• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3761


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 มาตรการการล็อกดาวน์ของ ศบค. ส่งผลให้การบริโภคไข่ไก่เพิ่มสูงขึ้นกว่าสถานการณ์ปกติ ล่าสุดกรมปศุสัตว์ได้เตรียมแผนรองรับในเรื่องนี้

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์จึงได้กำหนดมาตรการปรับสมดุล Demand – Supply โดยได้แจ้งให้เกษตรกรเจ้าของฟาร์มไก่ไข่ทั่วประเทศ สามารถยืดอายุการเลี้ยงแม่ไก่ไข่ยืนกรงออกไปตามที่แต่ละฟาร์มเห็นว่าเหมาะสม จากเดิมที่กำหนดให้ปลดแม่ไก่ยืนกรงที่อายุ 80 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณไข่ไก่เข้าสู่ตลาด จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่มีเพียงพอสอดคล้องกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ และสามารถรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงพออยู่ได้ไม่ขาดทุน ไม่ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน


คาดว่าจะทำให้ปริมาณผลผลิตไข่ไก่ในตลาดภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ยวันละ 2–3 ล้านฟอง จากเดิมที่มีผลผลิตวันละ 40 ล้านฟอง จึงขอให้ประชาชนผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าปริมาณผลผลิตไข่ไก่จะมีเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์อย่างแน่นอน
#3762


ดิ เอเชียน แบงเกอร์ (The Asian Banker) ยกย่อง "บัณฑูร ล่ำซำ" เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงการดำรงตำแหน่ง สามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติ มุ่งดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง เป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก จนประสบความสำเร็จตลอด 40 ปีที่ได้บริหารธนาคารกสิกรไทย

ดิ เอเชียน แบงเกอร์ วารสารเศรษฐกิจการเงินชั้นนำของเอเชีย ได้ประกาศเกียรติคุณมอบรางวัล The Asian Banker Leadership Achievement Awards 2021 for Lifetime Achievement in Leadership in the Financial Services Industry ให้แก่นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus) ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงดำรงตำแหน่งในธนาคาร นับเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติยศนี้

ทั้งนี้ รางวัลนี้นับได้ว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดรางวัลหนึ่ง เนื่องจากเป็นการให้การยอมรับต่อบุคคลที่ได้ก้าวล้ำหน้าไปในแวดวงของตนเอง และดำรงความมีชื่อเสียง ความสามารถและความสำเร็จอย่างโดดเด่นตลอดมา เป็นการสร้างเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดถึงผลสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้ ผู้ที่เคยได้รับรางวัลดังกล่าวในอดีตต่างเป็นผู้ที่ได้มีส่วนสำคัญในการก่อร่างสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง และในบางกรณีก็เป็นบุคคลที่ได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศของตน

วารสาร The Asian Banker มอบรางวัลนี้ให้แก่บุคคลที่ไม่เพียงแต่ปฏิรูปองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่เท่านั้น แต่ยังได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญให้แก่อุตสาหกรรมการให้บริการทางการเงินในประเทศและภูมิภาคด้วย ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านผลงานและภาวะผู้นำ อีกทั้งบุคคลที่ได้รับรางวัลนี้ยังมีคุณลักษณะที่ประกอบด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์สุจริต ความสำเร็จที่น่าประทับใจและเชาว์ปัญญาที่เฉียบแหลม ซึ่งกำลังถูกมองข้ามไปในวงการธุรกิจปัจจุบัน ผลงานความสำเร็จได้รับการยอมรับทั้งจากพันธมิตรและคู่แข่งในตลาด

ในช่วงที่ผ่านมา บุคคลที่เคยได้รับรางวัลนี้ล้วนเป็นผู้นำในแวดวงการเงินของแต่ละประเทศในเอเชีย อาทิ ดร.โจว เสี่ยวชวน อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศจีน (Dr. Zhou Xiaochuan, former Governor of People's Bank of China), ดร.เซติ อัคตาร์ อาซิซ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศมาเลเซีย (Dr. Zeti Akhtar Aziz, former Governor of Bank Negara Malaysia), มร.อแมนโด้ เอ็ม. เตตังโก้ จูเนียร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศฟิลิปปินส์ (Mr. Amando M. Tetangco Jr, former Governor of Bangko Sentral ng. Pilipinas), มร.หลิว หมิงคัง อดีตประธานคณะกรรมการกำกับธนาคารแห่งประเทศจีน (Mr. Liu Mingkang, former Chairman of China Banking Regulatory Commission)

ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้พิจารณารางวัลมีความเห็นว่า วิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ของนายบัณฑูร ตลอด 40 ปีที่ได้บริหารงานในธนาคารกสิกรไทย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย ได้ปรับเปลี่ยนให้ธนาคารกสิกรไทยกลายเป็นองค์กรตัวอย่าง ซึ่งได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวาง ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในธนาคาร และยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติและความท้าทายนานัปการ ทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง ทั้งยังเป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075745
#3763


ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรง ทำให้มีความกังวลว่าโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน อาจจะต้องเลื่อนเปิดให้บริการจากวันที่ 2 ส.ค. 2564 ออกไปก่อนหรือไม่ ซึ่ง "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รีบยืนยันว่ารถไฟสายสีแดงปักหมุดเปิดให้บริการ (Soft Opening) วันที่ 2 ส.ค. 2564 แน่นอน...ไม่เลื่อน โดยตามกำหนดการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดผ่านระบบออนไลน์ จากตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยจะให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีเป็นเวลา 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค. 2564)

สำหรับรถไฟสายสีแดงถือเป็นตำนานโครงการรถไฟฟ้าที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานมากที่สุดเส้นทางหนึ่ง และเป็นรถไฟฟ้าสายที่ประชาชนคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลจับตา และรอคอยสายหนึ่ง

โดยช่วงบางซื่อ-รังสิต หากนับจากวันที่เริ่มต้นสัญญาก่อสร้างงานโยธาเมื่อ 10 ก.พ. 2556 จนถึง 2 ส.ค. 2564 ที่รถไฟสายสีแดงขบวนแรกจะเปิดหวูดให้ประชาชนได้ทดลองนั่งฟรี ใช้ระยะเวลากว่า 8 ปี โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาโครงการมีปัญหาอุปสรรคมากมาย จนทำให้ต้องมีการขยายระยะเวลาสัญญาก่อสร้าง และปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างมาแล้ว 5 ครั้ง จากกรอบเริ่มต้น 52,220 ล้านบาท เป็น 93,950 ล้านบาท ซึ่งยังเหลือครั้งล่าสุดที่จะเสนอขอปรับอีก 10,345 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าก่อสร้างเพิ่มเติม (Variation Order : VO) โดยจะทำให้กรอบวงเงินโครงการสายสีแดงรวมช่วงบางซื่อ-รังสิต เพิ่มเป็น 104,295 ล้านบาท


"ศักดิ์สยาม" ปักหมุดเปิดให้บริการ จี้ รฟท.เร่งแก้ปัญหาติดขัดทุกมิติ

ก่อนหน้านี้ รฟท.กำหนดเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงอย่างไม่เป็นทางการในเดือน ม.ค. 2564 "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" ประกาศนโยบายปักหมุดเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงภายในปี 2564 หลังจากตรวจเช็กการก่อสร้างงานโยธา 2 สัญญา และความก้าวหน้าสัญญา 3 งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล วางไทม์ไลน์ ปิดจ็อบ และเมื่อรถไฟฟ้า 2 ขบวนแรกเดินทางมาถึง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2562 และเข้าประจำการ ณ โรงซ่อมบำรุงสถานีกลางบางซื่อ ในเดือนพ.ย. 2562 รฟท.เดินหน้าเข้าสู่โหมดการทดสอบระบบตามขั้นตอน

นอกจากนี้ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม ยังได้มีการติดตามการดำเนินการในทุกๆ ด้านอย่างใกล้ชิด โดยตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อจำนวน 5 คณะ ประกอบด้วย

1. ด้านการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งระบบ รวมทั้งการเชื่อมต่อการให้บริการระบบขนส่ง 2. ด้านสถานี 3. ด้านราคาค่าโดยสารและบัตรโดยสาร 4. ด้านการสื่อสารสาธารณะ 5. ด้านการกำหนดจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า (Gateway/Hub)

นอกจากนี้ ยังมีคณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) และพื้นที่ช่วงสถานีกลางบางซื่อ และคณะอนุกรรมการด้านการพิจารณาดำเนินการขอพระราชทานชื่อโครงการ 2 สายทาง สายทางละ 3 ชื่อ ซึ่ง รฟท.ได้จัดทำหนังสือถึงสำนักงานราชบัณฑิตยสภาและกรมศิลปากรเพื่อพิจารณาชื่อที่จะขอพระราชทาน

โครงการสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) เสนอ 3 ชื่อ ได้แก่ เฉลิมมหามงคล อาทรวัฒนวิถี และสวัสดิลีลาศ

โครงการสายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เสนอ 3 ชื่อ ได้แก่ ฉลองมหานคร สิทธิรังสีรัถยา และ ประพาสภิรมย์



ช่วงทดลองให้บริการฟรี วิ่งความถี่ 15-30 นาที

รถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กม. มี 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ, สถานีจตุจักร, สถานีวัดเสมียนนารี, สถานีบางเขน, สถานีทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, สถานีการเคหะ, สถานีดอนเมือง, สถานีหลักหก และสถานีรังสิต ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. มี 3 สถานี ได้แก่ สถานีบางซ่อน สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 นาที

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา รฟท.โดยบริษัท รฟฟท. จำกัด ได้มีการทดลองระบบการเดินรถ มีการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุต่างๆ ตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยวิศวกรที่ปรึกษาอิสระ (Independent Certification Engineer : ICE) ของโครงการได้เข้าตรวจสอบและออกใบรับรองให้แล้ว พร้อมที่จะเปิดให้ประชาชนร่วมใช้บริการโดยไม่เก็บค่าโดยสารตามแผนงาน

ในช่วงทดลองตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.นี้จะกำหนดความถี่ในการให้บริการเวลาเร่งด่วน 15 นาที นอกเวลาเร่งด่วน 30 นาที วิ่งเฉลี่ย 78 เที่ยว/วัน ใช้รถประมาณ 12 ขบวน โดยสายบางซื่อ-รังสิตจะใช้รถแบบ 6 ตู้/ขบวน จำนวน 8 ขบวน สายบางซื่อ-ตลิ่งชันใช้รถแบบ 4 ตู้/ขบวน จำนวน 4 ขบวน

ตารางการเดินรถสายบางซื่อ-รังสิต เที่ยวแรกออกจากบางซื่อ เวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกออกจากรังสิต เวลา 06.00 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากรังสิต เวลา 19.30 น.

สายบางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวแรกออกจากบางซื่อ เวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกออกจากตลิ่งชัน เวลา 06.06 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากตลิ่งชัน เวลา 19.36 น.



ระบบฟีดเดอร์เชื่อมเข้าสถานียังไม่สมบูรณ์

สำหรับการเดินทางเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อและสถานีรายทางนั้น ต้องยอมรับว่าการจัดระบบฟีดเดอร์และโครงสร้างพื้นฐานยังไม่สมบูรณ์ 100% ซึ่งคาดว่าก่อนจะถึงกำหนดเปิดเดินรถเชิงพาณิชย์เดือน พ.ย.จะมีความพร้อมมากขึ้น

โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดรถเมล์ 4 สาย ได้แก่ สาย 49 สาย 67 สาย 79 และ สาย 522 ปรับปรุงเส้นทางเดินรถให้เชื่อมเข้าสถานีสายสีแดง

ขณะที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก่อสร้างทางเดินเชื่อมต่อกับบริเวณทางเดินชั้นใต้ดินของสถานีกลางบางซื่อ จำนวน 2 จุด คือ บริเวณทางเดินผู้โดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ และทางเดินเชื่อมต่อบริเวณชั้นจำหน่ายบัตรโดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ

"ขณะที่สถานีกลางบางซื่อนั้นมีลานจอดรถใต้ดินรองรับได้ถึง 1,600 คัน คาดว่าจะเพียงพอต่อจำนวนผู้โดยสารในช่วงแรกที่คาดว่ายังมีไม่มากนัก"



เร่งปรับปรุงถนนเชื่อมเข้าสถานีรังสิต เกตเวย์ด้านเหนือ

สำหรับสถานีรังสิต ซึ่งเป็นเกตเวย์จุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายจุดเชื่อมต่อผู้โดยสารเสร็จแล้ว คือ ปรับปรุงถนนหน้าสถานี (ฝั่งตะวันตก) รฟท.ดำเนินการ และการปรับปรุงทางเข้าสถานีจาก ทล.346 (ทิศทางจากรังสิต) วงเงิน 4 แสนบาท (กรมทางหลวง ดำเนินการ)

ส่วนที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติมอีกคือ ก่อสร้างสะพานกลับรถด้านทิศใต้ วงเงินรวม 206 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 12 เดือน คาดแล้วเสร็จเดือน มี.ค. 2566, ปรับปรุงจุดกลับรถใต้สะพานข้ามทางรถไฟ ทางเท้า และระบบระบายน้ำ (ทิศทางจากปทุมธานี) วงเงิน 4.6 ล้านบาท ดำเนินการช่วงปี 2565 โดยกรมทางหลวง (ทล.)

