• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jessicas

#3821



ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี เผยภาคภูมิใจหลังโชว์ฟอร์มในศึกโอลิมปิก ได้อย่างเด็ดขาดจนเข้ามาถึงรอบ 8 คนสุดท้ายเป็นครั้งแรก พร้อมตั้งความหวังปราบนักชกคิวบา เพื่อเอาเหรียญทองแดงมาคล้องการันตีไว้ก่อน

รอบนี้ ฉัตร์ชัยเดชา เจอกับ เมียร์โก เจฮีล คูเอลโญ่ จากอาร์เจนติน่า ปรากฏว่านักชกไทยโชว์ประเคนหมัดได้อย่างเหนือชั้น ก่อนที่กรรมการตัดสินให้กำปั้นตัวเก๋าชนะ 4-1 เสียง ทำให้ ฉัตร์ชัยเดชา เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปเจอกับ ลาซาโร่ อัลบาเรซ จากคิวบา ดีกรีเหรียญทองแดงโอลิมปิกที่ลอนดอน 2012 กับ ริโอ 2016 ซึ่งหากกำปั้นไทยเอาชนะได้อีกไฟต์ จะการันตีเหรียญทองแดงไปคล้องคอก่อนแล้ว

หลังจบไฟต์ กำปั้นไทยวัย 36 ปี เผยว่า "ถือว่าชกได้ตามเป้าที่วางไว้ เขาเป็นมวยไฟต์เตอร์ ชกระยะใกล้ได้ดี เราเลยใช้วิธีคือพยายามชกระยะห่าง และระวังศรีษะไว้แต่ก็มีพลาดจนได้ ถือว่าพอใจกับผลการแข่งขัน"

"ไฟต์ต่อไปชิงเหรียญทองแดง เจอกับนักชกจากคิวบา เป็นมวยซ้าย ชกยาว จังหวะฝีมือก็ดี เราก็ต้องคุยกับสตาฟฟ์เพื่อหาวิธีการชก รวมถึงไปแก้เกมบนเวที น่าจะสนุกครับ"

"โอลิมปิกครั้งนี้ก็ถือว่าดีที่สุดที่เคยชกเพราะที่ผ่านมามาถึงแค่รอบ 16 คน แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับบ้าน บอกเลยว่า 36 ยังแจ๋วครับ" เจ้าสด กล่าวด้วยรอยยิ้ม
#3822



สื่อเวียดนามรายงานว่า ชาวกรุงฮานอยเกือบ 300 คน ถูกปรับเงินกว่า 610 ล้านด่ง หรือราว 876,000 บาท จากการละเมิดมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

การปรับเงินเริ่มขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์หลังคำสั่งเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นเวลา 2 สัปดาห์ มีผลบังคับใช้ในเมืองหลวงของประเทศตั้งแต่วันเสาร์ (24) ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุ

คำสั่งกำหนดให้ประชาชนอยู่กับบ้าน และออกจากบ้านด้วยเหตุผลความจำเป็นพื้นฐานเท่านั้น เช่น การซื้ออาหารหรือยา หรือไปทำงานในโรงงานหรือธุรกิจที่ยังได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการ และต้องเว้นระยะห่างจากกันอย่างน้อย 2 เมตร ห้ามรวมตัวกันในที่สาธารณะเกิน 2 คน ยกเว้นในที่ทำงาน โรงเรียน หรือโรงพยาบาล

หากเจ้าหน้าที่พบว่าไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือเว้นระยะห่างในที่สาธารณะ หรือออกจากบ้านด้วยเหตุผลที่ไม่จำเป็น พวกเขาจะถูกลงโทษด้วยการปรับเงิน

สำหรับสถานประกอบการที่มีคำสั่งให้หยุดดำเนินการชั่วคราวในช่วงเว้นระยะห่างทางสังคม หากพบว่ายังดำเนินการต่อจะถูกปรับ 75 ล้านด่ง

ประธานคณะกรรมการประชาชนกรุงฮานอยกล่าวว่า ตำรวจฮานอยได้ตั้งจุดตรวจบนถนนหลายสายเพื่อควบคุมการจราจร โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรถมากกว่า 47,000 คัน และมีรถมากกว่า 13,000 คันต้องถอยกลับ

กรุงฮานอยมีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมมากกว่า 900 คน ในการระบาดระลอก 4 ที่เริ่มขึ้นช่วงปลายเดือน เม.ย. โดยการระบาดในช่วงต้นพบในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วเมืองจนนำไปสู่การล็อกดาวน์ และคลัสเตอร์ใหม่พบที่โรงพยาบาลปอด ที่มีผู้ป่วยติดเชื้ออย่างน้อย 23 คน ที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ผู้ป่วย และสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา ตั้งแต่วันอาทิตย์ ทำให้ทางการสั่งล็อกดาวน์โรงพยาบาลและงดรับผู้ป่วยเพิ่ม.

ภาพประกอบ : AP และ VNExpress
#3823



สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand – GCNT) ได้จัดเสวนาออนไลน์เรื่อง "บทบาทภาคเอกชนไทยในการส่งเสริมการพัฒนาระบบอาหารที่ยั่งยืน" เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2564 เพื่อยกระดับการจัดการด้านระบบอาหารที่ยั่งยืนจากภาคธุรกิจเอกชนไทยสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบการประชุมสุดยอดด้านระบบอาหารของสหประชาชาติ

โดยข้อสรุปจากเสวนาครั้งนี้จะรวบรวมเป็นข้อเสนอแนะจากภาคธุรกิจไทยสู่การประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก (UN Food Systems Summit 2021) ที่จะจัดขึ้นในปลายปีนี้ เพื่อพัฒนาระบบอาหารโลกให้เกิดความแข็งแรงและยั่งยืน โดยในงานมีผู้เข้าร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม กว่า 100 คน

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้ประสานงาน UN Food System Summit National Convener กล่าวว่า ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดระบบอาหารโลกให้ยั่งยืน โดยข้อเสนอแนะจากงานเสวนานี้จะนำไปเชื่อมโยงกับข้อเสนอจากผู้ที่มีบทบาท และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบการผลิตในแต่ละภาคส่วนของประเทศไทย เพื่อนำไปเป็นแนวทางและข้อเสนอจัดทำนโยบายแผนงานการปฏิรูประบบอาหารและการเกษตรอย่างมั่นคงในการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก UN Food Systems Summit 2021 เพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายในปี 2573

โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบความมั่นคงและเป็นจุดเปลี่ยนทางด้านอาหารโลกที่หลายประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นครัวของโลก จะต้องนำประสบการณ์การจัดการระบบอาหารของประเทศไทยภายใต้นโยบาย 3 S คือ Safety, Security และ Sustainability ของภาคเกษตรและระบบอาหารให้มีความยั่งยืน ผู้ประกอบการทางด้านภาคเกษตรจะต้องปรับตัวนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ต่อกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และเน้นไปสู่รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ โดยมุ่งเป้าหมายด้าน Zero Waste ลดขยะให้เป็นศูนย์เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน พร้อมกับการพัฒนาอาหารในอนาคต Future Food ที่จะต้องเน้นในเรื่องของการพัฒนาสมุนไพรไทย และการพัฒนาอาหารจากพืช รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการอาหารสัตว์ ซึ่งจะเป็นการจัดการทั้งระบบของอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน


นายนพปฏล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ในฐานะเลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจเอกชนต่างๆได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้ดำเนินการตามแนวทางพัฒนาระบบอาหารที่ยั่งยืน หรือ Food Systems Sustainability ภายใต้กรอบของสหประชาชาติที่มีความท้าทายในเรื่องการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนต่อประชากรทั้งโลก 9 พันล้านคนภายในปี 2050 โดยมีความท้าทายตั้งแต่การผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการจำนวนมาก

ตลอดจนการผลิตและจัดการอาหารให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมให้มากที่สุด ซึ่งในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา แม้โลกจะพัฒนาด้านความยั่งยืนดีขึ้นหลายด้านตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะประเทศไทยที่ได้พัฒนาตามแนวทาง SDGs เป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน และอยู่ในลำดับต้นๆของเอเชีย แต่การจะบรรลุสู่เป้าหมาย SDGs ในปี 2030 ไม่ใช่เรื่องง่าย และขณะนี้เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การพัฒนาเพื่อความยั่งยืนต่างๆถดถอย อาทิ

เป้าหมายที่ 2 ของ SDGs คือ No Hunger ที่ผลกระทบของโควิด-19 ส่งผลให้จำนวนประชากรโลกที่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามสหประชาชาติได้พยายามสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนที่เป็นระบบมากขึ้นผ่าน UN Food Systems Summit ที่กำลังจะมีการจัดประชุมเร็วๆนี้ และเล็งเห็นว่าประเด็นการจัดการอาหารโลกที่ยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญระดับโลกเช่นเดียวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ


ดร.วนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงภาพรวมของกระบวนการ UN Food Systems Summit ซึ่งเป็นการประชุมที่เน้นให้ความสำคัญการร่วมมือของทุกภาคส่วนในการร่วมกันจัดการระบบอาหารโลกตลอดห่วงโซ่อุปทานให้เกิดความยั่งยืน โดยเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กฯ เป็นกลุ่มภาคเอกชนที่มีความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจที่ควบคู่กับความยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งจะทำให้เกิดความร่วมมือและข้อเสนอแนะจากประเทศไทยสู่การประชุมระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้กรอบแนวทางการพัฒนาระบบอาหารที่ยั่งยืนทั้ง 5 แนวทางที่จะเป็นแนวทางสร้างเครือข่ายความร่วมมือยกระดับการเติบโตของภาคเกษตร การจัดการระบบอาหารไทยสู่ระบบอาหารโลกให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

ขณะที่ตัวแทนกลุ่มธุรกิจจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยนางสาวอินทิรา พฤกษ์รัตนนภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักพัฒนาและประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมเสวนาใน Action Track 1 :อิ่มถ้วนหน้า ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยและมีประโยชน์ โดยกล่าวว่า เครือซีพีและซีพีออลล์ให้ความสำคัญกับระบบอาหารที่ยั่งยืนทำให้ประชากรเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อช่วยลดอัตราการป่วยจากการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตามยังมีประชากรบางกลุ่มประสบปัญหาทุพโภชนาการ ซึ่งการสร้างสุขภาพและสุขภาวะประชากรที่ดีต่อประชาชนในแต่ละประเทศเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศนั้นๆ ประเทศไทยในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมธุรกิจอาหารและเกษตรในภูมิภาคนี้จึงมีส่วนสำคัญที่จะผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้ประเทศพัฒนา ซึ่งนโยบายของเครือซีพีและซีพีออลล์ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เราร่วมสร้างระบบอาหารโลกที่ยั่งยืนตั้งแต่การสร้างสรรค์สินค้าที่มีโภชนาการที่ดี เข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลาย และสร้างความมั่นคงอาหารให้ประเทศไทย โดยนำนวัตกรรมที่ได้ศึกษามาต่อยอดสร้างอาหารที่ถูกหลักโภชนาการมีความปลอดภัยตลอดจนร่วมสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานด้วยการบริหารจัดการคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

นางสาวศิรภัสสร สกุลวิวรรธน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้ร่วมเสวนาใน Action Track 5: อิ่มทุกเมื่อ เสริมสร้างความมั่นคงเข้มแข็งของระบบอาหาร กล่าวว่า ซีพีเอฟได้ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารมาโดยตลอดตามแนวทางอาหารมั่นคง สังคมมั่นคง ดินน้ำป่าคงอยู่ โดยเฉพาะการสร้างแหล่งอาหารให้ชุมชนที่ดำเนินการมากว่า 30 ปี โดยการสร้างองค์ความรู้ให้ชุมชนมีศักยภาพผลิตอาหารได้ด้วยตัวเอง ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้

นอกจากนี้ยังได้นำองค์ความรู้เข้าสู่ชุมชนเพื่อร่วมพัฒนาระบบอาหารยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ โครงการไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน โครงการอิ่มสุขปลูกอนาคต โดยสร้างองค์ความรู้ให้เยาวชนได้เข้าใจการผลิตอาหารที่ถูกโภชนาการได้ด้วยตัวเอง และร่วมรักษาเสถียรภาพความมั่นคงในระบบห่วงโซ่อุปทาน แบ่งปันและถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกับเกษตรกรรายย่อยโดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันพัฒนาระบบการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ
#3824



อัพเดทข่าว "เยียวยาประกันสังคม" ล่าสุด นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ อนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดและพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นจำนวน 15,027.686 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,522.99 ล้านบาท จากเดิม 13,504.696 ล้านบาท

โดยเพิ่มจากเดิม 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด ซึ่งพื้นที่ 3 จังหวัดที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา พร้อมมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมเร่งประมาณการจำนวนนายจ้างและผู้ประกันนมาตรา 33 กลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะขี้นทะเบียนประกันสังคมรายใหม่ด้วย


โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า กรอบวงเงิน 15,027.686 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินช่วยเหลือให้แก่นายจ้างในระบบประกันสังคมใน 9 ประเภทกิจการ ใน 13 จังหวัดกลุ่มเป้าหมาย 7,238.631 ล้านบาท

และเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 สัญชาติไทยที่เป็นลูกจ้างในกิจการของนายจ้างตามคุณสมบัติ จำนวน 7,789.055 ล้านบาท ซึ่งทั้งนายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยา ยังจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้


ผู้ประกันตน ม.33 ที่ว่างงานจากโควิด จะได้เงินชดเชย 50% ของค่าจ้าง
แจ้งข้อมูลสำหรับผู้ประกันตน ม.33 ที่ว่างงานจากสถานการณ์โรคโควิด–19 ขณะนี้สามารถขอรับสิทธิว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัยฯ ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติต่อ พ.ศ. 2563 ได้ โดยจะได้รับเงินชดเชย 50% ของค่าจ้างรายวัน สูงสุด 90 วัน ซี่งผู้ประกันตนจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1.ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ใน 15 เดือนย้อนหลังก่อนวันที่ว่างงาน
2.ไม่ได้ทำงานเนื่องจากนายจ้างหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของทางราชการ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และผู้ประกันตนไม่ได้รับค่าจ้างระหว่างนั้น
โดยนายจ้างจะต้องแจ้งขอรับสิทธิให้แก่ผู้ประกันตนผ่านระบบ e-service และส่งเอกสาร สปส.2-01/7 พร้อมสำเนาสมุดบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน ไปที่ สนง.ประกันสังคมในพื้นที่ภายใน 3 วันทำการ นับจากวันที่บันทึกข้อมูลในระบบ e-service โดยไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่ สนง.ประกันสังคม
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
#3825



บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เริ่มดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบแผนฟื้นฟูเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2564 หลังจากนั้นผู้บริหารแผน 5 คน ที่ศาลแต่งตั้งได้เข้าทำหน้าที่บริหารการบินไทยให้เป็นไปตามแผนในการใช้หนี้คืนเจ้าหนี้ตามภาระหนี้ที่ยื่นขอรับชำระ 410,140 ล้านบาท รวมแล้วผู้บริหารแผนเข้าไปทำหน้าที่ในการบินไทยแล้ว 1 เดือน เศษ

แหล่งข่าวจากการบินไทย กล่าวว่า หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการแล้วผู้บริหารแผนทั้ง 5 คน คือ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ,นายพรชัย ฐีระเวช ,นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ,นายไกรสร บารมีอวยชัย  และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ได้เริ่มทำงานด้วยการมอบนโยบายให้กับแต่ละหน่วยธุรกิจของการบินไทย โดยนายศิริและนายไกรสร มอบนโยบายให้ฝ่ายช่างมีส่วนร่วมในการหารายได้และขับเคลื่อนให้การบินไทยเป็นสายการบินชั้นนำที่ศักยภาพในการแข่งขันในฐานะสายการบินแห่งชาติ

นอกจากนี้ แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้การบินไทยหาเงินกู้ใหม่วงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยเจรจากับสถาบันการเงินและเจ้าหนี้การบินไทย ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการได้เจรจาแล้วหลายราย เช่น ธนาคารกรุงเทพ โดยจะแบ่งเป็นสินเชื่อใหม่ 25,000 ล้านบาท จากการสนับสนุนจากภาครัฐหรือบุคลใดที่รัฐหรือผู้บริหารแผนร่วมจัดหาในรูปเงินกู้หรือการค้ำประกัน และสินเชื่อใหม่ 25,000 ล้านบาท จากการสนับสนุนจากภาคเอกชน

รวมทั้งในแผนฟื้นฟูกิจการที่ผ่านความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลางได้มีการกำหนดกระแสเงินสดจากการกู้ยืมใหม่ในปี 2564 วงเงิน 35,000 ล้านบาท และในปี 2565 วงเงิน 13,000 ล้านบาท ในขณะที่การชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการจะเริ่มตั้งแต่ปี 2564 ที่วงเงิน 286 ล้านบาท และทยอยเพิ่มขึ้นในปี 2565 วงเงิน 726 ล้านบาท ปี 2566 วงเงิน 17,221 ล้านบาท ปี 2567 วงเงิน 11,643 ล้านบาท ทยอยจ่ายหนี้ไปจนถึงปี 2579 รวมวงเงินที่จ่ายหนี้ 197,085 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากการบินไทย กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยธุรกิจการบินของการบินไทยถือเป็นหน่วยสำคัญในการหารายได้ ในช่วงเวลาที่การบินไทยยังไม่สามารถทำการบินรับส่งผู้โดยสารได้อย่างปกติ โดยหน่วยธุรกิจการบิน มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง 3 ส่วน คือ ครัวการบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน และขนส่งสินค้า ซึ่งคาดว่าตลอดทั้งปีนี้ จะสามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 1 หมื่นล้านบาท

สำหรับนโยบายสำคัญที่ผู้บริหารแผนได้มอบหมายไว้ กำชับให้หน่วยธุรกิจการบินเร่งหารายได้ทุกด้าน เนื่องจากเป็นหน่วยที่ยังสามารถหารายได้อย่างเต็มศักยภาพในปัจจุบันที่แม้โรคโควิด-19 จะยังระบาดทั่วโลก โดยเบื้องต้นฝ่ายครัวการบินได้ลงนามในสัญญากับลูกค้าสายการบินเพื่อบริการอาหาร 2-3 ราย อีกทั้งยังอยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่รองรับผู้บริโภคภาคพื้น ซึ่งมั่นใจว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้ให้กับการบินไทยเพิ่มมากขึ้นได้

ส่วนธุรกิจขนส่งสินค้า ขณะนี้ถือเป็นตัวแปรสำคัญของการเพิ่มรายได้เข้าองค์กร มีลูกค้าใช้บริการเพิ่มขึ้น และยังมีใช้บริการเช่าเหมาลำขนส่งสินค้าด้วย เช่นเดียวกันธุรกิจคลังสินค้าที่ในปัจจุบันยังได้ลงนามสัญญากับลูกค้าเพิ่มอีก 2-3 ราย

"คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีหลังจากนี้ ธุรกิจนอนแอโรว์ของการบินไทย ประกอบด้วย ครัวการบิน ฝ่ายช่าง และขนส่งสินค้า (คาร์โก้) จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้กับองค์กร จากปัจจุบันคิดเป็น 15% ของรายได้รวม จะเพิ่มเป็น 50% ของรายได้รวม" แหล่งข่าว กล่าว

ทั้งนี้ การเร่งเพิ่มรายได้นอนแอโรว์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูการบินไทย ที่มีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากหน่วยธุรกิจที่ยังมีศักยภาพในการสร้างรายได้ให้กับองค์กร เช่น ธุรกิจศูนย์ซ่อมอากาศยาน ครัวการบินและขนส่งสินค้า ซึ่งดำเนินการก่อนจะผลักดันให้มีการแยกจัดตั้งเป็นหน่วยธุรกิจย่อยในลักษณะ Business unit เปิดให้เอกชนรายอื่นเข้ามาร่วมลงทุน และขยายบริการรองรับสายการบินหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีรายได้อย่างยั่งยืนและจะทำให้การบินไทยสามารถก้าวข้ามวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้
#3826



บริษัทตั้งใหม่เดือน มิ.ย. 64 มีจำนวน 6,093 ราย เพิ่มขึ้น 6% ได้ปัจจัยหนุนด้านเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออกเติบโต มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ยังต้องจับตาสถานการณ์โควิด-19 ระบาดที่จะเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจ

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เดือน มิ.ย. 2564 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศจำนวน 6,093 ราย เทียบกับ พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 9% และเทียบกับ มิ.ย. 2563 เพิ่มขึ้น 6% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 20,921.90 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,048 ราย เทียบกับ พ.ค. 2564 เพิ่ม 32% และเทียบกับ มิ.ย. 2563 ลดลง 22% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 3,145.81 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ

สำหรับยอดรวมธุรกิจตั้งใหม่ในช่วง 6 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 41,022 ราย เพิ่มขึ้น 23% ทุนจดทะเบียน 133,208.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.38% ส่วนธุรกิจเลิกกิจการ 4,930 ราย ลดลง 20.83% ทุนจดทะเบียน 30,458.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%

นายทศพลกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ และการลดลงของจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจมีผลมาจากปัจจัยหนุนด้านเศรษฐกิจ เช่น การฟื้นตัวของตัวเลขการส่งออกจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่ทำให้คนมั่นใจกลับมาทำธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพราะยังคงมีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและธุรกิจ และอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทั้งความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจและสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ทั้งนี้ จากการพิจารณาการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปี 2564 พบว่ามีธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์โควิด-19 เช่น ธุรกิจสร้างแม่ข่ายมีจำนวนจัดตั้งใหม่ทั้งสิ้น 262 ราย เพิ่มขึ้น 280% และธุรกิจปลูกพืชประเภทเครื่องเทศ เครื่องหอม ยารักษาโรค และพืชทางเภสัชภัณฑ์มีจำนวนจัดตั้งใหม่ทั้งสิ้น 112 ราย เพิ่มขึ้น 100% รวมถึงนโยบายการผลักดันให้วิสาหกิจชุมชนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของภาครัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย

ปัจจุบันมีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 จำนวน 803,794 ราย มูลค่าทุน 19.59 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 196,631 ราย คิดเป็น 24.46% บริษัทจำกัด จำนวน 605,864 ราย คิดเป็น 73.38% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,299 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
#3827


"ทานตะวันสีเพลิง" ละครโรแมนติกครบรสของค่ายปภัสราโปรดักชั่น ที่ผู้จัดฯ คนเก่ง กบ-ปภัสรา เตชะไพบูลย์ คัดสรรและเจียระไนให้ละครเรื่องนี้สนุกสนาน ครบรส และยังสะท้อนถึงปัญหาสังคมครอบครัวได้เป็นอย่างดี!!!


นอกจากนำเสนอในเรื่องปัญหาครอบครัวแล้ว ยังนำเสนอเรื่องราวของความอิจฉาริษยา การเลือกทางเดินผิดผ่านตัวละคร ดวงแก้ว (อิงฟ้า เกตุคำ) ลูกสาว ป้าศรี (ปนัดดา โกมารทัต) แม่ครัวของรีสอร์ตทานตะวัน ที่อิจฉาเจ้าของรีสอร์ตอย่าง ทานตะวัน (ชิงชิง คริษฐา) อยากมีชีวิตเทียบเท่าจนไม่คิดถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง "ฆ่า" ผู้มีพระคุณ!!!


แต่ชีวิตไม่เป็นดังหวัง ด้วยความรักและความหึงหวง ทำให้ ดวงแก้ว ต้องถูกทำร้ายจาก ทัพไท (บิ๊ก กฤษฏา) ผู้ชายที่เธอคิดว่าจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอดีขึ้น แต่เธอกลับเป็นได้แค่เพียง "แต้มหนึ่ง" ของเขาเท่านั้น


เรื่องราวดำเนินตอนที่ ดวงแก้ว แกล้งทำอาหารหกใส่ สายขวัญ (สกาย มาเรีย) และ สายขวัญ รู้ความจริงว่า ดวงแก้ว เป็นผู้หญิงของ ทัพไท (บิ๊ก กฤษฏา) ด้วยเหตุนี้ ทัพไท จึงทำร้าย ดวงแก้ว อย่างหนัก เพราะทำให้ผู้หญิงที่ตนหมายปองต้องหลุดมือไป


ฉากนี้ทีมงานใช้โลเกชั่น "วู้ดแลนด์เมืองไม้" จ.นครปฐม เป็นสถานที่ถ่ายทำ โดยเซ็ทฉากที่ ทัพไท จิกหัว ดวงแก้ว มาที่หน้าห้อง และต่อว่าที่ทำให้ สายขวัญ หลุดมือ โดยมี ป้าศรี เดินตามมาจะช่วยลูก พร้อมด้วย สิงห์ (จุ๊บ อิทธิกร) และ เดือน (ปิยา พงศ์กุลภา) ผู้หญิงอีกคนของทัพไท แล้ว ทัพไท ก็พา ดวงแก้ว เข้าไปซ้อมในห้องอย่างโหดเหี้ยม


ผู้กำกับฯ จารึก สงวนพงศ์ ขอซ้อมคิวนักแสดงและคิวกล้องไปพร้อมๆ กัน หลังจากต่อบทกันเสร็จเรียบร้อย พอทุกอย่างพร้อม กล้องก็แพลนภาพแรกมาที่ หนุ่มบิ๊ก กำลังจิกหัวลาก อิงฟ้า มาหน้าห้อง จากนั้นนักแสดงก็ต่อไดอะล็อกกันไป จนถึง หนุ่มบิ๊ก พา อิงฟ้า เข้าห้อง และส่งเสียงประหนึ่งว่ากำลังทำร้าย ส่วน อิงฟ้า ก็ร้องด้วยอาการของคนที่กำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส โดยจบภาพที่ อิงฟ้า ที่บอบช้ำ เลือดกบปาก อยู่ในอ้อมกอดแม่ของเธอ!!!

