ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจหดตัวจากไตรมาสแรกที่ -0.6% QoQ sa แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนอาจขยายตัวได้ 7% YoY ซึ่งเป็นผลของฐานที่ติดลบหนักเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลต้า โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.และปริมณฑล มาตรการควบคุมการระบาดจึงเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและอาจกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้และอาจจะติดลบมากกว่าในไตรมาส 2



โดยกระทรวงการคลังประเมินเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 1.3% และจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ 4-5% ในปีหน้า ด้านวิจัยกรุงศรีชี้ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือขยายตัว 1.3% จากเดิมคาด 2.3% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาไทยลดลงจากเดิม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก นอกจากนี้ สศค. ยังชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นเป็น 4-5% ในปี 2565 แรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลงและมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น กอปรกับการส่งออกจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง

ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ปีนี้จะขยายตัว 1.2% (เดิมคาด 2.0%) ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด และจากแบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงต่ำกว่า 1,000 ราย ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนมาตรการควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจึงยังคงซบเซา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะมีเพียง 2.1 แสนคน (เดิมคาด 3.3 แสนคน) นอกจากนี้ อานิสงส์จากการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ หนุนให้มูลค่าส่งออกของไทยในปีนี้เติบเติบโตถึง 15% แม้ในช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกอาจชะลอลงบ้าง ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นในช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นและการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กอปรกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการจัดหาและการกระจายวัคซีนของไทย รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้า

ด้านเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีแนวโน้มแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น IMF คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัว 6% แต่การเติบโตยังถูกกดดันจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและความไม่แน่นอนหลายด้าน จากประมาณการเศรษฐกิจรอบล่าสุด IMF คงตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP โลกในปี 2564 ที่ 6.0% แม้จะปรับเพิ่มการขยายตัวของ GDP กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็น 5.6% (เดิม 5.1%) นำโดยสหรัฐฯเป็น 7.0% (เดิม 6.4%) และยูโรโซน 4.6% (เดิม 4.4%) แต่ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ลงสู่ 6.3% (เดิม 6.7%) โดยเฉพาะจีนเป็น 8.1% (เดิม 8.4%)

สำหรับการคาดการณ์ล่าสุดของ IMF สะท้อนว่าการฟื้นตัวของหลายประเทศมีความแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับการเข้าถึงวัคซีน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจโลกทั้งแรงกดดันชั่วคราวด้านราคาจากข้อจำกัดด้านอุปทาน การระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่รุนแรงขึ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงและส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งซ้ำเติมการฟื้นตัวของประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดแคลนวัคซีนและมีภาระหนี้สูง และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดที่อาจยืดเยื้อ เนื่องจากข้อจำกัดในการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติม

ส่วนการปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP จีนนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากต้นปี ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้มาตรการเพื่อควบคุมการเก็งกำไรในบางภาคเศรษฐกิจและสร้างความเป็นธรรมในตลาด ล่าสุดทางการจีนห้ามบริษัท Tencent ผูกขาดธุรกิจเพลงออนไลน์ และห้ามการแสวงหากำไรในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การใช้นโยบายดังกล่าวบ่งชี้ว่าจีนให้ความสำคัญกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพมากกว่าการขยายตัวของ GDP ในอัตราสูง ขณะที่ยังสนับสนุนการเติบโตของภาคเศรษฐกิจจริงต่อไป

เฟดประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตต่อเนื่องและอาจเริ่มส่งสัญญาณ QE Tapering ปลายเดือนนี้ ขณะที่ GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 6.5% QoQ เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการ QE ทั้งนี้ เฟดประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายระยะยาว มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย GDP ไตรมาส 2/2564 ขยายตัว 6.5% QoQ เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 3.5% YoY สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2534 สำหรับเดือนกรกฎาคมดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board แตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 129.1 ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 กรกฎาคมลดลงจากสัปดาห์ก่อนสู่ระดับ 4.0 แสนราย

เศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฟดประเมินว่าการฟื้นตัวอยู่บนเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายระยะยาว จากปัจจัยหนุนทั้งความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและมาตรการภาครัฐ ทั้งนี้ เฟดอาจส่งสัญญาณ QE Tapering ในช่วงการประชุมธนาคารกลางทั่วโลกที่เมืองแจ็กสัน โฮล ระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคมนี้ และคาดว่าจะประกาศแผน Tapering ในไตรมาส 4/2564 จากนั้นอาจจะเริ่มปรับลด QE ช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า

GDP ยูโรโซนกลับมาขยายตัวในไตรมาส 2/2564 โดยเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ในไตรมาสที่ 2 GDP ยูโรโซนขยายตัว 2.0% QoQ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนอัตราการว่างงานเดือนมิถุนายน ลดลงสู่ระดับ 7.7% ต่ำสุดในรอบ 15 เดือน สำหรับในเดือนกรกฎาคมอัตราเงินเฟ้อทั่วไปแตะระดับ 2.2% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2561 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยูโรโซนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 119.0

ข้อมูลล่าสุดสะท้อนการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดย GDP ไตรมาส 2/2564 กลับมาขยายตัวหลังจากที่เผชิญภาวะการถดถอยทางเทคนิคในช่วง 2 ไตรมาสก่อน จากแรงหนุนทั้งการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเร่งกระจายวัคซีนโดยมีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสสูงถึง 59.2% ของประชากร ปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ประกอบกับการเริ่มเบิกจ่ายเงินภายใต้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูของสหภาพยุโรป (EU Recovery Fund) ในไตรมาส 3/2564 จึงคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
#3743


บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จัดทำกล่อง "GULF CARE" (กัลฟ์แคร์) บรรจุยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งไม่แสดงอาการรุนแรง สามารถแยกรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) แยกรักษาตัวในชุมชน (Community Isolation) หรืออยู่ระหว่างรอเตียง เตรียมส่งมอบให้หน่วยงานและกลุ่มจิตอาสาที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 เช่น เส้นด้าย และมูลนิธิกระจกเงา ตั้งเป้า 10,000 ชุด มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถแจ้งความประสงค์ขอรับกล่อง GULF CARE โดยกรอกแบบฟอร์มที่ https://bit.ly/gulfcareform หรือสแกน QR Code ด้านล่าง ทั้งนี้โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "Gulf Sparks Smiles จุดพลังให้คนไทยยิ้มได้" ที่ริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งช่วยเหลือคนหลากหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจ https:// www.facebook.com/GulfSPARK.TH/


นายสิตมน รัตนาวะดี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวางแผนธุรกิจ ตัวแทนบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ  GULF กล่าวว่า จากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง มีผู้ป่วยจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการแยกรักษาตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) หรือแยกรักษาตัวในชุมชน  (Community Isolation) บางกลุ่มอาจอยู่ระหว่างรอเตียง ซึ่งหลายคนอาจยังไม่มีความพร้อมเรื่องยาและอุปกรณ์ในการตรวจเช็คอาการระหว่างรักษาตัวที่บ้าน ทาง GULF จึงทำกล่อง GULF CARE (กัลฟ์แคร์) ขึ้นมา โดยภายในกล่องประกอบด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ปรอทวัดไข้แบบดิจิทัล ยาพาราเซตามอล ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการรักษาตัวอย่างน้อย 14 วัน รวมทั้งมีคำแนะนำสำหรับการรักษาตนเองที่บ้านด้วย โดยทางเราหวังว่ากล่อง GULF CARE (กัลฟ์แคร์) จะเป็นอีกแรงที่ช่วยสนับสนุน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นหรือหายป่วยได้ในเร็ววัน
#3744
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3745


แม่ฮ่องสอน - เครือข่าย "สะพานบุญครูหนึ่ง" ผนึกชาวแม่ฮ่องสอน ร่วมลงขัน-ลงแรงทำ "น้ำพริกคั่ว" เมนูที่ขาดไม่ได้ของชาวไต แพ็คส่งช่วยเหลือพี่น้องชาวไทใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาดฟรีทั่วประเทศ

สถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนจำนวนมากอยู่ในขณะนี้ มีผู้ได้รับความเดือดร้อนมากมาย โดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงเข้มที่จะต้องใช้มาตรการเข้มงวดทั้งล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว เพิ่มเป็น 29 จังหวัด

และแน่นอนว่าตามจังหวัดเหล่านี้..มีพี่น้องชาวไทใหญ่หรือแรงงานชาวไต ทั้งจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบอยู่ด้วย ประกอบกับมาตรการในการกักตัวหรือระหว่างการรักษาตัวก็จะมีเรื่องอาหารการกินเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ ทำให้ที่ผ่านมาก็จะมีการติดต่อกับญาติพี่น้องในภูมิลำเนาเพื่อขอให้จัดส่งสิ่งของหรืออาหารไปให้เป็นระยะ