ในส่วนของการจ้างบริการเพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดใช้สถานีกลางบางซื่อและสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี ประกอบด้วย 1. จ้างงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และจราจร 2. จ้างบริการทำความสะอาดอาคารและบริเวณสถานี 3. งานบริหารจัดการงานอาคารและสถานที่บริเวณสถานี 4. จ้างบริการรักษาความปลอดภัยและทำความสะอาดภายในอาคารและพื้นที่โดยรอบของโรงซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีแดง (CT Depot) และทำความสะอาดขบวนรถไฟฟ้าสายสีแดง 5. จ้างติดตั้งระบบจัดการจราจรภายในบริเวณลานจอดรถสถานีกลางบางซื่อ และจัดเก็บค่าบริการจอดรถ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดหาตามขั้นตอน

ด้านการจัดประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ อยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศเชิญชวนเพื่อคัดเลือกเอกชนดำเนินการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์และป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อและสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง 12 สถานี คาดว่าจะเสนอบอร์ด รฟท.พิจารณาอนุมัติร่างทีโออาร์ในเดือน ส.ค.นี้ คาดว่าจะได้เซ็นสัญญาและเริ่มดำเนินการในเดือน พ.ย. 64 โดยจะแบ่งเป็นเฟสเพื่อเปิดให้บริการได้รวดเร็วขึ้น

โดยมี 4 ฉบับ คือ 1. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ บริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ

2. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการเช่าสิทธิติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ

3. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี

4. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการเช่าสิทธิติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี



โจทย์สุดหิน...ห้ามขาดทุน

การให้บริการโครงการรถไฟฟ้ารายได้มาจาก 2 ส่วน คือ จากค่าโดยสาร และจากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งรายได้จากค่าโดยสารจะมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณผู้โดยสาร แต่... สถานการณ์ในปัจจุบัน ปริมาณการเดินทางลดลงไปอย่างมาก โดยล่าสุดพบว่าผู้โดยสารระบบรางทั้งระบบเหลือเพียง 98,453 คน/วันเท่านั้น หรือลดลงถึง 91.82% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณผู้โดยสารช่วงปี 2562 ก่อนที่จะเกิดโรคโควิด-19 ที่ระบบรางมีผู้โดยสารรวมถึงกว่า 1.2 ล้านคน/วัน

ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารและอัตราค่าโดยสารจะผันแปรโดยตรงกับรายได้ ซึ่งรถไฟสายสีแดงมี 13 สถานี ระยะทาง 41.56 กม. กำหนดอัตราเริ่มต้นที่ 12 บาท สูงสุด 42 เฉลี่ย 1.01 บาท/กม.

ทั้งนี้ ตามผลการศึกษาเดิม คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารในปีแรกที่เปิดให้บริการเฉลี่ยที่ 86,620 คน/วัน โดยคาดว่าจะมีรายได้ในปีแรกรวมประมาณ 1,153 ล้านบาท โดยมาจากค่าโดยสารราว 673 ล้านบาท และมีรายได้เชิงพาณิชย์ 480 ล้านบาท

ส่วนรายจ่ายรวมอยู่ที่ 1,267 ล้านบาท หลักๆ จะเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรประมาณ 376.6 ล้านบาท ค่าไฟฟ้าประมาณ 327 ล้านบาท ค่าประปา 7.5 ล้านบา ค่ารักษาความปลอดภัยและรักษาความสะอาดอีกราว 284.1 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา 90.3 ล้านบาท

ภายใต้สมมติฐานรายรับ รายจ่ายนี้ เท่ากับในปีแรกสายสีแดงจะยังขาดทุนประมาณ 113 ล้านบาท โดยยังไม่หักค่าดอกเบี้ย เงินกู้งานไฟฟ้าและเครื่องกลอีกกว่า 317 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ 431 ล้านบาท

สำหรับประมาณการผู้โดยสารนั้น ในข้อเท็จจริงมีการปรับลดลงมากกว่าครึ่ง ประกอบกับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงหนักหน่วงเช่นนี้ คงไม่สามารถคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารได้เลย ...คงได้แต่รอลุ้นว่าในเดือน พ.ย. 2564 ที่จะมีการเปิดเดินรถเชิงพาณิชย์ และเริ่มเก็บค่าโดยสารสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้วหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์กลับคืนปกติ รฟท.คาดหวังว่าจะสามารถใช้โปรโมชันการปรับลดอัตราค่าโดยสาร การจัดทำตั๋วเดือน เข้ามาใช้เพื่อจูงใจให้เพิ่มผู้ใช้บริการรถไฟสายสีแดง

หากมีการเปิดประเทศ การเดินทางกลับสู่ปกติ สนามบินดอนเมืองเปิด สายการบินให้บริการนักท่องเที่ยวกลับมา คาดหมายว่าสนามบินดอนเมืองจะป้อนผู้โดยสารเข้าสายสีแดงอย่างน้อย 10,000 คน/วัน ขณะที่ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม ทุบโต๊ะห้ามสีแดงขาดทุน...โจทย์สุดหิน! ที่ รฟท.ต้องหาคำตอบให้เจอ...

https:// m.mgronline.com/business/detail/9640000075315
#3764


เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ (วันที่ 29 ก.ค.) ของทุกปี จะมีการพิจารณามอบรางวัลเพื่อยกย่องบุคคลในวงการเพลงที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาไทย สำหรับปีนี้ ผลงานเพลงของค่าย "รถไฟดนตรี" ได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงเพื่อชีวิตชาย ได้แก่ ศิลปิน รอน อรัณย์ จากเพลง "รักคนอื่นไม่ได้เลย"

ทั้งนี้ รอนได้กล่าวด้วยความปลื้มใจว่า "รู้สึกภูมิใจที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ครับ รางวัลเพชรในเพลงเป็นรางวัลที่มาจากการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง สวยงาม เรามาร่วมกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องกัน รางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ ผมขอขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรม ขอบคุณคณะกรรมการผู้เกี่ยวข้อง ขอบคุณรถไฟดนตรีที่ให้โอกาสสร้างงาน และมอบโอกาสให้ผมได้เป็นผู้ถ่ายทอดเพลง "รักคนอื่นไม่ได้เลย" จนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ครับ" ติดตามอัปเดตข่าวสาร-เพลงใหม่ ศิลปินรถไฟดนตรีได้ทางยูทูบ : MUSIC TRAIN OFFICIAL เฟซบุ๊ก : รถไฟดนตรี ค่ายเพลง แฟนเพจ : รถไฟดนตรี.
#3765


โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ ยกครัวมาบน Truck เสิร์ฟความอร่อยระดับ 5 ดาวในรูปแบบอาหารกล่องสดใหม่ คุณภาพคับกล่องราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 60 บาท ให้คุณสั่งไปอิ่มอร่อยที่บ้านแบบปลอดภัย



• เกี๊ยวหมาล่า 60 บาท
• ก๋วยเตี๋ยวเส้นสด ซอสเสฉวนหมูสับ และเกี๊ยวหมาล่า 90 บาท
• บะหมี่ฮ่องกงจักรพรรดิ เสิร์ฟพร้อมหมูกรอบ หมูแดง เป็ดย่าง และเกี๊ยวหมู 120 บาท
• สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่า เสิร์ฟพร้อมคอหมูย่าง 90 บาท
• สปาเก็ตตี้แซลมอนย่าง ซอสครีมไข่กุ้ง 120 บาท
• สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทรัฟเฟิล เสิร์ฟพร้อมเนื้อวากิว 120 บาท



แมริออท สุรวงศ์ Food Truck เสิร์ฟความอร่อยให้คุณทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 20.00 น. บริเวณหน้าโรงแรม ถนนสุรวงศ์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ส.ค. 2564 มีเดลิเวอรี่ผ่าน Robinhood เพียงหาชื่อ 'แมริออท สุรวงศ์'

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 088 5666 หรือไลน์ @marriottsurawongse
#3766


กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รับโควิดกระทบซัพพลายเชนสะดุด หวั่น 6 เดือนหลังสถานการณ์ในไทยไม่ดีขึ้น อาจกระทบซัพพลายเชนทั้งโลก เสี่ยงถูกโยกกำลังการผลิตไปประเทศอื่น งัดทุกมาตรการดูแล "พนักงาน" ไม่ให้เกิดความเสี่ยง เผยพร้อมจัดซื้อวัคซีนให้กลุ่มพนักงานเพิ่ม หลังอัตราการฉีดยังครอบคลุมไม่มากพอ 

นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ภาพรวมในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ช่วงนี้ หากมองทั้งซัััพพลายเชนที่มีอยู่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า "เริ่มสะดุด" ในไทยถูกผลกระทบจากโควิด ส่งผลให้บางบริษัทได้ปิดไปในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ มาตรการที่ถูกนำมาใช้ขณะนี้ ทุกบริษัทจะมุ่งดูแล "คน" ก่อน "ธุรกิจ" แต่ละบริษัทจะมีมาตรการดูแลพนักงานไม่ให้มีการติดเชื้อภายในบริษัท ขณะเดียวกัน ให้ความรู้พนักงานกรณีที่ต้องออกไปภายนอก แจ้งเตือนทำความเข้าใจถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปเสี่ยง


หวั่นสะเทือนซััพพลายเชนทั้งโลก

"แต่ละโรงงานในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ การจะใช้มาตรการ Bubble and seal หรือ Home Isolation รวมไปถึงโรงพยาบาลสนาม ก็อาจจะมีติดขัดอยู่บ้างไม่น้อย ที่ผ่านมาในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เองได้มีการจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้กับพนักงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นวัคซีนซิโนฟาร์มของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นหลัก วัคซีนที่มาจากภาครัฐน้อยมาก" 

นายสัมพันธ์ ย้ำว่า ภาคอิเล็กทรอนิกส์เองพร้อมที่จะจัดซื้อวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้กับกลุ่มพนักงานมาก แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อที่ไหน ซึ่งปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ก็ยังครอบคลุมไม่มากพอ 

"ถ้าตัวเลขการติดเชื้อในประเทศไม่ลดลง ไทยจะกลายเป็น Bottleneck ของซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งโลก"

ทั้งนี้ใน 6 เดือนแรกที่ผ่านมา กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 10% แต่ 6 เดือนข้างหน้า มีความไม่แน่นอนสูง หากตัวเลขติดเชื้อในประเทศไม่ลด จะกระทบไปหมด ซึ่งมาตรการที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์นำมาใช้ก็อาจจะป้องกันไม่ได้ 100% ซึ่งหลักๆ พยายามดูแลคนในภาคอิเล็กทรอนิกส์ไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐ  

"ช่วงเดือน ก.ค ถือว่าหนักมาก ดังนั้นไตรมาสนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ถ้ายังเป็นสถานการณ์ลักษณะนี้ อาจเห็นภาพการโยกการผลิตจากประเทศไทยไปประเทศอื่น" นายสัมพันธ์ กล่าว 


เปิดรายได้ยักษ์ฮาร์ดดิสก์โลกในไทย

โควิดระลอกล่าสุด ส่งผลกระทบกับกลุ่มโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางโรงงานต้องปิดตัวลงชั่วคราว ข้อมูลจาก Creden data เผยรายได้ในกลุ่มบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ 2 ยักษ์ใหญ่ บริษัทซีเกท ประเทศไทย ฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์สำคัญของโลก มีรายได้ปี 2563 ที่ 154,499,475,430 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ 149,568,157,717 บาท

บริษัทเวสเทิร์น ดิจิตอล ประเทศไทย หรือดับบลิวดี ฐานการผลิิตและส่งออกฮาร์ดดิสก์โลกที่สำคัญเช่นกัน มีรายได้ปี 2563 ที่ 88,178,228,057 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ราว 78,092,718,973 บาท อย่างไรก็ตาม ย้อนหลังไป 5 ปีที่ผ่านมารายได้ของ ดับบลิวดีอยู่ในระดับแสนล้านบาทมาโดยตลอด


