• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ TPIPL ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

Started by Fern751, March 22, 2022, 02:20:38 AM

Previous topic - Next topic

Fern751

ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ TPIPL ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" อันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย ตลอดจนตำแหน่งผู้นำในตลาดพลาสติก Low-density Polyethylene (LPDE) และ Ethylene Vinyl Acetate (EVA) และการมีกระแสเงินสดที่เชื่อถือได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงผลประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจใน 3 ธุรกิจหลักดังกล่าว รวมไปถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจพลาสติก ตลอดจนผลกระทบจากการหมดอายุของส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในธุรกิจผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงแนวโน้มสัดส่วนภาระหนี้สินของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ รวมไปถึงความเสี่ยงจากการลงทุนใน "โครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ" (Special Economic Zone -- SEZ)

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ในประเทศไทย
บริษัทยังคงเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ด้วยกำลังการผลิตต่อปีที่ 13.5 ล้านตัน หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 23% ของกำลังการผลิตทั้งประเทศ ทั้งนี้ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเกิดจากการมีธุรกิจขนาดใหญ่ การดำเนินธุรกิจปูนซีเมนต์ที่ครบวงจรในแนวดิ่ง (Vertical Integration) และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ ปูนซีเมนต์ คอนกรีต ไฟเบอร์ซีเมนต์ กระเบื้องคอนกรีต คอนกรีตมวลเบา และปูนสำเร็จรูป

อย่างไรก็ตาม ความเข้มแข็งในธุรกิจปูนซีเมนต์ดังกล่าวถูกลดทอนจากความเสี่ยงหลายประการ อาทิ วงจรอุตสาหกรรมที่มีลักษณะขึ้นลง การแข่งขันด้านราคา ลักษณะของธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนสูง และความผันผวนของราคาถ่านหิน เป็นต้น ทั้งนี้ จากราคาถ่านหินที่สูงในปัจจุบัน บริษัทได้เริ่มทดแทนถ่านหินที่ใช้อยู่ด้วยเชื้อเพลิง Refuse-Derived Fuel (RDF) ในสัดส่วนที่ 40% ทั้งนี้ ผู้บริหารคาดว่าโครงการทดแทนถ่านหินดังกล่าวน่าจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ประมาณ 1-2 พันล้านบาทในปี 2565

เป็นผู้นำในตลาดพลาสติก LPDE และ EVA
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตพลาสติก LDPE EVA และสินค้ากาวเคมีชั้นนำของประเทศไทยโดยมีกำลังการผลิตขนาด 158,000 ตันต่อปี โรงงานพลาสติกของบริษัทนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการปิโตรเลียมครบวงจรขนาดใหญ่ในจังหวัดระยอง บริษัทถือครองส่วนแบ่งทางการตลาดพลาสติก LDPE ภายในประเทศ ประมาณ 15% คิดตามกำลังการผลิตและเป็นเพียงผู้ผลิตรายเดียวในประเทศไทยที่สามารถผลิตพลาสติก EVA ได้

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้หันมามุ่งเน้นสินค้า EVA เฉพาะเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูงมากขึ้น ในขณะที่ดำเนินการลดการผลิตสินค้า LDPE แบบโภคภัณฑ์ทั่วไป โดยบริษัทมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ EVA ในธุรกิจพลาสติกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมดในปัจจุบัน นอกเหนือจากสินค้าเหล่านี้แล้ว บริษัทยังเป็นผู้ผลิตสินค้าเคมีภัณฑ์รายใหญ่ในประเทศไทยหลากหลายชนิดอีกด้วย เช่น กาว แอมโมเนียมไนไตรท และกรดไนตริก เป็นต้น ความเสี่ยงทางธุรกิจในธุรกิจพลาสติกของบริษัทนั้นมีที่มาจากความผันผวนของราคาในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและการแข่งขันของคู่แข่งระดับโลกบางราย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความผันผวนของราคานั้นมีผลกระทบที่น้อยสำหรับสินค้าพลาสติกที่เป็นเกรดพิเศษ อย่างเช่นสินค้า EVA ที่คุณภาพสูง และสินค้ากาวเคมีของบริษัท

กระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า
อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากสถานะเครดิตที่เข้มแข็งของ บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลัก โดยบริษัททีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะรายใหญ่ในประเทศไทย และเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 8 โรงซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 440 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าจำนวน 4 แห่ง (180 เมกะวัตต์) มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 3 ฉบับเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าขนาด 163 เมกะวัตต์ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ "AAA/Stable" จากทริสเรทติ้ง) สัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้นช่วยลดความเสี่ยงด้านอุปสงค์ อีกทั้งยังให้ Adder จำนวน 3.5 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 7 ปี

ผลประโยชน์จากการมีธุรกิจที่หลากหลาย
รายได้หลักของบริษัทมีมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (37% ของรายได้รวมในปี 2564) ธุรกิจพลาสติก (29%) และธุรกิจผลิตไฟฟ้า (22%) อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกระแสเงินสดนั้น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าสร้างกระแสเงินสดถึงประมาณ 40%-70% ของ EBITDA ของทั้งกลุ่มบริษัทในระหว่างปี 2562-2564 ผลกำไรและกระแสเงินสดโดยรวมของบริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากโรงไฟฟ้าทั้งหมดได้เปิดดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ ในมุมมองของทริสเรทติ้ง กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าสามารถชดเชยความผันผวนของธุรกิจปูนซีเมนต์และพลาสติกได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์จากการพึ่งพาแหล่งรายได้ที่แตกต่างกัน เช่น รายได้ปูนซีเมนต์ส่วนใหญ่มาจากอุปสงค์ภายในประเทศ ในขณะที่รายได้พลาสติกมาจากตลาดส่งออกเป็นหลัก

ผลการดำเนินงานที่ยังแข็งแกร่งในปี 2564
ผลกำไรของบริษัทพุ่งสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ในปี 2564 โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในธุรกิจพลาสติก กำไรที่สูงของธุรกิจพลาสติกนั้นเป็นผลมาจากส่วนต่างราคาที่กว้างขึ้นระหว่างราคาของ EVA รวมถึงสินค้ากาวเคมี และวัตถุดิบ ตลอดจนความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับ EVA เกรดสูงของบริษัทที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ตามการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เติบโตมากขึ้น ในขณะที่ โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF ยังคงดำเนินการได้อย่างดี และสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวสามารถผลิตปริมาณไฟฟ้าได้มากขึ้น เนื่องจากได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากการติดตั้งหม้อไอน้ำสำรอง นอกจากนี้ โรงงานปูนซีเมนต์ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้สามารถใช้ RDF เข้าไปทดแทนถ่านหินได้ถึง 40% ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนของปูนเม็ดได้

ในปี 2564 EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จาก 0.93 หมื่นล้านบาทในปี 2563 อัตรา EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 30.8% เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 17.4% อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ในปี 2564 ก็ปรับตัวดีขึ้นเป็น 4.8 เท่า ลดลงจาก 6.0 เท่าในปี 2563

ผลกระทบจากการหมดอายุของ Adder
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ในอนาคตของบริษัทจะลดลงจากการหมดอายุของ Adder ที่ใกล้จะมาถึงซึ่งจะมีผลในช่วงปี 2565-2568 รายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทคาดว่าจะเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไปเมื่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 2 ฉบับแรกรวมเป็น 73 เมกะวัตต์นั้นหมดอายุ อย่างไรก็ตาม ผลกำไรที่ลดลงของ Adder ที่หมดอายุในปี 2565 นั้นน่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่น่าจะฟื้นตัว รวมถึงการประหยัดของต้นทุนจากโครงการทดแทนถ่านหิน และค่า Ft ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทจะลดลงอีกครั้งในปี 2568 เมื่อ Adder ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับที่ใหญ่ที่สุดจำนวน 90 เมกะวัตต์นั้นหมดอายุ

ทริสเรทติ้งมองว่าความยั่งยืนของผลกำไรของบริษัทส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับจำนวนของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ที่บริษัทสามารถทำสัญญาได้นับจากนี้ไป ทั้งนี้ บริษัทได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ขนาดเล็ก 2 ฉบับ ได้แก่ สัญญาขนาด 8 เมกะวัตต์สำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะที่จังหวัดสงขลา และอีก 9.9 เมกะวัตต์สำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะอีกแห่งในจังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมเข้าร่วมประมูลสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะอีกหลายโครงการทั่วประเทศ คาด EBITDA น่าจะอยู่ระหว่าง 0.85-1.05 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2565-2567

