• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ BCPG เป็น A แนวโน้ม Stable

Started by Chanapot, October 31, 2022, 10:36:23 PM

Previous topic - Next topic

Chanapot


ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เป็นระดับ "A" จากเดิมที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นไปตามการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เป็น "A/Stable" จากเดิม "A-/Stable" ในวันที่ 27 ตุลาคม 2565 นี้

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Standalone Credit Profile ? SACP) ยังคงอยู่ที่ระดับ "bbb+" โดยอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ "A" ซึ่งสูงกว่าอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอยู่ 2 ขั้นนั้นสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ BCP

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงรายได้ที่แน่นอนและสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของบริษัทที่มีการกระจายตัวเป็นอย่างดี ในทางกลับกัน ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนโดยความเสี่ยงในการบริหารงานโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมาย (Execution Risk) และระดับภาระหนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะสูงขึ้นเพื่อการสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นบริษัทย่อยหลักของ BCP ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ BCP เนื่องจากทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีส่วนที่สำคัญต่อกลยุทธ์ในอนาคตของ BCP โดยปัจจุบัน BCP ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 57.4% และมีอำนาจควบคุมกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและนโยบายทางการเงินของบริษัทโดยผ่านทางคณะกรรมการบริษัท รวมถึงคณะกรรมการการลงทุน และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
บริษัทเป็นหน่วยธุรกิจซึ่งมีหน้าที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนให้แก่ BCP ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การขยายไปยังธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนและส่งเสริมความยั่งยืนของกลุ่มบางจากต่อไป อีกทั้งบริษัทจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการไปให้ถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ของกลุ่มอีกด้วย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในจำนวนมากพอสมควรให้แก่ BCP ซึ่งการมีกระแสเงินสดที่มั่นคงนั้นช่วยให้บริษัทสามารถลดความผันผวนในธุรกิจโรงกลั่นของ BCP ได้เป็นอย่างมาก

การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีการกระจายตัวดี ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ดำเนินงานแล้วจำนวน 32 โครงการด้วยกำลังการผลิตตามสัญญารวมตามสัดส่วนการลงทุนของบริษัทที่ขนาด 390 เมกะวัตต์ ซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65% โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 29% และโรงไฟฟ้าพลังงานลม 6%
โรงไฟฟ้าของบริษัทตั้งอยู่ใน 4 ประเทศคือ ไทย (47%) ญี่ปุ่น (20%) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) (29%) และฟิลิปปินส์ (4%) ทริสเรทติ้งมองว่ากลยุทธ์การลงทุนของบริษัทที่มีการกระจายตัวดีจะช่วยลดความเสี่ยงให้แก่บริษัทได้ทั้งในแง่ของประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุนและมีแหล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาได้

มีกระแสเงินสดที่มั่นคง รายได้ที่มั่นคงของบริษัทมาจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และผู้รับซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือหลาย ๆ รายในประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นส่วนหลักในการสร้างรายได้ของบริษัทโดยคิดเป็นประมาณ 80% ของ EBITDA เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงานแล้ว โดยกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นสามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงจากการที่มีราคาค่าไฟฟ้าที่แน่นอนและมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ

กำลังการผลิตใหม่ช่วยลดแรงกดดันจากการหมดอายุของค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม กำลังการผลิตรวมตามสัญญาของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยทั้งหมดที่จำนวน 176 เมกะวัตต์นั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60%-70% ของ EBITDA ทั้งหมดของบริษัท โดยมีจำนวน 133 เมกะวัตต์ที่ได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) ที่อัตรา 8 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย) ในช่วง 10 ปีแรกหลังจากเปิดดำเนินงาน ซึ่งคิดเป็นรายได้จากค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มที่ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ในส่วนนี้จะค่อย ๆ ทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไปเมื่อค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มของโรงไฟฟ้าบางส่วนของบริษัททยอยหมดอายุลง โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทในส่วนนี้จะลดลงอย่างมากในปี 2567 และจะหมดไปในปี 2568 เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทได้เตรียมความพร้อมโดยการซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ไว้แล้วจำนวน 2 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 114 เมกะวัตต์และเปิดดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นอีกจำนวน 3 แห่ง (รวม 65 เมกะวัตต์) ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทที่ประมาณ 1.6-1.8 พันล้านบาทต่อปีเมื่อดำเนินงานเต็มปี

ยังคงขยายสินทรัพย์โรงไฟฟ้าต่อไป บริษัทอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้นอีก 719 เมกะวัตต์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่ใน สปป. ลาว และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกหลายแห่งในไต้หวัน ปัจจุบันบริษัทมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการ "Monsoon" ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งแรกใน สปป. ลาว โดยโครงการมีขนาด 600 เมกะวัตต์และจะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าประเทศเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) ภายในสิ้นปี 2568 โครงการดังกล่าวจะเพิ่มกำลังการผลิตให้แก่บริษัทที่จำนวนราว ๆ 230 เมกะวัตต์เมื่อคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นในสัดส่วน 38% ของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกหลายแห่งในไต้หวันซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มกำลังการผลิตรวมจำนวน 469 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2566-2567 ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นจากโอกาสในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการใหม่ ๆ ภายในประเทศจะเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

มีการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคต บริษัทกำลังขยายไปสู่ธุรกิจสายส่งไฟฟ้าและสถานีไฟฟ้าย่อย โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทได้ลงทุนในระบบสายส่งไฟฟ้าข้ามพรมแดนด้วยการซื้อหุ้น 25% ใน Nam Tai Hydropower Sole Co., Ltd. (Nam Tai) บริษัทจะชำระเงินด้วยการโอนรายการลูกหนี้การค้าที่มีกับการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos -- EDL) ให้แก่ผู้ขายรวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในทางกลับกัน บริษัทจะได้รับสิทธิ์ในทางเศรษฐกิจ (Economic Rights) จำนวน 50% ในระบบสายส่งซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการจำหน่ายไฟฟ้าจาก สปป. ลาว ไปยังประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ ธุรกรรมดังกล่าวยังมีส่วนช่วยในแผนธุรกิจของบริษัทที่จะเปลี่ยนผู้รับซื้อไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่งคือ "Nam San 3A" และ "Nam San 3B" จาก EDL มาเป็น EVN อีกด้วย
นอกเหนือจากโครงการที่กล่าวไปแล้ว ทริสเรทติ้งยังมีสมมติฐานว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนอีกราว 6.3 พันล้านบาทสำหรับการซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานอยู่แล้วในช่วงปี 2565-2566 ซึ่งจะช่วยเร่งกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทเนื่องจากโครงการเหล่านี้จะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันที

เมื่อพิจารณาจากนโยบายวินัยทางการเงินของบริษัทแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทเพิ่งขายผลประโยชน์ทั้งหมดในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียไป โดยบริษัทได้รับเงินสดจำนวน 1.45 หมื่นล้านบาทและจะรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนเป็นจำนวน 2 พันล้านบาท การขายเงินลงทุนดังกล่าวช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ตามแผนงานของบริษัท

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจพิจารณาขายเงินลงทุนในโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันออกไปบางส่วนเพื่อช่วยลดภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ขยายกำลังการผลิต ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะจ่ายเงินสุทธิรวมทั้งสิ้นที่ราว ๆ 3.75 หมื่นล้านบาทสำหรับค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนอื่น ๆ ในระหว่างปี 2565-2568

ความเสี่ยงในการดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา กำไรในอนาคตของบริษัทขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการพัฒนาโครงการเป็นสำคัญ ในช่วงที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ บริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทั้งนี้ การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมมักมีความเสี่ยงในการก่อสร้างค่อนข้างสูงจากการออกแบบและการก่อสร้าง โดยความล่าช้าในการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายที่เกินกว่างบประมาณอาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อความเป็นไปได้ของโครงการ
นอกจากนี้ การลงทุนของบริษัทในโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่จะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงด้านทรัพยากรที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกด้วย ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำเป็นหลักซึ่งอาจมีความแปรปรวนเป็นอย่างมากในแต่ละปี ในขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังงานลมก็มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานที่สูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายของกลไกเครื่องจักรกลในการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังขึ้นอยู่กับปริมาณและความเร็วของกระแสลมอีกด้วย

รายได้และภาระหนี้มีแนวโน้มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาโครงการและซื้อกิจการได้ตามแผนการที่วางไว้และโรงไฟฟ้าของบริษัทน่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจต่อไป ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ราว 5.4 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.4-7.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568 ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมี EBITDA ที่ระดับ 3.6 พันล้านบาทในปี 2565 และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 6 พันล้านบาทต่อปีภายในปี 2568 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ราว 7-8 เท่าในช่วงปี 2566-2568 และคาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อทุนจะอยู่ที่ระดับ 50%-57% ในระหว่างปี 2566-2568
มีสภาพคล่องที่น่าพอใจ ทริสเรทติ้งประเมินว่าปัจจุบันบริษัทมีสถานะสภาพคล่องที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีเงินสดในมือประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ (วงเงินที่ไม่สามารถยกเลิกได้และวงเงินที่ไม่มีภาระผูกพัน) ประมาณ 1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 2.2 พันล้านบาทในปี 2565 ดังนั้น เงินสดและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ ตลอดจนเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดการณ์ไว้จะเพียงพอสำหรับการชำระเงินกู้ระยะยาวที่จะถึงกำหนดราว 3.9 พันล้านบาทได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
โครงสร้างหนี้สิน ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้ตามงบการเงินรวมทั้งสิ้นจำนวน 2.57 หมื่นล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) จำนวน 7.5 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมของบริษัทย่อย ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับ 29%
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ในช่วงปี 2565-2568 ประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ของบริษัทจะเป็นดังนี้

          -  โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย          : 13%-20%
          -  โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น         : 11%-15%
          -  โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน                : 16%-17%
          -  โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว                            : 48%-50%
ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนรวมถึงการลงทุนสุทธิจะอยู่ที่จำนวน 3.75 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2565-2568

กำลังการผลิตติดตั้งรวมจะเพิ่มขึ้นไปถึง 1,038 เมกะวัตต์ในปี 2568

อัตรา EBITDA จะอยู่ที่ประมาณ 67%-84% ในช่วงปี 2565-2568

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเอาไว้ได้โดยที่การก่อสร้างและการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ นั้นคาดว่าจะสำเร็จได้ตามแผน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทและกระแสเงินสดต่อภาระหนี้จะอยู่ในระดับที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ตลอดระยะเวลาในการขยายธุรกิจของบริษัท

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้ลงได้อย่างมีสาระสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงไปจากที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากซึ่งอาจเกิดจากการก่อหนี้เพื่อการลงทุนในระดับสูง

ทั้งนี้ ภายใต้ "เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ" (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้งนั้น อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทจะขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตองค์กรของ BCP ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับอันดับเครดิตของ BCP ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทในทิศทางเดียวกันได้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังอาจเปลี่ยนแปลงได้หากมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าสถานะของบริษัทที่มีต่อกลุ่มบางจากนั้นอ่อนแอลง