ติดตามชมฉากนี้ได้ในละคร "ทานตะวันสีเพลิง" วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 และทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 18.45 น. และรีรันหลังเที่ยงคืน ทางช่อง 7HD กด 35 หรือรับชมย้อนหลังได้ทาง BUGABOO.TV
#3828
เพนดูลั่มลูกดิ่งพลังจิต พร้อมคู่มือ 399 บาท

ประโยชน์ของเพนดูลั่ม
ใช้สื่อสารกับเทพ เทวดาและถามในสิ่งที่เราไม่รู้ ใช้สำหรับตรวจประเมินสุขภาพ ใช้เลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเรา ตรวจฮวงจุ้ย ตรวจเช็คพลัง วัตถุมงคล ตรวจหาของหาย ใช้ทำน้ำมนต์ ใช้ดึงพลังเข้าตัว
การตรวจเช็คพุทธคุณ พลังจากพระเครื่อง วัตถุมงคล ของทนสิทธิ์ ต่าง ๆ
โดยปกติจะทำได้เฉพาะผู้ทรงญาณสมาบัติ แต่วิธีง่าย ๆ โดยผู้ที่มีสมาธิเ้พียงขณิกสมาธิ (แนะนำให้ได้ถึงอุปจารสมาธิ) ก็สามารถทำได้ โดยการใช้เพนดูลั่มเป็นตัวตรวจเช็ค ซึ่งจะมีความถุูกต้องประมาณ 80-90 % โดยผู้ที่ตรวจจะต้อง
1. วางอุเบกขา ให้ได้ ไม่คิดไปก่อน หรือบังคับให้เพนดูลั่ม ทำตามสิ่งที่คิด
2. ต้องมีพื้นฐานความรู้เรื่องวัตถุมงคล เล็กน้อย เช่น รู้ว่า พระเครื่อง วัตถุมงคล จะมีความเด่น ด้านใดบ้าง ซึ่งก็จะมี เด่นด้าน
- เมตตามหานิยม คนรักคนชอบ เข้าหาลูกค้า เข้าหาเจ้านาย
- แคล้วคลาดปลอดภัย
- คงกระพันชาตรี
- มหาอุต ปืนแตก
- มหาลาภ เกี่ยวกับด้านโชค ลาภ
- ป้องกันคุณไสย
- กันสะท้อน คือป้องกันคุณไสย แล้วยังสะท้อนกลับไปยังผู้ที่ปล่อยคุณไสยนั้น โดยแรงสะท้อนกลับก็จะขึ้นกับผู้ที่ใส่วัตถุมงคลนั้น ๆ เช่น ผู้ที่ทรงศีลบริสุทธิ์แรงสะท้อนก็จะมากกว่ากว่าคนที่ศีลขาด คนที่มีศีล 8 ก็จะมากกว่า คนมีศีล 5 ....
- ทำน้ำมนต์ คือวัตถุมงคลนั้น ๆ สามารถนำไปทำน้ำมนต์รักษาโรค ได้
- อื่น ๆ
สำหรับวิธีการใช้เพนดูลั่มในการตรวจเช็ควัตถุมงคล
1. นำวัตถุมงคล พระเครื่อง เครื่องราง ของทนสิทธิ์ นั้น ๆ วาง ไว้บนพื้นโต๊ะ หรือบนภาชนะที่สูงกว่าพื้นธรรมดา หากอาจใช้หนังสือ ผ้ามารองก่อนว่า เพื่อมิให้เป็นการปรามาส
2. ขอขมาพระรัตนตรัย ก่อน เพื่อบอกกล่าว ว่าการตรวจเช็คนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะปรามาส แต่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจว่าวัตถุมงคลชิ้นนี้ได้ผ่านการปลุกเสก หรือพุทธาภิเศก มาแล้ว (วิธีการนี้ก็จะสามารถตรวจดูพระปลอม ที่เขาทำปลอม หรือทำเกินจำนวนแล้วไม่ได้เข้าพิธี แต่ก็มีบางกรณีที่มวลสารในการสร้างพระเป็นมวลสารที่มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ในกรณีนี้ก็ต้องยิ่งคำถามที่แตกประเด็นออกไป)
3. ใช้เพนดูลั่ม จ่อเหนือวัตถุมงคลนั้น ๆ ให้ห่างจากวัตถุมงคลประมาณ 1 น้ิว เป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันการกระทบด้วยแรงแหว่งซึ่งมาจากวัตถุมงคลนั้น ๆ
4. ดูทิศทางของแรงแหว่งที่ออกมาจากวัตถุมงคลนั้น ๆ ว่าไปตามทิศทางใดบาง ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์ โดยทั่วไปถ้าพุทธคุณรอบด้าน จะทำให้เพนดูลั่มหมุนเป็นวงกลม ถ้าแรงแหว่งมีมากก็แสดงว่ามีพุทธคุณมากตาม บางองค์ แทบจะทำให้เพนดูลั่มหลุ่ดจากมือ
5. ตั้งคำถาม ถามเพนดูลั่ม ไปที่ละข้อ ตามความเด่นของวัตถุมงคล เช่น พระองค์นี้เด่นด้านมหาลาภ ด้านคงกระพันชาตรี ... ไปเรื่อย ๆ จนครบ แล้วก็จะทราบว่าพระองค์นี้เด่นด้าน....ครบทุกด้านหรือไม่
การใช้เพนดูลั่มตรวจพลังนี้สามารถตรวจพลังของหิน ได้ จึงเป็นที่นิยมของนักสะสมหิน จะมีเพนดูลั่มในการตรวจพลังหินไว้ติดตัว

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662
id line : teerapat999

ลาซาด้า
https://www.lazada.co.th/.../-i1134792176-s2626624357...
#3829
WFH หมูๆ ด้วย Zoom app downloadใครหลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับการเรียน หรือ การทำงานแบบ work from home กันอยู่ช่วงนี้นะครับ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โปรแกรมสุดเป็นที่นิยมระดับโลกนั่นก็คือ โปรแกรม ZOOM ซึ่งผมคิดว่า ไม่ต้องปริปากกันเยอะสำหรับโปรแกรมนี้ ที่มันจำเป็นจริงๆ
โดยปรกติ เราน่าจะสนิทสนมกับการใช้โปรแกรมนี้ผ่านคอมพิวเตอร์ สำหรับเรียน หรือ ทำงานกันบ้างแล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเกี่ยวกับการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือเท่าใดนัก เนื่องจากว่า มันอาจไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ สำหรับงานดังกล่าว
แต่ก็มีการใช้งานบ่อยอยู่ครับ เนื่องจากบางทีเป็นการประชุมเร่งด่วนขณะอยู่บนรถ หรือ ขณะไป ซึ่งในอุปกรณ์มือถือ
จะต้องไปที่ Zoom app download ซึ่งมีอยู่ได้ทั้ง 2 ระบบ คือ IOS และ Andriod ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรี แต่อาจมีข้อจำกัด หากต้องการสร้างห้องประชุมเอง จะรองรับคนไม่เกิน 100 คน และ ไม่เกิน 40 นาทีเท่านั้น ซึ่งอาจต้องซื้อ Licensed เพื่อปลดล็อคเรื่องเหล่านี้ ซึ่งผมมองว่า มันคุ้มมากเพราะในปัจจุบันยังไงเราก็ต้องใช้งานอยู่แล้ว

 โดยเข้าไปที่ App Stor หรือ Google play พิมพ์ค้นหาชื่อแอปว่า Zoom meeting แล้วดาวน์โหลดได้เลยครับหรือ จะเข้าไปดาวน์โหลดที่ลิงค์ของตัวแทนจำหน่ายก็ได้ เพื่อจะได้สอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ได้ ตามลิงค์ที่ผมแนบได้เลยครับ  (Zoom app download)



























  >> ดาวน์โหลดทีนี่Tag : Zoom  / Zoom app download
#3830

"เลอ ปารีเซียง" สื่อดังในประเทศฝรั่งเศส รายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตกลงเรื่องค่าตัวของ ราฟาแอล วาราน กับ รีล มาดริด ต้นสังกัดของนักเตะในศึกลา ลีกา ได้เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 38.5 ล้านปอนด์ และคาดว่าน่าจะมีการเปิดตัวดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้

สื่อดังแดนน้ำหอม รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในของสโมสรดังแดนผู้ดี โดยระบุว่าการเจรจาเรื่องค่าตัวของ วาราน ระหว่าง "ผีแดง" กับ "ราชันชุดขาว" รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรลุข้อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้วที่ 38.5 ล้านปอนด์ ขณะที่เรื่องสัญญาส่วนตัวนั้น มีข่าวว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ตกลงกับกองหลังทีมชาติฝรั่งเศสได้ก่อนหน้านี้แล้ว และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปิดตัวเซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัย 28 ปีเป็นนักเตะใหม่ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ภายในช่วงสัปดาห์นี้
#3831


ผลการศึกษาจากฮังการีที่ยังไม่ได้รับการรีวิวจากเพื่อนร่วมวงการ ระบุว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของซิโนฟาร์มมีประสิทธิภาพน้อยในการปกป้องผู้สูงวัย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน การศึกษาตัวอย่างเลือดจากประชาชน 450 คนในฮังการีที่ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์มเข็มที่ 2 มาแล้วอย่างน้อยสองสัปดาห์พบว่า 90% ของผู้ที่อายุต่ำกว่า 50 ปี มีแอนติบอดีที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นระดับภูมิคุ้มกันลดลง

ประมาณการความน่าจะเป็นที่ภูมิคุ้มกันไม่ตอบสนองในกลุ่มอายุ 60 ปีอยู่ที่ราว 25% และราว 50% ในกลุ่มอายุ 80 ปีผู้สูงวัยหลายคนไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ เท่ากับว่าควรมีมาตรการป้องกันโควิด-19ระบาดในคนกลุ่มนี้


อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาชิ้นนี้ถูกเผยแพร่บนออนไลน์เมื่อไม่กี่วันก่อน และยังไม่ได้เปิดให้เพื่อนร่วมวงการได้ทบทวน อีกทั้งนักวิจัยยังเตือนว่าการประมาณการที่เชื่อถือได้ถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างความเสี่ยงติดโควิด-19 การเข้าโรงพยาบาลหรือการเสียชีิวิตกับระดับแอนติบอดีหลังฉีดวัคซีนนั้นทำได้ยากมาก

ขณะที่งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ชี้ว่า วัคซีนซิโนฟาร์มสร้างภูมิคุ้มกันสายพันธุ์เดลตาได้น้อยลง

ด้านซิโนฟาร์ม หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการว่า ไชนาเนชันแนลฟาร์มาซูติคอลกรุ๊ป ไม่ได้ให้ความเห็นกับรอยเตอร์

ทั้งนี้ วัคซีนสองโดสของซิโนฟาร์มเป็นอีกตัวหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายในจีน บริษัทเห็นชอบจัดหาวัคซีน 170 ล้านโดสให้โครงการโคแวกซ์ไปจนถึงกลางปี 2565
#3832


จากยอดผู้ป่วยรายใหม่ในกทม.และปริมณฑล พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เตียง ไอซียูในโรงพยาบาลต่างๆ ไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วยได้ 'การนำผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลับภูมิลำเนา' จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการของภาครัฐที่ได้ดำเนินการขึ้น เพื่อจัดส่ง ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในกลุ่มที่สามารถเดินทางได้ กลับไปดูแล รักษาใน 'ภูมิลำเนา' ของตนเอง 

นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าด้วยความเป็นห่วงจากรัฐบาล ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)วางแผนนำผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลับภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อระหว่างทาง เพราะหลายๆ ท่านอาจไม่มีรถส่วนตัว

การไปรถสาธารณะอาจจะไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้ จึงได้มอบหมายให้ช่วยสร้างระบบที่จะดูแลในเรื่องนี้ ภายใต้การประสานงานร่วมกันระหว่าง (สธ.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงคมนาคม  กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่นๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วทในการดูแลครั้งนี้

'ผู้ป่วยโควิด' เดินทางกลับ 'ภูมิลำเนา' แล้ว 3 หมื่นกว่าราย
จากประชากรในกทม.มีประมาณ 8 ล้านกว่าคน แบ่งเป็น ประชาชนกรที่มาจากภูมิภาคอื่นๆ ประมาณ 2.41 ล้านคน และกทม. 5.59 ล้านคน ซึ่งอัตราการย้ายถิ่นของประชากร สู่กทม. พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 43.6% ภาคกลาง 25.5% ภาคเหนือ 19.9% และภาคใต้ 5.4% ซึ่งจากอัตราการย้ายถิ่นส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น กลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่มีการเดินทางกลับภูมิลำเนามากสุด

ข้อมูลผู้ลงทะเบียนขอเดินทาง กลับภูมิลำเนา เดือนก.ค.ผ่านระบบ ศบค. พบว่า มีทั้งหมด  504,241 ราย แบ่งเป็นวันที่ 19 ก.ค. จำนวน 63,512 ราย วันที่ 20 ก.ค.จำนวน 191,535 ราย วันที่ 21 ก.ค.จำนวน 150,410 ราย และวันที่ 22 ก.ค. จำนวน  98,784 ราย ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ได้มีการออกเดินทางกลับภูมิลำเนาไปเองแล้ว และคาดว่าในจำนวนนี้จะมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ร่วมเดินทางไปด้วย ฉะนั้น นโยบายนี้เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ให้เดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย และหากติดเชื้อจะได้รับการรักษาอย่างเร็ว


ทั้งนี้ การส่งผู้ป่วยโควิด กลับภูมิลำเนาช่วงการระบาดระลอกใหม่ มีจำนวน ผู้ป่วยโควิด เดินทางจาก กทม.และปริมณฑล ทั้งสิ้น  31,175 ราย เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว 70.37% ผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง 21.93% และผู้ป่วยกลุ่มสีแดง 7.7%

โดยวิธีการเดินทางกลับของผู้ป่วย จะเดินทางกลับด้วยตนเองและระบบขนส่งสาธารณะ มีการประสานผ่านศูนย์ร้องทุกข์ของหน่วยงานต่างๆ อาทิ ทบ.และมท. ประสานผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด/สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประสานผ่านระบบ สปสช. สธ. และสพฉ.