การ์ทเนอร์ชี้โควิดกระทบชิพขาด

นายคานิสกัส ชัวฮาน นักวิเคราะห์หลัก ฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆ ประเภทในปีนี้ ขณะที่โรงงานผลิตขึ้นราคาแผ่นเวเฟอร์ ที่เป็นส่วนประกอบหลักผลิตชิพ และมีผลต่อเนื่องไปถึงบริษัทผู้ผลิตชิพก็ขึ้นราคาตามไปด้วย

ปัญหาการขาดแคลนชิพ เริ่มเกิดกับอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ก่อน เช่น อุปกรณ์สำหรับการจัดการพลังงาน จอแสดงผล และไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่ผลิตจากบนโหนดการทำงานแบบเดิม ของโรงงานผลิตชิพขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ซึ่งมีวัตถุดิบจำกัด เวลานี้ปัญหาการขาดแคลนส่งผลต่อไปยังอุปกรณ์อื่นและมีข้อจำกัดด้านความจุ 

รวมถึงขาดสารตั้งต้นในการผลิต กระบวนการเชื่อมลวดทองคำ ส่วนประกอบแบบพาสซีฟ วัสดุและการทดสอบ ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ที่กำลังเป็นปัญหานอกจากเรื่องโรงงานผลิตชิพ การ์ทเนอร์คาดว่าปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์แทบทุกหมวดหมู่จะกระทบต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2565

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952257
#3767


เมืองชายฝั่งทั่วเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว จาการ์ต้า โซล ไทเป มะนิลา และกรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุหมุนเขตร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น

รายงานของกรีนพีซ เอเชียตะวันออก คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ประชาชนกว่า 15 ล้านคนใน 7 เมือง อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม การวิเคราะห์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในการวิเคราะห์ครั้งแรกที่ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความละเอียดสูงในการระบุถึงพื้นที่ของเมืองที่อาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และขอบเขตของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เมืองชายฝั่งทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุโซนร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ระหว่าง 0.43-0.84 เมตรภายในปี พ.ศ.2643 (IPCC, 2019) ขณะเดียวกัน ตลอดศตวรรษที่ 21 พายุมีความเร็วลมรุนแรงซึ่งสร้างความเสียหายมากขึ้น คลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่มีสภาวะสุดขีดมากกว่าในอดีต (Knutson et al., 2020)

คิม มีกยอง ผู้จัดการโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวว่า "ภายในทศวรรษนี้ เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งในเอเชียจะมีความเสี่ยงสูงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุที่เข้มข้นรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบ้านเรือน ความปลอดภัย และวิถีชีวิตของผู้คน นอกจากเหลือเวลาไม่มากในการยุติโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการระบบบริหารจัดการน้ำท่วมและการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (nationally determined contribution targets) นั้นไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งในสภาวะสุดขีด"

นอกจากอินโดนีเซีย และไทเป อีกหลายเมืองในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น จาการ์ตา โตเกียว ฮ่องกง โซล มะนิลา รวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย

เราเลือกเมือง 7 แห่งในเอเชียที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและตั้งอยู่บนชายฝั่งหรือใกล้ชายฝั่งเพื่อวิเคราะห์ถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากน้ำท่วมชายฝั่ง(coastal flooding) ในปี พ.ศ.2573 ตามภาพฉายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นไปตามปกติ (business as usual) การวิเคราะห์ของเราชี้ให้เห็นว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองต่างๆ ที่อยู่ในรายงานนี้ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ เว้นแต่เราจะลงมือทำในทันทีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างรวดเร็ว

จากปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกขอประเทศ(nationally determined contribution targets) นั้นยังไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งแบบสภาวะสุดขีด รัฐบาลและบรรษัทต่างๆ ต้องลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วขึ้น เช่น ยุติการสนับสนุนทางการเงินให้กับอุตสาหกรรมถ่านหินและเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เพื่อป้องกันมิให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มมากไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส

ข้อมูลอ้างอิง Greenpeace Thailand
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >> https:// act.gp/2Tf58WS
#3768



การประชุมคณะกรรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2564 ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน มีมติเห็นชอบปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปี 2564 – 2566 เพื่อรองรับการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติระยะที่ 2 โดยกำหนดโควตาให้นำเข้าในปี 2564 จำนวน 4.8 แสนตันต่อปี ส่วนปี 2565 นำเข้าได้ 1.74 ล้านตันต่อปี และปี 2566 นำเข้าได้ 3.02 ล้านตันต่อปี

เมื่อภาคนโยบายกำหนดปริมาณการนำเข้าที่ชัดเจนตามข้อสั่งการของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งได้มอบหมายให้กรมเชื้อแพลิงธรรมชาติ และบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ PTT พิจารณากำหนดปริมาณการนำเข้า LNG ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และให้ กกพ. บริหารความสามารถของ LNG Terminal และทบทวนความเหมาะสมของ TPA Regime และ TPA Code 

ทั้งนี้ ให้ กกพ. เป็นผู้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการพิจารณาการดำเนินงานให้เป็นไปตามรูปแบบการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2

แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน ระบุว่า การนำเข้า LNG ของผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper)รายใหม่ จะดำเนินการได้ทันภายในไตรมาส 3 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่นั้น ยังขึ้นอยู่กับความพร้อมในหลายเรื่อง เช่น การประชุม กบง. และกพช.นัดถัดไป ซึ่งก็ต้องลุ้นว่า จะเกิดขึ้นในไตรมาส 3นี้ หรือไม่ จากเดิมกำหนดจะประชุมในไตรมาส 2 รวมถึง แผนบริหารจัดการนำเข้า LNG ของ กกพ. หลัง กบง. อนุมัติโควตาช่วง 3 ปีแล้ว จะสามารถจัดทำวิธีการปฏิบัติได้เสร็จทันหรือไม่

หลังได้รับรายงานในเบื้องต้นว่า ขณะนี้ กกพ. ประสานขอตารางการจอง LNG Terminal ที่ว่างอยู่ ของ ปตท. เพื่อจัดส่งให้ Shipper พิจารณาเลือกคิวที่ต้องการโดยเร็วที่สุด รวมถึง กกพ.จะส่งเอกสารให้ Shipper แต่ละราย ระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการใช้สิทธิ์โควตานำเข้าในปริมาณเท่าไหร่ และห้ามมีเงื่อนไขโดยเด็ดขาด ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้เสร็จภายในกลางเดือน ส.ค.นี้ เพื่อจะได้มีเวลานำเข้า LNG ได้ทันโควตาในปีนี้


"เท่าที่ทราบ บอร์ด กกพ. เมื่อเร็วๆนี้ ยังไม่อนุมัติให้ผู้ Shipper รายใด นำเข้า LNG ตามโควตา 4.8 แสนตันในปีนี้ เพราะ Shipper บางรายตั้งเงื่อนไข เช่น จะนำเข้า LNG หากราคาอยู่ในระดับที่ต้องการ หรือจะนำเข้า LNG ก็ต่อเมื่อจอง LNG Terminal จาก ปตท. ได้ก่อน ทำให้ กกพ.ต้องเข้มหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อป้องกันกรณี Shipper ไม่นำเข้า LNG ตามจริง ซึ่งอาจทำให้ประเทศประโยชน์ได้"


แหล่งข่าวคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุว่า สำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างเตรียมส่งเอกสารถึง Shipper ทั้ง 7 ราย อีกครั้ง เพื่อให้ยืนยันปริมาณความประสงค์ที่จะนำเข้า LNG และจัดส่งตารางจอง LNG Terminal พร้อมใบเสร็จชำระค่าจองใช้ LNG Terminal ที่ชัดเจนมายังกกพ. ก่อนที่จะอนุมัติสิทธินำเข้าในปีนี้

ส่วนปี 2565 ที่มีโควตานำเข้า อยู่ที่ 1.74 ล้านตัน ทาง กกพ. เตรียมพิจารณาออกบทลงโทษหาก Shipper ยื่นขอใช้สิทธิแต่ไม่นำเข้ามาจริง เช่น หาก Shipper ไม่สามารถจัดหา LNG มาส่งให้กับลูกค้าโรงไฟฟ้าได้ ขั้นแรกต้องไปยืม LNG จาก Shipper รายอื่น แต่หากยังไม่สามารถยืมได้ และจะหันมาซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. ในระบบ จะต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม เป็นต้น โดยการกำหนดบทลงโทษนี้ จะเสนอ กพช. พิจารณาอนุมัติใช้ในการประชุมนัดถัดไป

สำหรับ Shipper ทั้ง 7 ราย ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.),บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน),บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด,บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด,บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป, บริษัท PTT Global LNG Company Limited หรือ PTTGL และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG


นางราณี โฆษิตวานิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยืนยันว่า กฟผ.มีความพร้อมที่จะนำเข้า LNG ในปีนี้ ตามปริมาณที่เคยแจ้งต่อ กกพ.ไปแล้ว อยู่ที่ ประมาณ 3 แสนตัน ซึ่งในส่วนของการจอง LNG Terminal นั้น ในส่วนของ กฟผ.ได้ดำเนินการจองคลังก๊าซฯภายใต้โควตา 1.5 ล้านตันไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้นในส่วนของประเด็นนี้สำหรับกฟผ.ไม่น่าจะมีปัญหา

"กฟผ.เราพร้อมมาก หาก กกพ.อนุมัติปริมาณนำเข้า และ กบง.เห็นชอบแล้ว ทาง กฟผ.ก็พร้อมออก TOR เปิดประมูลจัดหาฯ LNG ทันที ซึ่งปริมาณนำเข้า 3 แสนตัน น่าจะมีมูลค่าราว 4-5 พันล้านบาท"

อย่างไรก็ตาม ตามแผนเดิมนั้น กฟผ.จะเริ่มทยอยนำเข้า LNG ตั้งแต่เดือน ส.ค. ถึงเดือน ต.ค.ปีนี้ แต่ขณะนี้กระบวนการอนุมัติจากภาครัฐยังไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น คาดว่า เดือน ส.ค.นี้ คงนำเข้า LNG ไม่ทัน และน่าจะเริ่มนำเข้าได้ในช่วงเดือน ก.ย.นี้ เป็นต้นไป ก็อาจส่งผลให้ปริมาณนำเข้า LNG ปีนี้ ลดลงจากแผนบ้าง ส่วนปีหน้าก็ยังคาดหมายที่จะนำเข้าในปริมาณ 1.2-1.3 ล้านตันต่อปี

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951931
#3769


(1 สิงหาคม 2564) หนุ่มสุรินทร์โพสต์รูปพี่ชายโชว์สลากดวงเฮงถูกรางวัลที่ 1 รับเงิน 6 ล้าน สุดดีใจน้ำตาไหลบอกปลดหนี้ให้พ่อแม่ได้แล้ว

ภายหลังกองสลากประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ส.ค.64 รางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 910261 และรางวัลเลขท้าย 2 คือ 69

ปรากฎว่าสมาชิกเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Pakorn Peera ได้โพสต์รูปภาพชายหนุ่มถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 ใบ เป็นจำนวนเงิน 6 ล้านบาท พร้อมกับแท็กเฟซบุ๊กชื่อ ต้อม วุฒิพงศ์ ระบุว่า


ปลดหนี้ให้พ่อแม่ได้แล้ว รางวัลที่6ล้านบาท

พี่ชายผมถูก #น้ำตาไหล 

สุรินทร์ #ศรขรภูมิ #รัตนะ

นอกจากนี้ยังโพสต์ภาพพี่ชายเดินทางไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย

เพื่อนๆร่วมยินดี 'เจ้หมู'ดวงเฮงรับ 6 ล้าน ถูกแซวขำๆ 'จำข่อยได้บ่'



สาวใหญ่อุดรธานีดวงเฮงถูกรางวัลที่ 1 รับ 6 ล้าน เพื่อนๆ ญาติๆ ร่วมยินดีล้นหลาม แซวกันสุดขำ "จำข่อยได้บ่"

ภายหลังกองสลากประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ส.ค.64 รางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 910261 และรางวัลเลขท้าย 2 คือ 69

ปรากฎว่าสมาชิกเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Ripper Ripper ได้โพสต์ภาพหญิงสาวถือโชว์ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 6 ล้าน พร้อมระบุข้อความว่า

saveสร้างคอม ญาติพี่น้องข่อยถึกรางวัลที่1...ดีใจนำครับเจ้หมู!!จำข่อยได้บ่นิ..555(1ในล้าน)

ภายหลังโพสต์ดังกล่าวได้มีผู้เข้ามาแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก.... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/news/113900/
#3770



