• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Thetaiso

#1801


ภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ก่อให้เกิดกระแสความปั่นป่วนตื่นตระหนกทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจโลกมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยุคใหม่ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงเฮดโฟน ต่างต้องมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการประมวลผลข้อมูล และเจ้าแผ่น "ชิป" เล็กๆ เหล่านี้คือหน่วยพื้นฐานของอุปกรณ์เช่นว่านี้ ดังนั้น เมื่อมันเกิด "ขาดตลาด" จึงส่งผลให้การผลิตสินค้านานาชนิดประสบการสะดุดติดขัดไปด้วย ทำไมเกิดภาวะขาดแคลนเช่นนี้ขึ้นมา และมีการทำอะไรไปแล้วบ้างในเรื่องนี้?

เซมิคอนดักเตอร์เกิดขาดแคลน เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ระบาดอย่างไรหรือไม่?

วิกฤตโควิด-19 ที่เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงประมาณต้นปี 2020 กระตุ้นให้ทั่วโลกมีการใช้จ่ายซื้อหาพวกข้าวของอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่จอมอนิเตอร์เพิ่มเติมสำหรับผู้คนที่ต้องทำงานจากบ้านและต้องรีบจัดโฮมออฟฟิศขึ้นมา ไปจนถึงทีวีและเครื่องเล่นเกมคอนโซลสำหรับคลายความเหงาความเบื่อหน่ายเมื่อใครๆ ก็ต้องล็อกดาวน์จับเจ่าอยู่กับบ้าน

การที่โรงงานต้องปิดชั่วคราวสืบเนื่องจากโรคระบาด ส่งผลทำให้ปริมาณซัปพลายเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งออกสู่ตลาดต้องลดจำนวนลงไปเช่นกัน

ครั้นเมื่อโรงงานกลับมาเปิดเดินเครื่องกันได้อีกครั้ง พวกผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงออร์เดอร์ต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้ยอดปริมาณตกค้างผลิตไม่ทันของพวกโรงงานชิปมีแต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

เรื่องโรคระบาดใหญ่ไม่ได้เป็นปัจจัยเพียงประการเดียวเท่านั้น ยังมีภัยพิบัติอย่างอื่นๆ เช่น พายุรุนแรงที่ส่งผลให้การผลิตของโรงงานจำนวนมากในรัฐเทกซัสของสหรัฐฯต้องหยุดลงไปช่วงสั้นๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ และไฟไหม้ใหญ่โรงงานแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สหรัฐฯ ออกมาตรการแบบอ้างอภิสิทธิ์ล้ำเลยไปจากอาณาเขตของตนเอง ด้วยการสั่งห้ามพวกบริษัทต่างประเทศส่งชิปไปขายให้แก่ยักษ์ใหญ่เทคอย่างหัวเว่ย ตลอดจนบริษัทเทคจีนอื่นๆ หากว่าชิปเหล่านั้นมีการใช้ส่วนประกอบอเมริกันหรือเทคโนโลยีอเมริกัน

ปรากฏว่า หัวเว่ย มีการเตรียมรับมือโดยเริ่มต้นกว้านซื้อเซมิคอนดักเตอร์มาเก็บสต๊อกไว้ตั้งแต่ก่อนหน้ามาตรการแซงก์ชันพวกนี้จะมีผลบังคับใช้ ขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็เดินตาม จึงกลายเป็นแรงบีบคั้นซัปพลายให้ตึงตัวเข้าไปใหญ่

อุตสาหกรรมอะไรบ้างที่ถูกกระทบกระเทือน?

เท่าที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ อุตสาหกรรมรถยนต์คือเหยื่อเคราะห์ร้ายที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด โดยที่มีแบรนด์รถยนต์จำนวนมากถูกบังคับให้ต้องชะลอการผลิตของพวกตนในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ช่วงต้นๆ ที่โควิด-19 เริ่มแพร่เชื้อรุนแรง พวกบริษัทรถยนต์ต่างพากันตัดลดการผลิตลง พวกบริษัทที่ซัปพลายชิปให้แก่พวกเขาจึงพากันหันไปหาลูกค้าจากเซกเตอร์อื่นๆ โดยเฉพาะพวกโรงงานทำสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ขายดีช่วงโรคระบาดและดีมานด์ในชิปมีแต่เพิ่มขึ้น

มาถึงตอนนี้ แบรนด์รถยนต์ทั้งหลายตั้งแต่โฟล์กสวาเกน ไปจนถึงวอลโว่ จึงต่างกำลังต้องดิ้นรนหนักเพื่อสั่งซื้อหาเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อยอดขายรถของพวกเขากำลังกลับฟื้นชีพขึ้นมาอีกครั้ง

สำหรับพวกผู้ผลิตสมาร์ทโฟนนั้น เท่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ยังถือว่าค่อนข้างอยู่รอดปลอดภัย เนื่องจากยังคงมีชิปที่สะสมไว้ในสต๊อก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็กำลังเริ่มต้นจะประสบปัญหาเหมือนกัน

ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล ออกมาเตือนในสัปดาห์ที่แล้วว่า ภาวะชิปขาดแคลนทำท่าจะกระทบการผลิตไอโฟนและไอแพดแล้ว ขณะที่พวกนักวิเคราะห์มองว่า บริษัทผลิตมือถือรายเล็กๆ ลงมาน่าจะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักหนาสาหัสมากกว่าด้วยซ้ำ

พวกเครื่องเล่นเกมคอนโซลดังๆ อย่าง เพลย์สเตชั่น 5 และเอกซ์บอกซ์ ซีรีส์ เอกซ์ ต่างเจอภาวะขาดแคลนชิปเช่นเดียวกัน

เรื่องนี้ทำให้พวกเกมเมอร์ทั้งหลายพากันส่งเสียงโวยวายดังสนั่น เนื่องจากต่างต้องการการ์ดกราฟิกที่ใช้ชิปพลังสูงๆ สำหรับการเล่น ในขณะที่พวกเขากำลังหันไปหายุทธศาสตร์ในการเล่นเกมที่แปลกใหม่ผิดแผกจากธรรมดามากยิ่งขึ้นทุกที

คนที่ตื้อสุดๆ ไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ ถึงขั้นเข้าไปไลฟ์สตรีมกันทางยูทูบ และทวิต ซึ่งจะส่งเสียงเตือนทุกๆ ครั้งที่มีผู้เสนอขายการ์ดกันทางออนไลน์

ภาวะเช่นนี้จะจบลงเมื่อใด?

อันที่จริงรัฐบาลของหลายๆ ประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังเร่งรีบเพิ่มศักยภาพในการผลิตชิปของพวกตน

เมื่อเดือนพฤษภาคม เกาหลีใต้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่ามหึมา 451,000 ล้านดอลลาร์ ในความพยายามที่จะวางตัวเองให้เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักแน่นมั่นคง ขณะเดียวกัน วุฒิสภาสหรัฐฯโหวตเมื่อเดือนที่แล้วผ่านงบประมาณ 52,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการอุดหนุนพวกโรงงานผลิตชิปในอเมริกา

สหภาพยุโรปนั้นกำลังหาทางเพิ่มส่วนแบ่งศักยภาพการผลิตชิปของตนขึ้นอีกเท่าตัว นั่นคือไปถึงระดับ 20% ของตลาดโลกให้ได้ภายในปี 2030

อย่างไรก็ดี โรงงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคิดตัดสินใจแล้วก็เปิดเดินเครื่องกันได้ในชั่วเวลาแค่ข้ามคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทำเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกระบวนการผลิตซับซ้อนละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เกี่ยวข้องกับการอัดสารเคมีต่างๆ ชั้นแล้วชั้นเล่าลงบนแผ่นซิลิคอน

"การสร้างศักยภาพการผลิตใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ยิ่งสำหรับโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่แล้วต้องการ 2 ปีครึ่งขึ้นไป ดังนั้น การขยายงานแทบทั้งหมดที่กำลังเริ่มต้นขึ้นมาในตอนนี้จะไม่ทำให้มีศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้นมาจริงๆ หรอกจนกว่าจะถึงปี 2023" นี่เป็นความเห็นของ ออนเดรจ เบอร์คัคคี ซีเนียร์พาร์ตเนอร์และโค-ลีดเดอร์ด้านการดำเนินงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ณ บริษัทที่ปรึกษา แมคคินซีย์

เขากล่าวต่อไปว่า ปัจจัยระยะยาวด้านต่างๆ บ่งชี้เช่นกันว่า ดีมานด์ "ชิป" ในทั่วโลกจะยังคง "เติบโตกันในระดับไฮเปอร์" ปัจจัยเช่นว่ามี อาทิ แนวโน้มที่บริษัทต่างๆ หันไปจัดเก็บข้อมูลของพวกเขาในคลาวด์ ซึ่งทำให้ต้องมีการสร้างศูนย์ข้อมูลกันมากขึ้นๆ เรื่อยๆ โดยที่แต่ละแห่งต่างต้องมีการใช้ชิปปริมาณมหาศาล

ทางด้าน ฌอน-มาร์ค เชรี ซีอีโอของ เอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทผลิตชิปสัญชาติฝรั่งเศส-อิตาเลียน บอกว่า ออร์เดอร์สำหรับปีหน้าที่บริษัทของเขาได้มาเวลานี้เกินเลยศักยภาพการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว

เขากล่าวด้วยว่า มีการรับรู้รับทราบกันอย่างกว้างขวางภายในอุตสาหกรรมนี้ว่า ภาวะขาดแคลน "จะยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างต่ำที่สุด"