สำหรับแนวทางการประสานงาน การส่งต่อ ผู้ป่วยโควิด กลับภูมิลำเนานั้น สามารถประสานได้ ดังนี้

-ประสานไปที่ สปสช. โทร 1330 กด 15  หรือผู้ป่วยติดต่อผ่านศูนย์ COVID -19 จังหวัด/รพ.ปลายทาง ซึ่งจะลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น

-หลังจากนั้น สปสช.จะส่งข้อมูลไปยังทางกระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขจังหวัด ทำหน้าที่ประสานรับส่งตัว ไปยังจังหวัดปลายทาง

-โดยจะมีทาง สพฉ. ประสานว่าจะมีการเดินทางโดยใช้นำรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน

-จะมีเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ทำหน้าที่ประเมินอาการก่อนเดินทาง จัดรถรับส่งถึงปลายทาง และแจ้งข้อมูลกลับไปยังสปสช.

-หลังจากนั้นไปส่งยังจังหวัดปลายทาง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้ดูแล 


โดยการติดต่อประสาน คาดว่าไม่เกิน 3 วันก็จะเดินทางไปถึง ซึ่งระหว่างที่รอ ผู้ป่วยโควิด  ต้องปฎิบัติต้นตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นผู้ติดเชื้อ ระวังตัวเอง ไม่นำไปสู่การแพร่ะรบาด แต่ถ้ามีอาการหนักขึ้นให้ประสานไปที่ 1330 หรือ 1668 ทันที 

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า
ปัจจุบันในพื้นที่กทม.และปริมณฑลมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว จึงมีความจำเป็นที่ต้องเก็บเตียงให้ผู้ป่วยอาการหนัก กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง และสีแดง 

ดังนั้น ผู้ป่วยสีเขียวจะมีมาตรการต่างๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์พักคอย Home Isolation หรือ Community Isolation  การส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา เป้นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ให้ผู้ป่วยได้กลับไปดูแลกับพื้นที่ปลายทาง

ปัจจุบัน ประชาชนจะสามารถเข้าทางเว็บไซต์ https://crmdci.nhso.go.th/ ของสปสช.หรือ สแกนQR code เพื่อลงทะเบียนเลือกจังหวัดปลายทาง และวันที่พร้อมเดินทาง  อีกทั้ง สามารถโทรสายด่วน 1330 กด 15 มีเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ และลงทะเบียนให้ ซึ่งอยากให้ทุกคนมั่นใจวิธีการที่ดำเนินการ เพราะเป็นระบบที่มีมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยแก่ทุกคน
#3833


ร้านอาหารเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อย่างหนักหนาสาหัส แม้เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตมากเพียงใดก็ตาม

หากอยากทราบว่าครึ่งปีที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ใหญ่ๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง เอาตัวรอดกันด้วยกระบวนท่าไหน เจ้าหนึ่งที่น่าพูดคุยก็คือ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ 'ไมเนอร์ ฟู้ด' ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารทั้งคาวและหวานที่คนไทยคุ้นเคยและผูกพันหลายแบรนด์ ทั้ง The Pizza Company, Sizzler, Burger King, Swensen's, Dairy Queen, Bonchon, The Coffee Club และ Benihana ซึ่งรวมๆ แล้วแบรนด์เหล่านี้มีร้านในเมืองไทยเกือบ 1,600 สาขา และในต่างประเทศอีกเกือบ 800 สาขา


ปี 2563 โควิด-19 เล่นงานชาวโลกตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี นับเป็นปีที่ยากลำบากมากๆ ปีหนึ่งของธุรกิจร้านอาหาร แต่ไมเนอร์ ฟู้ด เป็นบริษัทที่โดดเด่น และทำผลงานได้ดี สามารถทำกำไรสุทธิได้ 1,500 ล้านบาท

สำหรับปี 2564 นี้ สถานการณ์ยากขึ้น แต่ไมเนอร์ ฟู้ด ทำยอดขายในไตรมาสแรกได้ 5,123 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 160 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าไตรมาส 1 ของปีที่แล้วที่ขาดทุน 97 ล้านบาท ส่วนไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นระลอกที่หนักที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาดขึ้นในประเทศไทย ยังไม่ทราบว่าตัวเลขจะออกมาเป็นอย่างไร

ไทยรัฐออนไลน์ชวน ประพัฒน์ เสียงจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มาพูดคุย ถาม-ตอบ รีวิวครึ่งแรกของปี 2564 ว่ายากลำบากขนาดไหนสำหรับธุรกิจอาหาร ไมเนอร์ ฟู้ด สู้ด้วยอาวุธอะไร ผ่านมาในสภาพแบบไหน และชวนมองไปยังครึ่งปีที่เหลือว่าพอจะมองเห็นแสงสว่างหรือไม่ อย่างไร จะเดินต่อด้วยท่าทีและกลยุทธ์แบบไหน

ปี 2564 ครึ่งปีแรกของไมเนอร์ ฟู้ด เป็นอย่างไร
เป็นครึ่งปีที่เร็วที่สุดในชีวิต ผ่านไปครึ่งปีอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีเวลาหยุดคิดเลย เสร็จเรื่องนี้ต่อเรื่องนี้ เรื่องนี้จบต่อเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ผลประกอบการครึ่งปีแรก ถือว่าเป็นผลประกอบการที่เซอร์ไพรส์มาก เพราะว่าเราไม่ได้แพลน และไม่ได้เตรียมงบประมาณไว้ว่าจะมีการระบาดระลอกที่ 3 เราจัดทำงบประมาณของปี 2564 โดยคิดว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงสิ้นปี 2564 ทุกอย่างควรจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่มันไม่เป็นไปตามนั้น เนื่องจากเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ทำให้ผลประกอบการชะงักไปนิดหนึ่ง บางแบรนด์ทำยอดขายไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ที่อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวคือ Burker King กับ The Coffee Club ยังไม่เปิดร้านประมาณ 30 กว่าสาขา

ใกล้จะหมดไตรมาสที่ 2 แล้ว พอจะเล่าได้ไหมว่าไตรมาสที่ 2 เป็นอย่างไร
ภาพรวมดีขึ้นพร้อมกับยังติดลบอยู่ เพราะว่าในเดือนเดียวกันของปีที่แล้วเคสการติดเชื้อต่ำแล้ว เรานั่งทานในร้านได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในตอนนี้เรายังมีผู้ติดเชื้อวันละ 3,000 คน เรายังต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคม ความรู้สึกคนถ้าเห็นคนในร้านเยอะก็ยังไม่อยากเข้า กฎนั่งได้ 25 เปอร์เซ็นต์ยังไม่ถูกคลายล็อก บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมภาพรวมยังไม่ดีขึ้นเท่าไร

ปีที่แล้วก็เจอโควิด-19 ไมเนอร์ ฟู้ด ทำอย่างไรให้ยังมีกำไร
ปีที่แล้วไมเนอร์ ฟู้ด น่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหารบริษัทเดียวที่ perform ดี เพราะว่าเรามีช่องทางการจำหน่ายอาหารที่หลากหลาย เรามี 1.ไดน์อิน (Dine in) นั่งทานในร้าน 2.เดลิเวอรี่ (Delivery) บริการจัดส่ง ซึ่งเรามีแบรนด์ 1112 ของเราเอง และมีช่องทางของพาร์ตเนอร์ 3.เทกอะเวย์ (Take away) อาหารของไมเนอร์ ฟู้ด หลายหลายอย่างซื้อกลับไปกินที่บ้านได้ 4.ไดรฟ์ทรู (Drive through) ของ Burger King ช่องทางการจำหน่ายของเราไม่ได้ยึดติดกับตัวใดตัวหนึ่ง เมื่อมีปัญหานั่งกินในร้านไม่ได้ เราก็ไปขายอีก 3 ช่องทาง เราโชคดีที่วางช่องทางการจำหน่ายไว้หลากหลายและแข็งแกร่งทุกช่องทาง นั่นคือความต่างเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ก็เลยทำให้ปีที่แล้วผลประกอบการออกมาดีกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่



สถานการณ์ปีที่แล้วกับปีนี้มีความเหมือน และความต่างอย่างไร สามารถเอากลยุทธ์ที่ใช้ปีที่แล้วมาใช้กับปีนี้ได้ไหม มากน้อยอย่างไร
ใช้ได้ แต่ผลลัพธ์ไม่เท่าเดิม เรายังโฟกัสที่เดลิเวอรี่เหมือนเดิม แต่ปีที่แล้วเราให้โปรโมชั่นได้มาก ปีนี้เราก็ต้องผ่อนๆ ลง เพราะเราจะต้องดูแลเรื่องกำไรมากขึ้นด้วย การให้โปรโมชั่นมากเกินไปก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป เพราะทำให้ยอดขายโดยรวมไม่กลับมา

ตอบคำถามก็คือปีนี้กับปีที่แล้วทำคล้ายๆ กัน แต่ต้องหาวิธีการสื่อสารหลายช่องทางมากขึ้น ที่ว่าคล้ายๆ คือเราโฟกัสที่เดลิเวอรี่คล้ายๆ เดิม ปีนี้บริการ 1112 ของเราโตขึ้นมาก ปีที่แล้วเดือนพฤษภาคม 1112 ทำยอดขายได้ 59 ล้านบาท พฤษภาคมปีนี้ยอดขายเพิ่มเป็น 81 ล้านบาท เราโชคดีที่มี 1112 Delivery ของเราเอง แบรนด์อื่นๆ อาจจะต้องพึ่งพา Grab, foodpanda ซึ่งถ้าไปสัมภาษณ์เจ้าอื่นๆ ก็จะรู้ว่าขายดีไม่ได้แปลว่าได้กำไรดีนะ ถ้าพึ่งพาแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่มากๆ เพราะค่าจีพีมโหฬาร นี่คือความต่างของเรา ซึ่งความต่างนี้ไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่มาจากการที่เราใส่โปรโมชั่นเข้าไปเยอะพอสมควร

เดลิเวอรี่คือความต่างที่สุดของเรา ปีนี้เราใช้ทรัพยากรไปที่เดลิเวอรี่เยอะขึ้น ความต่างเรื่องที่ 2 คือเรื่องการลงทุน เราตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่างลง เรารู้ว่าการเปิดร้านไม่ได้แปลว่าจะมีคนเข้ามากเหมือนเมื่อก่อน ฉะนั้นการลดขนาดพื้นที่ร้านสัก 20 เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายในการสร้างร้านก็อาจจะลด 30 เปอร์เซ็นต์ นี่เป็นกลยุทธ์ที่จะผลักดันทุกแบรนด์ว่าจะต้องไม่ทำร้านใหญ่ๆ แล้ว ความต่างข้อที่ 3 คือบุคลากรหนึ่งคนจะต้องทำงานหลายงานมากขึ้น เราเพิ่มทักษะให้พนักงานสามารถดูแลงานได้มากขึ้น นี่คือความต่างที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาของไมเนอร์ ฟู้ด

เทียบสถานการณ์ปกติกับในช่วงโควิด-19 สัดส่วนช่องทางการขายเปลี่ยนเยอะไหม อย่างไรบ้าง
เปลี่ยนเยอะมากๆ ช่องทางเดลิเวอรี่เป็นฮีโร่ไปแล้ว แต่ถ้านั่งในร้านได้ไดน์อินก็จะกลับมาเป็นฮีโร่ ถ้าสถานการณ์ปกติยอดขายไดน์อินเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเดลิเวอรี่บวกเทกอะเวย์บวกไดรฟ์ทรูเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ไดน์อินตกลงมาเหลือน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ฝั่งเดลิเวอรี่, เทกอะเวย์ และไดรฟ์ทรู ขึ้นมาเป็น 80 เปอร์เซ็นต์

สัดส่วนการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่เจ้าอื่นกับ 1112 บริการเองเป็นอย่างไร
พาร์ตเนอร์เรายังมีอัตราส่วนยอดขายค่อนข้างสูง และเรามีหลายเจ้าที่เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีและน่ารักกับเราอยู่ สัดส่วนเป็น 1112 เองสัก 25-30 เปอร์เซ็นต์ ปีที่แล้วมี 5 เปอร์เซ็นต์เอง ตอนนี้หลายๆ แบรนด์ก็กำลังพยายามที่จะโต