"เซรั่ม" ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามที่หลายคนขาดไม่ได้ เพราะมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวล้ำลึกมากกว่าการทาครีมทั่วไป ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็สามารถใช้เซรั่มเป็นตัวช่วยดูแลผิวพรรณได้เช่นกัน เพราะปัจจุบันมีหลายสูตรให้เลือกใช้ ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว แต่การจะใช้เซรั่มให้ได้ผลที่สุด ก็จำเป็นต้องรู้วิธีใช้ที่ถูกต้อง

เซรั่ม คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีขนาดโมเลกุลเล็กมาก เนื้อสัมผัสจะเบาบาง มีลักษณะเป็นของเหลวใสๆ อาจจะมีสีขุ่นๆ รวมไปถึงมีสีสันต่างๆ ตามส่วนผสมและสารสกัดที่ใช้ เซรั่มมีจุดเด่นที่ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวได้ล้ำลึก ด้วยการใช้ในปริมาณเพียง 2-3 หยดเท่านั้น 

ปัจจุบัน มีการผลิตภัณฑ์เซรั่มผิวออกมาหลากหลายสูตร โดยเฉพาะเซรั่มบำรุงผิวหน้า เพื่อให้แต่ละคนเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง ช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เช่น เซรั่มเพื่อผิวกระจ่างใส, ลดเลือนจุดด่างดำ, ลดเลือนริ้วรอย, กระชับรูขุมขน เป็นต้น 

ประโยชน์ของเซรั่ม คือ การซึมลึกลงไปยังผิวชั้นใน เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวอย่างอ่อนโยน และปกป้องผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น นอกจากใช้เซรั่มบำรุงผิวหน้าทั่วไปแล้ว วิธีใช้เซรั่มสำหรับผู้ชาย ยังช่วยลดอาการระคายเคืองของผิวจากการโกนหนวดได้อีกด้วย


"เซรั่ม" ต่างจาก "ครีม" อย่างไร?
แม้ว่าทั้งเซรั่มและครีมจะมีหน้าที่ในการช่วยดูแลบำรุงผิวพรรณ แต่ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งหากรู้ไว้ก็จะช่วยให้เราเรียงลำดับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้การดูแลผิวพรรณมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

เซรั่ม : เป็นสารบำรุงที่มีความเข้มข้น ซึมเข้าสู่ผิวเร็ว บางเบา ใช้ในปริมาณน้อย แก้ปัญหาและฟื้นฟูผิวได้ตรงจุด เน้นการบำรุงผิวจากภายใน แทรกซึมผ่านผิวได้ล้ำลึก ผลิตภัณฑ์เซรั่มจะมีราคาค่อนข้างสูง
ครีม : มีเนื้อสัมผัสที่หนักกว่าเซรั่ม แก้ปัญหาผิวโดยรวม บำรุงผิวชั้นนอก ช่วยให้ความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้ง อาจต้องใช้ปริมาณเยอะในการทำบำรุงผิวหน้า แต่ครีมส่วนใหญ่จะมีราคาไม่แพงเท่ากับเซรั่ม

วิธีใช้เซรั่ม ควรใช้ตอนไหนให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด (สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย)
สำหรับคนที่อยากหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ แต่ก็สงสัยว่าเซรั่มใช้ยังไง ใช้ตอนไหนให้ได้ผลดีที่สุด ผู้ชายใช้ได้หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย หรือเพศไหน ก็สามารถใช้เซรั่มผิวเพื่อดูแลผิวพรรณได้ ส่วนวิธีใช้นั้นง่ายมาก เพียงแค่รู้ลำดับขั้นตอนการใช้ ก็สามารถบำรุงผิวหน้าได้แล้ว ดังนี้

1. ทำความสะอาดหน้าเพื่อเตรียมผิว
เรียกว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้าม หลังอาบน้ำควรล้างหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกติดค้าง หลังจากนั้นเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน เพื่อเปิดรูขุมขน ไม่ถูแรงจนเกินไป ซึ่งในขั้นตอนที่ผิวหน้ากำลังชุ่มชื้นคือ การเตรียมผิวที่ดีที่สุด ในขั้นตอนนี้สามารถใช้เอสเซนส์บำรุงเพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ด้วย

2. เริ่มทาเซรั่มบนผิวหน้า
การใช้เซรั่มในขณะที่ผิวกำลังชุ่มชื้น จะช่วยให้สารบำรุงซึมลึกลงสู่ชั้นในของผิวได้ดีกว่าตอนที่ผิวหน้าแห้ง โดยบีบเซรั่มจากหลอด ให้มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว เพียง 2-3 หยด หลังจากนั้นใช้ปลายนิ้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า เริ่มจากจุดกลางหน้าผาก จมูก ปลายคาง และแก้มทั้ง 2 ข้าง นวดเบาๆ ให้เนื้อเซรั่มกระจายทั่วใบหน้าและลำคอ 


3. ทามอยส์เจอไรเซอร์ หรือสกินแคร์อื่นๆ
หลังจากทาเซรั่มแล้ว ควรรอสัก 5 นาที เพื่อให้สารบำรุงซึมลงสู่ผิวชั้นใน แล้วค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งหลายคนอาจลำดับสับสน ให้จำไว้เสมอว่า "ลงเซรั่มก่อนมอยส์เจอไรเซอร์" เนื่องจากเซรั่มมีความบางเบาที่สุด ส่วนมอยส์เจอไรเซอร์มีความเข้มข้นกว่า จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นของชั้นผิวไว้ได้ หรือไม่ว่าจะใช้ครีมบำรุงและสกินแคร์ชนิดไหน ก็ควรทาตัวที่มีเนื้อครีมหนักเป็นลำดับหลังๆ เพื่อให้การบำรุงมีประสิทธิภาพสูงสุด

การเลือกเซรั่มที่ดี ควรเลือกใช้ของผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ปลอดภัยจากสารปรอทและส่วนผสมที่เป็นอันตราย ใครที่แพ้ง่ายก็ควรหันมาใช้เซรั่มสูตรอ่อนโยน มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไร้สีและกลิ่น โดยต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพปัญหาผิวของตนเอง ที่สำคัญอย่าลืมดูแลสุขภาพและร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
#3771



วินาทีนี้คงไม่มีเมกะเทรนด์ไหนจะมาแรงแซงทางโค้งเท่ากับ "ธุรกิจกัญชา-กัญชง" ซึ่งได้รับการปลดล็อกจากรัฐบาลให้เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ปลุกกระแสคึกคักไปทั่วทุกอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับ "ธีมผู้สูงอายุ" ที่สร้างโอกาสธุรกิจเกิดใหม่มากมายนับไม่ถ้วน พร้อมรับสังคมวัยเก๋า ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างรวดเร็วในเมืองไทย ใครจับเทรนด์รุ่งมาต่อยอดความรวยได้ก่อนย่อมมีชัยเหนือคู่แข่ง

ในฐานะทายาทผู้นำเข้าบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางรายใหญ่ที่สุดของอาเซียน "คอมเม็ทส์ อินเตอร์เทรด จำกัด" ที่คร่ำหวอดในวงการแพ็กเกจจิ้งเครื่องสำอางไทยมาหลายทศวรรษ "หนุ่มโอม-สฤษฏ์รัช พิบูลย์สวัสดิ์" ทุ่มเทเวลา 2 ปีเต็ม ปลุกปั้นบริษัทน้องใหม่ "ไอคัลเลอร์ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด" เพื่อรับจ้างผลิตเครื่องสำอางจากกัญชา-กัญชง อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยถือเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบจดแจ้งเครื่อง สำอางจากผงใบกัญชาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ก็เพราะเป้าหมายสูงสุดคือ อยากผลักดันให้กัญชา-กัญชง กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศไทย สร้างรายได้จากการส่งออกไปทั่วโลก งานนี้ "ไอคัลเลอร์" จึงร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนเพลาเพลินฯ จังหวัดบุรีรัมย์ (PHC) ผู้นำด้านการปลูกกัญชาและกัญชงแบบเกษตรมาตรฐานสูงเกรดทางการแพทย์ คิดค้นพัฒนาวัตถุดิบคุณภาพจากกัญชา-กัญชง เพื่อนำมาผลิตเครื่องสำอางเป็นสินค้าต้นแบบของไทย โดยส่วนที่นำมาใช้จะมีหลากหลาย ทั้งใบ, ลำต้น, ราก และกาก ตามนโยบายซีโร่เวสต์ของสมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย (TIHTA) ยอดฮิตสุดน่าจะเป็นส่วนของใบกัญชาแห้ง ปัจจุบันราคาตลาดกิโลกรัมละ 1,000-35,000 บาท ผลจากการศึกษาพบว่ากัญชา-กัญชง มีสรรพคุณสำคัญในการยับยั้งอนุมูลอิสระ, ช่วยคงความอ่อนเยาว์, ปรับสมดุลให้ผิว, ลดเลือนริ้วรอย, ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของชั้นผิว และให้ความชุ่มชื้นได้ดี

งานนี้ "หนุ่มโอม" พิชิตหลักไมล์แรก ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต้นแบบแรกออกสู่ตลาดก่อนใคร นั่นคือ "บีไวลด์ แคนนาบิส ลีฟ พาวเดอร์ เฟเชียล มาส์ก" เป็นมาส์กหน้าใสจากผงใบกัญชา ช่วยลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื้นทันใจ เสริมประสิทธิภาพลดรอยหมองคล้ำ และอาการบวมช้ำ ด้วยสารสกัดจากใบบัวบกกับวิตามินซี ถือเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองอีกหนึ่งคนรุ่นใหม่ที่จับกระแสเทรนด์ฮอตมาปลุกปั้นเป็นธุรกิจดาวรุ่งได้อย่างน่าสนใจ ต้องยกให้ "สาวมายด์-พรนัชชา วิรัตน์มาลี" ทายาทธุรกิจจำหน่ายมือถือและอุปกรณ์สื่อสารแถวหน้าของเมืองไทย "บริษัท วิรัตน์มาลี จำกัด" ติดสอยห้อยตามคุณพ่อไปยืนขายโทรศัพท์มือถือตามงานโมบายเอ็กซ์โปตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทำให้ซึมซับความเป็นนักขายมาเต็มๆ หลังเรียนจบด้านไฟแนนซ์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล อินเตอร์

มายด์
มายด์
"สาวมายด์" จึงขอปาป๊าออกมาลุยธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดความรวยของครอบครัว โดยปิ๊งไอเดียจากความมาแรงของเทรนด์ผู้สูงอายุ ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ทำให้กระโดดเข้าไปลงทุนในธุรกิจ "ครีมปิดผมขาวสัญชาติเกาหลี So Young Herbal Speed Color" พลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ทันที เพราะการล็อกดาวน์อยู่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ยอดขายครีมปิดผมขาวทะยานขึ้นหลายเท่าตัว เฉพาะปี 2563 ทำยอดขายได้ทะลุ 10 ล้านบาท แค่ปีเดียวขายไปมากกว่า 200,000 ซอง


จุดเด่นที่ทำให้ "สาวมายด์" มั่นอกมั่นใจเต็มพิกัดว่าจะตีตลาดครีมปิดผมขาวให้กระจุย คือ "So Young" ไม่มีกลิ่นฉุน, ปลอดภัยไร้แอมโมเนีย และปราศจากสารเคมี ทำให้สีผมสวยเป็นธรรมชาติ แถมบำรุงหนังศีรษะให้นุ่มชุ่มชื้น ใช้เวลาแค่ 3 นาที ก็ปิดผมขาวได้ทันใจสไตล์เกาหลี โดยมีส่วนผสมของ "โสมเกาหลี" ช่วยต้านอนุมูลอิสระ, บำรุงรากผมให้แข็งแรง, กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต, ช่วยล้างสารพิษ และป้องกันการหลุดร่วงของ


เส้นผม ส่วน "อาร์แกนออยล์" เข้มข้นด้วยวิตามินอีบวกสารอาหารจำเป็นสำหรับเส้นผม ช่วยให้เส้นผมนุ่มชุ่มชื้น ป้องกันผมแห้งเสียชี้ฟู และ "สาหร่ายทะเล" อุดมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเส้นผมให้มีสุขภาพดี เงางามมีน้ำหนัก


แม้จะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ แต่ "สาวมายด์" ก็เชื่อมั่นว่าในอนาคตการปิดผมขาวเร็วทันใจด้วยตัวเองจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภคชาวไทยที่อยากดูอ่อนกว่าวัยสไตล์เกาหลี โดนใจตั้งแต่วัยทำงานจนถึงวัยเก๋า!! ปังไม่หยุดจริงๆ ปี 2564 จะต้องเป็นปีทองของ 2 ธุรกิจดาวรุ่งอย่างแน่นอน.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2131007
#3772