พวกนักวิเคราะห์บอกว่า การตึงตัวที่ดำเนินต่อไป ย่อมหมายถึงพวกผู้บริโภคจะต้องซื้อสินค้าในราคาสูงขึ้น

เอสอีบี บริษัทฝรั่งเศสที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ใช้ในครัว อย่างเช่น เครื่องปั่น ออกมาแจ้งเรียบร้อยแล้วว่า กำลังถูกบีบบังคับให้ต้องขึ้นราคาสินค้าของบริษัท

(เก็บความจากเรื่อง The chips are down : why there's a semiconductor shortage Q&A ของสำนักข่าวเอเอฟพี)

https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075297
#1802


https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/952144
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดสูดดม หรือฉีดพ่นทางจมูก แบบใช้อะดิโนไวรัส เป็นตัวนำพาที่ผลิตในจีน แสดงผลปลอดภัย ในการทดลองทางคลินิก ระยะที่ 1

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบใช้อะดิโนไวรัส ไทป์ 5 เป็นตัวนำพา หรือแอดไฟว์ เอ็นโควี (Ad5-nCoV) ร่วมพัฒนาโดยสถาบันการแพทย์ทหาร โรงพยาบาลจงหนานแห่งมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น และสถาบันอื่นๆ ของจีน

การทดลองในสัตว์ก่อนหน้านี้ชี้ว่า วัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี โดสเดียว สามารถป้องกันการแบ่งตัวของเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่กลายพันธุ์ในทางเดินหายใจส่วนบน โดยภูมิคุ้มกันเยื่อเมือกมีส่วนช่วยกระตุ้นเยื่อเมือกและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสามารถป้องกันเชื้อไวรัสฯ บุกโจมตีผิวเยื่อเมือกได้

รายงานที่เผยแพร่ในวารสาร The Lancet Infectious Diseases ทางออนไลน์เมื่อเดือนกันยายน 2563  ระบุว่า มีอาสาสมัคร 130 คน เข้าร่วมการทดลองโดยสุ่มแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม เพื่อรับวัคซีนด้วยวิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ วิธีสูดดม หรือทั้งสองวิธี

กลุ่มผู้เข้าร่วมทดลองด้วยวิธีสูดดม จำนวน 2 กลุ่ม ได้รับวัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี ในปริมาณสูงหรือต่ำในวันแรก ตามด้วยวัคซีนโดสกระตุ้นชนิดเดิมในวันที่ 28 ของการทดลอง ขณะกลุ่มที่รับวัคซีนแบบผสมได้รับวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อในวันแรก ตามด้วยวัคซีนโดสกระตุ้นชนิดสูดดมในวันที่ 28 ของการทดลอง ส่วนกลุ่มที่รับวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้ออย่างเดียวได้รับวัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี จำนวน 1 หรือ 2 โดสในวันแรก


ผลการทดลองพบว่าวัคซีนชนิดสูดดมนั้นมีความทนทานดี ใช้ปริมาณเพียง 1 ใน 5 ของวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่แข็งแกร่ง ด้านวัคซีนโดสกระตุ้นชนิดสูดดมในวันที่ 28 ของการทดลอง หลังรับวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อเป็นโดสแรก สามารถกระตุ้นการตอบสนองของแอนติบอดีได้อย่างแข็งแกร่ง

โฮ่วลี่หัว นักวิจัยจากสถาบันฯ กล่าวว่าแอดไฟว์ เอ็นโควี เป็นวัคซีนแบบไม่ต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงใดๆ อาทิ ปวดแขนและบวม ซึ่งอาจช่วยให้ประชาชนเต็มใจเข้ารับวัคซีนกันมากขึ้น

ขณะเดียวกันปริมาณยาที่ใช้ในวัคซีนชนิดสูดดมอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งเทียบเท่ากับว่าช่วยเพิ่มการผลิตวัคซีนโควิด-19 และแก้ปัญหาขยะทางการแพทย์ อาทิ เข็มฉีดวัคซีน

ปัจจุบันวัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี กำลังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก ระยะที่ 2

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952144
#1803
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#1804



สถานการณ์การที่พื้นที่ กทม.และปริมณฑล เต็มไปด้วย ผู้ป่วยโควิด 19 ทั้งกลุ่มสีเขียว และกลุ่มผู้ป่วยอาการหนัก สีเหลือง และสีแดง 'อาสาสมัคร' ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ช่วยทีมแพทย์ ลงพื้นที่ทำงานเชิงรุก ทั้งในการตรวจคัดกรองโควิด 19 เพื่อค้นหาแยก ผู้ป่วยโควิด 19 ลดการแพร่ระบาดในชุมชน รวมถึงเป็นผู้ดูแลในส่วนของ Home Isolation และCommunity Isolation ด้วย

นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access) และกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทีมอาสาสมัครที่ได้ทำงานร่วมกับชุมชนแออัดในกทม.เรื่องรัฐสวัสดิการ บำนาญแห่งชาติ รวมถึงเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ดินร่วมกับพี่น้องชุมชนแออัด มาตลอด เล่าว่า เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 กลุ่ม อาสาสมัคร ได้มีการปรับมาทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ความรู้ และร่วมแก้ปัญหาให้พี่น้องในชุมชนแออัดที่ติดเชื้อโควิด 19 รวมถึงป้องกับการแพร่ระบาดในชุมชน


โดยเมื่อพบผู้ป่วยติดเชื้อจะติดต่อไปยังหน่วยงานของรัฐ รพ.ต่างๆ เพื่อรับผู้ป่วยโควิด เข้าดูแล รักษาที่รพ. ทีมอาสาสมัครได้มีการอบรมแกนนำในชุมชน เพื่อให้คนเหล่านี้มีความรู้ ความเข้าใจในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19

คาดการณ์ว่าหากมีการติดเชื้อในชุมชนมาก อาจจะไม่มีรพ.ให้เข้า จึงได้ร่วมกันตั้งศูนย์พักคอยในชุมชนเพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 ได้รับการดูแลระหว่างรอเตียงจากรพ. ซึ่งศูนย์ดังกล่าวจะเป็นการดูแลให้ข้าวให้น้ำ หรือให้ ยาฟ้าทะลายโจร ภายใน 1-2 วัน แล้วเข้ารับการรักษาในรพ. แต่ขณะนี้เตียงไม่มี ทุกคนก็มาแออัดอยู่ในศูนย์พักคอย หรือบางคนก็ดูแลตัวเองที่บ้าน ทำให้ชุมชนมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก

นิมิตร์ กล่าวต่อว่า จาก ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว กลายเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง สีแดง และเสียชีวิต เพราะไม่ได้รับการรักษา นอนรอเตียงอยู่ที่บ้าน เพราะการให้ผู้ป่วยโควิด 19 ทุกคนเข้าไปนอนในรพ.ทั้งหมด พอมีผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง สีแดง กลุ่มอาการหนักก็ไม่มีเตียงทำให้ประชาชน


ตอนนี้เตียงในรพ.ต่างๆ เต็มไปหมด ช่วงเดือนเมษายนมีการหารือ เรื่อง Home Isolation ว่าให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ได้รับการกักตัวรักษาที่บ้าน หรือ Community Isolation แยกกักตัวรักษาในชุมชน

แนะ 'ตรวจโควิด 19' ทุกชุมชนแออัดทุกที่ในกทม.
"ตอนนี้สถานการณ์สุกงอม ไม่มีเตียง ประกาศสาธารณสุขเริ่มออกมาตรการให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวกักตัวรักษาที่บ้าน หรือที่ชุมชน หลายคนกังวลไม่อยากกักตัวรักษาที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร ยิ่งมีคนรอบตัวติดมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งเครียด การดูแลรักษาก็ไม่ทั่วถึง อาการก็แย่ลง ถ้ารักษาทันก็หาย รักษาไม่ทันก็เสียชีวิต" นิมิตร์ กล่าว

ขณะนี้ได้เปิดรับอาสาสมัครรับลงทะเบียน ณ จุดตรวจโควิดบริการเชิงรุก จำนวน 300 คน โดยจะมีการอบรมอาสาสมัครมาร่วมทำงานวันที่ 2 ส.ค.นี้ ขอเพียงมีโน้ตบุ๊คและพร้อมทำงานต่อเนื่อง 7 วัน ระหว่างวันที่ 4-10 ส.ค.นี้ ณ จุดลงทะเบียน การตรวจเชิงรุกจะกระจาย ไปทั้ง 69 เขตในกทมและปริมณฑล ซึ่งจะมีจุดตรวจอย่างน้อย 50 จุดต่อวัน แต่ละจุดต้องการอาสาสมัครช่วยงานลงทะเบียน 6 คน รวมแล้วต้องการอาสาสมัครช่วยการลงทะเบียน 300 คน


เพื่อเร่งค้นหาเพื่อช่วยผู้ติดเชื้อโควิดที่รู้ผลในวันที่ตรวจ เพื่อช่วยให้ทุกคนได้รับบริการที่เหมาะสมตาม โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ไม่มีอาการเข้าสู่ระบบ Home Isolation(HI) ในศูนย์สาธารณสุขหรือคลินิกอบอุ่น ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว มีอาการสัมพันธ์กับโควิดและกลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง จะได้รับยา และ อยู่ในระบบ HI กับคลินิกพริบตา IHRI ซึ่งต้องมีระบบการลงทะเบียนและระข้อมูลที่ดี