ในการคาดการณ์กรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะลดลงในช่วงปี 2565-2566 ก่อนฟื้นตัวในปี 2567 และคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานขยะทั้ง 2 แห่งในจังหวัดสงขลาและจังหวัดนครราชสีมาจะเริ่มสร้างกระแสเงินสดได้ในต้นปี 2567 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีสมมติฐานว่าบริษัทจะได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ โดยโรงไฟฟ้าเหล่านี้น่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2567-2568 สำหรับธุรกิจพลาสติกนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรที่ดีของบริษัทน่าจะทยอยลดลงในปี 2565-2567 ตามสมมติฐานว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า สำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการก่อสร้างและราคาถ่านหินที่ลดลงในระยะยาว

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 0.85-0.9 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2566-2567 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทมีแนวโน้มลดลงโดย EBITDA Margin จะอยู่ในช่วง 23%-25% ในระหว่างปี 2566 และ 2567 ทั้งนี้ จากแรงกดดันต่อการทำกำไรที่จะเกิดขึ้นอันใกล้นี้ บริษัทได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อเพิ่มผลกำไรดังกล่าว ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตของ EVA การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า โครงการทดแทนถ่านหินในโรงงานปูนซีเมนต์และโรงไฟฟ้า และการเสนอขอสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหิน/RDF ขนาด 70 เมกะวัตต์ โอกาสที่ EBITDA จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นอาจจะเกิดจากส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกที่สูงกว่าที่คาดและการประสบความสำเร็จในโครงการลดต้นทุนต่าง ๆเหล่านั้นของบริษัท

ทั้งนี้ ทางผู้บริหารของบริษัทคาดว่าจะสามารถรักษา EBITDA ได้ถึง 1.3-1.4 หมื่นล้านบาทหากโครงการทั้งหมดประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ทางบริษัทคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA น่าจะอยู่ที่ 5 เท่าในระหว่างปี 2565-2568 ผลประโยชน์ที่จะอาจจะเกิดจากแผนการลดการปล่อยคาร์บอน

บริษัทมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนและการดำเนินธุรกิจตามหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก บริษัทได้เริ่มดำเนินโครงการทดแทนถ่านหิน โดยมุ่งเน้นที่การเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินไปเป็น RDF ในการผลิตปูนซีเมนต์และในโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงของบริษัท ในมุมมองของทริสเรทติ้ง การเปลี่ยนเชื้อเพลิงจะช่วยลดความเสี่ยงจากราคาถ่านหินและบรรเทาแรงกดดันด้านต้นทุนจากราคาถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงนี้ ถึงแม้ว่าคุณภาพความร้อนของ RDF จะต่ำกว่าถ่านหิน แต่ RDF ก็มีต้นทุนคงที่และมีความสัมพันธ์กับเชื้อเพลิงโภคภัณฑ์ทั่วโลกที่น้อยกว่า

โดยรวมแล้ว บริษัทวางแผนจะใช้เงินประมาณ 3.97 พันล้านบาทสำหรับโครงการทดแทนถ่านหินในช่วงปี 2565-2567 ในระยะเวลาอันใกล้นี้ บริษัทคาดว่าโครงการจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการประหยัดต้นทุนประมาณ 800 ล้านบาทในปี 2565 จากโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ของบริษัทในระยะยาว บริษัทคาดว่าความพยายามในการเปลี่ยนเชื้อเพลิงจะช่วยเพิ่มผลกำไรในรูปแบบของรายได้จากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตในอนาคต บริษัทได้เข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ซึ่งดำเนินการภายใต้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบคาร์บอนเครดิตในท้องถิ่น นอกจากนี้ บริษัทกำลังมองหาผู้ตรวจสอบระดับสากลเพื่อสนับสนุนแผนการค้าคาร์บอนเครดิตในตลาดต่างประเทศในอนาคตอีกด้วย สัดส่วนภาระหนี้สินน่าจะสูงขึ้น

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังมีการลงทุนอย่างมากในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยการลงทุนหลักจะประกอบด้วย การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 2 แห่งในจังหวัดสงขลาและนครราชสีมาจำนวน 3.05 พันล้านบาท การขยายกำลังการผลิต RDF 1.2 พันล้านบาท โครงการทดแทนถ่านหินจำนวน 3.97 พันล้านบาท และการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอื่น ๆ อีก ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะค่อย ๆ อ่อนแอลงเนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 7-8 เท่าในปี 2567 จาก 4.8 เท่าในปี 2564 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อส่วนทุนคาดว่าจะอยู่ในช่วง 50%-55% ในช่วงปี 2565-2567 เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาทในปี 2565 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 5.6-5.8 พันล้านบาทต่อปีในปี 2566-2567 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้ทางการเงินสุทธิคาดว่าจะลดลงเป็น 13% ในปี 2565 จาก 16% ในปี 2564 และคงระดับต่ำที่ประมาณ 9% ในปี 2566-2567