ซัมซุงแนะนำ Galaxy Tab S7 FE แท็บเล็ตรุ่นใหม่ ที่รวมฟีเจอร์สุดโปรดของเหล่าแฟนๆ จากแท็บเล็ตรุ่นแฟลกชิปไว้ในเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 12.4 นิ้ว ปากกา S Pen ในกล่อง "ไม่ต้องซื้อเพิ่ม" และ "ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรีให้เสียเวลา"


S Pen เพื่อชีวิต Multi-Tasking
S Pen เพิ่มความสะดวกในการเรียนออนไลน์ ทำโปรเจค เอกสาร ด้วยฟีเจอร์ Samsung Notes ที่ช่วยเปลี่ยนการจดด้วยลายมือให้กลายเป็นข้อความตัวพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบเรียลไทม์

ทั้งนี้ สามารถจัดระเบียบบันทึกต่างๆ ด้วยแท็กอัตโนมัติ และการค้นหาอัจฉริยะเพื่อการใช้งานโน้ตที่ต้องการได้ทันที รวมถึงฟีเจอร์ Multi-Active Window เพื่อการใช้งานหลายหน้าต่างพร้อมกัน และฟีเจอร์ Multi instance เพื่อจับคู่แอพพลิเคชั่นและสร้าง Shortcut ให้สามารถทำงานพร้อมกันได้ถึงสามแอพพลิเคชั่นในหน้าจอเดียว ไม่ว่าจะท่องอินเทอร์เน็ต จดโน้ต หรือแม้แต่การรับชมวีดิโอสตรีมมิ่งในเวลาเดียวกัน

พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานไปอีกขั้น ด้วยการเปลี่ยนให้ Galaxy Tab S7 FE เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวผ่าน Samsung DeX ที่ทำงานร่วมกับ Tab S7 FE Keyboard Coverทำให้การทำงานง่ายยิ่งขึ้น พร้อมการแชร์ไฟล์ผ่าน Quick Share ตลอดจนการคัดลอกและวางข้อความหรือรูปภาพจากสมาร์ทโฟนตระกูลกาแลคซี่สู่ Galaxy Tab S7 FE

เต็มที่ทั้งเรื่อง เล่น เรียน ทำงาน

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับกล้องหน้าตำแหน่งตรงกลางจอความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และระบบเสียงอันคมชัดจาก Dolby Atmos พร้อมไมโครโฟนสามตำแหน่ง ทำให้แท็บเล็ตรุ่นนี้เหมาะกับการ VDO Conference เพื่อการเรียนหรือทำงานออนไลน์

รุ่นนี้ยังโดดเด่นด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 12.4 นิ้ว พร้อมขอบจอบางเฉียบให้ภาพที่ละเอียดคมชัดเต็มตา พร้อมใช้งานได้ยาวนานตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ขนาด 10,090 mAh ที่ให้ผู้ใช้สามารถดูวิดีโอได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมงรวมถึงการรองรับระบบ Super-Fast Charging สูงสุด 45W

ด้วย Galaxy Ecosystem เมื่อใช้งานผ่านหูฟัง Galaxy Buds Pro ผู้ใช้จะสามารถเชื่อมต่อกับแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนจากซัมซุงได้ง่ายดายและลื่นไหลยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยการตั้งค่าใดๆ โดยมีฟีเจอร์ Auto Switch ทำหน้าที่ช่วยหยุดวีดิโอชั่วคราว แล้วสลับไปรับสายโทรศัพท์ผ่าน Galaxy Buds Pro ให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อวางสาย ก็จะสลับกลับมาเล่นวีดิโอบนแท็บเล็ตได้อย่างต่อเนื่อง


-ใช้งาน Clip Studio Paint แอพพลิเคชั่นวาดภาพระดับโปร ฟรี 6 เดือน
-ใช้งาน Canva Pro แอพพลิเคชั่นออกแบบงานกราฟฟิกและสื่อต่างๆ ฟรี 30 วัน
-ใช้งาน Noteshelf แอพพลิเคชั่นเพิ่มประสิทธิภาพการจดโน้ต ฟรี
-รับสิทธิ์ YouTube Premium ดูวีดิโอแบบไม่มีโฆษณาคั่น ฟรี 4 เดือน
-รับสิทธิ์ Galaxy Butler Silver บริการช่วยเหลือหลังการขายแบบพิเศษสำหรับอุปกรณ์กาแลคซี่ อาทิ ฟรีบริการเครื่องสำรองหลังซ่อม ผู้ช่วยส่วนตัว 24 ชั่วโมง ฯลฯ


Galaxy Tab S7 FE มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ประกอบด้วย Mystic Green, Mystic Pink, Mystic Silver, และ Mystic Black โดย Galaxy Tab S7 FE LTE วางจำหน่ายใน ราคา 19,990 บาท
#3773



"แบรนด์กีฬา" เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ "แบรนด์แฟชั่น" และหลายแบรนด์ก็มีที่มาที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยเอกลักษณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือการออกแบบที่ดึงดูดใจตลาดวัยรุ่น

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวนดู "10 เบื้องลึกเบื้องหลัง แบรนด์กีฬาท็อปฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมในปี 2564 นี้บ้าง?"


01: ไนกี้ (Nike)

คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักแบรนด์ "ไนกี้" (Nike) หนึ่งในแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุด และปัจจุบันยังมีการออกแบบสุดว้าว ด้วยเทคนิค-นวัตกรรมที่ช่วยสร้างประสิทธิภาพให้กับผู้สวมใส่ที่ดีขึ้นทุกวันๆ 

ไนกี้ก่อตั้งเมื่อปี 1964 โดย บิล บาวเวอร์แมน (Bill Bowerman) และฟิล ไนท์ (Phil Knight) โดยชื่อแบรนด์มีแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายกรีก และแบรนด์เป็นที่รู้จักจากสโลแกนคุ้นหูอย่าง "Just Do It" ที่สร้างแรงบันดาลใจและส่งต่อพลังในการลงมือทำ

ไนกี้โดดเด่นในการออกแบบ "รองเท้าวิ่ง" ที่สุดในตลาดสนีกเกอร์ มีรองเท้าวิ่งหลายรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างไร้กาลเวลา เช่น แอร์ จอร์แดน (Air Jordan) เทรลแมกซ์ (Trailmax) นอกเหนือจากการออกแบบที่ดีแล้ว นวัตกรรมที่ใช้ในการผลิตยังใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ในแง่ของสปอนเซอร์ ไนกี้เป็นแบรนด์ที่มีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงตัวใหญ่ๆ หลายคนในวงการกีฬามาทำการโฆษณาให้ ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) ไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods) หรือ ราฟาเอล นาดาล (Rafael Nadal) อีกทั้งตัวแบรนด์เองยังให้การสนับสนุนกีฬาระดับชาติในหลายๆ ประเทศรวมถึงมีการเคลื่อนไหวในประเด็นทางสังคม ซึ่งได้ฐานกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ตื่นตัวกับเรื่องเหล่านี้ด้วย


02: เอสิกส์ (Asics)

"เอสิกส์"  (Asics) แบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาสัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งที่โกเบ ปี 1977 โดดเด่นในไลน์สินค้าประเภทรองเท้าผ้าใบและชุดกีฬาซึ่งสวมใส่แล้วสะดวกสบาย ดูกะทัดรัดในแบบเอเชีย

โดยที่มาของชื่อแบรนด์นั้นได้มีความหมายที่ย่อมาจากวลีโบราณที่มีความหมายว่า "หากอธิษฐานต่อพระเจ้า เราควรอธิษฐานเผื่อจิตใจของร่างกายตนเองเพื่อให้แข็งแรงด้วย" (Anima Sana in Corpore Sano) ซึ่งวลีที่ว่านี้ยังเป็นปรัชญาของแบรนด์อีกด้วย 

นอกจากนี้ในงานการแข่งขัน โอลิมปิก 2020 ยังสังเกตเห็นได้ว่า ทีมนักกีฬาจากไชนีสไทเป (Chinese Taipei) ไต้หวัน ได้สวมใส่ชุดแต่งกายแบรนด์กีฬานี้ในช่วงการแข่งขันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้วย


03: อาดิดาส (Adidas)

"อาดิดาส" (Adidas) อีกหนึ่งท็อปแบรนด์กีฬาที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักและมีติดบ้าน ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ จาก "แถบสามแถบ" ซึ่งเป็นสไตล์ที่เรียบแต่มีความโดดเด่น ดู "มินิมัล" ซึ่งเป็นรสนิยมประเภทที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยม 

ก่อตั้งขึ้นในปี 1949 ในส่วนของต้นกำเนิดชื่อแบรนด์ หลายคนอาจยังไม่รู้มาก่อนว่า ที่มาที่แท้จริงของชื่อแบรนด์อาดิดาสนี้ มีต้นตอมาจากชื่อของผู้ก่อตั้งที่ชื่อว่า อดอล์ฟ แดสเลอร์ (Adolf Dassler; Adi) ไม่ได้มีต้นตอที่แท้จริงมาจากคำนี้ "ทั้งวันฉันฝันถึงแต่การเล่นซอคเกอร์" (All Day I Dream About Soccer) ที่มีคนคิดตั้งข้อสงสัยกัน  

ขณะเดียวกันอาดิดาสยังให้การสนับสนุนนักกีฬาเบอร์ใหญ่ระดับโลกด้วย เช่น ลิโอเนล เมสซี (Lionel Messi ) หรือเจมส์ ฮาร์เดน (James Harden) ทั้งนี้ยังให้การสนับสนุนชุดทีมฟุตบอลในหลายๆ ประเทศด้วย

และในแง่ของการออกแบบคอลเล็กชั่นที่โด่งดังและมีการพูดถึงคงหลีกหนีไม่พ้นไลน์สินค้า ยีสซี่ (YEEZY) ที่ได้แร็ปเปอร์ชื่อดังอย่าง คานเย เวสต์ (Kanye West) มาร่วมออกแบบด้วย นอกเหนือจากนี้ไลน์สินค้าอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมยังมีอีก เช่น สแตน สมิธ (Stan Smith) และแซมบา (Samba) เป็นต้น


04: หลี่หนิง (Li-Ning)

"หลี่หนิง" (Li-Ning; 李宁有限公司) แบรนด์กีฬาสุดยอดท็อปฮิตในประเทศจีนที่สุดในตอนนี้ ก่อตั้งเมื่อปี 1989 โดยผู้ก่อตั้งที่ชื่อ "หลี่ หนิง" ซึ่งเป็นอดีตนักยิมนาสติก ที่มีฉายาเป็นที่รู้จักในนาม "เจ้าชายแห่งวงการยิมนาสติก" ณ วันนี้ทำกำไรกว่า 4 แสนล้านบาท

โดยผู้ก่อตั้งนั้นได้หันมาทำแบรนด์เมื่อตอนที่ตัดสินใจอำลาวงการกีฬาในวัย 25 ปี เพราะอาการบาดเจ็บเท้าจนไม่สามารถลงแข่งขันได้ และด้วยความมีชื่อเสียงทำให้หลี่หนิงออกมาเปิดแบรนด์ตัวเองต่อหลังจากที่เลิกแข่งกีฬาไป

ตัวแบรนด์ได้รับความนิยมมากขึ้นตั้งแต่ปี 2010 สามารถดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นจีนเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มผู้ใหญ่ด้วย นอกจากนั้นมีเพียงแค่ 2% เท่านั้นที่เป็นกำไรจากต่างประเทศ 

พร้อมกันนี้แบรนด์หลี่หนิงเองยังได้สนับสนุนนักกีฬาชื่อดังอย่าง ดเวย์น เวด (Dwyane Wade) และล่าสุดในงานโอลิมปิก 2020 นี้ กองทัพนักกีฬาประเทศจีนยังได้ใส่ชุดและเครื่องแต่งกายจากแบรนด์หลี่หนิงในช่วงการแข่งขันด้วย

หากพูดถึงความนิยมแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะพูดถึงพระเอกซีรีส์ดังอย่าง "เซียวจ้าน" ที่ตบเท้าเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์หลี่หนิงไปเมื่อเดือนมีนาคม ปีนี้ด้วย ทำให้กลุ่มวัยรุ่นและแฟนคลับตามแห่กันมาซื้อและใช้สินค้าแบรนด์นี้มากยิ่งขึ้นไปอีก


05: รีบอค (Reebok)