โดยหนึ่งในเมนูบนสำรับกับข้าวของพี่น้องชาวไทใหญ่ หรือพี่น้องไต ที่ขาดไม่ได้คือ "น้ำพริกไทใหญ่หรือน้ำพริกคั่ว" ซึ่งผู้คนที่ต้องกักตัวตามต่างจังหวัดก็จะลำบากที่ไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบมาทำได้

ล่าสุดชาวบ้านในจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็ได้ประสานความร่วมมือกับ "สะพานบุญครูหนึ่ง" ที่มีนายชาติชาย น้อยสกุล หรือครูหนึ่ง โต๊ะอิหม่ามหรือผู้นำศาสนาอิสลามของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นฟันเฟืองหลักผสานความร่วมมือกับคริสตจักรและวัดต่างๆ ในรูปแบบภาคี 3 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้ด้อยโอกาส และตอนนี้ยังรวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

พร้อมกับรวบรวมวัตถุดิบที่จะต้องใช้ในการทำน้ำพริกคั่วไทใหญ่ และระดมกำลังของชาวบ้านหรือผู้ที่ว่างงาน มาช่วยกันลงมือปรุงน้ำพลิกคั่วไทใหญ่ทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้รสชาดแบบดั้งเดิมของชาวไตในแม่ฮ่องสอน



ซึ่งการทำน้ำพริกคั่วไทใหญ่นั้น วัตถุดิบหลักๆก็จะมีหอมแดง กระเทียม ปลาเกล็ดขาวเล็ก กุ้งแห้ง พริกแห้ง เครื่องปรุงรสต่างๆ เกลือ น้ำมันพืชและที่ขาดไม่ได้คือถั่วเน่า (ถั่วเหลืองหมักและแปรรูปเป็นแผ่นตากแห้ง เป็นเครื่องปรุงรสเหมือนกับปลาร้าหรือกะปิ)

แต่ละคนจะต้องมาช่วยกันทั้งแกะและซอยหอมแดง กระเทียมหลังจากแกะเปลือกแล้วก็จะต้องตำให้แหลก ส่วนถั่วเน่าที่ถือว่าเป็นวัตถุดิบหลักของน้ำพริกคั่วก็ต้องนำมาย่างให้หอมแล้วนำมาตำให้ละเอียด

ขั้นตอนที่ยากและต้องใช้เวลามากก็คือต้องนำวัตถุดิบทั้งกระเทียมตำละเอียดกับหอมแดงที่ซอยไว้นั้นมาทอดในน้ำมันให้หอม ก่อนที่จะนำมาพักให้หายร้อนและสะเด็ดน้ำมัน เช่นเดียวกับปลาเกล็ดขาวเล็กก็ต้องนำมาทอดเช่นเดียวกัน ส่วนกุ้งแห้งหลังจากนำมาทอดพอหอมแล้วนำมาโขลกพอหยาบ พริกแห้งก็ต้องนำมาคั่วให้แห้งและโขลกให้ละเอียด

จากนั้นก็จะเป็นวิธีการนำทุกอย่างที่เตรียมไว้พักให้เย็นแล้ว นำมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกันในอัตราส่วนที่พอดีตามสูตรของชาวไทใหญ่ ก่อนที่จะบรรจุใส่ถุงและแพ็คใส่กล่องไปรษณีย์ส่งไปยังปลายทางตามที่มีผู้ป่วย หรือผู้กักตัวได้ร้องขอมา โดยส่งให้ฟรีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

นายชาติชาย น้อยสกุล แกนนำเครือข่ายสะพานบุญครูหนึ่ง บอกว่า ตอนนี้พี่น้องชาวไใหญ่ที่อยู่ในหลายจังหวัดต้องการน้ำพริกคั่วไทใหญ่มากขึ้น ต้องระดมทั้งคนและวัตถุดิบต่างๆ มาทำ พอทำเสร็จก็จะทยอยส่งไปเรื่อยๆ คาดว่าจะต้องทำไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและเป็นอาหารที่ถูกปากของชาวไทใหญ่อยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งกำลังใจของชาวแม่ฮ่องสอนส่งไปให้กับผู้ได้รับความเดอืดร้อนในขณะนี้

ทั้งนี้ "สะพานบุญครูหนึ่ง" เริ่มต้นช่วยเหลือผู้อื่นจากทุนทรัพย์ของตนเอง ปัจจุบันนี้องค์กรในนามสะพานบุญครูหนึ่งก็ได้รับความสนใจจากผู้คนช่วยกันบริจาคทั้งเงิน สิ่งของเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ไม่เพียงแต่ผู้คนในแม่ฮ่องสอนเท่านั้น ในขณะนี้มีผู้ใจบุญร่วมกันบริจาคมาจากทั่วประเทศและมีบางรายอยู่ต่างประเทศ

และที่ผ่านมา ชาวแม่ฮ่องสอนจะเห็นภาพ สะพานบุญครูหนึ่ง ทำหน้าที่รับบริจาค รวบรวมสิ่งของจำพวกข้าวสาร อาหารแห้ง ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็กและผู้ใหญ่ เสื้อผ้า ยา ขนม และสิ่งที่จำเป็นในยุคนี้ก็คือหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล วัสดุทางการแพทย์จำพวกชุด PPE เพื่อมอบแก่ทีมแพทย์และพยาบาล รวมไปถึงการก่อสร้างที่พักให้แก่ผู้ที่ไร้บ้าน ผู้พิการ พร้อมไปกับการเข้าไปดูแลอย่างต่อเนื่องในรายที่กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงแบบถาวร
#3746


เมื่อวันที่ 1 ส.ค. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,103 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 40.6 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 346 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 164 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 158.01 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (73% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 68.15 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 17,685,974 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 52.64%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,104 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 17,685,974 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 13,802,916 โดส (20.9% ของประชากร)
-เข็มสอง 2 3,883,058 โดส (5.9% ของประชากร)

2. จำนวนวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 1 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 17,685,974 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 259,447 โดส/วัน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 832,316 โดส
- เข็มที่ 2 153,776 โดส
วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 7,679,588 โดส
- เข็มที่ 2 320,491 โดส
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 5,291,012 โดส
- เข็มที่ 2 3,408,791 โดส

3. รายงานผู้มีอาการข้างเคียงภายหลังได้รับการฉีดวัคซีน
- 96.65% ไม่มีผลข้างเคียง
- 3.35% มีผลข้างเคียงไม่รุนแรง ประกอบด้วย
- ปวดกล้ามเนื้อ 0.80%
- ปวดศีรษะ 0.60%
- ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด 0.43%
- เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 0.39%
- ไข้ 0.26%
- คลื่นไส้ 0.18%
- ท้องเสีย 0.12%
- ผื่น 0.10%
- ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง 0.08%
- อาเจียน 0.05%
- อื่น ๆ 0.34%

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 114.7% เข็มที่2 99.1%
- อสม เข็มที่1 47.3% เข็มที่2 21.3%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 23% เข็มที่2 1.4%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 28% เข็มที่1 4.8%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 46% เข็มที่2 27.1%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 25.5% เข็มที่2 7.1%
รวม เข็มที่1 27.6% เข็มที่2 7.8%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 45.9% เข็มที่2 10.7% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 64.3% เข็มที่2 13.8%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 27.9% เข็มที่2 13.1%
- นนทบุรี เข็มที่1 30.9% เข็มที่2 10.6%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 30.7% เข็มที่2 5.5%
- ปทุมธานี เข็มที่1 22.7% เข็มที่2 5.4%
- นครปฐม เข็มที่1 15% เข็มที่2 3.0%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 12.2% เข็มที่2 4.0%
- ภูเก็ต เข็มที่1 75.3% เข็มที่2 59.2%
- ระนอง เข็มที่1 36.8% เข็มที่2 11.6%
- สุราษฎร์ธานี เข็มที่1 20% เข็มที่2 7.9%
- เกาะสมุย เข็มที่1 36% เข็มที่2 10.1%
- เกาะเต่า เข็มที่1 19.8% เข็มที่2 5.7%
- เกาะพะงัน เข็มที่1 28.1% เข็มที่2 3.6%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 158,013,044 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 68,151,247 โดส (17.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 20,533,660 โดส (42.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 20,008,331 โดส (10.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 17,685,974 โดส (20.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 12,088,317 โดส (43.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca และ Sinovac
6. สิงคโปร์ จำนวน 7,626,939 โดส (73.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
7. เวียดนาม จำนวน 6,203,866 โดส (5.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,050,711 โดส (16.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 163,999 โดส (30.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 65.25%
2. อเมริกาเหนือ 12.05%
3. ยุโรป 14.38%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.38%
5. แอฟริกา 1.58%
6. โอเชียเนีย 0.36%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,637.40 ล้านโดส (58.5% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 467.26 ล้านโดส (17.1%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 345.64 ล้านโดส (54.0%)
4. บราซิล จำนวน 141.74 ล้านโดส (34.7%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (78.4% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (78.1%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. บาห์เรน (72.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
4. อุรุกวัย (68.0%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
5. กาตาร์ (67.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. ชิลี (66.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. สิงคโปร์ (65.0%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
8. แคนาดา (65.3%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
9. สหราชอาณาจักร (63.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
10. เดนมาร์ก (63.5%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)  
#3747