นายนิมิตร์ กล่าวต่อไปว่าอยากให้รัฐบาล สธ. กทม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจโควิด 19 ทุกชุมชนแออัด ทุกที่ในกทม.ให้ได้มากที่สุด และเมื่อตรวจแล้ว ควรมีการให้ความรู้ ทำความเข้าใจกับผู้ป่วย และต้องหาสถานที่ดูแลรักษาซึ่งทีมอาสาสมัครพร้อมช่วยเหลือ เตรียมชุมชน เตรียมพื้นที่ให้ และถ้าผลติดเชื้อ ก็พร้อมจะช่วยดูแลต่อหากผู้ป่วยเข้ามาตรการต่างๆ



จัดลำดับความสำคัญเร่ง 'ตรวจเชิงรุก' 1 ล้านคน
ตอนนี้ประชาชนที่ป่วยโควิด 19 ต้องรู้ว่าเมื่อตัวเองติดเชื้อต้องทำอย่างไรต่อไป และต้องมีการผลักดันให้คลินิกเป็นตัวจ่าย ยาต้านไวรัสให้แก่คนในชุมชนทันที เพื่อให้พวกเขาไม่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ถ้ามัวแต่รอคัดแยกกลุ่ม ไม่ให้ยา แถมคัดแยกแล้วก็ไม่มีเตียงรองรับผู้ป่วยก็มีแต่คนติด ไม่มีคนหาย

"รัฐบาล สธ.และกทม. ควรจัดลำดับความสำคัญ โดยเฉพาะกทม.ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นเมืองใหญ่ แต่คนทำงานที่มีประสิทธิภาพจริงๆ มีน้อย คนทำงานระดับล่างทำงานจริง เข้าใจปัญหาแต่ไม่กล้าตัดสินใจ ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงออกนโยบายแต่ยากในทางปฎิบัติจริง การบริหารจัดการกทม.ถือว่าด้อยประสิทธิภาพ กทม.ต้องเร่งตรวจเชิงรุก ลงมาร่วมมือกับภาคประชาชน สาธารณสุขในพื้นที่และแพทย์ชนบท ต้องทำงานตรวจเชิงรุกให้ได้ 1 ล้านคน และสั่งการให้ทุกจุดของสาธารณสุขเป็นจุดตรวจโควิด " นิมิตร์ กล่าว


รัฐต้องสื่อสาร ไทยจะไปทิศทางไหน 
ขณะที่ ระบบสาธารณสุข ต้องสร้างภาพใหม่ว่าเป็นโรคติดต่อที่ทุกคนสามารถป้องกันได้หากทุกคนปฎิบัติตัว สวมใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ เพราะในความเป็นจริง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ในประเทศเป็นกลุ่มสีเขียว ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อ 80% รักษาได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาในรพ.และหากตอนนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อที่มีแนวโน้มจะเสียชีวิตเป็นกลุ่มใด ต้องเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน และจ่ายยาให้ครบทุกคน

อยากให้นำเสนอคนที่รักษาตัวเองแล้วหายมีจำนวนเท่าไหร่ และควรให้คนเหล่านี้มาเป็นอาสาสมัคร เป็นกระบอกเสียง ไม่สร้างความตื่นตระหนกจนแย่ไปหมด ทุกคนดิ้นรนหาเตียง รัฐไทยต้องการผู้นำในการสื่อสาร ต้องบอกกับคนในประเทศว่าสถานการณ์เป็นแบบไหน จะเดินไปทิศทางใด ไม่ใช่แก้สถานการณ์ตามปัญหาที่เกิดไปเรื่อยๆ ตอนนี้มีการล็อกดาวน์ ตรวจเชิงรุก เร่งฉีดวัคซีน แต่กลายเป็นทุกอย่างทำให้คนแออัดมากขึ้น


"ในเมื่อพึ่งพาภาครัฐได้เพียงส่วนน้อย ประชาชนต้องเริ่มด้วยตัวเอง ต้องไม่ตื่นตระหนก ควรมีสติ ถ้าติดเชื้ออาการไม่รุนแรง ไม่จำเป็นต้องร้องหาเตียง ดูแลตัวเองที่บ้าน และคนที่หายดีแล้ว ต้องลุกขึ้นมาพูด ช่วยบอกชุมชน ช่วยเป็นอาสาสมัคร มาทำงาน ต้องสร้างเครือข่ายอดีตผู้ติดเชื้อโควิด ส่วนบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจว่าเหนื่อยล้า แต่ในภาวะวิกฤตนี้เป็นความท้าทายของบุคลากรทางการแพทย์ว่าจะบริหารจัดการอย่างไร และ หน่วยงานของรัฐต้องยืดหยุ่น ลดความเป็นระบบราชการ ต้องกล้าคิด กล้าตัดสินใจเอาผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง" นิมิตร์ กล่าวทิ้งท้าย
#1805



นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า อคส.เตรียมวางจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนส.ค.นี้ โดยอคส.ได้ซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิลพบุรีฤดูกาลผลิตปี 63/64 จากวิสาหกิจชุมชนโรงสีข้าวชุมชนบ้านคลอง ต.มหาโพธิ์ อ.สระโบสถ์ จ.ลพบุรี จำนวน 40 ตันมาบรรจุเป็นข้าวสารบรรจุถุงแบรนด์ "อคส." หรือ "PWO" ขนาด 2 กิโลกรัม (กก.) วางจำหน่าย เพื่อสร้างรายได้ให้กับองค์กร และเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร 

"ข้าวหอมมะลิลพบุรี มาจากแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิกลุ่มเดียวกับแปลงสาธิต ที่ได้กระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ไปทั่วประเทศ และเป็นข้าวที่อคส.เสาะหาจนพบแหล่งเพาะปลูก ที่ปลูกด้วยนาดินขาว ทำให้ได้ข้าวหอมมะลิ ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เมล็ดเรียวยาว เหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ หากเป็นข้าวต้นฤดู จะมียางมาก ทำให้ข้าวเหนียวนุ่ม และมีความอร่อยเหมือนข้าวหอมมะลิภาคอีสาน" 


สำหรับช่องทางการตลาด จะเริ่มต้นวางขายที่ร้านค้าของอคส.ภายในกระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี ก่อน และจะขยายไปยังช่องทางอื่นๆ ล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจากับห้างสรรพสินค้า และห้างค้าปลีกหลายแห่ง เช่น เดอะมอลล์, เทสโกโลตัส, และซีเจ คาดว่า จะวางขายได้เร็วๆ นี้ ส่วนราคาขาย เบื้องต้นจะขายราคาโปรโมชัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 

นอกจากนี้ อคส. ยังใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมการสื่อสารโดยใช้ QR Code เพียงผู้บริโภคสแกน QR Code  ที่ถุง ก็จะทราบเรื่องราวที่มาของข้าว ถือเป็น "ข้าวพูดได้" ถุงแรกของไทย และในระยะต่อไป จะพัฒนาให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของข้าวได้ ขณะเดียวกัน อคส. ยังจะประสานงานกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ดำเนินกระบวนการยื่นคำขอจดทะเบียนข้าวหอมมะลิลพบุรี เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของไทยด้วย 

 นายเกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า อคส.ยังมีแผนจะซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิภูเขาไฟบุรีรัมย์ มาบรรจุถุงและทำตลาดเช่นกัน เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ข้าวถุงของอคส. รวมถึงประสานกรมทรัพย์สินทางปัญญา นำข้าวที่เป็นสินค้าจีไอรายการอื่นๆ มาบรรจุถุงขายด้วยเช่นกัน และยังมีสินค้าอื่นๆ อีก เช่น พริกจากเพชรบูรณ์, ลำไยจันทบุรี  

ส่วนข้าวสารบรรจุถุงของอคส. ที่ทำตลาดอยู่แล้วในปัจจุบัน ทั้งข้าวขาว และข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวพรีเมียม ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค และวางขายในร้านธงฟ้าทั่วประเทศ และห้างค้าปลีกสมัยใหม่บางแห่งนั้น ขณะนี้ ยอดจำหน่ายลดลงบ้าง เพราะผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19  

"ตอนนี้ อคส.ต้องเร่งสร้างรายได้ให้กับองค์กร โดยการขายข้าว และสินค้าเกษตรอื่นๆ ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง  แต่ก็ยังน่าจะขาดทุนอยู่ ซึ่งปีนี้ ประมาณการขาดทุนไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท เพราะมีหนี้สงสัยจะสูญร่วม 200 ล้านบาท จากการขายสินค้าบางโครงการ ที่รักษาการผู้อำนวยการอคส.คนก่อนได้ดำเนินการไว้" 

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952125
#1806



"ผู้ประกอบอาชีพอิสระ" สมัครผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้ว รีบจ่ายเงินสมทบให้ทันภายใน 31 ก.ค.64 เพื่อรับสถานะความเป็นผู้ประกันตนโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทันที

น.ส.ลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานประกันสังคม ได้เปิดรับสมัครบุคคลทั่วไปที่ประกอบอาชีพอิสระ เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม เป็นต้นมา พบว่ามีผู้ประกอบอาชีพอิสระให้ความสนใจสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เป็นจำนวนมาก โดยสำนักงานประกันสังคมขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อท่านได้สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แล้ว สถานะความเป็นผู้ประกันตนจะสมบูรณ์ตามกฎหมายทันทีเมื่อท่านชำระเงิน จึงขอให้ผู้ที่สมัครขึ้นทะเบียนแล้ว รีบจ่ายเงินสมทบงวดแรกให้ทันภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 โดยสามารถชำระเงินผ่านช่องทางที่สะดวกได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11) เคาน์เตอร์เทสโก้โลตัส เคาน์เตอร์บิ๊กซี เคาน์เตอร์เซ็นเพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือผ่าน Mobile Application ShoppyPay และตู้บุญเติม ฟรีค่าธรรมเนียมทุกช่องทาง