"รีบอค" (Reebok) แบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาสัญชาติอังกฤษ เป็นที่นิยมในหมู่นักวิ่งและคนออกกำลังกายตามฟิตเนส-ยิม โดยเน้นไปที่การออกแบบไลน์สินค้า เสื้อ-กางเกงวิ่ง รองเท้า และอุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกายอื่นๆ 

แบรนด์สัญชาติอังกฤษนี้ได้ทำการก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1895 โดยโจเซฟ วิลเลียม ฟอสเตอร์ (Joseph William Foster) โดยความหมายของชื่อแบรนด์สื่อถึง การจุติความสง่างามอย่างรวดเร็วว่องไว 

ทั้งนี้แรกเริ่มเดิมทีแบรนด์รีบอคเป็นที่พูดถึงในเรื่องการออกแบบ "รองเท้าวิ่งที่มีหนามแหลม" เป็นเอกลักษณ์เพื่อใช้ในการออกกำลังกาย ซึ่งทำให้วิ่งได้อย่างปลอดภัยดี


06: อันเดอร์ อาร์เมอร์ (Under Armour)

"อันเดอร์ อาร์เมอร์" (Under Armour) หนึ่งในแบรนด์เครื่องแต่งกายที่นิยมในหมู่คนออกกำลังกาย สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งในปี 1996 เป็นที่นิยมทั้งในอเมริกา เอเชีย และทั่วโลก เป็นเบอร์รองจากไนกี้

แบรนด์นี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดย อดีตนักฟุตบอลอย่าง เควิน แพลงก์ (Kevin Plank) ซึ่งผุดไอเดียสร้างสรรค์แก้ปัญหาได้ถูกจุดสำหรับผู้เล่นกีฬาในสถานที่โล่งแจ้งที่ต้องมีเหงื่อออกมาก โดยเควินได้ออกแบบเสื้อกล้ามที่มีคุณสมบัติในการซับเหงื่อที่เป็นที่ตื่นตาตื่นใจในตอนนั้น 

ในส่วนของต้นตอที่มาของชื่อแบรนด์ อันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ก่อตั้งเดิมทีต้องการใช้ชื่อแบรนด์ว่า "บอดี้ อาร์เมอร์" (Body Armour) แต่มีปัญหาเรื่องเครื่องหมายทางการค้าจึงได้ตัดสินใจเลือกใช้ชื่อแบรนด์ว่า "อันเดอร์ อาร์เมอร์" แบบที่ทุกคนรู้จักกัน ณ วันนี้
#3774


วันที่ 30 ก.ค.64 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยส่วนหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุมใช้ระบบ conference โดยมีนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เข้าร่วมด้วย ภายหลังจากการประชุม นายจุรินทร์ เผยว่า มีประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น คือ

1. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบให้จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุผู้มีรายได้น้อย ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท จำนวน 100 บาทและมีรายได้ 30,000 ถึงไม่เกิน 100,000 บาท เป็นจำนวน 50 บาท สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยที่ผ่านมาได้มีการค้างการจ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นเวลา 4 เดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2563 วันนี้ที่ประชุมมีมติให้จ่ายเงินย้อนหลังให้กับผู้สูงอายุที่ค้างจ่ายอยู่จำนวน 4,700,000 รายทั่วประเทศและมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปี 2564 โดยให้จ่ายเป็นเวลา 1 ปี รวม 6 งวด โดยจ่ายเดือนเว้นเดือน ซึ่งมีอยู่จำนวน 4,700,000 ราย

2. การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนซึ่งเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ สำหรับผู้สูงอายุที่รับเงินไปแล้วจะทำอย่างไร ได้มีการถามไปยังกฤษฎีกาได้ตอบกลับมาแล้วว่าให้สามารถดำเนินการได้ ถ้าผู้สูงอายุท่านใดจ่ายเงินกลับคืนมาให้จ่ายกลับไปยังผู้สูงอายุโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องจ่ายเงินคืนไปให้ผู้สูงอายุ สำหรับการดำเนินการกรณีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในอนาคตได้มีการตั้งอนุกรรมการชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายใน 1 เดือนตามที่กฤษฎีกาแนะนำมาเบื้องต้น จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่รับเบี้ยยังชีพซ้ำซ้อนมีอยู่ 15,000 ราย

3. ก่อนหน้านี้มีการจัดโครงการชำระหนี้ให้กับผู้สูงอายุที่เป็นหนี้กองทุนผู้สูงอายุและจะครบกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่ประชุมมีมติให้ต่ออายุพักชำระหนี้ผู้สูงอายุไปอีกหกเดือนจนถึงเดือนมีนาคมปี 2565

4. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุระยะยาวตั้งแต่ปี 2566-2580 ที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

และ ประเด็นที่5 ที่ประชุมขอให้ตนเรียนให้ผู้สูงอายุทั่วทั้งประเทศได้รับทราบว่าคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นห่วงเป็นใยผู้สูงอายุทุกคนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้สูงอายุทุกท่านขอความกรุณาให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิดกรุณาอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุที่เข้าไปขอรับบริการเป็นกรณีพิเศษด้วย
#3775



กุนซือทีมขุนค้อนพร้อมยื่นข้อเสนอราว 20 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นค่าฉีกสัญญาของปราการหลังชาวฝรั่งเศส เพื่อหวังดึงเข้ามาเติมเต็มแนวรับในฤดูกาลหน้า

สำหรับ เคิร์ต ซูมา ย้ายจากแซงต์ เอเตียน มาร่วมทีมเชลซีตั้งแต่ปี 2014 แต่กลับไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างต่อเนื่อง โดยลงสนามไปเพียงแค่ 150 เกมเท่านั้น จาก 5 ฤดูกาลในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แถมยังเคยโดยปล่อยให้ สโต๊ก ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน ยืมตัวไปใช้งานอีกด้วย

กระทั่งล่าสุด เดลี เมล์ รายงานว่า เดวิด มอยส์ หวังคว้าตัว ซูมา เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของทีม "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในฤดูกาลหน้า โดยพร้อมทุ่มเงินราว 20 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นค่าฉีกสัญญาที่เหลือ

ขณะที่แนวรับวัย 26 ปี ก็ต้องการที่จะค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกต่อไปเช่นกัน และไม่ต้องการเป็นตัวแถมในข้อเสนอของเชลซี เพื่อใช้ลดค่าตัวของ ฌูลส์ กุนเด จากเซบีญาในช่วงซัมเมอร์นี้

นอกจากนี้ นายใหญ่ของทีมเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่า ต้องการซื้อขาด ซูมา ด้วยเงินสดเท่านั้น โดยไม่ต้องได้มาเป็นตัวแถม ในดีลของ ดีแคลน ไรซ์ อย่างแน่นอน.

https:// www.thairath.co.th/sport/eurofootball/premierleague/2153110
#3776



สุดาพร สีสอนดี กำปั้นหญิงจอมฝีมือทีมชาติไทย โชว์ลีลาสอนเชิงคู่ต่อกรจากอินเดีย ก่อนชนะขาด 5-0 เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายศึกมวยโอลิมปิก เมื่อเช้าวันที่ 30 กรกฏาคม 2564

ศึกมวยสากลสมัครเล่น โตเกียว 2020 ที่สนามเรียวโกคุ โกกุกิกัง ประเทศญี่ปุ่น รุ่นน้ำหนัก 60 กก.หญิง มาถึงคิวของ สุดาพร สีสอนดี กำปั้นหญิงดีกรีเหรียญเงิน เอเชียน เกมส์ 2018 กลับขึ้นสังเวียนรอบ 16 คนสุดท้าย

รอบนี้ สุดาพร ขึ้นดวลหมัดกับ ซิมรานจิต คูร์ จากอินเดีย ยกแรก ซิมรานจิต เป็นฝ่ายเดินบุกประเคนหมัด แต่ สุดาพร อาศัยตั้งรับแล้วต่อยสวนเข้าเป้าหลายจังหวะ ยกสอง สุดาพร เป็นฝ่ายเปลี่ยนมาเดินบุกแทน แม้พลาดถูกต่อยบ้างแต่ก็ยังยิงหมัดโจมตีฝั่งตรงข้ามได้คะแนนขาด

สุดาพร ยังต่อยได้ยอดเยี่ยมเมื่อถึงยกตัดสิน ก่อนกรรมการจะกดคะแนนให้นักชกไทย ชนะขาดลอย 5-0 เสียง ฟอร์มอันสวยงามนี้ส่งให้ "เจ้าแต้ว" เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย เจอกับ คาโรไลน์ ดูบัวส์ จากสหราชอาณาจักร โดยหากชนะได้อีกไฟต์ ก็จะตุนเหรียญทองแดงมาไว้ในมือเป็นอย่างน้อย
 
#3777



"กรุงเทพธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "ชาติชาย พยุหนาวีชัย" อดีตขุนพลมือดีที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเงินนานกว่า 30 ปี และผู้บริหารของธนาคารหลายแห่ง ที่เข้ามาเป็นกำลังหลักเดินหน้าภารกิจก้าวข้ามสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจากนี้ ในฐานะ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัท ร่วมสานกลยุทธ์ "ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้" ภายใต้แนวคิด "ORIGIN NEXT LEVEL" ที่จะมีการขยายธุรกิจทั้งเชิงกว้างและเชิงลึกด้วยทำเลใหม่ แบรนด์ใหม่ กลุ่มธุรกิจใหม่ ความร่วมมือใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ และ สร้างสรรค์ฟังก์ชั่นใหม่ และบริการใหม่ ในบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม

ชาติชาย เล่าย้อนการมาร่วมทัพ "ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้" ครั้งนี้ ได้รับการชักชวนจากผู้บริหารออริจิ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจมาร่วมทัพด้วย คือเรื่อง "ความหลงใหล"(Passion)การทำงานที่ตรงกัน และบิ๊กชาเลนจ์ในการสร้างอีโคซิสเท็มของออริจิ้น เพื่อ "ต่อยอด" ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ อย่างครบวงจร ถือเป็นความท้าทายใหม่ในการนำประสบการณ์จากภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐมาใช้ในการทำงานร่วมกับออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้

"ไม่ใช่" เพียงแค่ด้านการเงินเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงทั้งด้านการตลาด และด้านภาพลักษณ์องค์กร ในการก้าวสู่ เน็กซ์ เลเวลในด้านต่างๆ ตามที่ประกาศแผนไว้เมื่อช่วงต้นปี อาทิ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ที่เขามีความคุ้นเคยอยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเข้ามาช่วยปรับองค์กรในภาพรวมเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ชาติชาย กล่าวย้ำว่า กลยุทธ์สำคัญที่จะนำพา "ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้" ให้ก้าวไปตามแผน "ออริจิ้น เน็กซ์ เลเวล" ได้นั้น เกิดจาก 2 ส่วนหลัก ส่วนแรก การคิดแบบ "เน็กซ์ นอร์มอล" ให้โตไปแบบ เน็กซ์ เลเวล โดยนำแนวคิดในการปรับตัวรับมือวิกฤติโควิดในช่วงท้ายของการทำงานที่ธนาคารออมสินก่อนเกษียณ มาใช้ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบงาน ขีดความสามารถในการทำงานของทีมงานใหม่เพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันข้างหน้า

"เราเห็นเลยว่าความยืดหยุ่นเป็นเรื่องสำคัญ และทีมงานจำเป็นต้องเข้าใจเรื่อง เน็กซ์ เลเวลในทุกมิติ เพราะถ้าไม่เข้าใจ ก็จะปรับตัวไม่ทัน และก้าวไปไม่ทันโลก"

ส่วนที่สอง "ซินเนอร์จี้" ธุรกิจ/อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตดี (Sunrise Industry)ทั้งแนวกว้างและแนวลึก โดยในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ จะมีบ้านจัดสรร มีคอนโดมิเนียมครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์

สเต็ปต่อไปคือการก้าวไปสู่เซ็กเตอร์อุตสาหกรรมใหม่เพื่อขยายแลนด์สเคปธุรกิจของออริจิ้นให้กว้างขึ้นในอนาคต!!