โอเอช ลูเวิน ลงสนามในเกมจูปิแลร์ โปรลีก นัดที่ 2 ของฤดูกาลบุกไปเสมอกับ เซอร์เคิ่ล บรูจ 1-1 เก็บเพิ่มอีกหนึ่งแต้ม เป็นการเสมอติดต่อกัน 2 นัด ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้

มาร์ค บรีส์ เปลี่ยนผู้เล่นแค่คนเดียวจากเกมเปิดบ้านเสมอ ซูลเต้ วาเรเก็ม โดยส่ง ทูน เรแมเคอร์ส ลงเล่นแทน หลุยส์ พาทริส ในตำแหน่งกองหลัง

เริ่มเกมเจ้าบ้าน ที่ชนะ ลูเวิน มารวดในการพบกัน 2 นัดหลังสุดเป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่า แต่เป็น ลูเวิน ที่ออกนำไปก่อนจากจังหวะที่ ซาเวียร์ แมร์ซิเอร์ จ่ายทะลุช่องให้ โธมัส อองรี หลุดเข้าในเขตโทษยิงขึ้นนำ 1-0 เป็นการยิง 2 ประตูจาก 2 นัดแรกของ อองรี ด้วย

ครึ่งหลังแม้ ลูเวิน จะเป็นฝ่ายครอง.ได้มากกว่า หาโอกาสทำประตูได้มากกว่า แต่กลับเป็น เซอร์เคิ่ล บรูจ ที่มาได้ประตูตีเสมอ จากการขึ้น.ทางขวาของ วิตินโญ่ แบ็กจอมลุยชาวบราซิล ที่เปิด.เข้ากลาง และแนวรับ ลูเวิน เคลียร์.ไม่ขาด .ไปเข้าทาง วัลโด รูบิโอ มาร์ติน ตวัดยิงเข้าไป เสมอกันที่ 1-1

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่านัดนี้ยังคงไม่มีรายชื่อของ "ตอง" กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นายทวารทีมชาติไทย ทั้งตำแหน่งตัวจริง และตัวสำรองเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน แม้จะมีรายงานว่าเจ้าตัวยังพร้อมจะอยู่แย่งชิงตำแหน่งต่อไปก็ตาม

สำหรับ โอเอช ลูเวิน เก็บได้ 2 คะแนนจาก 2 นัดยังอยู่อันดับที่ 10 ของตาราง ส่วนเซอร์เคิ่ล บรูจ มี 4 คะแนนจาก 2 นัดขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูง

ขณะที่นัดต่อไป ลูเวิน จะกลับมาเล่นในบ้านพบกับ สปอร์ติ้ง ชาร์เลอรัว วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2564 เวลา 21.00 น.
#3748



ที่ประชุมบอร์ดผู้สูงอายุแห่งชาติ มีมติอนุมัติมาตรการช่วยผู้สูงอายุ จ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการ คืนเบี้ยยังชีพ พร้อมพักชำระหนี้ 6 เดือน

นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30ก.ค.ที่ผ่านมาจากการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 2/2564 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม.

ทั้งนี้คณะกรรมการฯได้เห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจ่ายเงินสงเคราะห์ฯ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - กันยายน 2563 เป็นเวลา 4 เดือน และในปีงบประมาณ 2564 เสนอให้จ่ายในอัตราการจ่ายเดิม โดยจ่ายแบบเดือนเว้นเดือน เริ่มตั้งแต่ตุลาคม 2563 โดยผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับเงินช่วยเหลือฯ 100 บาทต่อเดือน และผู้สูงอายุที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ได้รับเงินช่วยเหลือฯ 50 บาทต่อเดือน ส่วนระยะยาว เห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะทำงานฯ เพื่อพิจารณาการงบประมาณดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

นางพัชรีกล่าวว่าที่ประชุมยังได้เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น โดยจ่ายเงินคืนให้กับผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น และได้นำเงินมาคืนให้ทางราชการแล้ว พร้อมระงับการดำเนินคดีเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยจะเสนอ ครม. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณากระบวนการคืนเงินฯ ให้กับผู้สูงอายุ โดยจะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เพื่อกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนต่อไป

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2566–2580) และแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะกลาง 5 ปี (พ.ศ. 2566–2570) รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2563 และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนผู้สูงอายุที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยพักชำระหนี้ของลูกหนี้กองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 3 เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 31 มีนาคม 2565

https:// m.mgronline.com/politics/detail/9640000075096
#3749
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3750



รายงานวิจัยล่าสุดโดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ร่วมกับเทสโก้ พบอาหารถูกทิ้งเป็นขยะอาหาร (Food Waste) กว่า 2.5 พันล้านตันต่อปี และประมาณ 40% ของอาหารที่ผลิตขึ้นทั่วโลก ไม่มีโอกาสไปถึง 'โต๊ะอาหาร' ด้วยซ้ำ

ขยะอาหาร หรือ Food Waste ถูกทิ้งเพิ่มขึ้นทุกปี กลายเป็นสาเหตุซ้ำเติมปัญหาภาวะโลกร้อน เนื่องจากขยะจากอาหารสามารถปล่อยก๊าซมีเทน (Methane) ที่มีความรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 20 เท่า

รายงานชื่อ 'Driven to Waste: The Global Impact of Food Loss and Waste on Farms' พบ 40% ของอาหารจบลงที่ 'ถังขยะ' มากกว่าโต๊ะอาหาร เป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 33% #โดยปัญหาขยะอาหารไม่ได้มาจากอาหารเหลือจากครัวเรือนเท่านั้น แต่รายงานชี้ให้เห็นว่า ขยะอาหารมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่กระบวนการผลิต ทั้งในฟาร์ม ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลาด มาจนถึงร้านอาหาร คาเฟ่ และโรงแรม ซึ่งรวมแล้วสร้างปริมาณขยะอาหารมากกว่า 1.2 ล้านตันในทุกปี

การผลิตอาหารทุกชนิดใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมหาศาล ทั้งที่ดิน น้ำ และพลังงาน เมื่อคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลกแล้ว อาหารที่ถูกทิ้งทั้งหมด (ตั้งแต่ต้นทางการผลิตในฟาร์ม ไปจนถึงปลายทางการขนส่ง-จัดจำหน่าย) ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 8% ของจำนวนก๊าซทั้งหมดในชั้นบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม รายงาน Driven to Waste ชี้ให้เห็นว่า ตัวเลขดังกล่าวอาจสูงขึ้นเป็น 10% เนื่องจากปริมาณขยะอาหารที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี

อาหารเหลือทิ้งเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมอาหารเพื่อใช้ในงานเลี้ยงต่าง ๆ ที่มากเกินไป หรือไม่ได้คํานึงถึงพฤติกรรมผู้บริโภค การทิ้งอาหารที่จําหน่ายไม่หมดของธุรกิจการค้าในแต่ละวัน อาหารเน่าเสียหรือสูญหายระหว่างขนส่ง หรือแม้แต่ 'วัฒนธรรมการกินให้เหลือไว้ในจาน' เพื่อเป็นการแสดงออกมารยาททางสังคมในบางประเทศ

รายงานยังพบอีกว่า อาหารเน่าเสีย หรือถูกคัดทิ้งของทุกประเทศรวมกันมีปริมาณ 'มากพอ' เลี้ยงปากท้องประชากรทั่วโลกได้อีกจำนวนมาก โดยสำหรับประเทศไทยนั้น กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่า ไทยมีขยะอาหารคิดเป็น 64% ของปริมาณทั้งหมด แต่ยังขาดระบบการคัดแยกขยะทำให้ขยะอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังถูกกำจัดโดยวิธีการฝังกลบซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และลดต้นทุนต่อธุรกิจ แต่ก็ทำให้เกิดความสูญเสียทรัพยากรที่ยังมีค่าโดยเปล่าประโยชน์

การสูญเสียอาหาร ถือเป็นความเสียหายทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ และ 'ความเจ็บปวด' ของประชากรโลกที่ยังคงอดอยาก และต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อมีอาหารลงท้อง โชคดีว่าปัจจุบัน คนในสังคมเริ่มตื่นตัวมากขึ้น และปรับพฤติกรรมการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible consumption) หรือลด-เลิกการทิ้งขว้างอาหาร (No food waste) โดยร้านอาหารในหลายประเทศเริ่มคิด "ค่าปรับ" ลูกค้าที่ทานอาหารเหลือ หรือภาครัฐเริ่มมีการบังคับใช้กฎหมาย "ภาษีอาหารที่ทิ้งขว้าง" สำหรับบริษัทผลิตอาหาร หรือซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อควบคุมการทิ้งผัก-ผลไม้ที่ยังไม่หมดอายุ หรือการบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมด ให้กับองค์กรการกุศล หรือมูลนิธิ เพื่อถูกต่อส่งให้เป็น "มื้ออาหารล้ำค่า" ให้กับผู้ยากไร้