ครึ่งปีหลังจะโฟกัสอะไร
เรารอการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากๆ ที่นายกฯ ประกาศว่าอีก 120 วันจะเปิดประเทศ เป็นข่าวดีมากๆ ไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่จริง แต่รู้สึกว่าเป็นวิชั่นที่ดี พอมีกำหนดคนก็เริ่มรู้สึกมีเป้าหมาย 120 วันจะเป็น game changer วิธีคิดของพวกเรา และอีกอย่างหนึ่งที่เรารอก็คือเราอยากให้พนักงานของเราได้ฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดครับ

ระหว่างมีกับไม่มีกำหนดเปิดประเทศ กลยุทธ์ที่เตรียมไว้ต่างกันอย่างไรบ้าง
ต่างกัน เพราะว่าตอนนี้เรามุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแพ็กเกจจิ้งเพื่อจัดส่งเดลิเวอรี่ให้ได้ แต่ถ้าจะเปิดประเทศเราต้องไปดูเรื่องการพัฒนาโปรดักต์สำหรับคนต่างชาติ ร้าน 80 กว่าสาขาในสนามบินที่ปิดอยู่ในตอนนี้ก็จะกลับมาเปิด ซึ่งร้านในสนามบินมีโจทย์ที่ต่างจากร้านข้างนอก เพราะลูกค้าเร่งรีบ เมนูอาหารก็ต้องสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

ในตอนที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะเปิดหรือไม่เปิด เราก็ต้องบาลานซ์ทั้ง 2 ทาง ถึงแม้จะยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าเปิดจริงหรือไม่จริง เราก็ต้องเตรียมไว้ตั้งแต่วันนี้ แต่ต้องเตรียมแบบระวัง ไม่ได้เตรียมแบบมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เราคงไม่ลงทุนอะไรมากมาย

ครึ่งปีที่ผ่านมาแบรนด์ไหนทำยอดขายดี-เป็นฮีโร่
ก็ยังเป็นแบรนด์ใหญ่ของเรา The Pizza Company ส่วน Bonchon มีการขยายสาขาหลายสาขา และที่ดีในช่วงโควิด-19 ตลอดก็คือ Burger King เพราะมีช่องทางไดรฟ์ทรูที่แข็งแรง และมีเดลิเวอรี่ที่ค่อนข้างแข็งแรง ยอดขายไดน์อินที่หายไปก็เลยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายรวมมากนัก

การขยายสาขาในช่วงโควิด-19 พิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งอย่างไรว่าจะเข้าไปอยู่ตรงไหน
ถ้าในช่วงโควิด-19 ก็เป็นการมองระยะสั้น และคิดว่าการมองระยะสั้นนั้นอาจจะทำให้มันโตอย่างต่อเนื่องก็ได้ โดยที่เราดูว่าพื้นที่ตรงนั้นมีที่อยู่อาศัยหรือเปล่า ต้องดูว่าเดลิเวอรี่สามารถอยู่ตรงนี้ได้ด้วยหรือเปล่า ถ้าจะไปตั้งอยู่ใกล้ทะเล รอบๆ มีแต่นักท่องเที่ยว ไม่ได้เป็นย่านที่อยู่อาศัย ก็ต้องหยุดก่อนจนกว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาปกติ

ทั้งภาพรวมตลาดธุรกิจอาหารครึ่งปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
ไม่รู้เลยว่าแบรนด์อื่น-บริษัทอื่นเป็นอย่างไร แต่เท่าที่คุยกับเพื่อนที่ทำธุรกิจอาหารไม่มีแบรนด์ไหนดี ช่วงระลอกที่ 3 หนักกว่ารอบที่ 1 กับ 2 เพราะมันกินเวลานาน เกือบ 3 เดือนแล้วที่ยอดขายของเราค่อนข้างหนัก แต่ต้องถือว่าเป็นความโชคดีของเราคือ ไมเนอร์ ฟู้ด มีธุรกิจในประเทศอื่น ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ด ที่ไทยกำลังยากลำบาก ไมเนอร์ ฟู้ด ที่จีนกำลังทำยอดขายดีมาก โตขึ้นมาเป็น 3-4 เท่าจากเดิม เพราะตอนนี้จีนกลับมาปกติแล้ว ออสเตรเลียก็เกือบปกติแล้ว ยอดขายจากจีนและออสเตรเลียก็เลยมาช่วยไทย กลับกันกับเมื่อปีที่แล้วยอดขายในไทยช่วยยอดขายประเทศอื่นทั้งโลกเลย แต่อัตราส่วนยอดขายในไทยเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ของไมเนอร์ ฟู้ด เพราะฉะนั้นเวลาเราแย่มันก็แย่หนัก


สามารถเรียนรู้จากต่างประเทศมาปรับใช้ได้ไหม มากน้อยแค่ไหน หรือว่าสถานการณ์ต่างกันมากจนไม่สามารถปรับใช้ได้
เรื่องโรคระบาดเราใช้ประเทศจีนเป็นต้นแบบ ช่วยให้เรารู้ว่าเฟส 1 ของการระบาดเป็นอย่างไร เฟส 2 ต้องเตรียมคนอย่างไร เฟส 3 ทำอย่างไร เราใช้โมเดลของจีนมาปรับใช้ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้คุยกันว่าแต่ละประเทศควรจะทำตามกันหรือเปล่า เราบริหารค่อนข้างเอกเทศ ไม่ได้ใช้โมเดลเดียวกันมากมาย

สิ่งที่ยากที่สุดของไมเนอร์ ฟู้ด ในสถานการณ์โควิด-19 คือการไม่มีนักท่องเที่ยว หรืออะไร
การไม่มีนักท่องเที่ยวไม่เท่าไร เรื่องแรกคือเราอยากได้ความมั่นใจว่าเราจะได้รับวัคซีนครบเมื่อไหร่ ถึงแม้ต่างชาติยังไม่เข้ามา แต่เราจบในประเทศเราให้ได้ก่อน พอเรื่องนี้ผ่านไปแล้วจะเปิดประเทศให้ต่างชาติกลับเข้ามา ก็เป็นสัญญาณที่น่าจะสดใส

คาดหวังว่าการเปิดประเทศตามที่นายกฯ บอกจะส่งผลต่อผลประกอบการปีนี้มากแค่ไหน
อีก 120 วันก็เกือบหมดปีพอดี คิดว่าคงเป็นไปตามเป้า แต่อาจจะไม่ได้บรรลุสิ่งที่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะถ้าจะบรรลุเป้าหมายหลักคือเราควรจะเปิดประเทศตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป แต่ท่านนายกฯบอกว่าอีก 4 เดือน ถ้านับไปก็เปิดประเทศเดือนพฤศจิกายน ปีนี้เราก็จะได้ยอดขาย 2 เดือน แต่ความสดใสที่เห็นชัดเจนก็คือปีหน้า

ตั้งเป้ารายได้และกำไรปีนี้ไว้เท่าไร
กำไรก็ยังมั่นใจว่าส่งได้ตามที่ตั้งเอาไว้แน่นอน เป็นตัวเลขที่เราคอมมิทกับบอร์ดบริหารไว้แล้วว่าจะส่งเท่าไรก็คงจะต้องส่งเท่านั้น ส่วนยอดขายอาจจะยากนิดหนึ่ง ก็ต้องมาลดค่าใช้จ่าย ต้องเข้มงวดมากขึ้น ที่อยากได้ที่สุดก็คือเรื่องการลดค่าเช่า เพราะว่าเป็นค่าใช้จ่ายหลักอันหนึ่งของเรา ซึ่งเราก็เจรจาตลอด ยอมรับว่าแลนด์ลอร์ดก็น่ารักกับไมเนอร์ ฟู้ด ช่วยเหลือกันดีมาตั้งแต่รอบแรก ต้องขอบคุณทุกท่าน ถ้าได้มากกว่านี้ก็จะขอบคุณมาก

พอช่องทางการขายหลักอยู่ที่เดลิเวอรี่ปรับเปลี่ยนการมองและนิยาม 'คู่แข่ง' ไหม มองว่าแข่งกับร้านเล็กในชุมชนด้วยหรือเปล่า หรือยังมองแค่เชนใหญ่ด้วยกัน
ไม่ เราอาจจะมีคู่แข่งที่เป็นร้านดังๆ ที่มีอยู่แค่สาขาเดียวหรือ 2 สาขาก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเชนใหญ่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า Bonchon จะแข่งแต่กับไก่เกาหลีเหมือนกัน เราอาจจะแข่งกับไก่ทอดหาดใหญ่คิวยาวๆ ก็ได้ วิธีการมองคู่แข่งก็เปลี่ยนไปหมด Sizzler มีสลัด แต่เดี๋ยวนี้สลัดก็เต็มไปหมด อย่าง Salad Factory และ Jones Salad หรืออย่าง โอ้กะจู๋ นั่นก็คือคู่แข่งรายใหม่ ซึ่งเขามีอยู่ไม่กี่สาขา แต่เราถือว่าเป็นคู่แข่งหมด


แต่แบรนด์ใหญ่น่าจะยังได้เปรียบในแง่ที่มีสาขาเยอะ ครอบคลุมหลายพื้นที่ และมีกำลังในการทำโปรโมชั่น
แต่ความเสี่ยงก็เยอะ ถ้าสถานการณ์ไม่ดีปุ๊บมันก็หนัก เพราะว่าต้นทุนเยอะ แต่พอฟื้นตัวกลับมา มันก็อาจจะเป็นแบรนด์ที่โตขึ้นมาเร็วที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากสาขามันกระจายตัว

เทียบกันระหว่างปีที่แล้วกับปีนี้ ปีนี้ยากกว่าและความเปลี่ยนแปลงเยอะกว่าใช่ไหม
ปีนี้ยากกว่าเยอะ แต่ว่าเราก็มีต้นแบบมาจากปีที่แล้ว ปีที่แล้วเราคิดอะไรไม่ออกเลยว่าโควิด-19 คืออะไร จะฉีดวัคซีนเมื่อไหร่ ฉีดแล้วจะเกิดอะไรขึ้นไหม แต่ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายไปทีละเปลาะๆ ตอนนั้นมืดไปหมด แต่ตอนนี้เราคิดว่าอีก 120 วันก็จบแล้ว

จะนิยามครึ่งปีที่ผ่านมาอย่างไร บรรยากาศมืดมัวประมาณไหน
ตั้งแต่มกราคมก็สะลึมสะลือมา เพราะมีการระบาดอีกระลอกตั้งแต่ปลายปี 2563 แต่มามืดสนิทก็คือตอนเดือนเมษายน ตอนนี้ ณ วันที่ 18 มิถุนายน รู้สึกว่าเริ่มสว่างขึ้น และจากข่าวที่เปิดให้นั่งทานในร้านได้มากขึ้น และขยายเวลาเปิดร้านมากขึ้นก็เป็นข่าวที่ทำให้ทุกอย่างผ่อนคลายขึ้น ก็มีความหวังครับ

ภาพโดย ชุติมน เมืองสุวรรณ
#3834
น้ำมันว่านเครือเขาหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยม ทุกขวด
สายพุทธคุณ คุณพระ คุณว่าน ไม่เข้าตัว ไม่มีข้อห้าม ใช้ด้วยศรัทธา สำเร็จทุกราย


 
เครือเขาหลงจัดอยู่ในของขลังธรรมชาติ เป็นของเสน่ห์ ของเสน่ห์แรงๆ หมอเสน่ห์เขมร หมอเสน่ห์ไทยนิยมใช้กันมาก และจัดได้ว่าเป็นของเสน่ห์ที่แรงที่สุด
 
คุณของน้ำมัน
เพิ่มเสน่ห์ เพิ่มเมตตา นำพาโชคลาภ เรียกจิต เรียกใจ ประสานสัมพันธ์ ค้าขายร่ำรวย
 
คาถามหาหลง
โอม หลง หลง มหาหลง สารพัดที่จะหลง หลงทั้งต้น หลงทั้งกิ่ง หลงทั้งก้าน หลงทั้งราก หลงทั้งใบ หลงทั้งดอก คนเห็นน้ำตาตก นกเห็นน้ำตาไหล ไผผู้ใดเห็นหน้ากู อยู่มิได้ร้องไห้หากู หลงทั้งหน้า หลงทั้งหลัง หลงทั้งซ้าย หลงทั้งขวา หลงทั้งต่ำ หลงทั้งสูง หลงทั้งกลางวัน หลงทั้งกลางคืน หลงทั้ง


 
วิธีใช้
เพิ่มเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ ค้าขาย ประสานสัมพันธ์ สวดคาถาแล้วนำน้ำมันว่านแตะที่หน้าผาก นึกถึงสิ่งที่ต้องการด้วยใจมุ่งมั่น แน่วแน่ศรัทธา เป็นไปดังว่า สมปรารถนา
 
เรียกจิต เรียกใจ ให้ท่องคาถา ใช้แต้มแตะทา ลงบนวัตถุ รูปภาพหามา ของคนต้องการ เพ่งพลังจิต ลงไปแน่วแน่ ให้เกิดเป็นภาพ เคียงคู่กายา ทำได้ดังนี้นั้นหนา บอกคำว่า ได้ตามนั้นเลย
สนใจติดต่อโทร. 0846623662
id line : teerapat999