ทั้งนี้ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ทุกท่านทั้งรายเดิม และที่สมัครใหม่ โปรดชำระเงินสมทบอย่างต่อเนื่องทุกๆเดือน เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของตัวท่านเอง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง
#1807



ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา พันโทหญิง ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เชื้อสายไทย เปิดเผยผ่านงานเสวนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อ "U.S. and Thailand Perspectives on Geostrategic Landscape and Regional Architecture" จัดโดยสถาบัน East-West Center ในกรุงวอชิงตันและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ว่า มีเป้าหมายที่จะบริจาควัคซีนโควิด-19 ให้กับไทย รวม 2.5 ล้านโดส โดยยังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ สถานเอกอัครทูต ณ กรุงวอร์ชิงตัน อยู่ระหว่างการติดตามพัฒนาการเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด


จากนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการจัดสรรไปยังกลุ่มเป้าหมายเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด-19 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ดังนี้

1. บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับภารกิจดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศ (เข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน) จำนวน 700,000 โดส

2. ผู้มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ที่มีสัญชาติไทย จำนวน 645,000 โดส

    - ผู้สูงอายุ

    - ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค อายุ 12 ปีขึ้นไป

    - หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป

3. ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุ และโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป และผู้เดินทางไปต่างประเทศ ที่จำเป็นต้องรับวัคซีนไฟเซอร์ เช่น นักการทูต นักศึกษา จำนวน 150,000 โดส

4. ทำการศึกษาวิจัย (ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการวิจัยจริยธรรม) จำนวน 5,000 โดส

5. สำรองส่วนกลางสำหรับตอบโต้การระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ จำนวน 40,000 โดส

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951850
 
#1808



กรุงเทพฯ, 29 กรกฎาคม 2564 – เอไอเอ ประเทศไทย ภายใต้การนำของ นายกฤษณ์ จันทโนทก ซีอีโอคนไทยคนแรก เปิด 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในฐานะบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ ที่อยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงชีวิตมายาวนานกว่า 83 ปี พร้อมปักธงสร้างความเป็นหนึ่งในทุกด้าน ผ่านนวัตกรรมสินค้าและการบริการที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชั่น พร้อมช่วยเติมเต็มทุกความต้องการด้านการประกันชีวิต สุขภาพ และการวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหนุนความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้แก่คนไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ ตามคำมั่นสัญญา "Healthier, Longer, .ter Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น"

5 กลยุทธ์ ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นหนึ่ง

ต่อจากนี้ไป การขับเคลื่อนเอไอเอ ประเทศไทย จะดำเนินภายใต้ 5 กลยุทธ์สำคัญ ที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งในทุกมิติ

เอไอเอ เป็นหนึ่ง บุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด
เอไอเอ ยืนหนึ่ง นอกเหนือจากการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ เอไอเอ ต้องยืนหนึ่งในใจลูกค้า และในทุกมาตรวัด ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ขนาดธุรกิจ ดัชนีความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า รวมไปถึงสินค้าและบริการที่ดีที่สุดในตลาด
เอไอเอ ที่หนึ่ง เป็นผู้นำในการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการบริการ
เอไอเอ เป็นบริษัทเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง ด้วยประสบการณ์ในการดูแล และมอบความคุ้มครองให้แก่คนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี และเป็นบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ เอไอเอยังคงมุ่งมั่นและไม่หยุดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วทุกภูมิภาค ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ​ เอไอเอ ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนบริบทจากการเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม หรือ Payor เป็น Partner ที่คอยอยู่เคียงข้างในทุก ๆ วัน เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น



นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า "แม้เราจะเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทยมายาวนาน แต่เราจะไม่หยุดความสำเร็จไว้เพียงตรงนี้ เพราะต่อจากนี้ไปเอไอเอ ประเทศไทย ต้องเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่งในทุกด้าน โดยการเป็นที่หนึ่งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อองค์กรและพนักงานของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำให้ลูกค้าของเอไอเอกว่า 5.2 ล้านราย ตลอดจนคนในสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด จากหลากหลายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการวางแผนทางการเงินในระยะยาวที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ตลอดจนตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น อันถือเป็นพันธกิจสำคัญที่เรายึดถือ โดยมีเอไอเอเป็นพาร์ทเนอร์อยู่เคียงข้างดังเช่นตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา"

ที่หนึ่งแห่งความมุ่งมั่น ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่คนไทย ด้วย 3 นวัตกรรมใหม่
จากความท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีความรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายมิติ ด้วยความตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว เอไอเอ ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ครอบคลุมวิถีชีวิตของคนทุกกลุ่มในยุค New Normal ควบคู่ไปกับสนับสนุนให้คนไทยได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในการเข้าถึงบริการ พร้อมลดความเสี่ยงจากการเดินทาง การพบเจอกันของทั้งฝั่งตัวแทนและลูกค้า ผ่าน 3 นวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ได้แก่

ALive Powered by AIA แอปผู้ช่วยส่วนตัว ดูแลครบ เรื่องครอบครัว เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่กำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ รวมถึงพ่อแม่มือใหม่ที่อาจขาดประสบการณ์ดูแลเจ้าตัวเล็ก ด้วย 5 ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพตามช่วงวัยที่แตกต่างกันของคนในครอบครัวอย่าง การปรึกษาแพทย์และพยาบาลออนไลน์ แชทกลุ่ม กิจกรรมไลฟ์ บทความและวิดีโอ และ ระบบบันทึกความทรงจำ พร้อมความร่วมมือระหว่างพันธมิตรชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพครอบครัว ทั้งโรงพยาบาลสมิติเวช กูรูชื่อดัง และ theAsianparent เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดการใช้งาน

AIA iSign การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ในกระบวนการสมัครทำประกันภัยแบบไม่ต้องพบหน้าจบครบในกระบวนการเดียวและมีความปลอดภัยสูง ให้ผู้สมัครทำประกันชีวิตลงนามแบบ Remote Signature (การลงรายมือชื่อจากระยะไกล) ในใบสมัคร ตลอดจนเอกสารประกอบทั้งหมด โดยมีตัวแทนเป็นผู้เสนอขายประกันแบบ Digital Face to Face ภายในระบบ iPoS+ ครอบคลุมการทำประกันทุกประเภท ซึ่งถือเป็นบริการตามแนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) ตามประกาศ คปภ. พ.ศ. 2564

AIA iService โฉมใหม่ แอปพลิเคชันรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับกรมธรรม์ไว้ครบในที่เดียว ตั้งแต่บริการยืนยันตอบรับข้อมูลกรมธรรม์ฉบับใหม่ (Freelook) การชำระเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิต ตรวจสอบสถานะสินไหม และบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในกรมธรรม์ รวมถึงการทำรายการสับเปลี่ยนกองทุนที่ลงทุนได้สำหรับลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ยูนิต ลิงค์ นอกจากนี้ ยังปรับโฉมเมนู "สิทธิพิเศษ" เมนูที่รวบรวมเอกสิทธิ์และสิทธิพิเศษจากพันธมิตรไว้มากมายสำหรับลูกค้าเอไอเอ และสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ พร้อมให้ลูกค้าได้เข้าถึงบริการได้สะดวกครบรอบด้าน ง่าย จบ ครบในแอปเดียว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และสอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal

"สุดท้ายนี้ผมมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 5 ข้อ ประกอบกับนวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เอไอเอในฐานะบริษัทเพื่อคนไทย ให้สามารถเติบโตและอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อเอาชนะทุกอุปสรรคร่วมกันได้อย่างยั่งยืน" นายกฤษณ์ กล่าวเสริม

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีบริษัทมีแผนงานรองรับบริการด้านงานเคลมสำหรับรูปแบบการรักษาใหม่ Home Isolationกรณีคนไข้ที่เป็นลูกค้าป่วยโควิดอย่างไร นายกฤษณ์​ กล่าวตอบว่า เอไอเอ ดำเนินงานตามกฎระเบียบและมาตรฐานของ คปภ. ดังนั้น ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเอไอเอ เป็นโรคจากการติดเชื้อโควิด 19 และแพทย์ระบุให้รักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation หรือการแยกกักตัวที่บ้าน ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยผลประโยชน์ความคุ้มครองยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขตามกรมธรรม์ ซึ่งผู้เอาประกันภัยที่ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของเอไอเอ ที่มีความคุ้มครองในส่วนของรักษาพยาบาลในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) จะได้รับความคุ้มครองผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์ และค่ายา (ตามที่แพทย์สั่ง) โดยรายละเอียดเงื่อนไข ทางเอไอเอ จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เมื่อสรุปกับทาง คปภ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า ประเมินตัวเลขภาพรวมในการจ่ายสินไหมโควิดที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมประกันชีวิตของไทยไว้อย่างไร มากน้อยขนาดไหนในแง่เอไอเอประมาณการไว้อย่างไร นายกฤษณ์​ ตอบว่า​ เอไอเอ เราไม่สามารถประเมินตัวเลขการจ่ายสินไหมจากโควิด 19 ได้ คงต้องรอตัวเลขจากทางสมาคมประกันชีวิตและสมาคมประกันวินาศภัย ที่จะออกมารายงาน และสำหรับเอไอเอ เราไม่มีประกันที่คุ้มครองโควิด 19 โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ประกันสุขภาพของเราทุกแผน ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงโรคโควิด 19 อยู่แล้วตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ซึ่งจากรายงานล่าสุด เอไอเอ ประเทศไทย ได้ทำการจ่ายผลประโยชน์ในกรณีเสียชีวิตแล้วมากกว่า 100 ราย และการจ่ายเคลมค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงการเจ็บป่วยจากโรคโควิด 19 ไปแล้วมากกว่า 7,000 ราย
#1809