ข้อมูลอ้างอิง WWFThailand,https:// updates.panda.org/driven-to-waste-report
#3751



ว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรใกล้บ้านที่คนไทยคุ้นเคยกันดี มีสรรพคุณมากมาย ถูกนำใช้ในการทำยารักษาโรคต่างๆ ทำให้ได้รับการขนานนามว่า "สมุนไพรมหัศจรรย์" อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงาม เรียกได้ว่าเป็นคุณค่าจากธรรมชาติแบบไม่ต้องพึ่งสารเคมี


ว่านหางจระเข้ ทำอะไรได้บ้าง? คนส่วนใหญ่มักใช้ว่านหางจระเข้รักษาแผลถูกน้ำร้อนลวก เนื่องจากในพืชชนิดนี้มีสารโพลียูโรไนด์ และโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยทำให้แผลหายไวขึ้น ซึ่งสรรพคุณของว่านหางจระเข้ยังสามารถใช้รักษาโรคต่างๆ และฤทธิ์เย็นจากเนื้อวุ้นยังช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังได้อีกด้วย สำหรับสรรพคุณอื่นๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน มีดังนี้

1. วุ้นของว่านหางจระเข้สามารถใช้สมานแผล และห้ามเลือดได้ ทำให้แผลหายไว

2. ใช้รักษาอาการติดเชื้อ อักเสบ และกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ให้เติบโต

3. ใช้รักษาแผลที่เกิดจากความร้อน เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และการฉายรังสี 


4. ใช้แก้พิษแมงกะพรุน ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนจากพิษ

5. มีสรรพคุณทางยาในการช่วยประสานกระดูก และช่วยบำรุงข้อกระดูก

6. นำมาปอกเปลือก ล้างเมือกออก ต้มน้ำใช้เป็นยาระบาย ยาแก้ไอ และยาแก้เจ็บคอ

7. นำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สำหรับควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน

8. เนื้อว่านหางจระเข้บรรเทาอาการปวดฟันได้ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เหน็บตามซอกฟัน 

9. รักษาอาการผิวไหม้แสบร้อนจากแสงแดด และใช้ทารักษาฝ้าบนใบหน้าได้ด้วย

10. ตัดเนื้อวุ้นเป็นแท่งเล็กๆ นำไปแช่เย็น แล้วเหน็บทวารหนัก ช่วยรักษาริดสีดวงทวารได้


ว่านหางจระเข้ ทาหน้า
หากใครมีปัญหาผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าแห้ง หรือหน้ามัน ให้นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปล้างให้สะอาด หลังจากนั้นนำมาทาใบหน้าก่อนนอน นวดเบาๆ ทำเป็นประจำสัก 1 เดือน ผิวหน้าจะนุ่มชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน

ว่านหางจระเข้ รักษาสิว
นำวุ้นว่านหางจระเข้มาล้างให้สะอาด และนำไปปั่นจนละเอียดก็จะได้สมุนไพรมาสก์หน้าจากธรรมชาติ ทาบางๆ ทั่วใบหน้า ส่วนใครที่เป็นสิว ให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้แต้มหัวสิวก่อนนอน เพื่อลดอาการอักเสบ

ว่านหางจระเข้ หมักผม
ปัญหาผมแห้งสามารถแก้ได้ ด้วยการหมักผมที่มีส่วนผสมจากว่านหางจระเข้ ให้นำวุ้นไปล้างให้สะอาด และปั่นกับน้ำเปล่า ในอัตรา 1:1 หลังจากนั้นนำไปกรอง เพื่อนำน้ำที่ได้ไปหมักโคนผมประมาณ 15 นาที นวดเบาๆ ทั่วศีรษะ แล้วล้างออกให้สะอาด


หากใครไม่สะดวกที่จะหาว่านหางจระเข้มาใช้บำรุงผิว หรือเส้นผม ปัจจุบันนี้มีการผลิต "เจลว่านหางจระเข้" ที่หาซื้อง่าย ใช้สะดวก ซึ่งสามารถนำมาใช้ทดแทนได้เช่นกัน 

ที่มา : โรงพยาบาลรามาธิบดี
#3752


หลังจากประเทศไทยปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด และอนุญาตให้นำไปใช้ในทางการแพทย์ "น้ำมันกัญชา" ได้กลายเป็นรูปแบบยาประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากมีประโยชน์และสรรพคุณที่ช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ แต่การจะใช้น้ำมันชนิดนี้ได้อย่างปลอดภัย ก็ควรศึกษาข้อมูลและวิธีใช้ที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ

ทำความรู้จัก "น้ำมันกัญชา" คืออะไร?
ไลฟ์สไตล์ติดตาม
31 ก.ค. 64
วิธีทำข้าวคลุกกะปิ สูตรอร่อยเด็ด อิ่มอร่อยแบบง่ายๆ

30 ก.ค. 64
ข้อสอบใบขับขี่ 2564 สำหรับรถยนต์ และรถจักรยานยนต์

30 ก.ค. 64
วิธีหุงข้าวญี่ปุ่นให้อร่อย เหนียวนุ่มน่ากิน ทำง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน

ดูทั้งหมด 
น้ำมันกัญชา คือ สารสกัดเข้มข้นจากต้นกัญชา ที่นำมาทำให้เจือจางเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในรูปแบบยาทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยจะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลิตเป็นยารักษาโรค มีการนำไปผสมกับส่วนผสมต่างๆ ให้เหมาะแก่การรักษาในแต่ละประเภท เช่น นำไปหยดใต้ลิ้น นำไปทาบนผิวหนัง เป็นต้น

ทั้งนี้ น้ำมันกัญชาทุกรูปแบบที่นำไปรักษาโรคและเกี่ยวข้องกับการรักษาสุขภาพ จะต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง อยู่ภายใต้การดูแลและได้รับคำแนะนำถึงวิธีการใช้อย่างปลอดภัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งบางคนอาจมีความเชื่อว่าน้ำมันกัญชาคือ "ยาสารพัดโรค" ทำให้มีการนำไปใช้รักษาอาการต่างๆ เอง ยกตัวอย่างเช่น

น้ำมันกัญชา สำหรับหยอดหู หยอดตา
แน่นอนว่าหากจะใช้น้ำมันชนิดนี้ไปหยอดหูเพื่อรักษาอาการที่เกี่ยวข้องกับหู หรือนำไปหยอดตา ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะไม่ได้หมายความว่าน้ำมันกัญชาทุกประเภทจะใช้งานเหมือนกัน โดยเฉพาะการใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคที่เกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อหิน เป็นการรักษาที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ หรือแม้กระทั่งหยอดตาเพื่อลดความดันลูกตา ก็ถือเป็นวิธีที่อันตรายและไม่ควรทำด้วยตนเอง

น้ำมันกัญชา สำหรับรักษาสิว
แม้ว่าน้ำมันกัญชาจะสามารถใช้รักษาโรคทางผิวหนังบางชนิดได้ ทำให้หลายคนนำไปใช้รักษาสิว หรือผิวหน้าที่มีผื่นแดง แต่ทั้งนี้ต้องศึกษาด้วยว่าน้ำมันกัญชามีส่วนผสมใดบ้าง และสิวนั้นเป็นสิวประเภทใด เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะช่วยลดอาการอักเสบ อาจทำให้มีอาการผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าทุกกระบวนการใช้น้ำมันกัญชาเพื่อรักษาอาการต่างๆ นั้น จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนนำไปใช้เสมอ


สรรพคุณน้ำมันกัญชาในทางการแพทย์ รักษาโรคอะไรได้บ้าง?
ประโยชน์และสรรพคุณของน้ำมันกัญชาถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อรักษาอาการและโรคบางชนิด เช่น ใช้บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง บำรุงสุขภาพ รวมถึงคลายอาการวิตกกังวล แต่อย่างไรก็ตามหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป หรือผู้ใช้มีอาการแพ้น้ำมันกัญชาก็อาจส่งผลเสีย ทำให้มีผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย ท้องเสีย เป็นต้น

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุถึงคุณสมบัติของน้ำมันกัญชา 3 ประเภท ที่ได้รับการยอมรับในฐานะสารสกัดน้ำมันกัญชาทางการแพทย์ ประกอบไปด้วยกลุ่มสารแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) ที่พบในพืชกัญชา ได้แก่ 

1. น้ำมันกัญชาทางการแพทย์ สูตร THC
ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด ใช้หยอดใต้ลิ้นตามแพทย์สั่ง

2. น้ำมันกัญชาทางการแพทย์ สูตร CBD
ใช้รักษาผู้ป่วยโรคลมชักที่รักษายาก หรือดื้อต่อการรักษา ใช้หยอดใต้ลิ้นตามแพทย์สั่ง