แฟนเพจ https://web.facebook.com/porntaywa
เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/12

lazada  https://www.lazada.co.th/products/-i1863368460-s5737984707.html?spm=a2o4m.seller.list.19.751ebb9eN8X8vA&mp=1&freeshipping=1  
#3835
ขาย 2.75 ล้านค่ะ เจ้าของขายเอง
ติดต่อ เท็นค่ะ
085.055.4945 ค่ะ

ขายที่ดิน ต.สายห้วยแก้ว อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ใกล้ทางรถไฟสถานีไผ่ใหญ่


จำนวน 22.54 ไร่ค่ะ

เป็นที่ดินทำกิน สวน ไร่นา ค่ะ

สถานที่ใกล้เคียง 
คลองใหญ่ ทางเข้าปากทางวัดจันเสน ใกล้วัดจันเสน ใกล้ทางรถไฟสถานีไผ่ใหญ่และสถานีจันเสน ค่ะ

ติดต่อ เท็นค่ะ
0850554945 ค่ะ

แผนที่ :: https://bit.ly/3hTVqCv

https://www.prakard.com/viewtopic.php?f=61&t=7822630
















#3836


ธุรกิจหลายเซ็กเตอร์ได้รับผลกระทบหนักจากโรคโควิด-19 ระบาด และรัฐงัดมาตรการเข้มข้นขึ้น "ล็อกดาวน์" เพื่อสกัดการแพร่กระจายของไวรัส ทำให้กิจการค้าขายต้องถูก "ล็อกปิด" ตามไปด้วย
เมื่อไม่สามารถซื้อขายสินค้าและบริการได้ บางธุรกิจจึง "โคม่า" รวมถึงอุตสาหกรรม ""สื่อ-โฆษณา" มูลค่าจาก "แสนล้านบาท" ในอดีต ปัจจุบันหดตัวลงเรื่อยๆลดเหลือเพียง 7-8 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด ฉายภาพ " ระบบนิเวศน์ของคนโฆษณาตายสนิท โอกาส ทางรอด และความหวัง " ภายใต้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเวลานี้ต้องมองสถานการณ์บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่มองบวกให้มีความหวังอีกต่อไป

ปี 2563 อุตสาหกรรมโฆษณาดิ่งเหวหนัก เพราะเป็นครั้งแรกที่ทั้งโลกและไทยเผชิญโรคโควิด-19 ทำให้ช็อก! การล็อกดาวน์เกิดขึ้นหลายเดือน ทำให้ธุรกิจชะงัก กว่าจะคลายล็อกดาวน์ คือช่วงเดือนกรกฎาคม การตระหนก และปรับตัวไม่ทัน ทำให้อุตฯโฆษณาติดลบเกือบ 20% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ปีก่อนสาหัส ทุบสถิติวงการโฆษณา ปี 2564 เหตุไม่คาดฝันเกิด เมื่อโควิด-19 ระบาดรอบ 3 หนักและลากยาวถึงขณะนี้ การ "ล็อกดาวน์" ถูกนำมาใช้อีกครั้ง ดับฝันอุตสาหกรรมโฆษณาที่เดิมจะเห็นตัวเลขโต 8% ผ่านไตรมาสแรก เอ็มไอ ทบทวนตัวเลขโตเหลือ 1% แต่ล่าสุดประเมินทั้งปีจะเห็นตัวเลข "ติดลบ 3-5%" หรือเฉลี่ย -4% เป็นอัตราติดลบเพิ่มจากปี 2563 ฉุดเงินสะพัดเหลือเพียง 72,138 ล้านบาท เท่านั้น

"ล่าสุดสถานการณ์ทุกอย่างแย่ลงมาก ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมโฆษณาเข้าขั้นโคม่า สื่อ เอเยนซี่โฆษณา ลูกค้าที่เป็นเจ้าของสินค้าและบริหาร เดือดร้อนหนัก ทำให้ทั้งปีจะเห็นอุตฯโฆษณาติดลบหนักเพิ่มจากปีก่อน แม้ตัวเลขครึ่งปีจะเห็นตัวเลจโต 8% หากมาหักส่วนลด โฆษณาที่ไม่มีมูลค่าเกิดขึ้น เพราะอาจเป็นการแบ่งกำไร การร่วมทุนกัน การเติบโตเกิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" 

เนอกจากวิกฤติโรคระบาด อีกปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่น แผนการดำเนินงานของภาคธุรกิจคือการ "สื่อสารที่ไม่ชัดเจน" ของภาครัฐ ทั้งเรื่องมาตรการป้องกันโรค ที่มีการล็อกดาวน์ การกระจายวัคซีน การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของประชาชน ทั้งการตรวจคัดกรอง การรักษาผู้ติดเชื้อในระดับต่างๆ รวมถึงการสื่อสารมาตรการเยียวยาต่างๆ ทำให้ทุกภาคส่วนเกิดความสับสน ส่งผลต่อการปรับตัวของประชาชน เอกชน

"เรามาถึงจุดนี้ได้ เพราะรัฐสื่อสารไม่ชัดเจน เรื่องอำนาจอาจไม่ต้องบูรณาการ แต่การสื่อสารรัฐต้องบูรณาการ สื่อสารจากแหล่งเดียว ทันที ชัดเจน ให้คนทุกระดับชั้นเข้าใจ ไม่ต้องให้ประชาชนมีคำถามต่อ ประเด็น มาตรการใดที่ยังไม่ชัด ต้องบอกให้รอติดตาม อย่าให้คนคิดไปเอง ซึ่งการสื่อสารเป็นศาสตร์ขั้นพื้นฐานหนึ่งของการบริหารจัดการ"

วิกฤติที่รายล้อมอุตสาหกรรมสื่อ แวดวงโฆษณา จนกระเทือนเม็ดเงินหายไปอย่างหนัก อีกตัวแปรที่ยังคงกัดกร่อนภูมิทัศน์สื่อ ยังเป็น "ดิจิทัล ดิสรัปชั่น" เกิดขึ้นตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา หลายองค์กรปรับตัวให้แข็งแรงเพื่อฝ่ามรสุมดังกล่าว แต่เมื่อโควิดทุบซ้ำ จึงทำให้อาการโคม่า!

ปัจจุบันแบรนด์สินค้าและบริการโยกงบโฆษณาไปอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นและครองสัดส่วนถึง 30% จากเดิมสัดส่วน 5% เท่านั้น ขณะที่ทีวีครองเม็ดเงินโฆษณากว่า 50% อีกสื่อที่ยังมีแนวโน้มเติบโตคือสื่อโฆษณานอกบ้านและสื่อเคลื่อนที่ เพราะตอบรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและสังคมเมืองมากขึ้น และ 3 สื่อหลักจะยังทรงอิทธิพลในอนาคต


ทั้งนี้ 6 เดือนแรก นีลเส็นรายงานงบโฆษณาสะพัด 46,565 ล้านบาท เอ็มไอ คำนวณส่วนลดต่างๆ คาดตัวเลขจริงสะพัด 37,448 ล้านบาทเท่านั้น โดยทีวีมีมูลค่า 18,900 ล้านบาท เติบโต 10% อินเตอร์เน็ต 11,400 ล้านบาท เติบโต 20% สื่อในโรงภาพยนตร์มูลค่า 531 ล้านบาท เติบโต 6% เพราะโรงหนังในต่างจังหวัดยังเปิดให้บริการได้

ยอดติดโควิดโตเกียวพุ่งซ้ำเติมมหกรรมกีฬาโลก
ปี 2564 ปัจจัยที่เป็น "ความหวัง" หนุนอุตสาหกรรมโฆษณาให้คึกคัก กลับมาฟื้นตัว คือมหกรรมกีฬาใหญ่ เช่น ฟุต.ยูโร 2020 แต่เมื่อผู้ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ไม่มีการทำตลาดเชิงพาณิชย์ แบรนด์อื่นๆไร้พื้นที่สื่อสารการตลาดช่วงนาทีทอง เม็ดเงินจึงหายจากระบบ ล่าสุดมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ "โตเกียว โอลิมปิก 2020" ยังซบเซา ในญี่ปุ่นกระแสความไม่พอใจของคนในชาติ ทำให้สปอนเซอร์ไม่ผูกแบรนด์(Embed)กับกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อความรู้สึกผู้บริโภค

ส่วนในไทย ปกติโอลิมปิกจะผลักดันเม็ดเงินโฆษณาสะพัดช่วงสั้นๆ ถึงหลัก "พันล้านบาท" จากการมีแพ็คเกจโฆษณาย่อยๆออกมาหลัก 3, 5, 8 และ 10 ล้านบาทออกมา นอกเหนือจากสปอนเซอร์หลัก แต่นาทีนี้ผู้ประกอบการ แบรนด์เงินน้อยลง แพ็คเกจเล็กสุด 3 ล้านบาท ยังไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด

"ปีนี้เป็นโอลิมปิกที่ซึมเศร้าสุด ไม่มีผลตอบรับใดๆ ในมุมของการสื่อสารหรือทำแคมเปญการตลาด เพราะมีปัจจัยโรคระบาดที่คุมไม่ได้ สปอนเซอร์หลักไม่ผูกแบรนด์กับโอลิมปิก ที่ไทยก็ไม่ร้อนแรง เพราะภาคธุรกิจไม่มีเงินอุดหนุนการแข่งขัน และไม่เชื่อมั่นในกำลังซื้อ และอารมณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค"


โควิดและการล็อกดาวน์อาจฉุดโฆษณาให้หดตัวหนักเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง แต่ปลายปี ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ภวัต หวังว่าอุตสาหกรรมจะกลับมาฟื้นตัวได้

"การมองโลกสวยอาจทำให้ได้พลังบวก แต่อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิดตอนนี้ หากรัฐเอาไม่อยู่ อุตสาหกรรมโฆษณาจะยิ่งติดลบ"

สำหรับภาพรวมของเอ็มไอ ลูกค้าแบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ "ชะลอ-เลื่อน-เลิก" ทำแคมเปญการสื่อสารตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด กระทบผลการดำเนินงานบริษัท  
#3837
 
 

การตรวจเลือด เป็นวิธีหนึ่งสำหรับในการตรวจสอบรวมทั้งบ่งชี้ถึงการทำงานของอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคแล้วก็สภาวะผิดปกติต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นข้างในตัวเราได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุว่าเลือดเป็นตัวกลางสำหรับการลำเลียงสารต่างๆทั้งน้ำ อาหาร เชื้อโรค ไวรัส แล้วก็สิ่งแปลกปลอมอื่นๆไปทั่วร่างกายเรา การตรวจเลือดก็เลยเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถหาสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเราได้อย่างแม่นยำและก็รวดเร็ว แม้กระนั้นการตรวจเลือดเพียงอย่างเดียวไม่อาจจะฟันธงถึงความผิดปกติรวมทั้งโรคที่เป็นได้ เนื่องจากยังมีปัจจัยอีกหลากหลายที่นำมาซึ่งการทำให้ผลตรวจเลือดอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ ดังเช่น อาหารที่ทาน ประจำเดือน การออกกำลังกาย แอลกอฮอล์ที่ดื่ม หรือการใช้ยาบางจำพวก ด้วยเหตุดังกล่าวจึงควรมีการซักประวัติพร้อมกันกับการตรวจสอบเพิ่มเติม อย่างเช่น ตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะแล้วก็อื่นๆตามดุลยพินิจของหมอ แล้วก็เนื่องด้วยสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญรวมทั้งการที่ในสมัยนี้การแพทย์ต่างก้าวหน้า องค์ประกอบส่งเสริมสอดคล้องกันขนาดนี้ พวกเราก็ควรที่จะใส่ใจตนเองด้วยการหมั่นดูแลร่างกายอยู่เสมอ การรับประทานอาหารที่ดีรวมทั้งการออกกำลังกายจะทำให้เราสามารถมีสุขภาพดีได้ แต่ภายในร่างกายพวกเราก็อาจมีความผิดปกติ โรคแฝง หรือโรคแทรกซ้อนต่างๆที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งบางทีอาจส่งผลในชีวิตประจำวันทั้งต่อตัวเองแล้วก็ผู้อื่น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การตรวจเลือดแล้วก็การตรวจสุขภาพรายปีก็จะสามารถช่วยทำให้พวกเราสามารถรู้แล้วก็คิดหาวิธีป้องกัน แก้ไข รักษาหรือแนวทางที่พวกเราจะอยู่ร่วมกับความผิดปกตินั้นๆได้

 