จากเมื่อต้นปี ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้ประกาศทิศทาง เน็กซ์ เลเวล ใน 3 กลุ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจบริหารสินทรัพย์, ธุรกิจเวลเนส และธุรกิจโลจิสติกส์ ถือเป็นธุรกิจที่มีอนาคต และที่เติบโตรวดเร็วในยุคเน็กซ์ นอร์มอล ล่าสุดขยายไปสู่ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจความงาม ข้อดีของการซินเนอร์จี้ระหว่างเซ็กเตอร์ระหว่างอุตสาหกรรมจะทำให้องค์กรแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากธุรกิจที่หลากหลาย

สำหรับ ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ซึ่งเผชิญวิกฤติโควิด-19 มาตลอดช่วงเกือบ 2 ปีนี้ มีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก แต่ออริจิ้น มีการปรับตัวตลอดเวลา ซึ่งองค์กรค่อนข้างมีพื้นฐานชุดความคิดที่ยืดหยุ่น (Flexible Mindset) พร้อมรับการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่าง การทำ Property Live ขายคอนโดแบรนด์ ดิ ออริจิ้น ผ่าน Live สดบนเฟซบุ๊ก จนกวาดยอดขายกว่า 200 ล้านบาท

"พื้นฐาน ออริจิ้น เป็นองค์กรที่ไม่มีกำแพง ไม่มีเพดาน คนในองค์กรพร้อมจะคิดสิ่งใหม่ๆ ไปทั้งแนวกว้าง แนวสูง แนวลึก กันอยู่เสมอ 2 กลยุทธ์ที่ผมบอกไปข้างต้น จะเป็นส่วนเติมเต็มที่สำคัญที่ทำให้ออริจิ้นก้าวไปแบบ เน็กซ์ เลเวล ได้ทั้งองคาพยพ"

จากประสบการณ์ของ "ชาติชาย" ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยใช้เวลา2-3ปีในการฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย หากองค์กรไหนมีการปรับตัวดีจะมีอัตราการเติบโตเหนือกว่าอุตสาหกรรม และคู่แข่ง อย่าง ออริจิ้น ในภาวะแบบนี้ยังขายได้จากการหาลูกค้าใหม่เข้ามาเสริม เช่น กลุ่มนักศึกษา คนชอบเลี้ยงสัตว์ กลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงการขยายช่องทางขายผ่านทางออนไลน์ ที่ผ่าน มียอดโอนจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ กว่า 600 ล้านบาท!!

ปัจจุบัน ออริจิ้น พยายามนำ "บิ๊กดาต้า" ของลูกค้าที่มีอยู่กว่าแสนรายนำมาใช้ประโยชน์ด้วยการนำเสนอสินค้าและบริการให้กับลูกค้าได้ทุกช่วงชีวิตทั้งไลฟ์สเตต(เมนต์) และไลฟสไตล์ ตั้งแต่เริ่มทำงาน เข้าสู่ช่วงวัยกลางคนและสูงวัย รวมทั้งการลงทุนร่วมสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เข้ามาเสริมให้ออริจิ้นแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงเรื่องของ "ดิจิทัลแอสเสท" เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจ ซึ่งแต้มต่อที่สำคัญที่จะทำให้ ออริจิ้นจะสามารถสร้างความผูกพันกับลูกค้า 360 องศา เพื่อวิเคราะห์โอกาสการขายที่เป็นไปได้กับลูกค้าแต่ละราย เพื่อการขายเพิ่ม ขายซ้ำ และสุดท้ายลูกค้าก็มีความสุข พึงพอใจในบริการของบริษัทและกลายเป็นลูกค้าชั่วชีวิต

พร้อมกับการทะยานขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาฯ ได้ในหลากหลายมิติทั้งจากนวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล ช่องทางขายสื่อสารผ่านทางออนไลน์ การร่วมมือพาร์ทเนอร์ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และก้าวเป็นเบอร์หนึ่งในอนาคต "ชาติชาย" เชื่อว่า เป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินฝัน หลังจากที่ออริจิ้นสามารถผลักดันยอดขายเติบโตจนมียอดขายปีละเกือบ 30,000 ล้านบาทและมีแบ็คล็อก (Backlog)ถึง 40,000 ล้านบาททำให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง
#3778



เอสซีจี เซรามิกส์ ขึ้นแท่นบริษัทยั่งยืนที่น่าลงทุน ผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 64 แข่งขันได้กำไรต่อเนื่อง โชว์นวัตกรรมกระเบื้องฟอกอากาศ พร้อมดันแบรนด์ SUSUNN ลุยธุรกิจพลังงานทางเลือกเต็มตัว

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยงบการเงินรวมก่อนสอบทาน ของ COTTO ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 16 จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 328 โดยในไตรมาสนี้บริษัทยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ผลประกอบการใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขาย 5,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทสามารถทำกำไรสำหรับงวดได้ 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 119 ใกล้เคียงที่คาดการณ์ไว้



"แม้ว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวสูงขึ้นมากแต่ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรายังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้เป็นไปตามแผนงานได้ สำหรับยอดขายไตรมาสนี้และในครึ่งปีแรกจะเห็นได้ว่าสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนมากแม้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่แล้ว แต่เนื่องจากในปีนี้ช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญ โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดและร้านผู้แทนจำหน่ายขนาดใหญ่ ยังสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติจึงทำให้ยอดขายในตลาดระดับกลาง-ล่างยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งลาวและกัมพูชา ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมาร์ ส่งผลให้ยอดขายในส่วนของตลาดต่างประเทศลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน"

นายนำพล กล่าวต่อว่า ภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ คาดว่าผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและมีความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในภาพรวมยังไม่ฟื้น เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมากจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งจากความยืดเยื้อของการระบาด และการกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในประเทศ แผนการเปิดประเทศ การปิดกิจการ และการเลิกจ้างแรงงาน ล่าสุด การแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ที่กระจายตัวไปยังแคมป์ก่อสร้างมีผลกระทบเพิ่มเติมทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนแรงงานด้วย ส่วนแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะมีการชะลอโครงการใหม่และหันมาเร่งการโอนในปัจจุบันให้เร็วขึ้น ซึ่งภาครัฐอาจจะช่วยกระตุ้นได้ด้วยมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ มาตรการฟื้นฟูการสร้างรายได้ให้ประชาชน และเร่งฉีดวัคซีนป้องกันให้ครอบคลุมจำนวนมากที่สุด



อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่จะชะลอตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าแต่สำหรับตลาดสร้างซ่อมตกแต่งต่อเติมเห็นว่ามีแนวโน้มที่ยังไปต่อได้โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้คนต่างก็มีประสบการณ์ที่ต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัยเป็นระยะเวลานาน กระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะปรับปรุงและเตรียมความพร้อมของที่อยู่อาศัยเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ จึงเร่งออกสินค้านวัตกรรมในกลุ่ม Health and Clean อย่างต่อเนื่อง โดยมั่นใจว่าหลังจากสถานการณ์ฯ คลี่คลายลง จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ

"COTTO ยังคงเป็นผู้นำเทรนด์เรื่องสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้านและที่พักอาศัย จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือฝุ่น PM2.5 มีปริมาณสูงเกินค่ามาตรฐานทุกปีส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ และเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ล่าสุด ได้ออกสินค้า "กระเบื้องฟอกอากาศ" หรือ AIR ION (แอร์ ไอออน) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็กซึ่งเป็นภัยร้ายใกล้ตัวมากกว่าที่คาดคิด โดยเมื่อติดตั้งกระเบื้อง AIR ION 40% ของพื้นที่ บนพื้นหรือผนังของห้องจะสามารถดักจับฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 89% โดยคุณสมบัติฟอกอากาศนี้เกิดจากชั้นเคลือบของกระเบื้องที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุธรรมชาติที่มีคุณสมบัติปล่อยไอออนลบออกมากว่า 3,000 ไอออนต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เพื่อเข้าจับฝุ่นละอองที่ลอยตัวฟุ้งอยู่ในอากาศให้ตกสู่พื้นจนเหลือเพียงอากาศที่สะอาดตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม"



ทั้งนี้ในส่วนของแบรนด์ "SUSUNN" ที่ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาดหลากหลายประเภท ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มเปิดตัวแบรนด์ SUSUNN อย่างจริงจัง โดยลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในส่วนของโครงการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงาน บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) เรื่องเทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงาน หรือ Energy Saving ทั้งในด้าน Solar Business ด้าน Energy Audit และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าและคาร์บอนเครดิต ผ่านคนกลาง บน SUSUNN Platform ล่าสุด ยังได้ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของ เอสซีจี เซรามิกส์ ด้วย

"แบรนด์ SUSUNN ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทนอย่างแท้จริงโดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับรางวัลการันตีทั้งจากในและต่างประเทศทั้ง Thailand Energy Award และ ASEAN Energy Award หลายปีซ้อน โดยเราได้เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบมาประมาณ 2 ปีแล้ว และมีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มวัสดุวาล์วและข้อต่ออุตสาหกรรม เช่น บริษัท เอ็ม.เจ.บางกอกวาล์วและฟิตติ้ง จำกัด, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติก เช่น บริษัท มัลติแบกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือแม้กระทั่งกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมอุตสาหกรรมสงขลา ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ)"

โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมามีรายได้จากสินค้าและบริการรวมแล้วประมาณ 227 ล้านบาท ถึงแม้จะยังไม่สูงมากแต่ก็ถือว่าสอดคล้องกับเทรนด์การเติบโตของตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดในประเทศที่มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทและคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า จากการวางแผนขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมและบริการเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เช่น การนำเสนอนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาทิตย์ อาทิ แผงโซล่าร์เซลล์ แบบ BIPV (Building Integrated Photovoltaics) ที่ใช้แทนวัสดุก่อสร้าง เช่น หลังคาหรือผนัง โรงจอดรถพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Carport with EV Charger รวมถึงนำเสนอระบบการจัดการพลังงาน เช่น ระบบตรวจรับรองการจัดการพลังงาน ระบบตรวจวัดวิเคราะห์การใช้พลังงาน ตลอดจนจัดทำโครงการอนุรักษ์พลังงานให้กับสถานประกอบการของลูกค้าด้วยมาตรฐานระดับสากล และจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐในอนาคต เช่น โครงการซื้อขายไฟฟ้าและคาร์บอนเครดิตผ่านคนกลาง เป็นต้น

นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีเรื่องที่น่ายินดีที่ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ได้รับคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้อยู่ในทำเนียบ "บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน" หรือ ESG Emerging List ในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) และเป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนแบบยั่งยืนที่ทนทานต่อวิกฤตการณ์โควิด โดย COTTO เป็น 1 ใน 24 หลักทรัพย์ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 และติดกลุ่มหลักทรัพย์ยั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG100 ประจำปีด้วย

โดยล่าสุดจากการประเมินภาพรวมผลการดําเนินงานของ บริษัทฯ โดย สถาบันไทยพัฒน์ พบว่า บริษัทฯ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลผลการดําเนินงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ผลการดำเนินงานด้านสังคมและผลการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาล โดยมีภาพรวมผลการประเมินอยู่ในระดับ GOLD ซึ่งเป็นระดับสูงสุดด้วย
#3779



ในขณะที่สายตานับล้านคู่จับจ้องไปที่ สุนิสา ลี นักกีฬายิมนาสติกหญิงดาวรุ่งวัย 18 ปี ซึ่งมีเชื้อสายม้งอเมริกัน ในการเเข่งขันโอลิมปิก2020 ที่กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ครอบครัวของเธอที่รัฐมินนิโซตา กำลังลุ้นอย่างเต็มที่เช่นกัน จนกระทั่งได้สมหวังในที่สุด

สุนิสา สร้างชื่อให้กับตัวเองและทีมสหรัฐ หลังคว้าเหรียญทองประเภทบุคคลรวมอุปกรณ์มาครองได้สำเร็จ ในฐานะตัวแทนของสหรัฐเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายม้งคนแรกที่คว้าเหรียญทองให้กับทีมสหรัฐ


นี่ถือเป็นฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องของนักยิมนาสติกสาวดาวรุ่ง โดยก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน สุนิสาคว้าเหรียญเงินกับให้กับทีมชาติสหรัฐในการแข่งขันยิมนาสติก ประเภททีมรวมอุปกรณ์

ก่อนเปิดฉากโอลิมปิกครั้งนี้ สุนิสาถือเป็นความหวังของครอบครัวและชุมชนชาวม้งในสหรัฐ ในฐานะนักยิมนาสติกหญิงอายุน้อยที่สุดที่เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว

- สุนิสากอดฉลองกับโค้ช หลังคว้าเหรียญทองเหรียญแรก (29 ก.ค.) -

เกิดและโตในมินนิโซตา

สำหรับประวัติของสุนิสาถือว่าโดดเด่นและน่าสนใจไม่น้อย เธอเกิดเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2546 ในเมืองเซนต์พอล รัฐมินนิโซตา ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนม้งขนาดใหญ่ในอเมริกาที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคหลังสงครามเวียดนาม และสุนิสาก็ใช้ชีวิตเติบโตในเมืองเซนต์พอลมาจนถึงปัจจุบัน