3. น้ำมันกัญชาทางการแพทย์ สูตร THC : CBD 
ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง และโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ใช้หยอดใต้ลิ้นตามแพทย์สั่ง


ใครสามารถปลูกกัญชา และปรุงยาจากกัญชาได้บ้าง?
แม้ประเทศไทยจะปลดล็อกกัญชาแล้ว แต่ในปัจจุบันก็เปิดให้ยื่นขออนุญาตปลูกกัญชาได้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่านั้น ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ระบุว่า ผู้ที่สามารถปลูกกัญชาได้ มีดังนี้

หน่ายงานของรัฐ
สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่มีการสอน วิจัย ทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์
ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น สหกรณ์การเกษตร, วิสาหกิจชุมชน, วิสาหกิจสังคม ที่อยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษา
ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (เภสัชกรรม ทันตกรรม การแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมาย) 
การขออนุญาตปลูกกัญชา
สำหรับผู้ที่ต้องการจะขออนุญาตเพื่อปลูกกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องประกอบไปด้วย 3 ข้อ ได้แก่
1. มีคุณสมบัติเป็นผู้ที่สามารถปลูกกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 หรือมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชน และไปร่วมกับหน่วยงานของรัฐ
2. มีแผนโครงการ แผนกระบวนการผลิต และรายละเอียดการใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน 
3. มีสถานที่ปลูกกัญชา ที่มีเอกสารสิทธิครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย


ผู้ที่สามารถปรุงยากัญชาได้
สำหรับผู้ที่จะนำกัญชาไปปรุงยาได้นั้น จะต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หรือผ่านการอบรมหลักสูตรการใช้ตำรับยาที่มีกัญชาผสม จากหลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสุข

ส่วนการจำหน่าย หรือสั่งจ่ายยา ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้สถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนก็ได้ แต่ต้องเป็นตำรับยาที่ได้รับการยอมรับแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามเรื่องกัญชาทางการแพทย์ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันกัญชาได้ที่ info@medcannabis.go.th

ที่มา : คณะกรรมการขับเคลื่อนประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
#3753


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 29 กรกฎาคมนี้ คณะทำงาน ส.อ.ท. เตรียมหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งทาง ส.อ.ท. จะสอบถามความคืบหน้าการจัดสรรวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดให้กับภาคอุตสาหกรรมล่าสุดเป็นอย่างไร รวมทั้งจะแจ้งมาตรการที่ ส.อ.ท. กำลังดำเนินการในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้ตัวเลขการติดเชื้อในโรงงานขนาดใหญ่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ต้องเร่งกันช่วยกันป้องกัน ไม่เช่นนั้นจะกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งกระทบการแพร่ระบาดในชุมชน หากต้องปิดโรงงาน จะกระทบต่อกระบวนการผลิตสินค้า ซึ่งจะกระทบทั้งสินค้าในภาคการส่งออก และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในประเทศ เป็นเรื่องใหญ่มาก หรือถ้ารัฐสั่งปิดเอง ต้องจ่ายเงินเยียวยาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. ได้เร่งผลักดันให้ทุกโรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข ประเมินตนเอง และโรงงาน ผ่านไทย สต็อป เซอร์วิส พลัส และไทย เซฟ ไทย รวมทั้งล่าสุดได้ยกระดับให้เข้มข้นขึ้น ให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทุกแห่งดำเนินการมาตรการ บับเบิล แอนด์ ซีล (bubble and seal) ซึ่งเป็นการควบคุมคนในโรงงาน ให้มีกิจกรรมปะปนกันเอง และกับคนนอกโรงงานให้น้อยที่สุด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดการติดเชื้อ โดยแรงงานที่อาศัยนอกโรงงานต้องควบคุมการเดินทางระหว่างที่ทำงานกับที่พักอาศัย ไม่แวะทำธุระระหว่างเดินทาง และเมื่อกลับถึงที่พัก ต้องอยู่ภายในที่พักอาศัยเท่านั้น ขณะที่แรงงานที่พักอาศัยในโรงงาน ต้องมีการควบคุมไม่ให้แรงงานออกนอกพื้นที่แรงงาน

นอกจากนี้ ได้แจ้งให้โรงงานขนาดใหญ่เตรียมพร้อมแผนรับมือหากมีการติดเชื้อในโรงงานจำนวนมาก โดยให้จัดโรงพยาบาลสนาม และพื้นที่พักคอยสำหรับผู้ติดเชื้อ จัดเตรียมสถานที่พักในโรงงานหรือในชุมชน เป็นที่พักสำหรับผู้สัมผัสผู้ป่วย แต่ยังตรวจไม่พบเชื้อหรือยังไม่มีอาการ จัดเตรียมระบบเดินทางรับ-ส่ง คนงาน จากที่พักถึงโรงงานหรือสถานประกอบการ ป้องกันการแวะระหว่างทาง จัดหาร้านจำหน่ายอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค ราคาย่อมเยา ในบริเวณโรงงานหรือที่พัก ลดการสัมผัสระหว่างคนงานและคนในชุมชน และให้จัดหาสถานพยาบาลที่พร้อมให้บริการตรวจหาเชื้อ ด้วยพีซีอาร์ (PCR) และแอนทิเจน เทสต์ คิต (Antigen Test Kit)

ส่วนการบริหารจัดการคนทำงานร่วมกันในพื้นที่โรงงาน ให้จัดพนักงานแยกเป็นกลุ่มย่อย หรือแยกเป็นบับเบิล แต่ละกลุ่มสามารถทำงานร่วมกันโดยป้องกันตนเอง แต่ไม่ให้มีการทำงานหรือกิจกรรมข้ามกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มมีสัญลักษณ์แสดงชัดเจน ไม่ให้มีกิจกรรมข้ามกลุ่มจำนวนคนแต่ละกลุ่มยิ่งน้อยยิ่งดี เช่น โรงงานมีพนักงาน 500 ราย กลุ่มหนึ่งไม่เกิน 20 ราย ถ้าเป็น 1-5 คน จะดีที่สุด หากบับเบิลใดมีผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้มีสัมผัสเสี่ยงสูงก็จะถูกจำกัดในบับเบิลนั้น ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง คนที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม หญิงตั้งครรภ์ ให้จัดทำงานที่ไม่สัมผัสคนจำนวนมาก หากให้อยู่ในบับเบิลเฉพาะกลุ่มนี้ได้ จะทำให้เกิดความปลอดภัยสำหรับกลุ่มนี้มากขึ้น

รวมทั้งให้มีการสุ่มคนงานตรวจหาเชื้อในสถานประกอลการขนาดใหญ่ ให้สุ่ม 75 ราย ต่อคนงานทุกๆ 500 ราย สถานประกอบการขนาด 100-500 ราย สุ่ม 75 ราย โดยกระจายการสุ่มให้ครอบคลุมกลุ่มต่างๆ ที่แยกไว้ หากพบผู้ติดเชื้อ ให้แยกไปอยู่ในโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย หรือรักษาตนเองที่บ้าน ส่วนคนงานที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับผู้ติดเชื้อ ถือว่าเป็นผู้สัมผัส ให้หยุดงานและกักตัว 14 วันทุกราย
#3754



บอร์ด "วันทูวัน คอนแทคส์" ส่งบริษัทย่อย "อินโน ฮับ" เข้าลงทุนใน "อินไซท์ มีเดีย กรุ๊ป" (IMG) จำนวน 2,964,000 หุ้น คิดเป็น 76% มูลค่า 15 ล้านบาท สยายปีกสู่ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการผลิตสื่อโฆษณา "คณาวุฒิ วรรทนธีรัช" ระบุเป็นการต่อยอดธุรกิจ ตอบโจทย์ Lifestyle ผู้บริโภคยุค New Normal

นายคณาวุฒิ วรรทนธีรัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) (OTO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัท อินโน ฮับ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% เข้าลงทุนในบริษัท อินไซท์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (IMG) ซึ่งปัจจุบันประกอบธุรกิจด้านการให้บริการเกี่ยวกับการผลิตสื่อโฆษณาในประเทศไทย จำนวน 2,964,000 หุ้น คิดเป็น 76% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่าการลงทุน 15,000,000 บาท

โดย "อินโน ฮับ" จะดำเนินการเข้าซื้อหุ้นสามัญจากผู้ถือหุ้นปัจจุบัน 3 ราย ได้แก่ นายสุภสิทธิ์ รักกสิกร นายเมธวิน อังคทะวานิช และนายทศพล สุรวาศรี จำนวนรวม 1,964,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 67.72% ของหุ้นทั้งหมดใน IMG โดยมีมูลค่าการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 5,000,000 บาท (ธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิม) และภายใน 4 เดือนหลังจากการเข้าทำธุรกรรมซื้อหุ้นเดิมเสร็จจะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ IMG จำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 25.64% ของหุ้นทั้งหมดภายหลังจากการเพิ่มทุน โดยมีมูลค่าการจองซื้อหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 10,000,000 บาท (ธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุน)

"การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจผลิตสื่อและโฆษณาในครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจให้บริษัทฯ สอดรับ Lifestyle ผู้บริโภคยุค New Normal ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต" นายคณาวุฒิ กล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ OTO ดำเนินธุรกิจให้บริการบริหารจัดการงานลูกค้าสัมพันธ์แบบเต็มรูปแบบ และให้บริการออกแบบพัฒนาและติดตั้งระบบศูนย์บริการข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จให้แก่องค์กรภาครัฐและเอกชน และมีบริการให้เช่าอุปกรณ์ Contact Center และบริการให้เช่าซอฟต์แวร์ ทั้งซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และซอฟต์แวร์ระบบ Contact Center ที่ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานให้เหมาะสมกับธุรกิจขององค์กรเพื่อให้บริการลูกค้า
#3755



นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้ทรีนีตี้เองมีลูกค้าที่ปรึกษาในการระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในมือ อยู่ราว 7-9 บริษัท และช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทรีนีตี้ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ให้กับ 3 บริษัท  คือ บมจ.เอเอ็มอาร์ เอเชีย (AMR) บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) และบมจ.เบริล 8 พลัส (BE8)

ทั้งนี้ ทิศทางธุรกิจการให้บริการด้านวาณิชธนกิจ ถือเป็นธุรกิจที่สำคัญและมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษาในการระดมทุน นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในธุรกิจที่ได้ประโยชน์หรือไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยตรง ซึ่งบริษัทเหล่านี้ยังคงต้องการระดมเงินทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ เช่น ธุรกิจด้านเทคโนโลยี ธุรกิจด้านพลังงาน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตาม "วิถีชีวิตใหม่"

ขณะที่บางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและอาจจะชะลอแผนการระดมทุนเข้าตลาดหุ้นออกไป  คาดว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายในปีหน้าก็น่าจะทยอยกลับเข้ามาได้ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เพราะตลาดทุนคือแหล่งเงินทุนที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจให้บริการด้านวาณิชธนกิจยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก


นายดิถดนัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการออกและเสนอขายหุ้น IPOนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นความแข็งแกร่งของทีมวาณิชธนกิจของทรีนีตี้ โดยนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจวาณิชธนกิจแล้ว ยังทำให้ลูกค้าของบริษัทได้มีโอกาสลงทุนในหุ้น IPO ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีด้วย

โดยปี 2563 บริษัทได้รับรางวัลยอดเยี่ยม หรือ Deal of the Year ด้านการระดมทุนในฐานะที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ให้กับ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) ในงาน SET Awards ปี 2020 โดยช่วง 3 ปีที่่ผ่านมาบริษัท  ได้เป็นที่ปรึกษานำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 4 บริษัท และมีมูลค่าระดมทุนรวมราว 10,000 ล้านบาท


บริษัท มีบริการที่ปรึกษาทางการเงิน และงานวาณิชธนกิจครบวงจร หรือ "ONE STOP SERVICE" ครอบคลุมด้านการระดมทุนผ่านตราสารทุนและตราสารทุนหนี้ การควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ตลอดจนต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยได้มีการจัดตั้งบริษัท ทรีนีตี้ อินเทลลิเจนส์ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จะเข้าไปวางระบบการควบคุมภายใน หรือการตรวจสอบภายในให้แก่บริษัทที่กำลังเตรียมความพร้อม

โดยให้บริการลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำและเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับบริษัทในการสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาธุรกิจให้มีมาตรฐาน มีโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการที่ดีขึ้น รวมทั้งมีระบบการควบคุมภายในที่ดี เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่ว่าบริษัทนั้นจะมีเป้าหมายในการระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือไม่ก็ตาม เพราะถือว่าเราได้มีส่วนสำคัญในการเข้าไปพัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจให้ลูกค้าและหากลูกค้ามีเป้าหมายที่่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ถือเป็นการส่งต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีคุณภาพให้กับตลาดหุ้นไทยอีกด้วย    
#3756



รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ทีมนักวิจัยจากโรงพยาบาลกลางแมสซาชูเซตส์ สหรัฐฯ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านวารสารวิชาการทางการแพทย์ชื่อดังเมื่อวันจันทร์ (26 ก.ค.) ค้นพบว่า คนส่วนใหญ่ที่เกิดการแพ้วัคซีนประเภท mRNA จะยังคงสามารถฉีดเข็ม 2 ได้อยู่ หลังการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส กลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อสู้กับการระบาดไวรัสเดลตา ซึ่งล่าสุดมีการค้นพบในจีนว่า ผู้ป่วยไวรัสเดลตามีเชื้อไวรัสในช่องจมูกสูงกว่า 1,260 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับของการระบาดระลอกแรก

รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (27 ก.ค.) ว่า ผู้แต่งร่วมอาวุโสของการวิจัย คิมเบอร์ลี จี.บลูเมนทัล (Kimberly G.Blumenthal) จากโรงพยาบาลกลางแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts General Hospital) กล่าวในรายงานที่ถูกตีพิมพ์ลงวารสารทางวิชาการแพทย์ชื่อดัง JAMA Internal Medicine เมื่อวันจันทร์ (26) ว่า หนึ่งในสิ่งสำคัญจากการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นปฏิกิริยาการแพ้ทันทีต่อวัคซีน mRNA  อาจจะไม่ใช่เป็นการแพ้อย่างเป็นกลไกเช่นเดียวกันการแพ้โดยทั่วไป ซึ่งสำหรับลักษณะการแพ้ทั่วไปนั้นเกิดจากการที่ร่างกายต้องพบกับสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทำให้เกิดอาการแพ้และมีความรุนแรงมากขึ้น

ด้านผู้แต่งร่วมอาวุโสของการวิจัยอีกคน อาลีนา บาเนอร์จี (Aleena Banerji) จากโรงพยาบาลกลางแมสซาชูเซตส์เช่นกันระบุว่า การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ามันมีความปลอดภัยต่อคนส่วนใหญ่ในการได้รับวัคซีน mRNA เข็มที่ 2

"หลังเกิดปฏิกิริยาแพ้จากเข็มแรกแล้ว ผู้เชี่ยวชาญภูมิแพ้อาจจะมีประโยชน์ในการช่วยเหลือสำหรับการประเมินความเสี่ยงและประโยชน์และให้การช่วยเหลือในการฉีดให้ภูมิคุ้มกันได้อย่างปลอดภัยและครบถ้วน" บาเนอร์จี กล่าวผ่านรายงานของ Science daily

รอยเตอร์รายงานว่า ในการวิจัยพบว่าทีมได้ทำการศึกษาข้อมูลจากกลุ่มผู้ใหญ่ 189 คนที่ได้รับวัคซีน mRNA ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทค หรือวัคซีนโมเดอร์นา 1 เข็มแรกและมีอาการแพ้ปรากฏหลังการฉีดไม่ว่าจะเป็นหน้าแดง มึนศีรษะ วิงเวียน หายใจถี่ อาการเป็นเหน็บ อาการเจ็บคอและแน่นภายในคอที่อาจจะเกิดขึ้นมาจากหลายสาเหตุ (throat tightness) ลมพิษ หรือกระทั่งหายใจถี่และมีเสียงออกมา

Science daily ชี้ว่าการวิจัยชิ้นนี้ต้องการทราบว่า จะมีความปลอดภัยหรือไม่ที่จะให้ผู้ที่เคยรับวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคและวัคซีนโมเดอร์นาและมีอาการแพ้เกิดขึ้นจะสามารถรับวัคซีนเข็มที่ 2 ได้ต่ออย่างปลอดภัย โดยทีมวิจัยนี้เป็นความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลกลางแมสซาชูเซตส์ ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ (Vanderbilt University Medical Center) ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเซาท์เวสต์ (University of Texas Southwestern Medical Center) คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเยล (Yale School of Medicine)

พบว่าจากทั้งหมดของ 189 คนของการศึกษา จำนวนส่วนใหญ่หรือ 84% (159 คน) เข้ารับวัคซีนเข็มที่ 2 ต่อโดย 1 ใน 3 ของคนกลุ่มนี้รับยาต้านภูมิแพ้ก่อนเข้าฉีดเข็มที่ 2 รอยเตอร์รายงานว่า คนทั้งหมดมีความทนทานโดยไม่มีผลข้างเคียงปรากฏหลังเข็มที่ 2 รวมไปถึงกลุ่มคนที่มีปฏิกิริยาเกิดภูมิแพ้รุนแรงอย่างเฉียบพลันที่เรียกว่า (anaphylactic reactions)

ทีมวิจัยกล่าวว่า อาการแพ้ใดๆ ที่อาจขึ้นหลังจากได้รับเข็มที่ 2 แล้วนั้นพบว่าจะอยู่ในระดับต่ำและสามารถจัดการได้ง่าย