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นายแพทย์​เกียรติ​ภูมิ​ วงศ์​รจิต​ ปลัด​กระทรวง​สาธารณสุข โพสเฟสบุ๊ค เกี่ยวกับ ฉากทัศน์ covid-19ของไทย"คาดการณ์สถานการณ์การระบาด COVID-19 ของประเทศไทย ระหว่าง ส.ค. - ธ.ค. 2564 จัดทำโดยกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข  โดยการจำลองตัวเลข ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า 

หากล็อกดาวน์หนึ่งเดือน (เริ่ม 19 ก.ค. 64) คาดว่าจะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรถึงต้นเดือน ตุลาคม และหากล็อกดาวน์สองเดือน คาดว่าจะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรถึงปลายเดือน พฤศจิกายน

 หากมาตรการล็อกดาวน์ได้ผลมากขึ้น เช่น จากที่ช่วยลดค่า R ได้ 20% เป็น 25% น่าจะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรได้ประมาณสองสัปดาห์ แต่ขนาดของการระบาดโดยรวมไม่เปลี่ยนไปมากนัก

หากมาตรมาตรการล็อกดาวน์ได้ผล และร่วมกับมาตรการวัคชีนในผู้สูงอายุได้ผลดี และดำเนินการได้รวดเร็ว ในเวลาไม่เกิน 2 เดือน น่าจะช่วยคงให้ความชุกของการใช้เครื่องช่วยหายใจไม่เกิน 1,500 รายต่อวัน และ อุบัติการณ์การเสียชีวิตไม่เกิน 200 รายต่อวัน ไปจนถึงเดือนธันวาคม

   ​

โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ปลัด​กระทรวง​สาธารณสุข ได้เข้าร่วม​ประชุม​ เรื่องการบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 และการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม​ ในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มและควบคุมสูงสุด ​โดยมี​ นายกรัฐมนตรี​ และ​รัฐมนตรีว่​าการกระทรว​งสาธารณสุข​ เป็น​ประธาน​การประชุม​ (โดยประชุมผ่านระบบ Zoom) ณ​ ห้องป​ระชุมการบูร​ ตึก​สำนักงาน​ปลัดกระทรว​งสาธารณสุข

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร    คณะเจริญ  เลขาธิการแพทยสภา อธิบายฉากทัศน์ดังกล่าวในเฟสบุ๊คว่าเห็นการจำลองตัวเลข"ฉากทัศน์ covid-19ของไทย"  ของกระทรวงสาธารณสุข แล้วน่ากลัวมาก พบว่า ถ้าไม่คุมให้ดี มีโอกาสติดวันละ 45,000 คน ตายวันละ 450 คน


ผลการล็อกดาวน์วันนี้เราลดได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้คนติดเชื้อและคนตายไม่มากเท่านั้น แต่ต้องแลกด้วย มาตรการจำนวนมาก ที่ทำให้ทุกคน กระทบชีวิตประจำวัน อาชีพการงานและการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนป่วยและเสียชีวิตมาก เกินกว่าที่โรงพยาบาลจะรับ ไหว ซึ่งวันนี้ก็เริ่มเกินแล้ว ถ้ามากกว่านี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

ในฉากทัศน์ นี้แสดงให้เห็นว่าการล็อกดาวน์จะยืดเยื้อไปอีก 2 เดือน เพื่อลดให้คนป่วยน้อย จนเตียงพอดูแลได้ และไม่ให้มีคนตายเยอะ ในภาพความเป็นจริง จะเป็นได้หรือไม่ต้องติดตามดู และขึ้นกับ สถานการณ์ของทรัพยากรและบุคลากรทางสาธารณสุข ที่จะต้อง โหมกระหน่ำลงไปสู้กันครับ สงครามนี้ไม่มีคนชนะ มีแต่ความเสียหาย ความสูญเสีย และความตาย ท่ามกลางความอดทนและเสียสละของทุกฝ่าย แต่อย่างไร พวกเราทุกคนก็ต้องสู้ต่อครับ ไม่นานเชื้อเหล่านี้จะหมดไปโดยธรรมชาติ เราต้องอดทน ต่อสู้ ให้ถึงวันนั้น
#1810



บริษัท วินเนอร์ยี่ เมดิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ  ถือเป็นไอพีโออีกหุ้นหนึ่งในปีนี้ที่ราคาเปิดเทรดวันแรก (11 พ.ค.) พุ่งแรง 135.48% อยู่ที่ 7.30 บาท จากราคาจอง 3.10 บาท ก่อนที่จะย่อตัวมาปิด 5.90 บาทเพิ่มขึ้นจากราคาจอง 90.32%

 ทั้งนี้ WINMED ได้มีการรายงานผลการจัดสรรหุ้นไอพีโอ  โดยพบ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้รับจัดสรรหุ้นไอพีโอหลายคน โดยผู้ที่ได้รับจัดสรรหุ้นมากสุด คือ นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP), นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร  บมจ เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) และ นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) ได้รับจัดสรรคนละ 1 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 3.1 ล้านบาท

รองมาคือ นาย สุรเดช อุทัยรัตน์กรรมการ บมจ. เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) ได้รับจัดสรรหุ้น 8 แสนหุ้น มูลค่า 2.48 ล้านบาท, นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ได้รับจัดสรรหุ้น 5.5 แสนหุ้น มูลค่า 1.7 ล้านบาท, นายวรพจน์ จรรย์โกมล กรรมการ บมจ.เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ (NINE) ได้รับจัดสรรหุ้น 5.2 แสนหุ้น มูลค่า 1.61 ล้านหุ้น

นายสมโภชน์ วัลยะเสวีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ได้รับจัดสรรหุ้น 4 แสนหุ้น มูลค่า 1.24 ล้านบาท

นอกจากนี้นายสาระ ล่ำซำ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) ได้รับจัดสรรหุ้นจำนวน 4 แสนหุ้น หรือคิดเป็น 1.24 ล้านบาท

รวมถึงพบตระกูลดังกล่าวได้รับจัดสรรหุ้น เช่น อภิชาติ จุฬางกูร ได้รับจัดสรร 4 แสนหุ้น มูลค่า 1.24 ล้านบาท นางสาวชดชนก ชิดชอบ ได้รับจัดสรร 4 แสนหุ้น มูลค่า 1.24 ล้านบาท นายมานิต มัสยวาณิช ได้รับจัดสรร 7 แสนหุ้น มูลค่า 2.17 ล้านบาท  นางนันทวัน มัสยวาณิช  ได้รับจัดสรร 6 แสนหุ้น มูลค่า 1.86 ล้านหุ้น


ทั้งนี้WINMEDดำเนินธุรกิจเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายเครื่อง และชุดอุปกรณ์เพื่อการตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัยและหรือบำบัดรักษาทางการแพทย์ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการเก็บรักษาโลหิตและผลิตภัณฑ์ของโลหิต ซึ่งบริษัทได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต 23 บริษัท ใน 12 ประเทศ  และมีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ที่เกี่ยวกับสุขภาพและสุขอนามัย
#1811



เมื่อวิกฤติโควิด-19 ได้เปลี่ยนโลกของคนทำงานอย่างคาดไม่ถึง จนทำให้เกิด "ชีวิตวิถีใหม่" (นิวนอร์มอล) บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด เผยแพร่ผลสำรวจพนักงานกว่า 208,000 คนจาก 190 ประเทศ ที่ทำร่วมกับ Boston Consulting Group พบข้อมูลเชิงลึกด้านการจ้างงานและเทรนด์การทำงานของปี 2564 ที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะหัวข้อความต้องการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศเริ่มน้อยลง

ขณะที่การจัดการวิกฤติโควิด-19 ของแต่ละประเทศ ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพิจารณา พบว่า "แคนาดา" คือจุดหมายปลายทางที่คนต้องการมากที่สุด ขณะที่ประเทศในทวีปยุโรป เช่น "สเปน" เริ่มไม่มีเสน่ห์น่าดึงดูดเหมือนแต่ก่อน ส่วนประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิกมีการบริหารจัดการได้ดีโดยมี ญี่ปุ่น สิงคโปร์และนิวซีแลนด์ ที่ติดอันดับท็อป 10


วิกฤติโรคระบาดนี้ยังทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไปโดยการทำงานแบบระยะไกลได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่พนักงานคำนึงถึงเวลาที่พวกเขาประเมินความน่าสนใจขณะมองหางานใหม่ ดังนั้น นายจ้างจำเป็นต้องคำนึงถึง 2 ประเด็นนี้เพื่อดึงดูดผู้สมัครงาน ได้แก่ การพัฒนากลยุทธ์ในการทำงานแบบระยะไกลอย่างละเอียดถี่ถ้วน และ การสร้างวัฒนธรรมที่เน้นคุณค่า
#1812



ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวในรายการ Spokesman Live ดำเนินรายการโดยนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว) ระบุว่า ถึงเวลาที่ไทยควรเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการอาศัยปัจจัยการผลิตไปสู่การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม 

ดร.สุวิทย์ กล่าวชี้ว่า ขณะเดียวกันยังมีประเด็นท้าทาย ได้แก่ 1.การติดกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) 2.การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ต้องตอบโจทย์โครงสร้างของไทยและของโลกไปพร้อมๆ กัน และ 3.การสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งจากภายใน เชื่อมไทยสู่ประชาคมโลก โดยเน้นความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาแก้ปัญหาความท้าทายข้างต้นเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งแนวคิดนี้ได้ตกผลึกมาเป็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สามารถจับต้องได้ และตอบโจทย์โลกในยุคโควิด-19


โมเดลเศรษฐกิจ BCG คือการนำการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และภูมิปัญญามนุษย์ มารวมไว้ด้วยกัน เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG เป็นสิ่งที่คนไทย นักวิทยาศาสตร์ หรือภาคเอกชนไทยลงทุนอยู่แล้วในระดับหนึ่งและไม่ใช่เทคโนโลยีที่ไกลตัว จึงควรให้ความสำคัญกับนโยบายที่ชัดเจนเพื่อยกระดับ BCG ให้เกิดเป็นรูปธรรมซึ่งจะส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมโลกด้วย 

ส่วนสำคัญของ BCG Model ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือ ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมที่เรามีกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งแต่ละภาคก็มีเสน่ห์ที่หลากหลายลงไปสู่กลุ่มจังหวัด ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำลังผลักดันโดยเรียกว่า " BCG เชิงพื้นที่" เพื่อให้กลุ่มจังหวัดมีความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ เช่น การเกษตร สมุนไพร พลังงานชุมชน และนำไปสู่ความโดดเด่นเรื่องเมืองหลัก เมืองรองและการท่องเที่ยว เป็นต้น

นอกจากนี้ BCG ยังช่วยตอบโจทย์การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ 4 ด้าน ได้แก่ 1.อาหารและการเกษตร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ลดความเหลื่อมล้ำในตัวเอง

ในปี 2565 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมเขตเศรษฐกิจเอเปค สิ่งสำคัญที่ไทยควรนำเสนอคือ โมเดลเศรษฐกิจที่เป็นการรวมตัวกันของภาคเอกชน ภาครัฐ และประชาชน ไทยต้องนำ BCG มาร้อยเรียงให้เป็นเรื่องราวตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือรูปธรรมที่จะตอบโจทย์สิ่งต่างๆ ได้

ดร.สุวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า BCG คือ ความหวังที่จับต้องได้ ทุกคนมีโอกาส มีส่วนร่วม และมองว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่ต้องรอรัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่เราสามารถร่วมมือกันที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ติดตามชมรายการย้อนหลังแบบเต็มรายการได้ที่ : https://fb.watch/6WoAK98Zxo/
#1813



โลตัส เปิดแพลตฟอร์มให้มูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสาลงทะเบียนรับข้าวกล่องไปส่งต่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในจังหวัดสีแดงเข้ม ภายใต้โครงการ "ข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร" โดยให้ร้านอาหารในศูนย์อาหารที่ปิดบริการตามนโยบายภาครัฐเป็นผู้ปรุงอาหาร เพื่อสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ

เมื่อวานนี้ (27 ก.ค.2564) นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า "จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยที่ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น มีผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยงที่กักตัวที่บ้านและผู้ยากไร้ที่ขาดแคลนอาหาร นอกจากนั้น ผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็กในห้างสรรพสินค้าและศูนย์อาหารใน 13 จังหวัดสีแดงเข้มไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามมาตรการภาครัฐ ก็ประสบปัญหาขาดรายได้ จึงเป็นที่มาของโครงการ ข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร โดยในเดือนสิงหาคม 2564 โลตัสจะว่าจ้างผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยปรุงอาหารจำนวน 100,000 กล่อง แจกจ่ายใน 10 จังหวัดสีแดงเข้มที่มีสาขาของโลตัสตั้งอยู่ เพื่อให้มูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสามารับเพื่อไปส่งมอบให้กับผู้ป่วยหรือผู้ที่ยากไร้ต่อไป

โลตัส ขอเชิญชวนมูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสา แจ้งความประสงค์ขอรับข้าวกล่องผ่านช่องทางออนไลน์ https://forms.office.com/r/BUB62YA9JEโดยจะได้รับการติดต่อจากสาขาเพื่อรับข้าวกล่องต่อไป"

สำหรับ 10 จังหวัดที่ร่วมโครงการ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดสงขลา จังหวัดนครปฐม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดชลบุรี
#1814



บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย (AMR) หุ้นไอพีโออนาคตไกลขายเกลี้ยง 150 ล้านหุ้น มีแผนเข้าเทรด SET วันที่ 2 ส.ค.นี้ ชูจุดเด่น Intelligent Transportation Systems บิ๊กบอส "มารุต ศิริโก" มั่นใจอนาคตยังไปได้อีกไกล ธุรกิจอยู่ในเมกะเทรนด์โครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชน และสมาร์ทซิตี้ เผย AMR มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี เป็นบริษัทคนไทยที่มีศักยภาพและมาตรฐานการทำงานเทียบเท่าต่างชาติ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างลงตัว มีโอกาสคว้างานใหม่เพียบ

 

นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) (AMR) เปิดเผยว่า การจองซื้อหุ้นไอพีโอของ AMR  จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ในราคาหุ้นละ 6.90 บาท ระหว่างวันที่ 21 – 23 ก.ค.2564 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก มีนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน จองซื้อเข้ามาเกินจำนวนเสนอขาย เนื่องจากมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของ AMR ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการวางระบบเทคโนโลยีโซลูชั่นแบบครบวงจร ธุรกิจอยู่ในเมกะเทรนด์ จากการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนของประเทศ ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้มีโอกาสได้งานใหม่เพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก 

 

ทั้งนี้ หุ้น AMR ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยอย่างมาก  เนื่องจากการกำหนดราคาหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 15.33 เท่า (Post-IPO Dilution) ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ และมีส่วนลดให้กับนักลงทุน  มีแผนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 2 ส.ค.2564 ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

 

"AMR เป็นหุ้นไอทีโซลูชั่น มีฐานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง มีจุดเด่นในเรื่อง Intelligent Transportation Systems เป็นบริษัทฯ ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะธุรกิจที่เติบโตตามเมกะเทรนด์ ซึ่งประเทศไทยยังต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชน ไอที และพลังงาน อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะคว้างานใหม่ๆ เพิ่มเติมได้อีกมากในอนาคต อีกทั้งจากวิสัยทัศน์ของทีมผู้บริหาร ที่เตรียมพร้อมขยายการลงทุน เข้าสู่ธุรกิจการให้บริการ Feeder Line และ Smart City เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน" นายดิถดนัย กล่าวในที่สุด

 

นายมารุต ศิริโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) (AMR) กล่าวว่า เป้าหมายการระดมทุนผ่านการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจด้านคมนาคมขนส่ง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Feeder Line การลงทุนธุรกิจ EV Charging Station และ Smart City ในสัดส่วนร้อยละ 85 รวมถึงนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในสัดส่วนร้อยละ 10 และใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในสัดส่วนร้อยละ 5

 

"ผมมั่นใจว่าธุรกิจของ AMR ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบขนส่งไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าทางคู่ รถไฟตามต่างจังหวัด รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ หรือการขยายการลงทุนในหัวเมืองหลัก ทำให้ AMR มีโอกาสได้งานใหม่เพิ่มเติม"

 

เขากล่าวอีกว่า จากประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 20 ปี ภายใต้จุดแข็งเป็นผู้ให้บริการไอทีโซลูชั่นครบวงจร และป็นบริษัทฯ คนไทยที่มีศักยภาพและมาตรฐานการทำงานเทียบเท่าต่างชาติ สามารถออกแบบและวางระบบ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างลงตัว อีกทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยิ่งทำให้เห็นว่า AMR สามารถเข้าไปแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ทันที ขณะที่การให้บริการของคู่แข่งที่เป็นต่างชาติ อาจมีข้อจำกัดในช่วงรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ประเทศ 

 

"หลังจากที่ได้รับเงินจากการระดมทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับประเทศและนานาชาติ เพิ่มโอกาสในการแข่งขันประมูลงานขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น  โดยเป้าหมายหลักของการใช้เงินราว 85% จะใช้เพื่อลงทุนและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งคณะผู้บริหารและพนักงานของ AMR ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานให้โดดเด่นและยั่งยืนในอนาคต และหวังว่า AMR จะเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน" นายมารุต กล่าวในที่สุด
#1815



นายอรรถนพ พันธุกำเหนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนรูปแบบ กล่าวว่า หลังจากที่ภาครัฐเปิดโครงการ "ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์" เกือบ 1 เดือนที่ผ่านมานั้น ยังไม่สามารถตอบได้ว่าโมเดลดังกล่าวช่วยเหลือผู้ประกอบการภูเก็ตได้มากน้อยเพียงใด เพราะยังไม่มีการประเมินจากภาครัฐในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น แทบจะไม่เกิดประโยชน์ เพราะชาวต่างชาติหวังเข้ามาท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ไม่มีเจตนาเข้ามาลงทุนแต่อย่างใด ในขณะที่ชาวต่างชาติบางส่วน ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ไว้ที่ภูเก็ตก่อนหน้านี้ ก็ไม่สามารถเข้าพักได้ทีเดียว เนื่องจากต้องไปกักตัวในโรงแรมในระบบที่ภาครัฐจัดเตรียมไว้ให้ก่อน 14 วัน จึงเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ชาวต่างชาติไม่อยากเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในช่วงนี้ ซึ่งมองว่าภาครัฐยังขาดความพร้อมและการวางแผนที่รัดกุม