นอกจากรัฐมินนิโซตาจะเป็นถิ่นฐานขนาดใหญ่ของชาวม้งในสหรัฐ ซึ่งคาดว่ามีประชากรถึง 80,000 คนแล้ว ยังเป็นที่ที่แม่ของสุนิสาได้พบรักกับพ่อบุญธรรมขณะสุนิสาอายุเพียง 2 ขวบในปี 2548 ด้วย


- ฮัว จอห์น ลี (ซ้าย) พ่อบุญธรรม และ ยีฟ ทอจ (กลาง) แม่บังเกิดเกล้าของสุนิสา -

แม่ของสุนิสาเป็นชาวม้งชื่อ ยีฟ ทอจ (Yeev Thoj) และพ่อบุญธรรมเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายม้งเช่นกัน ชื่อ ฮัว จอห์น ลี (Houa John Lee) ซึ่งคอยเลี้ยงดูสุนิสาตั้งแต่เด็ก ๆ และเมื่อโตขึ้น สุนิสาก็ตัดสินใจใช้นามสกุล ลี ตามพ่อบุญธรรม

แม้ว่าจอห์น ลี มีลูกติด 2 คนจากอดีตภรรยาชื่อว่า โจนาห์และไชเอนน์ แต่ลูก ๆ ทั้ง 3 คนรวมถึงสุนิสา ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะไชเอนน์ที่อายุห่างกับสุนิสาเพียง 12 วัน มีหน้าตาคล้ายกับสุนิสาจนเพื่อนร่วมชั้นเรียนเคยเข้าใจผิดว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝด

ลี้ภัยสงครามข้ามแปซิฟิก

ทั้งพ่อบุญธรรมและแม่ของสุนิสาต่างเกิดในลาวในยุคสงครามเวียดนาม ซึ่งสมัยนั้น กลุ่มชาติพันธุ์ม้งร่วมรบเคียงไหล่กับทหารอเมริกันในลาว แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่าย

มีชาวม้งหลายหมื่นคนเสียชีวิตในสงครามเวียดนาม หรือถูกรัฐบาลลาวสังหาร หลังจากกองทัพสหรัฐถอนทัพกลับประเทศ

ครอบครัวชาวม้งของพ่อและแม่สุนิสาสมัยที่ทั้งคู่ยังเด็ก ได้เสี่ยงอันตรายหนีออกจากลาวข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนลี้ภัยไปตั้งรกรากในในรัฐมินนิโซตาและเติบโตที่นั่น

"เมื่อสหรัฐถอนทัพออกจากลาว สงครามยังไม่จบลงในทันที" จอห์น ลี พ่อบุญธรรมสุนิสาเล่าถึงความทรงจำอันขมขื่น "ผู้คนจำต้องหนีไปประเทศไทยเพื่อความปลอดภัย และเพื่อโอกาสมีชีวิตที่ดีกว่า"

จนกระทั่ง จอห์น ลี ย้ายไปอยู่สหรัฐตอนอายุ 7 ปี เมื่อปี 2522 ส่วนแม่สุนิสาย้ายไปสหรัฐตอนอายุ 12 ปี เมื่อปี 2530

ปัจจุบัน ยีฟ เเม่ของสุนิสา ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยด้านการเเพทย์ ส่วนจอห์น ลี พ่อของสุนิสา ทำงานด้านวิศวกรรมที่บริษัท Cummins Power Generation 

เห็นแววยิมนาสติกตั้งแต่เล็ก

ทั้งพ่อบุญธรรมและเเม่ของสุนิสาชอบกีฬาเหมือนกัน ซึ่งความรักในกีฬาเป็นสิ่งที่ทั้งสองปลูกฝังให้ลูก ๆ แม้ปัจจุบัน พ่อของสุนิสาเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไป หลังประสบอุบัติเหตุตกบันไดเมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้ต้องนั่งรถเข็นตั้งแต่นั้นมา


เเม่ของสุนิสา ให้สัมภาษณ์กับ VOA ภาคภาษาลาวว่า ในฐานะผู้ปกครอง เธอสอนให้สุนิสา หรือชื่อเล่นว่า สุนิ (Suni) มีวินัย เป็นเด็กดี และว่า สุนิชอบทำกิจกรรมหลายอย่าง


ยีฟ บอกด้วยว่า สุนิมีพรสวรรค์ตั้งเเต่เด็กในกีฬายิมนาสติกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เเละเมื่อได้เเรงกระตุ้นด้านวินัย จึงทำให้เก่งขึ้นในกีฬานี้ เเละมีความพร้อมในด้านอื่น ๆ เมื่อโตขึ้นมา

สำหรับที่มาของชื่อ สุนิสา ยีฟเปิดเผยกับ ESPN ว่า ตั้งชื่อลูกสาวตามนักแสดงละครไทยคนหนึ่งที่ตนชื่นชอบในยุคนั้น และจับลูกเรียนยิมนาสติกตั้งแต่เล็ก ๆ หลังเห็นแววจากการโชว์ท่าตีลังกากลับหลังบ่อยครั้ง ขณะเล่นซุกซนตามประสา

ตั้งเป้าสูงเพื่อให้พ่อภูมิใจ

แน่นอนว่า สิ่งหนึ่งที่สุนิสาทำตามเป้าหมายได้สำเร็จในฐานะนักยิมนาสติก คือ การร่วมแข่งขันและคว้าเหรียญโอลิมปิก2020 ซึ่งถึงแม้เธอจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับการที่มีเหตุการณ์โควิด-19 ระบาด จนมหกรรมกีฬานี้ต้องเลื่อนมา 1 ปี แต่เธอประกาศเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาว่า "กำหนดการเปลี่ยน แต่เป้าหมายไม่เปลี่ยน"

คำพูดครั้งนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่า เหรียญทองโอลิมปิก คือเป้าหมายต่อไปในชีวิตของสุนิสา เพราะความฝันนี้เป็นสิ่งที่พ่อและเธอตั้งเป้าหมายร่วมกันมาตลอด 10 ปี หรือนับตั้งแต่วันแรกที่เธอเริ่มเรียนยิมนาสติก


"มันไม่ใช่แค่ฝันของฉัน มันคือฝันที่พ่อกับฉันตั้งเอาไว้ร่วมกัน มันจึงมีความหมายมาก ฉันอยากทำมันให้สำเร็จอีก ฉันอยากให้พ่อภูมิใจ เพราะเขาคือคนที่สนับสนุนฉันมา ตั้งแต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะทำได้ดีหรือไม่กับทางเดินนี้" สุนิสาพูดถึงเบื้องหลังการตั้งเป้าหมายก่อนเดินทางไปโตเกียว

ส่วน จอห์น ลี เปิดใจกับสื่อก่อนลูกสาวเข้าร่วมทีมชุดลุยโอลิมปิก2020 ว่า ไม่ว่าผลการเเข่งขันจะเป็นอย่างไร การที่สุนิเป็นชาวม้งอเมริกันคนเเรกในการเเข่งโอลิมปิกให้กับประเทศสหรัฐ ก็ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไปเรียบร้อยเเล้ว

หลังจากคว้า 1 เหรียญทองและ 1 เหรียญเงิน (ณ วันที่ 29 ก.ค.) สุนิสายังมีโอกาสเก็บเหรียญโอลิมปิกเพิ่มจากการแข่งขันช่วงวันที่ 1 ส.ค. และ 3 ส.ค.นี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่เธอจะได้เหรียญรางวัลมาครองอีกครั้งก่อนกลับแผ่นดินสหรัฐ

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951839
#3780
บ้านถั่วลิสง The Peanut House  เรื่องถั่ว... เราถนัด
สืบสานตำนานความอร่อยและส่งต่อภูมิปัญญาการผลิตถั่วลิสงจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก

 โรงงานถั่วลิสง "ซินกวงน่าน" เป็นโรงงานทำถั่วลิสงเพียงแห่งเดียวในจังหวัดน่าน ก่อตั้งเมื่อปี พุทธศักราช 2521 จนปัจจุบันนี้ได้พัฒนาตนเองสู่โรงงานแปรรูปถั่วลิสงครบวงจร ตั้งแต่เลือกเฟ้นเมล็ดพันธ์ลงแปลงปลูกโดยเครือข่ายเกษตรกรของเรา เก็บเกี่ยวและส่งถั่วลิสงเข้าสู่ขั้นตอนแปรรูปที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐาน จนเป็นผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงในรูปแบบต่างๆที่พร้อมส่งต่อซินกวงน่านถึงมือคุณ


ประวัติความเป็นมาของพวกเราและแกลลอรี่ถั่วลิสง Our History & Peanut Gallery
ชมประวัติความเป็นมาของโรงงานถั่วลิสงเก่าแก่เพียงแห่งเดียวของจังหวัดน่าน แผนภาพกรรมวิธีการผลิตวัตถุดิบรวมทั้งขั้นตอนแปรรูปผลิตภัณฑ์ถั่วลิสง นอกเหนือจากนั้นเชิญทำความรู้จักกับ "ต้นถั่วลิสง" จำลองขนาด 2.5 เมตรที่ออกแบบและก็สร้างขึ้นเพื่อให้ได้เห็นลำต้น ดอก ใบ แล้วก็เมล็ดถั่วลิสงคล้ายจริงที่สุดที่นี่ที่เดียวในประเทศไทย และคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากถั่วลิสง - ธัญพืชที่ให้โปรตีนแทนเนื้อสัตว์แล้วก็ไขมันที่ร่างกายต้องการแต่ว่าไม่สามารถสร้างเองได้





 ผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงรวมทั้งผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจังหวัดน่าน Peanuts and many moreด้านในร้านบ้านถั่วลิสง นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลิสงแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปของจังหวัดน่านที่มีคุณภาพจำนวนมากหลายหลากให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝากจากจังหวัดน่านสำหรับคนรักและคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมัลเบอรี่ ลูกเดือย กาแฟ ข้าว ถั่ว งา และธัญพืชในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนสมุนไพรที่ถูกนำมาแปรรูปเป็นเครื่องสำอางและก็ยาด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานกับนวัตกรรมยุคใหม่ 





 กาแฟน่านและเบเกอรี่จากถั่วลิสง Nan Coffee and Peanut Bakery
กาแฟที่เสิร์ฟในร้านบ้านถั่วลิสงเป็นกาแฟอาราบิก้าผสมโรบัสต้าในสัดส่วนที่พอดี หอมอร่อย คั่วเข้ม โดยเลือกใช้เมล็ดกาแฟเดอม้ง ซึ่งปลูกและก็ผลิตโดยชุมชนบ้านมณีพฤกษ์ ต.งอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นกาแฟที่ผ่านการคัดสรรสายพันธ์ที่ดีที่เหมาะสมกับการปลูกที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1400-1600 เมตร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้พี่น้องชาวบ้านมณีพฤกษ์มีรายได้ยั่งยืน มีอาชีพที่มั่นคง รวมทั้งช่วยรักษาแล้วก็ฟื้นฟูผืนป่าน่านให้อุดมสมบูรณ์สืบไป  ยิ่งกว่านั้นยังมี "พีนัทซอฟท์เค้ก" และก็ "พีนัทเบคชีสเค้ก" เบเกอรี่โฮมเมดที่มีส่วนผสมของเนยถั่วลิสงและนมถั่วลิสงที่แสนอร่อย หวานน้อย ครีมเบานุ่ม ไม่เลี่ยน  รวมทั้งหอมกลิ่นเนยถั่วลิสง ซึ่งหาทานได้ที่บ้านถั่วลิสงเท่านั้น
 

นมถั่วลิสง Peanut Milk
ไฮไลต์ที่คุณไม่ควรพลาดบ้านถั่วลิสงชวนชิม "น้ำนมถั่วลิสง" Peanut Milk ที่ทำจากถั่วลิสง 100% ไม่มีครีมเทียม และหัวนมผง และไม่ใส่สารแต่งสีแต่งกลิ่น เป็นน้ำนมจากถั่วลิสงตามธรรมชาติ ต้มสดทุกเช้า หอม อร่อย ทานง่าย มีเสริฟทั้งเมนูร้อน เย็น ปั่น ให้ทุกท่านได้ทานตรงนี้ที่เดียวในน่าน นมถั่วลิสงให้โปรตีนสูง ไขมันต่ำ เหมาะสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้รักสุขภาพ ผู้ที่แพ้นมจากสัตว์  


บ้านถั่วลิสงเปิดรับกรุ๊ปเยี่ยมชมศึกษางานขั้นตอนแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับกลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจชุมชน นักศึกษา นักเรียน หรือกรุ๊ปท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์เพื่อเปิดประสบการณ์เกี่ยวกับการแปรรูปถั่วลิสง (รับเป็นคณะ 20 คนขึ้นไป และต้องติดต่อล่วงหน้าเท่านั้น)