การตรวจผ่านแล็บก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนทั่วๆไปอย่างพวกเราที่ไม่ต้องการที่จะไปแออัดในโรงพยาบาลนานนัก ลดความแออัดในพื้นที่โรงพยาบาลที่มีมาก การตรวจผ่านแล็บนั้นเราจะทราบผลอย่างรวดเร็ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอใบสั่งจากแพทย์ แค่เราโทรศัพท์หาแล็บเพื่อขอคำแนะนำการรับบริการรวมทั้งวิธีเตรียมพร้อม หลังจากนั้นก็สามารถเข้าไปตรวจเลือดได้เลย สะดวกเป็นอย่างมากสำหรับคนไทยในปัจจุบันที่มีความประพฤติเสี่ยงเกี่ยวกับการติดเชื้อ HIV ไม่น้อยเลยทีเดียว จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยหรือไม่ป้องกัน ในอีกกรณีหนึ่งก็มีคนบางกรุ๊ปที่เข้ารับการตรวจเพื่อดูผลเองเฉยๆโดยไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอก็เลยไม่เข้าใจว่าผลตรวจเลือดแต่ละจุดแต่ละค่าหมายถึงอะไร และก็บางทีอาจนำไปสู่ไม่ได้ป้องกันอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุผลดังกล่าวการตรวจเลือดด้วยตัวเองก่อนไปโรงพยาบาล ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ดีสำหรับคนที่อยากได้ความรวดเร็วไม่อยากอยู่เบียดเสียดในโรงพยาบาล แต่ว่าก็ยังอยากได้รับคำแนะนำและก็วินิจฉัยจากแพทย์ 





สำหรับชาวเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนพิษณุโลก พวกเรามีที่ตรวจเลือดพิษณุโลกแนะนำ นั่นก็คือ พิษณุโลกเซ็นทรัลแล็บ สถานปฏิบัติการและตรวจวิเคราะห์ เน้นให้บริการด้านการตรวจเลือด และก็ตรวจสุขภาพ ซึ่งมีเครื่องมือตรวจวิเคราะห์ที่ล้ำสมัย แล้วก็น้ำยาที่ใช้ตรวจจากประเทศอเมริกา ปฏิบัติการโดยนักเทคนิคการแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำทางการตรวจแก่ผู้รับบริการ แล้วก็ที่สำคัญที่สุดการควบคุมคุณภาพทางห้องปฏิบัติการแล้วก็การทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ที่ให้บริการตามมาตรฐาน ยึดหลักความปลอดภัยรวมทั้งความลับของคนไข้เป็นสำคัญ ทำให้ผู้รับบริการมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลการตรวจที่ถูกต้อง แม่นยำ และก็มีความปลอดภัยในการรับบริการ ถ้าหากสนใจอยากเข้ารับบริการกับทางพิษณุโลกเซ็นทรัลแล็บ สามารถโทรปรึกษาการให้บริการ-การเตรียมตัวเพื่อตรวจได้ในเวลาทำการเปิดบริการ : วันจันทร์-วันศุกร์ 07.00 - 20.00 น.และก็วันเสาร์-วันอาทิตย์ 07.00 - 17.00 น.โทรศัพท์ 05525958
#3838


    เช็คเลย! "เยียวยาประกันสังคม" มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 39 แต่ละกลุ่ม โอนเงินวันไหนบ้าง?
    ประกันสังคมเปิดไทม์ไลน์โอนเงินเยียวยา 2,500 - 5,000 ผู้ประกันตนมาตรา 33 ม.39 - 40 เริ่ม 6 ส.ค. - 15 ส.ค.

    อัพเดทมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์สถานการณโควิด-19 พื้นที่สีแดงเข้มรวม 13 จังหวัด ซึ่งถือเป็นมาตรการการให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ในกรอบวงเงิน 3,000 ล้านบาท กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รวบรวมไทม์ไลน์การจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตน มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 39 ตามมาตราการเยียวยาล็อกดาวน์ ในพื้นที่ 13 จังหวัดที่ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด  ดังนี้

    พื้นที่ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ประกาศยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดงเข้ม) ในพื้นที่ 10 จังหวัดเป็น 13 จังหวัด ได้แก่ 
    [list=1]
    • กรุงเทพมหานครนครปฐม 
    • นนทบุรี 
    • นราธิวาส 
    • ปทุมธานี 
    • ปัตตานี  
    • ยะลา 
    • สงขลา
    • สมุทรปราการ
    • สมุทรสาคร
    โดยพื้นที่ที่เพิ่มา 3 จังหวัดล่าสุดตามประกาศ ศบค.ฉบับที่ 27 ได้แก่ 
    [list=1]
    • ฉะเชิงเทรา 
    • ชลบุรี 
    • พระนครศรีอยุธยา 
    9 ประเภทกิจการ กลุ่มอาชีพที่ได้รับสิทธิเยียวยาล็อกดาวน์

    (1) ก่อสร้าง

    (2) ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร

    (3) ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ

    (4) กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ

    (5) ขายส่งและการขายปลีก ซ่อมยานยนต์

    (6) ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า

    (7) กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน

    (8) กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ

    (9) ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร


    โอนเงินเยียวยาวันไหนบ้าง?

    1.กลุ่มแรงงานตาม ม.33 ในกิจการ 9 หมวด รัฐจะจ่ายเงินเยียวยาให้ 50% ของรายได้ (สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท) และจ่ายสมทบให้ลูกจ้างสัญชาติไทยอีก 2,500 บาทต่อคน รวมแล้วได้สูงสุดไม่เกิน10,000 บาท

    สำหรับ 10 จังหวัดแรก (กทม. ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี ปัตตานี ยะลา นราธิวาส  สงขลา ) ประมาณ 2.8 ล้านคน จะได้รับเงินเยียวยา 2,500 บาท ทางบัญชีพร้อมเพย์ ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 64 เป็นต้นไป 

    สำหรับอีก 3 จังหวัด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา ที่ครม.เพิ่งอนุมัติ ประมาณ 2.7 แสนคน จะได้รับเยียวยา 2,500


    2.กลุ่มผู้ประกอบการหรือนายจ้างตามหลักการให้ความช่วยเหลือจะได้รับความช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้างสูงสุดไม่เกิน 200คน ในอัตรา 3,000 บาทต่อคน จำนวน 1 เดือน

    สำหรับนายจ้างมาตรา 33 ใน 10 จังหวัดแรกประมาณ 1.6 แสนราย ได้เยียวยาเข้าบัญชี วันที่  6 ส.ค.64

    สำหรับนายจ้างมาตรา 33 ใน 3 จังหวัด ประมาณ 1.9 หมื่นราย ได้เยียวยาเข้าบัญชี วันที่ 15 ส.ค. 64 โดยประมาณ

    3. .ผู้ประกันตนตามมาตรา 39และมาตรา40สัญชาติไทยที่ยังคงประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน จะได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000บาท จำนวน 1 เดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนมาตรา33มาตรา 39และมาตรา 40สัญชาติไทยที่ยังคงประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน ให้เตรียมหลักฐานเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40กับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนก.ค.2564เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000บาทจำนวน 1 เดือน หากใครยังไม่เข้าระบบประกันสังคม ต้องลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ได้ที่ https://www.sso.go.th/section40_regist/ โดยต้องลงทะเบียนภายในเดือน ก.ค. 64 ซึ่งกลุ่มนี้ยังไม่สรุปจะโอนเงินเมื่อไร ต้องรอลงทะเบียนให้ครบก่อน


    นายจ้างและลูกจ้างสามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้ที่ www.sso.go.th หากได้รับสิทธ์ก็ทำการผูกเลขบัญชีกับเลขบัตรประชาชนในระบบพร้อมเพย์ สำนักงานประกันสังคมจะเริ่มโอนเงินผ่านระบบ Promptpay เท่านั้น ในวันศุกร์ ที่ 6 สิงหาคม 2564 
    #3839


    โควิด-19 ระบาดไม่หยุด! กลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ รัฐสั่ง "ล็อกดาวน์" หวังอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ! อีกครั้ง ภาคธุรกิจสู้วิกฤติมาราธอนข้ามปี นาทีนี้หลังผิงฝา ต้องฮึดต่อ หากยกธงขาว กิจการอาจล้มเป็นโดมิโน่ แต่จะต่อกรอาวุธต้องพร้อม ฟังกูรูตลาดแนะ

    โรคโควิด-19 ยังระบาดทั่วโลก และไทย โดยในประเทศตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุ "หมื่นคน" ทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ส่วนตัวเลข "ผู้เสียชีวิต" ล่าสุด ณ วันที่ 17 ก.ค.2564 อยู่ที่ 141 ราย นับเป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น 

    ทั้งนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสมฤตยูที่ยังคงเลวร้าย ทำให้รัฐงัดไม้แข็งมาใช้ โดยเฉพาะการกลับมา "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้มเพิ่มเป็น 13 จังหวัด เช่น กรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้ธุรกิจห้างร้านหลายประเภทถูกสั่ง "ปิดให้บริการ" อีกครั้ง 

    ขณะเดียวกันวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ยังมีรายงานข่าวว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ อาจพิจารณาเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการ ด้วยการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 10 จังหวัดเป็น 22 จังหวัด พร้อมปรับเวลาเคอร์ฟิวเป็น 20.00 - 03.00 น. 

    การล็อกดาวน์ตัวเองอยู่บ้านมากขึ้นของประชาชน ธุรกิจถูกปิด แน่นอนมีผลกระทบตามมามากมายอย่างที่ทราบกัน ประชาชนเมื่อไม่ได้ออกมาทำหากิน หรือโอกาสไปทำงานน้อยลง บางกลุ่มก้อนอาจเดือดร้อนหนัก ขาดรายได้จุนเจือครอบครัว ส่วนกิจการหลากเซ็กเตอร์หากถูกจำกัดการทำธุรกิจ ย่อมขาดกระแสเงินสดไปหล่อเลี้ยงองค์กร สุ่มเสียงให้แขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะหลายบริษัทมีภาระต้องแบกรับ ทั้งต้นทุนคงที่จากค่าจ้าง เงินเดือนพนักงาน ค่าดำเนินงาน ค่าเช่าที่ ฯ 

    เรียกว่ารอบตัวเต็มไปด้วย "ข่าวลบ" ที่อาจซ้ำเติมสถานการณ์ให้ "หดหู่" ยิ่งขึ้น ผู้คนทั้งโลกและไทยต่างตั้งความหวังห้วงเวลาวิกฤตินี้จะผ่านไปได้ด้วยดีโดยเร็ว แต่สถานการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ยากคาดเดาจะเห็นเมื่อไหร่ นาทีความหวังพึ่งพา "วัคซีน" จากรัฐเพื่อฉีดให้ประชาชนครอบคลุมโดยเร็วยังกลายเป็นประเด็นกังขา การหวังให้คนไทยรวมพลัง "สามัคคี" สู้โควิด-19 ยังมีแตกแถวให้เห็น แต่การมานั่งก่นด่าอาจเพียงช่วยระบาย ควบคู่สะท้อนปัญหาให้รัฐรับรู้ เพราะที่สุดทุกคนอยากก้าวพ้นความมืดมิดนี้ให้ได้ 

    แม้สารพันปัญหาเกิดขึ้น ในมิติด้านธุรกิจการค้าขาย ผู้ประกอบการที่เดือดร้อนจากโรคระบาด มาตรการรัฐ ต้องดิ้นปรับตัวแล้วปรับตัวเล่า ตีลังกาห้าตลบ แต่ข้ามคืนมักเจอประกาศใหม่ๆจาก ศบค. กทม.เป็นตัวแปรสร้างความมึนงงให้ธุรกิจจนต้องพับแผน เฟ้นหาไอเดียใหม่เอาตัวรอด แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะความไม่แน่นอนยังเกิดขึ้นเป็นระยะ 

    จังหวะนี้นักการตลาดไม่เพียงจุดตะเกียงในความมืดเพื่อให้กำลังใจตัวเองคนรอบข้าง แต่แสงสว่างจากตะเกียงยังมาพร้อม "กลยุทธ์" คำแนะนำในการหา "ช่องทาง" ที่ยังพอให้ดิ้นทำเงินด้วย 

    สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย(MAT) ชวนถกหัวข้อ "Next Move After Pandemic มุมมองการตลาดยุค post COVID-19" และค้นหาคำตอบถึงโลกการตลาดหลังโรคระบาดจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ลูกค้าจะเปลี่ยนจากเดิมหรือไม่ แล้วนักการตลาดจะปรับตัวอย่างไรให้รอด!! รวมถึง "ทางรอดเอสเอ็มอี" ที่มีเคล็ดลับฝ่าวิกฤติด้วย Head hand heart เทคนิครอดยุคโควิด โดยมีกูรูแบ่งปันแนวคิด 


    ++หาโอกาสจากความเปลี่ยนแปลง

     หากเปรียบการทำธุรกิจในช่วงโควิดระบาดเกือบ 2 ปี อาจเหมือนนั่งเครื่องเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์หรือรถไฟเหาะตีลังกา นี่คือมุมมองของ ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษา สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสเกิดเป็นคลื่นถาโถมครั้งที่ 1 2 และ 3 ลากยาวจนถึงปัจจุบัน ทำให้ภาคธุรกิจ การใช้ชีวิตของผู้คน "ขาดความมั่นใจ" 