รอยเตอร์รายงานว่า มีการบันทึกถึงการแพ้ที่เกิดจากการฉีดวัคซีน mRNA นั้นสูงถึง 2% ซึ่งผู้นำการวิจัย แมทธิว เอส.ครานต์ซ์ (Matthew S.Krantz) จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ กล่าวย้ำว่า "การได้รับวัคซีนครบ 2 โดสนั้นมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเนื่องมาจากการระบาดของไวรัสเดลตา และทางเราสงสัยว่าอาจจะมีคนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการฉีดเข็มที่ 2 เนื่องมาจากเกิดอาการแพ้"

ทั้งนี้ การวิจัย "Second COVID-19 mRNA vaccine dose found safe following allergic reactions to first dose" ของโรงพยาบาลกลางสหรัฐฯ นี้ได้รับเงินวิจัยสนับสนุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ NIH (the National Institutes of Health) และโรงพยาบาลกลางแมสซาชูเซตส์
#3757



นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า บทบาทหน้าที่หลักของดีพร้อม คือ การเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพภาคการผลิตให้อุตสาหกรรมไทย โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ดีพร้อมได้เร่งดำเนินการ คือ การบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพสถานประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล รวมทั้งสถานประกอบการที่มีต้นทุนด้านโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง จะต้องลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ทั้งในด้านการจัดการสินค้าคงคลัง การจัดการคลังสินค้า การจัดการการขนส่ง และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุนโลจิสติกส์ทั้งหมด


จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ดีพร้อมจึงได้เดินหน้าเร่งผลักดันโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจโดยมีเป้าหมายในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดรวมถึงการเพิ่มความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันขององค์กร การพัฒนาระบบมาตรฐานด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานสากลของโลก เพื่อให้มีศักยภาพและได้ผลสัมฤทธิ์ต่อการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ รวมไปถึงการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ

ซึ่งต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 3 ด้านหลัก 1. ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง (Inventory Holding Cost) ได้แก่ ต้นทุนการถือครองสินค้าคงคลัง (Inventory Carrying Cost) และต้นทุนการบริหารคลังสินค้า (Warehousing Cost) 2. ต้นทุนการขนส่งสินค้า (Transportation Cost) และ 3. ต้นทุนการบริหารจัดการ (Administration Cost) นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสำหรับสถานประกอบการใน 3 มิติหลัก ๆ คือ ต้นทุน เวลา และความน่าเชื่อถือ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินธุรกิจ


ทั้งนี้ กิจกรรมสำคัญของโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลัก คือ 1. กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่อการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 2. กิจกรรมพลิกธุรกิจด้วยโลจิสติกส์กับการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ (Business Rebirth by Logistics (BRL))  3. กิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ดำเนินการโดยการ Coaching การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง (Supply Chain Network) และสร้างความร่วมมือในโซ่อุปทานทั้งภายในและภายนอกกลุ่มอุตสาหกรรม 4. กิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) สัญจรขยายผลความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค 5. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน โดยการอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับบุคลากร

"ดีพร้อมตั้งเป้าในการดำเนินงานในปี 2564 คือการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการลดลงคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาทซึ่งสถานประกอบการเป้าหมายในปี 2564 อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนโลจิสติกส์สูง ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและพลาสติก ยานยนต์และชิ้นส่วน ยางพาราและผลิตภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และสถานประกอบการ เช่น เกษตรแปรรูป และเครื่องจักรกลรวมถึงดำเนินการพัฒนาสถานประกอบการไม่ต่ำกว่า 170 กิจการ และพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรมให้มีทักษะและองค์ความรู้ด้านจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานที่นำไปใช้ได้จริงไม่ต่ำกว่า จำนวน 100 ราย" ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย
#3758




สถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในจังหวัดภูเก็ต รอบ 1 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 20-26 ก.ค. เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมีจำนวน 126 คน มาจากในประเทศ 118 คน และคัดกรองพบจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" อีก 8 คน สร้างความกังวลว่า "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" จะยังดำเนินการต่อได้หรือไม่ เพราะผู้ติดเชื้อเกินเงื่อนไข 90 คนต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์ของแผนเผชิญเหตุที่จะต้องนำมาพิจารณาในการเดินหน้า ทบทวน ชะลอ หรือยุติโครงการ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.ได้หารือร่วมกับ นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายแพทย์กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 26 ก.ค. เพื่อรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย หลังมีข้อกังวลเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในภูเก็ตที่เพิ่มขึ้นสูง โดยได้มีการพิจารณาหลักเกณฑ์อื่นๆ ประกอบ ยืนยันว่ายังรับมือและควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่มีนัยยะต่อการทบทวนโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ในตอนนี้ จึงได้ข้อสรุปว่าเดินหน้าโครงการต่อเนื่อง

แม้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ระหว่างวันที่ 21-27 ก.ค. จำนวน 145 คน จะเกิน 90 รายต่อสัปดาห์ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กำหนดเป็นหลักเกณฑ์ในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งอาจนำไปสู่การทบทวนยุติโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์หลังเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเมื่อ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา 

"แต่เมื่อดูยอดผู้ติดเชื้อสุทธิหลังมีการรักษาหายแล้ว พบว่าเหลือเพียง 60 กว่าคน ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต และเอกชนท่องเที่ยวได้พิจารณาหลักเกณฑ์ต่างๆ รอบด้าน ต่างยืนยันว่ายังรับมือไหว"


"พิพัฒน์"สั่งกดยอดผู้ติดเชื้อ 7 วัน
ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สั่งให้จับตาการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ 7 วันจากนี้ เพื่อหาวิธีกดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้ลดลง หากตัวเลขผู้ติดเชื้อในภูเก็ตยังเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง จนกระทบต่อระบบสาธารณสุข ไม่สามารถรับมือไหว ททท.จะมีการดำเนินงานในขั้นต่อไป

ด้านจังหวัดภูเก็ตได้มีการปรับมาตรการตามแผนจากเบาไปหาหนัก ขณะนี้เริ่มปรับลดกิจกรรม ได้แก่ ปิดศูนย์การค้า เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต และ เซ็นทรัล ฟลอเรสตา ภูเก็ต 7 วัน ตั้งแต่ 27 ก.ค.-2 ส.ค. รวมทั้ง ปิดสนามกีฬาฟุตบอล ฟุตซอล ตั้งแต่ 27 ก.ค.-2 ส.ค.เช่นกัน ปิดโรงเรียนจนถึงวันที่ 16 ส.ค และให้รวมกลุ่มทำกิจกรรมได้ไม่เกิน 100 คน ขณะที่ตลาดนัด ตลาดสด จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ 4 ตารางเมตรต่อ 1 คน มีผลตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค.

"เอกชนในภูเก็ตได้หารือถึงการยกระดับมาตรการป้องกันการระบาดไม่ให้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง มีการเสนอให้ปิดเกาะภูเก็ตเพื่อไม่ให้คนในพื้นที่อื่นเดินทางเข้า ทางปฏิบัติคงทำได้ยาก เพราะคนภูเก็ตที่ไปทำงานข้ามจังหวัด หรือมีลูกหลานในจังหวัดอื่นๆ ต้องการเดินทางกลับภูเก็ต จะปิดกั้นไม่ให้กลับคงทำได้ยาก แต่มีวิธีคุมเข้มและรัดกุมมากขึ้น"

ล่าสุด กำหนดให้ผู้ที่เดินทางมาจากทุกจังหวัด รวมถึงผู้ที่อยู่ในภูเก็ตแต่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ต้องแสดงหลักฐานผลการฉีดวัคซีนครบโดส และมีผลการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR หรือ Antigen Test เป็นลบ ภายในไม่เกิน 72 ชั่วโมง ตั้งแต่ 25 ก.ค.-2 ส.ค.นี้

รักษาป้อมปราการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
นายยุทธศักดิ์ กล่าวย้ำว่า ททท.ไม่มีความคิดที่จะยกเลิกโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และไม่มีอำนาจในการสั่งยกเลิก เพราะขึ้นอยู่กับทางจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้ตัดสินใจ โดยการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ขณะนี้ ถือเป็นการทดลองระบบ รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจะเดินทางเข้ามามากขึ้นในไตรมาส 4

ในเดือน ส.ค. นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สามารถต่อเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิได้ โดยจะมีเครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สและไทยสมายล์ที่รับส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้โดยเฉพาะ 

"ททท.ต้องพยายามรักษาป้อมปราการของภูเก็ตเอาไว้ให้ได้ เพราะ 15 เดือนที่เผชิญวิกฤติโควิด คนภูเก็ตที่เคยอาศัยรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างมาก ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จึงถือเป็นครั้งแรกที่ทำให้ธุรกิจเริ่มเดินได้ พนักงานภาคท่องเที่ยวมีรายได้จุนเจือครอบครัว การทำภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จึงไม่ใช่การเปิดๆ ปิดๆ ระหว่างทางทำอะไรได้ก็ทำต่อ หากเปิดแล้วยังวิ่งไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆ เดินไปอย่างมั่นใจ"