โครงการ SEZ ถูกระงับ

บริษัทได้เตรียมการลงทุนขนาดใหญ่ในการพัฒนาโครงการ SEZ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทย (Southern Seaboard) โดยโครงการดังกล่าวจะประกอบไปด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม โครงการ SEZ ถูกสั่งให้หยุดดำเนินการเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) หลังจากเผชิญกับการคัดค้านอย่างรุนแรงจากผู้อยู่อาศัยในอำเภอจะนะ ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าทำให้บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงเนื่องจากบริษัทได้จัดซื้อที่ดินในอำเภอจะนะไปแล้วรวมมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่โครงการยังมีความไม่แน่นอนว่าจะสามารถดำเนินการต่อได้หรือไม่ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวถูกระงับชั่วคราว และความก้าวหน้าของโครงการนั้นจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเชื่อมั่นว่าโครงการน่าจะยังดำเนินต่อไป เนื่องจากเป็นโครงการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ และได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว มีการพึ่งพาเงินกู้จากหุ้นกู้อย่างมาก

ณ สิ้นปี 2564 หนี้รวมของบริษัทไม่รวมสัญญาเช่าการเงินมีจำนวน 6.77 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นหุ้นกู้ไม่มีหลักประกัน ทั้งนี้ บริษัทยังคงใช้หุ้นกู้เป็นแหล่งเงินทุนหลักเนื่องจากเป็นทางเลือกของผู้บริหาร ประกอบกับสภาวะตลาดหุ้นกู้ที่ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทยังคงมีหุ้นกู้คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 80% ของภาระหนี้โดยรวม จากการพึ่งพาหุ้นกู้ในสัดส่วนที่สูง ทริสเรทติ้งมองว่าความสามารถในการรีไฟแนนซ์ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทยังคงสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ได้ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวกำหนดให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต้องอยู่ต่ำกว่า 1.5 เท่า ในขณะที่ ณ เดือนธันวาคม 2564 อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ที่ 1.18 เท่า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้จากการดำเนินงานจะลดลงเหลือ 3.85 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 3.65 หมื่นล้านบาทในปี 2566 ก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาทในปี 2567

EBITDA Margin จะลดลงสู่ 27% ในปี 2565 และอยู่ระหว่าง 23%-25% ระหว่าง 2566-2567

เงินลงทุนจะอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้น 5-9 พันล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2565-2567

อัตราการจ่ายปันผลจะอยู่ที่ระดับ 50%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าสถานะในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจพลาสติกจะยังคงเดิม ในขณะที่ธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจและยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่กลุ่ม ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการแสวงหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ซึ่งจะเข้ามามีส่วนช่วยชดเชยกระแสเงินสดที่ลดลงจากการหมดอายุของ Adder ได้ ในขณะที่ผลการดำเนินงานและสัดส่วนภาระหนี้สินของบริษัทจะยังคงเป็นไปตามการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นมีจำกัดในเวลาอันใกล้นี้จากแนวโน้มของกระแสเงินสดที่ลดตัวลง ประกอบการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะคงดำเนินอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี การปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นก็อาจจะเกิดได้หากบริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าบริษัทได้รับประโยชน์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานต่าง ๆ และ/หรือ ประสบความสำเร็จในการได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ ๆ ซึ่งสามารถช่วยชดเชยผลกระทบจากการหมดอายุของ Adder ได้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจจะมีผลต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจจะเกิดจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงต่ำกว่า 6 เท่าเป็นระยะเวลานาน และบริษัทสามารถกระจายความหลากหลายของแหล่งกู้ยืมได้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่สูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจจะเกิดได้จากการที่ผลกำไรลดลงอย่างมาก และ/หรือบริษัทมีการลงทุนโดยใช้หนี้เงินกู้อย่างเกินตัว นอกจากนี้ การสูญเสียส่วนทุนจำนวนมากจากคดีฟ้องร้องที่ยังคงค้างอยู่ก็อาจส่งผลทำให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้ด้วยเช่นกัน