    กิจกรรมหลายอย่างถูกจำกัด ไม่สามารถทำได้ในช่วงไวรัสระบาด แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ "ปรับตัว" เก่งไม่จำนนต่ออุปสรรคต่างๆ นั่นจึงเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนรับวิถีปกติใหม่(New normal) ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวทิพย์ ชิลทิพย์ การไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทยิ่งขึ้น และตอกย้ำยุคดิจิทัลพนักงานสามารถทำงานได้ที่ไหนก็ได้ในโลก 

    ปัจจัยข้างต้นยังสะท้อนการเปลี่่ยนแปลงของตลาด มีผลต่อการซื้อขายสินค้าและบริการ ซึ่ง "ลักขณา" ชี้โอกาสทางการตลาดจะเกิดกับสินค้าเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ โน้ตบุ๊ค อุปกรณ์ไฟส่องหน้าให้สวยใสเมื่อประชุมออนไลน์ ฯ สิ่งเหล่านี้ยังสามารถทำเงินได้ในยามวิกฤติ 

    "เรากำลังก้าวสู่อีกยุค แม้โควิดหมดไป พฤติกรรมและสิ่งเหล่านี้จะยังคงอยู่" ดังนั้นแบรนด์ไม่แค่หาช่องว่างทำตลาดให้ได้ในระยะสั้น แต่ต้องวางเกมกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อคว้าขุมทรัพย์ทางการตลาดให้ได้เพื่อฟื้นธุรกิจ 

    ผู้บริโภคเปลี่ยนแบรนด์ไม่ปรับได้อย่างไร การสื่อสารตลาด ต้องรวดเร็วฉับไว ยุคนี้หากช้าอาจไม่ทันการณ์ไม่ทันกิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น การลงโฆษณาต่างๆ ต้องเลือกเวลาให้เหมาะเจาะ ก่อนโควิดระบาดคนออกไปทำงานนอกบ้าน เลิกงานใช้เวลาเดินทางอีกพักใหญ่จะถึงบ้าน จึงจะมีเวลามาเสพคอนเทนท์ ดังนั้นแบรนด์ต้องหา "เวลา" ที่ใช้ให้เจอเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งกว่านั้นการเห็นโฆษณา คอนเทนท์เดิมๆซ้ำ อาจเบื่อและกลายเป็นโจทย์ที่นักการตลาดต้องแก้เพิ่มเติม 

    การเพิ่มทักษะใหม่ๆ กลายเป็นสิ่งที่กูรูการตลาดกระทุ้งให้คนวงการตื่นตัวตระหนักเสมอ โดยเฉพาะโควิดเร่งให้ "เทคโนโลยี ดิจิทัล" มีอิทธิพลกลายเป็นส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจค้าขาย เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันผู้คน การมีทักษะด้านดังกล่าวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง 

    "วันนี้ต้องปรับใจยอมรับว่าโลกไม่เเหมือนเดิม การใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้ และโอกาสเกิดมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว" 

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าการล็อกดาวน์ ปิดหน้าร้าน ทำให้ช่องทางขายที่เป็นทางเลือกและ "ทางรอด" คือ ออนไลน์ หากวันนี้ธุรกิจไม่รุกเข้าไปไม่แค่ตกขบวน แต่จะไม่มี "รายได้" มาทดแทนส่วนที่หายไปด้วย "ลักขณา" ยกตัวอย่างสินค้าอุปโภคบริโภคบางแบรนด์ที่เคยคิดว่าเปิดหน้าร้านขายออนไลน์ลำบาก แต่วิกฤติโรคระบาดที่บีบคั้นกลายเป็นเร่งให้ช่องทางดังกล่าวเติบโตมีสัดส่วนยอดขาย 16% จากเดิม 2% แม้กระทั่งธุรกิจ "เดลิเวอรี่" ที่เฟื่องฟูขั้นสุด หากผู้ประกอบการไม่ลงสนามนี้ธุรกิจอาจอยู่ไม่ได้ 

    การตีลังกาคิดหลายตลบอาจเหนื่อยยากไปบ้าง แต่เธอย้ำว่า ทุกคนต้องรอด เพราะความต้องการสินค้าของผู้บริโภคไม่หายไปไหน แค่เปลี่ยนรูปแบบ ช่องทางซื้อเท่านั้น 

    "นาทีนี้ต้องอดทนไม่ยอมแพ้ เราต้องรอด ต้องแก้เกม หาข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเสมอ เพื่อให้เราขยับธุรกิจตามกลุ่มเป้าหมายได้ ขณะที่่สังคมเต็มไปด้วยข่าวลวง คนทำงานต้องมีสติใช้เหตุผลพิจารณาสิ่งไหนน่าเชื่อถือ ถูกต้อง การตื่นตัวต้องมีคลอด เพราะการแข่งขันเกิดขึ้นตลอด ตัดสินใจให้ดีในเวลาที่ถูกต้อง เพราะจากนี้ไปความไม่แน่นอนจะเกิดตลอด ที่ขาดไม่ได้การทำตลาดยุคนี้ต้องทำเพื่อส่วนร่วมด้วย"  

    ++ช้าเร็วถึงเส้นชัยแน่!

    สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมรากี้ จำกัด อดีตแม่ทัพพฤษา เรียลเอสเตท และยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้ผันตัวมาตั้งบริษัทให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจใหญ่ 5 หมวดหมู่ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก และวัสดุก่อสร้าง ฯ ฉายภาพธุรกิจเวลานี้ปัญหาหนักที่กำลังเผชิญทุกรายคือลูกค้าหาย รายได้ไม่มี และต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายรอบด้าน 

    "กระแสเงินสด" คือสิ่งสำคัญยิ่ง แต่สถานการณ์ไม่เอื้อให้ทำเงิน ซ้ำร้ายกำไรหด ผู้ประกอบการบางรายแบกภาระหนี้สินเพิ่ม แต่ห้วงเวลายากเหล่านี้เชื่อว่าต้องรอดไปได้ 

    "โควิดระบาดเวฟ 3 คงสุด ต้องต่ำสุดแล้ว ต้องเอาให้ผ่านและรอดให้ได้" เมื่อฮึดสู้แล้ว การคิดเร็วทำเร็ว ปรับตัวเป็นทางอออก แม้บางรายไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร แต่อยากให้ลองค้นหาพ้นสวรรค์ในตัว ตั้งสติ ให้เกิดปัญหาหาจุดแข็งที่มีแล้วดึงออกมาใช้ให้ประโยชน์ให้ได้ 


    "ผู้นำต้องมี Agility ปรับตัว คล่องแคล่วว่องไว รู้ว่าเป็นช่วงลำบากแต่อย่าดูถูกตัวเองว่าทำอะไรไม่เป็น ตอนนี้รอโอกาส ฟ้าลิขิตไม่ได้ ต้องกระโจนทำสิ่งใหม่ๆ" ทั้งนี้ หลายคนค้นพบความสามารถทำสิ่งใหม่ในช่วงวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารเพื่อส่งขายเดลิเวอรี่ การพลิกจากเจ้าของกิจการ มนุษย์เงินเดือน ไปทำการเกษตรสร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน การขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น  

    ท่ามกลางความไม่แน่นอน การลดเรื่อง "เป้าหมาย" ยอดขาย กอบโกยความมั่งคั่งอาจต้องเบรกไว้บ้าง หันไปโฟกัสพนักงาน ให้กำลังกันเพื่่อรอดไปด้วยกันก่อน ลองทำในสิ่งที่ริเริ่มได้แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ทุกอย่างต้องไม่ลืมที่จะ "สร้างแบรนด์" ให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายรับรู้ เมื่อโรคระบาดหนักข้อขึ้น โรงพยาบาลสนามมีคนไข้ และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก ทำให้เห็นน้ำใจคนไทยช่วยบริจาค ธุรกิจร้านอาหารสามารถทำข้าวกล่องเมนูง่ายไม่ซับซ้อนในราคายุติธรรมป้อนโรงพยาบาลสนาม ติดชื่อแบรนด์ เบอร์ติดต่อ หากโดนใจจะมีโอกาสขยายตลาดได้

    ร้านค้าทั่วไป หรือโชห่วย ปรับตัวเดลิเวอรี่ ส่งตามบ้านเรือนลูกค้าในรัศมี 3-5 กิโลเมตร หรือส่งภายใน 5-10 นาที การหาความต้องการตลาดที่ต่างจากคู่แข่ง พอสร้างความได้เปรียบร้านสะดวกซื้อ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เหล่านี้เป็นหนทางช่วยเพิ่มยอดขายได้ 

    "การปรับตัว อย่าดูที่เงินเป็นหลัก ธุรกิจเริ่มต้นจากเล็กเสมอ อย่าดูถูกเงินน้อยย เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เพื่อรอโอกาสเปิด"    

    อย่างไรก็ตาม หากสารพันปัญหาที่เผชิญทำให้คิดไม่ออก หาทางปรับตัวไม่ได้ "สุพัตรา" แนะให้เขียนแผนที่ความคิด(Mind Map) คิดอะไรได้ให้เขียนไปเรื่อยๆ แจกแจงความคิด และยังเหมือนเป็นการระบาย ล้างสมองให้โล่ง ที่ช่วยให้ปิ๊งไอเดียและหาทางออกได้ด้วย  

    อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่แค่ดูแลธุรกิจให้รอด การทำร่างกายให้แข็งแรงสำคัญสุด ยิ้มสู้กับทุกปัญหาถาโถม เพราะช้าเร็วเชื่อว่าธุรกิจไปถึงเส้นชัยแน่นอน "แพ้ไม่ได้ เร็วช้าถึงเส้นชัยที่ต้องการแน่ ต้องชนะแน่ วิกฤตินี้แพ้ไม่ได้"  

    ++จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด

    ดั่งใจถวิล  อนันตชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทจ (ประเทศไทย) จำกัด มองนักการตลาด ผู้ประกอบการ ทุกภาคส่วนต้องอยู่ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดเกือบ 2 ปี สิ่งสำคัญทุกคนต้องจุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด เพราะโรคระบาดที่เกิดขึ้นคาดการณ์ไม่ได้จะมาราธอนแค่ไหน จึงไม่ใช่เวลาที่จะรอแสงสว่างปลายอุโมงค์

    ทั้งนี้ ห้วงเวลาโรคระบาดยังอยู่ การตระหนักความจำเป็นในชีวิตหรือ "อิคิไก"ไ สามารถปรับประยุกต์ใช้กับแบรนด์ นักการตลาด และผู้บริโภคอย่างดี โดยต้องมาพิจารณา 4 มิติ 1.รู้ความปรารถนาหรือแพชชั่นของตัวเอง 2.มีแพชชั่นแล้วเก่ง มีสามารถหรือไม่ 3.การวางเป้าหมายและทำให้เกิดขึ้นจริง และ4.สิ่งทำสร้างประโยชน์ให้ภาคส่วนไหนบ้าง สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้จุดมุ่งหมายของแบรนด์หรือBrand Purpose ใหญ่ขึ้น 

    ขณะเดียวกันนักการตลาดต้องทำตัวเป็นฟองน้ำ ซึมซับสิ่งที่เห็นรอบตัว โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายไดไ้แม่นยำ กรณีศึกษาแบรนด์ "ซิซซ์เล่อร์" ที่ปรับตัวเปิดร้านคีออสบนสถานีรถไฟฟ้า เสิร์ฟอาหารให้ผู้บริโภค ที่มานั่งในร้านไม่ได้ ปรับเมนู ราคาให้เหมาะกำลังซื้อ สร้างการเติบโตยยอดขาย 

     "ทุกคนต้องร่วมมือกันมากขึ้นไม่แค่แบรนด์ แต่ผนึกกับผู้บริโภคได้ด้วยในการทำสิ่ง

    ต่าง ๆ เช่น การสร้างแพลตฟอร์ม เปิดพื้นที่ให้ขายสินค้าร่วมกัน สร้างความหวัง แสงสว่างให้ตัวเองเพื่อเดินไปข้างหน้า"  

    ++ระวัง  แต่ต้องเร็วทันกระแส 

    เอกก์ ภทรธนกุล ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บางประเทศที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 2 เข็ม ทำให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติสะท้อนถึงการถวิลหาสิ่งที่เคยทำในชีวิตประจำวัน ดังนั้น นักการตลาดจึงเตรียมลงทุน ลงแรง และเทใจเพื่อทำกิจกรรมการตลาดอีกครั้ง ส่วนไทยที่ต้องเตรียมพร้อมรับคือการเปลี่ยนวิธีคิด 3 ประการ ได้แก่ 1.เลิกยึดติดตัวเลขการเติบโต ซึ่งเป็นสุดยอดความปรารถนาของนักการตลาด ควรปรับตัวเพื่อ "อยู่รอดให้เป็น" 
    #3840
    GoldSpotClub ทำเงินกับกองทุนทองคำ รับกำไรรายสัปดาห์ กองทุนทอง Profit

    เริ่มต้นขั้นต่ำ 100$ รับรายได้ 5-7% ต่อสัปดาห์ รับค่าการตลาดสูงถึง 10%

    รับรายได้ต่อเนื่องรายสัปดาห์กับเรา

    เว็บไซต์ :: https://goldspot.club/

    ติดต่อสอบถาม :: https://m.me/Goldspotclub

    กลุ่มไลน์ :: https://line.me/R/ti/g/PSxgfgxCaz