ประเด็นที่ ททท.พยายามสื่อสารไปยังตลาดต่างประเทศ คือ ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมองจำนวนผู้ติดเชื้อในภูเก็ตแยกออกจากภาพรวมของยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมดในไทยซึ่งมีจำนวนมาก เพราะอาจส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ขณะเดียวกันต้องติดตามการตัดสินใจของสายการบินต่างๆ ที่ทำการบินเข้าภูเก็ตด้วยว่าจะมีการปรับเปลี่ยนหรืองดบินหรือไม่ จากรายงานเดือน ส.ค.พบว่ามีสายการบินทำการบินระหว่างประเทศเข้าภูเก็ตเพิ่มอีก 4 สายการบิน


จองโรงแรมภูเก็ตเฉียด2.8แสนคืน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1-26 ก.ค. ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ มีนักท่องเที่ยวสะสมรวม 11,806 คน คัดกรองพบผู้ติดเชื้อ 26 คน ส่วนใหญ่พบจากการตรวจหาเชื้อครั้งแรก 10 คน โดยหลายคนที่ตรวจพบว่าเป็นซากเชื้อ ส่วนการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 พบ 7 คน การตรวจหาเชื้อครั้งที่ 3 พบ 2 คน แสดงให้เห็นว่าเป็นการติดเชื้อมาก่อน ไม่ได้ติดจากคนในประเทศ ส่วนผู้สัมผัสและมีความเสี่ยงสูงตรวจพบเชื้อ 7 คน

ด้านยอดจองโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 278,623 คืน เดือน ก.ค. 192,916 คืน ส.ค. 79,982 คืน และ ก.ย. 5,725 คืน เมื่อนับรวม ต.ค.2564-ก.พ.2565 ซึ่งตรงกับช่วงไฮซีซั่นอีก 5,250 คืน รวมมียอดจองโรงแรม 283,873 คืน

"ตัวเลขยอดการจองโรงแรมยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่าการระบาดหนักของไทยส่งผลต่อยอดจอง ส.ค.-ก.ย.อยู่บ้าง แต่การระบาดช่วงนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะในไทย พบระบาดหนักทั้งภูมิภาค ต้องดูการตัดสินใจให้บริการของสายการบินหากยังบินเข้าภูเก็ต ยอดจองโรงแรมก็น่าจะเดินหน้าได้ตามเดิม"

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (27 ก.ค.) เห็นชอบตามที่คณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 (ศบศ.) ในส่วนมาตรการการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่นำร่องเพิ่มเติมนอกเหนือจาก ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ โดยเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่น หลังพำนักในภูเก็ต 7 วัน และเดินทางท่องเที่ยวและต้องพำนักในพื้นที่อื่นอีกเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพงัน และเกาะเต่า) จังหวัดกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล) และจังหวัดพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่) เริ่มนวันที่ 1 สิงหาคม 2564

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ และ ททท. ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานด้านความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการการตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าพื้นที่ให้เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันการนำเชื้อโควิด-19 เข้าไปแพร่ระบาดในพื้นที่

สั่งทำแผนยกระดับจุดคัดกรอง
รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยพิจารณานำแนวทางของ "ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์" เผยแพร่ให้จังหวัดอื่นเพื่อเป็นกรณีศึกษานำไปวางแนวทางระยะต่อไป และประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจข้อมูลสถานการณ์แพร่ระบาดของไทยในพื้นที่ท่องเที่ยว รวมถึงความคืบหน้าและความสำเร็จของ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ให้สถานทูตประเทศต่างๆ และสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศรับทราบต่อเนื่อง

นอกจากนี้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตและผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เร่งทำคำของบประมาณและแผนกำลังคนรองรับการยกระดับศักยภาพของจุดคัดกรองให้เพียงพอ ทั้งกระบวนการคัดกรองผู้เดินทางด้วยระบบดิจิทัล การจัดหา Rapid Antigen Test และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เสร็จใน 1 สัปดาห์ และประสานกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ ในรายละเอียดของแหล่งเงิน เพื่อเสนอ ครม. และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งขึ้นทะเบียนรับรองวัคซีน Sputnik V เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนดังกล่าวเดินทางเข้ามาเที่ยวได้
#3759



ญี่ปุ่นเผชิญการระบาดของโควิดระลอกที่ 5 ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อรายวัน 7,629 คน เฉพาะกรุงโตเกียว 2,848 คน สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดเมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว

ทางการกรุงโตเกียวยืนยันยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2,848 คน เป็นตัวเลขรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนในจังหวัดอื่นก็มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก คือ จังหวัดคานางาวะ 758 คน, จังหวัดโอซากา 741 คน, จังหวัดไซตามะ 593 คนสูงสุดเป็นประวัติการณ์, จังหวัดชิบะ 405 คน, จังหวัดโอกินาวา 354 คนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งประเทศญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อเมื่อวานนี้ 7,629 คน

นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกฯญี่ปุ่น ยอมรับว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากญี่ปุ่นเพิ่งผ่านช่วงวันหยุดยาว 4 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนและเทศกาล "โอบง" ที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อสักการะบรรพบุรุษ

ผู้นำญี่ปุ่นเรียกร้องให้ประชาชนชมการแข่งขัน "โตเกียวโอลิมปิก" ทางโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน และงดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น

การระบาดระลอกใหม่นี้สร้างความกังวลมากขึ้น เมื่อมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพิ่มมากขึ้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งหมด แต่ทว่าจำนวนผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตยังค่อนข้างน้อย เมื่อวานนี้ (27 ก.ค.) มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 12 ราย และมีผู้ป่วยหนัก 514 ราย

คณะแพทย์เตือนว่า เชื้อสายพันธุ์เดลตาติดต่อได้รวดเร็ว และลุกลามสู่ปอดได้เร็ว ทำให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มคนหนุ่มสาวก็อาจมีอาการหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและใช้เครื่องช่วยหายใจ คณะแพทย์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเพิ่มจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วย และสร้างระบบติดตามผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้าน

หนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ติดเชื้อเพียบ

การระบาดระลอกนี้ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาววัย 20-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ส่วนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปพบผู้ติดเชื้อใหม่เพียง 2% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด

ญี่ปุ่นเร่งการฉีดวัคซีนได้มากกว่าวันละ 1,600,000 เข็ม แต่ขณะนี้การจัดสรรวัคซีนเผชิญปัญหาหยุดชะงัก ทางการท้องถิ่นหลายแห่งระงับการฉีดวัคซีนเข็มแรก โดยฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้กับผู้สูงอายุเท่านั้น ขณะนี้ผู้สูงอายุในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วราว 68.2% ส่วนประชากรทั้งหมดได้รับวัคซีนครบแล้วราว 25.5% .

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนแล้ว แต่กลุ่มหนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ภาพรวมทั้งประเทศมีผู้ฉีดเข็มแรก 36.9% ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว 25.5%
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนแล้ว แต่กลุ่มหนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ภาพรวมทั้งประเทศมีผู้ฉีดเข็มแรก 36.9% ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว 25.5%
#3760
3in1 led 36pcs 1w led flat par light DJ DMX512 Stage Lighting   

ไฟเวที LED FLAT PAR สุดคุ้มการใช้ ปาร์ตี้, ดิสโก้, KTV, ผับ, ร้านอาหาร, สวน, สวนสาธารณะ, พลาซ่า เพิ่มความตื่นตาตื่นใจ ด้วยชุดไฟ วิบวับ  แค่ 990 บาท 

- 1 หลอดมีหลาย สี  RGB MiXED COLOR
- วัตต์: ประมาณ 36 x  วัตต์
- แรงดันไฟฟ้า: 110-220 - v
-แหล่งพลังงาน: AC
- สามารถใช้ได้กับเครื่องควบคุมสัญญาณไฟ DMX512 
- รูปแบบไฟเปลี่ยนได้ถึง 7 แบบ ได้แก่ ปล่อยอัตโนมัติ เปลี่ยนตามจังหวะดนตรี master-slave
- รับประกัน 1 เดือน

สนใจ ติดต่อสอบถามหรือสั่งซื้อสินค้า
โทร : 094-5102033
LINE :@gentech
หรือคลิก https://lin.ee/eYs6pVN


#ป้ายNeonflex #ป้ายไฟสั่งทำ #ป้ายเชียร์ #ป้ายร้าน #ป้ายไฟดัด #ป้ายไฟled
#lighting #ไฟled #ledonhome #ป้ายไฟ #ป้ายไฟร้าน #ราคาป้ายไฟ #อุปกรณ์ไฟ
#โคมไฟ #ไฟตกแต่ง #ไฟประดับ #ไฟดาวไลน์led #วิธีเปลี่ยนหลอดled #วิบวับ #laser