ทั้งนี้การเปิด "ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์" มีข้อดีคือได้ทดลองเปิดดู หากผลเสียมีมากกว่า ธุรกิจทั่วไปยังไม่ได้รับผลประโยชน์ และนักท่องเที่ยวยังถูกจำกัดการทำกิจกรรมอยู่ ก็ยังรู้สึกไม่เกิดผลดีกับภาพรวมของภูเก็ต ซึ่งมองว่า ต้องหยุดเรื่องการติดเชื้อให้ลดน้อยลงที่สุดก่อน หากนำวัคซีนที่มีคุณภาพเข้ามาได้ ก็จะสามารถเปิดทุกกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ ทั้งนี้ภาครัฐต้องแก้ไขปัญหา ประเมินข้อดี ข้อเสียก่อน เพื่อให้ทุกอย่างรัดกุมมากกว่านี้

"นักท่องเที่ยวพอมาถึงประเทศไทยและได้ยินข้อมูลด้านลบ เพราะในภูเก็ตยังมีการติดเชื้ออยู่ ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับการติดเชื้อไปด้วย ทำให้บรรยากาศรู้สึกไม่ปลอดภัย และนักท่องเที่ยวเกิดความกังวล ทำให้รีบเดินทางกลับประเทศ ส่วนคนที่กำลังจะมาภูเก็ตก็รอดูท่าทีก่อน โมเดลนี้ไม่ถือว่าล้มเหลว ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น เพื่อเริ่มทดลองและได้เห็นปัญหา ซึ่งก็ต้องนำปัญหานั้นมาแก้ไข แต่ไม่ทราบว่าภาครัฐมีการแก้ไขมากน้อยเพียงใด หากเปิดประเทศไม่ได้ แต่สามารถเปิดภูเก็ตได้ เพราะช่วงไฮซีซั่นก็ต้องมีชาวต่างชาติกลับมาอย่างแน่นอน ซึ่งควรแก้ปัญหาด้วยการหาวัคซีนมาฉีดให้คนในภูเก็ตให้หมด และคลายกฎให้นักท่องเที่ยว รวมไปถึงทำประชาสัมพันธ์ระดับโลกว่าภูเก็ตมีอัตราการติดเชื้อต่ำ ซึ่งภาครัฐอาจมองในมุมที่ต่างจากผู้ประกอบการเพราะประเทศไทยไม่ได้ใช้ระบบการทำการตลาดไปทั่วโลก ให้ชาวต่างชาติรับรู้ว่าภูเก็ตมีความพร้อมแล้ว แต่สิ่งที่รัฐขาดคือความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล ทำให้การประชาสัมพันธ์การเปิด 'ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์' ไม่เป็นไปในทิศทางที่จะเป็น แต่ก็ยังมีเวลาที่จะแก้ไขได้ก่อนที่จะถึงช่วงไฮซีซั่น ซึ่งเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาภูเก็ตอย่างแน่นอน" นายอรรถนพ กล่าว

สำหรับ ผู้ประกอบการอสังหาฯในภูเก็ตมีความต่างกันพอสมควร เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกในสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตทุกคน ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการที่สร้างบ้านเพื่อขาย และลงทุน มีทั้งคนไทยและต่างชาติ ดังนั้นจึงอยากจะฝากถึงรัฐบาล ในการช่วยภาคธุรกิจอสังหาฯและท่องเที่ยว หากมีการทำประชาสัมพันธ์เมืองภูเก็ต ก็ควรที่จะดึงงบประมาณบางส่วนให้ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกนักท่องเที่ยวมาแล้วรู้สึกประทับใจ ระบบราชการต้องมีความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล รวมไปถึงควรตัดวงจรกลุ่มที่ขูดรีดชาวต่างชาติ และคนไทยด้วยกันออกไปให้หมด และควรมีงบบำรุงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อีกทั้งเพื่อความยั่งยืนของภูเก็ตควรเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาร่วมทุนกับภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในภูเก็ตมากขึ้น

"การที่จะดึงให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในภูเก็ต ภาครัฐควรมีการแก้ไขกฎหมายต่างๆ อาทิ 1. ดึงนักลงทุนมาลงทุนอสังหาฯด้วยการแก้ไขสิทธิกฎหมายการเช่าที่ดินจากเดิม 30 ปี เป็น 90 ปี , 2. เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดได้ 100% จากเดิม 49% , 3. การลงทุนกิจการในภูเก็ตไม่ควรคิดมาตรการด้านภาษีรายได้ โดยไม่หักภาษีชาวต่างชาติ เพื่อให้นำเงินออกนอกประเทศได้ ซึ่งจะทำให้เกิดเงินสะพัด ภาคธุรกิจมีการเติบโต และ 4.หากชาวต่างชาติที่มีการลงทุนเกิน 30 ล้านบาท ควรให้วีซ่าเกิน 30 ปีไปเลย หากสามารถปลดกฎพวกนี้ได้ ราคาที่ดินภูเก็ตจะพุ่งขึ้นเป็น 2-3 เท่าตัวอย่างแน่นอน และทำให้เกิดการจ้างงาน เงินสะพัด เพราะที่ยุโรป อเมริกาก็ทำกันมาก ซี่งอยากให้รัฐเข้าใจและพัฒนาอย่างจริงจัง" นายอรรถนพ กล่าว

ในส่วนของ "ซิซซา กรุ๊ป" นั้นในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิต-19 ได้พยายามประคับประคองธุรกิจให้อยู่ได้ ทั้งส่วนของการพัฒนาอสังหาฯเพื่อการขายและธุรกิจโรงแรม รวมไปถึงพยายามหารายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการจัดแคมเปญต่างๆหรือมีการลดราคาสินค้า เพื่อดันยอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งหาช่องทางหรือเปิดธุรกิจใหม่ๆเพื่อสร้างรายได้ เช่น การร่วมทุนกับกลุ่มพันธมิตรเปิดตัวโครงการ "Natai Medical Center & Resort" ที่จะขายแพ็กเกจให้กับนักลงทุนล่าสุดเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2564 บริษัทได้นำโครงการ "วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต" มาจัดโปรโมชั่น "Pay Less Get TRIPLE" ซื้อ 1 ได้ถึง 3 ต่อ คุ้มค่าเหนือทุกเงื่อนไข กับการลงทุนแบบ Unit Ownership
#1816



เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่บ้านเลขที่ 289 หมู่ 7 ต.สำพนตา อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ชาวบ้านนับสิบแห่กันทำขันธ์ห้าขอเลขเด็ดจากเต่ายักษ์ โดยชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานาว่า เป็นเต่านำโชคมาให้ โดยอาจารย์เดช แก้วจันทร์ เป็นคนนำชาวบ้าน ทำขันธ์ห้าขอเลขเด็ดจากเต่าที่เข้ามาที่บ้านเลขที่ 289 เมื่อช่วงกลางดึกวานนี้  ( 26 ก.ค.)


สำหรับเต่ายักษ์ตัวนี้ ทางเจ้าของบ้านเมื่อเห็นครั้งแรก รู้สึกตกใจและนำไปใส่กะละมังไว้ จากนั้นเข้าไปนอนต่อและก็ฝันเห็นช้างเข้ามาในบ้านรุ่งเช้าจึงบอกเพื่อนบ้านว่า เมื่อคืนมีเต่าตัวใหญ่เข้ามาในบ้าน ได้จับใส่กะละมังไว้หลังบ้าน หลังจากที่ทุกคนรู้ว่ามีเต่าใหญ่เข้ามาในบ้านหลังนี้  จึงต่างแห่กันมาดู เพราะคิดว่าต้องเป็นเต่านำโชคลาภมาให้ จึงทำขันธ์ 5 มาขอขมา และขอเลขเด็ดก่อนทำพิธีหลายคนนำโทรศัพท์มือถือ มาถ่ายรูปเต่าเพื่อขอเลขเด็ดบนกระดองเต่า และใต้ท้องเต่าเพื่อเสี่ยงโชคในวันหวยออกงวดวันที่ 1 ส.ค. สำหรับเลขที่ชาวบ้านนำไปซื้อ บางคนเห็นตัวเลขบนกระดองเต่าเป็นเลข 85 นอกจากนี้ยังนำเลขที่บ้านไปซื้อ


ด้านนางขวัญจิตร์  มิลลิเชียรรัตน์ อายุ 44 ปี เจ้าของบ้าน เล่าว่า เมื่อช่วงตี 3 วานนี้ ( 26 ก.ค.)ได้ยินเสียงหมาเห่าอยู่หลังบ้านจึงออกมาส่องไฟดูที่ลานบ้านเห็นอะไรบางอย่างดำๆ อยู่ตรงหน้าเมื่อเพ่งตามองดูจึงรู้ว่าเป็นเต่าขนาดใหญ่ตามตัวเต็มไปด้วยต้นข้าวติดเต็มตัว จึงขึ้นมาแล้วปัดเศษต้นข้าวออกจากตามตัว แล้วนำมาใส่กะละมังขังไว้ในครัว จากนั้นก็เข้าไปนอนต่อ เพราะยังไม่สว่างและได้ฝันเห็นช้างเข้ามาในบ้าน หลังจากสว่างแล้วจึงบอกญาติและเพื่อนบ้านให้รู้ว่ามีเต่ามาอยู่ในบ้านทุกคนจึงพากันมาดู และขอเลขเด็ดจากเต่า ซึ่งเป็นความเชื่อว่าจะมีตัวเลขอยู่บนกระดอง และใต้ท้องของเต่าบางคนบอกว่าอยากจะรู้ว่าเต่าตัวนี้จะมีน้ำหนักกี่กิโลจึงเอากิโลมาชั่งดูน้ำหนักเต่ามีน้ำหนัก 6 กิโล 7 ขีด และนำไปซื้อหวย.
#1817



สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันจันทร์(26ก.ค.)ปรับตัวลง 16 เซนต์เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าอุปสงค์น้ำมันจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-


สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนส.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 16 เซนต์ ปิดที่ 71.91 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ ปิดที่ 74.50 ดอลลาร์/บาร์เรล


ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในวันนี้สวนทางกับเมื่อวันศุกร์ (23 ก.ค.) ซึ่งราคาน้ำมันปิดบวกเพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าตลาดจะยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วันนับตั้งแต่เดือนส.ค.ไปจนถึงเดือนธ.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 27-28 ก.ค.นี้
#1818




พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ   Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

โดยวาระการประชุมที่น่าสนใจในวันนี้ 27 ก.ค. กระทรวงศึกษาธิการ จะเสนอ 4 มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครอง นักเรียน ให้คณะรัฐมนตรีพิจาณา

มาตรการที่ 1 การให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีพ ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน รวมประมาณ 10.8 ล้านคน ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน รวมเป็นเงินประมาณ 21,600 ล้านบาท โดยใช้ฐานข้อมูลเรียนฟรี 15 ปี

มาตรการที่ 2 เป็นการขอความร่วมมือจากโรงเรียนเอกชน ให้ลด หรือตรึงค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากผู้ปกครอง ในโรงเรียนเอกชนกลุ่มที่ไม่รับการอุดหนุนจากรัฐ และกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ ให้เท่ากับปีการศึกษา 2563 เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในโรงเรียนเอกชน ทั้ง 2 กลุ่ม เพื่อพิจารณาสั่งการเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตามหลังจาก ศธ.ได้ออกประกาศแนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ปีการศึกษา 2564

มาตรการที่ 3 เป็นการลดช่องว่างการเรียนรู้ (Learning Gaps) และลดผลกระทบด้านความรู้ ที่ขาดหายไป (Learning Loss) โดยให้สถานศึกษาสามารถถัวจ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ใน 5 รายการ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบนักเรียน และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อใช้จัดการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดในปีการศึกษา 2564 ได้ และจัดสรรค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้สถานศึกษาอีกส่วนหนึ่ง เพื่อใช้จัดการเรียนรู้และแก้ปัญหาความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของสถานศึกษา และจัดทําสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้หลากหลายที่เหมาะสมกับวัย ลดการเรียนรู้จากสื่อออนไลน์โดยเฉพาะกลุ่มผู้เรียน อนุบาล-ป.3 ขณะเดียวกัน ศธ.จะจัดเช่าอุปกรณ์ (Devices) พร้อมสัญญาน จํานวน 200,000 ชุด สําหรับให้นักเรียน/นักศึกษา กลุ่ม ป.4 – ม.6 และ อาชีวศึกษา ใช้ยืมเรียน รองรับการเรียนแบบออนไลน์


มาตรการที่ 4 เป็นการช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างงาน โดยจะมีการจัดฝึกอบรมด้านอาชีพสําหรับผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นการอบรมฟรีรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน พร้อมทั้งประสานเชื่อมโยงกับแหล่งทุนเพื่อจัดหาทุนเริ่มต้นประกอบอาชีพ

พร้อมกับคาดการณ์ว่า กระทรวงการคลัง จะเสนอแผนกู้เงิน 200,000 ล้านบาท หลังในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 2

โดยจะมีการขยายกรอบก่อหนี้ใหม่เพิ่มเติมอีก 100,000-200,000 ล้านบาท เป็นการทำแผนกู้เงินเพิ่มมารองรับมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ 13 จังหวัดในช่วงนี้ ซึ่งแผนกู้เพิ่ม 100,000-200,000 ล้านบาท ดังกล่าว อยู่ภายใต้กรอบ พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 500,000 ล้านบาท

ซึ่งจะต้องดำเนินการกู้ภายในสิ้นเดือน กันยายนนี้ เนื่องจากขณะนี้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ใช้วงเงินหมดแล้ว
#1819


วันที่ 26 ก.ค.2564 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ที่วัดโพธิ์ศรี ต.บางงา อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี มีผู้โชคดีถูกรางวัลใหญ่หลายงวดติดต่อกัน นำเครื่องเซ่นไหว้ ของเล่นเด็กจำนวนมากมามอบให้ ไอ้ไข่ จนล้นพื้นที่ พร้อมทั้งนำข้าวสาร 500 ถุง ถุงละ 5 กิโลกรัม มามอบให้วัดเพื่อให้ประชาชนที่เดือดร้อนจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักอยู่ขณะนี้ โดยให้ประชาชนที่เดือดร้อนเดินทางมารับข้าวสารที่วัดได้เลย ข้อแม้เพียงแต่มาขอรับกับไอ้ไข่ เพราะเป็นข้าวสารที่ไอ้ไข่ให้โชค


ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปยังวัดโพธิ์ศรี ที่วันนี้มีเด็กด้อยโอกาส เด็กกำพร้า จากวัดถ้ำตะโก ต.เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง โดยมีหลวงพี่ต้อมเป็นผู้นำพามา เพื่อรับข้าวสาร อาหารแห้ง ขนม พบว่ารอบบริเวณรูปปั้นไอ้ไข่ เต็มไปด้วยของเล่นเด็กนานาชนิด เช่น ปืน หนังสติ๊ก เสื้อผ้าลายพรางทหาร รูปปั้น ม้า ไก่ จักรยาน จนถึงรถจักรยานยนต์ ที่มีผู้ที่โชคดีจากไอ้ไข่นำมามอบให้

พระอธิการบรรหาร ปัญญาธโร เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี กล่าวว่า เมื่อวันก่อนมีโยมชายหญิงซึ่งเป็นผู้โชคดีจากต่างจังหวัด ที่กล่าวว่า ถูกรางวัลใหญ่กับไอ้ไข่วัดโพธิ์ศรี ที่เข้าฝันกระซิบบอกเลข 725 ให้ตนเอง จึงนำเลข 725 ไปซื้อหวย เลขที่ออกถูกตรงเผง ในวันนี้จึงได้บรรทุกข้าวสารบรรจุถุง 500 ถุง และอีกหลายกระสอบ เพื่อมามอบให้กับวัด โดยไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนาม


พระอธิการบรรหาร กล่าวต่อว่า เพียงบอกฝากให้กับประชาชนที่เดือดร้อนจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 มารับกับไอ้ไข่ได้เลย ก่อนกลับได้ไปจุดธูปขอโชคจากไอ้ไข่ เดินยิ้มแป้นออกมา และได้กล่าวกับอาตมา และโยมที่อยู่ภายในวัดว่าสงสัยครั้งนี้ต้องได้ข้าวสาร 1,000-10,000 ถุงแน่นอน
#1820



เมื่อที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่บริเวณวัดหนองพังนาคตำบลเสือโฮกอำเภอเมืองจังหวัดชัยนาทคณะสงฆ์จังหวัดชัยนาทร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกระชายขาวรวมไปถึงพืชสมุนไพรอื่นๆที่มีสรรพคุณเป็นยาเพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านโควิด-19และแจกจ่ายให้กับประชาชนที่สนใจใช้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเป็นยาทางเลือกในการรักษาโรคติดเชื้อโควิด-19อีกทั้งเป็นการส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้านมีรายได้จุนเจือครอบครัว
          
พระสุธีวราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุวรวิหาร เปิดเผยว่า คณะสงฆ์มีโครงการปลูกสมุนไพรฟ้าทลายโจรเป็นหลักเพื่อนำไปช่วยเหลือในยามบ้านเมืองวิกฤตจากภัยโควิด-19ในตอนนี้เป็นการส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้านด้วยในวัดที่พอมีที่เหลือจะให้ปลูกกระชายขิงและพืชสมุนไพรให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลแล้วเก็บไปขายโดยแบ่งกับทางวัดเป็นค่าน้ำค่าไฟบ้างที่เหลือให้เป็นรายได้ญาติโยมนำไปจุนเจือครอบครัว
          
ขณะนี้มีวัดในจังหวัดชัยนาทที่เข้าร่วมโครงการประมาณ20วัดแต่ละวัดมีพื้นที่ปลูกไม่ต่ำกว่า3ไร่โดยเฉพาะที่วัดหนองพังนาคมีพื้นที่กว่า10ไร่จะทำการปลูกให้เต็มพื้นที่คาดว่าโครงการนี้จะช่วยชาวบ้านได้อย่างยั่งยืนเป็นการสงเคราะห์อนุเคราะห์ญาติโยมที่ไม่มีอาชีพขาดรายได้จะทำให้คนเข้าวัดเป็นการสนองพระดำริของสมเด็จพระสังฆราชคือช่วยส่งเคราะห์อนุเคราะห์ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง

ขอบคุณภาพจากเพจ น.ส.พ. ธรรมนำโลก