• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Hanako5

#10427


วันที่ 1 กันยายน 2564 ถือเป็น "วันดีเดย์" ที่เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ควบคุมโรคระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้กลับมามีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาต้องหยุดชะงักกันไปนานพอสมควร

ซึ่งตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาชาติ ข้อที่ 2 ที่ว่าด้วยการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานของประชาชน รัฐจึงได้มีการประกาศพ.ร.บ.ผ่อนผันการให้บริการของธุรกิจร้านอาหาร และการบริการในบางประเภท ให้สามารถเปิดบริการได้ตามข้อกำหนด เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเพื่อให้เศรษฐกิจไทยได้เดินหน้าต่อไป

รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงเสาวคนธ์ รัตนวิจิตราศิลป์ คณบดีคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แสดงความห่วงใยถึงความพร้อมของนโยบายที่จะรองรับสถานการณ์วิกฤติ COVID-19 และเรียนรู้จากปัญหาของการจัดการการระบาดในระลอกที่ผ่านมา ซึ่งมีสถานการณ์ที่รุนแรง พบมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยสูงมาก จนต้องปิดกิจการจำนวนมากเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น อัตราการตรวจเชื้อที่ต่ำ ทำให้ไม่รู้เท่าทันต่ออัตราการระบาดที่แท้จริง การทำกิจกรรมต่างๆ โดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ ส่งผลให้การระบาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมายลักลอบผ่านชายแดนเข้ามาทำงานในไทยจำนวนมาก ทำให้เกิดเชื้อไวรัส COVID-19 กลายพันธุ์จากต่างแดนระบาดจนยากต่อการควบคุม

ปัญหาเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการกำหนดนโยบายบนฐานของ "ความคิดเชิงระบบ" ที่ควรจะต้องมีการเตรียมพร้อมอย่างรัดกุมในทุกด้านในการคลายล็อกกิจการ และกิจกรรมต่างๆ ซึ่งบทเรียนจากการระบาดรอบที่ผ่านมาทำให้ไทยจำเป็นต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างรอบด้าน เพื่อควบคุมการระบาดไม่ให้แพร่กระจายซ้ำรอยวิกฤติที่ผ่านมา

ซึ่งวัคซีนชนิดที่เท่าทัน มีความจำเป็นต่อการป้องกันโรค COVID-19 เนื่องจากการระบาดเกิดขึ้นทั่วโลก ในขณะที่กำลังการผลิตวัคซีนไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทันที การจัดหาวัคซีนจึงต้องมีการวางแผนไปข้างหน้า โดยคำนึงถึง "จำนวน" และ "ช่วงเวลา" ที่วัคซีนจะมาถึง "ชนิด" และ "ความหลากหลาย" ของวัคซีนที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันสูงต่อเชื้อกลายพันธุ์ รวมไปถึง "การคาดประมาณอัตราการระบาดเพิ่ม" ของเชื้อกลายพันธุ์แต่ละสายพันธุ์

นอกจากการให้ประชาชนจำนวนมากได้เข้ารับการฉีดวัคซีนจนเกิด "ภูมิคุ้มกันหมู่" แล้ว จำเป็นต้องควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคล ตลอดจนมาตรการของธุรกิจและกิจการต่างๆ ในการป้องกันการติดเชื้อที่เคร่งครัด ทั้งในเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือ และการรักษาระยะห่าง ฯลฯ

นอกจากนี้ ควรให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนไม่ใช่ว่าจะมีภูมิคุ้มกันในทันที แต่จะต้องรักษาระยะห่างจนกว่าจะฉีดครบ 2 เข็ม และหลังจากนั้นประมาณอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่างกายจึงจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคได้ นอกจากนี้ วัคซีนบางชนิดอาจยังไม่สามารถป้องกันครอบคลุมเชื้อไวรัส COVID-19 กลายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาด ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท

รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงเสาวคนธ์ รัตนวิจิตราศิลป์ ได้กล่าวทิ้งท้ายโดยเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์จากวิกฤติ COVID-19 ที่ผ่านมา จะทำให้ประชาชนได้ทั้ง "รู้เท่าทันโรค" และ "รู้เท่าทันโลก" โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รู้จักที่จะพึ่งพาและดูแลตัวเอง เพื่อให้ห่างไกลจาก COVID-19 ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เราจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ หากไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างเป็นระบบ เพื่อรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
#10428


จากข้อมูลด้านระบาดวิทยาและการติดเชื้อของโรคโควิด-19 ณ วันที่ 29 ส.ค.64 พบผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้ว จำนวนกว่า 212 ล้านราย และผู้เสียชีวิตกว่า 4 ล้านราย ซึ่งแม้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในยุโรป ที่มีระบบจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพก็ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ดี หรือในประเทศที่มีแนวโน้มการระบาดของโรคลดลงแต่ยังมีการระบาดซ้ำต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน รวมไปถึงการขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์ และระบบสุขภาพในภาพรวม

ดร.จุไรรัตน์ พรหมใจ ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า "จากปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ส่งผลกระทบไปทุกมิติทั่วโลก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้อีกมากและอย่างเร่งด่วน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงได้สนับสนุนทุนโครงการ "การศึกษาโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) : งานวิจัยไวรัสวิทยา การศึกษาข้อมูลการตรวจวินิจฉัย การรักษา และการพัฒนาวัคซีน" โดยทีมวิจัยจากภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา, สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยชีวสารสนเทศและการจัดการข้อมูลวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อทบทวน และสรุป องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 จากงานวิชาการหลากหลายแหล่งในระดับชาติและนานาชาติ ตลอดจนการรวบรวมความคิดเห็นของนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในระดับประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนางานวิจัยสร้างองค์ความรู้เชิงโนบายสาธารณและนวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ในประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป" 



ผศ.ดร.ไตรวิทย์ รัตนโรจนพงศ์ นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวถึงงานวิจัยเรื่องนี้ว่า ทีมวิจัยได้รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติทางชีววิทยา การรักษาป้องกัน และการตรวจวินิจฉัยเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จากข้อมูลวิชาการและรายงานจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือที่มีในปัจจุบัน ทั้งงานวิจัยที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการนานาชาติและระดับชาติ มาสรุปในโครงการศึกษาฯ ดังกล่าว ซึ่งมีประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น วิวัฒนาการระดับโมเลกุลและจีโนไทป์ของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งมีรายงานผลการศึกษาระบุว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในอดีตที่ผ่านมา เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส (SARS-CoV) และโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS-CoV) ล้วนชี้ให้เห็นว่า ไวรัสเหล่านี้มีศักยภาพสูงในการติดและแพร่กระจายเชื้อไปได้ในวงกว้าง ซึ่งพบว่าการกลายพันธุ์ในจีโนมหรือพันธุกรรมของเชื้อที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงลำดับกรดอะมิโนหรือที่เราเรียกว่า nonsynonymous substitution มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งต่อความสามารถในการติดและแพร่กระจายตัวของเชื้อ ในกรณีของการกลายพันธุ์ในส่วนของโปรตีน Spike ของเชื้อไวรัสโคโรน่านั้น จะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพให้เชื้อไวรัสสามารถเปลี่ยนไปติดเชื้อในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ได้ และยังพบด้วยว่าการกลายพันธุ์เพียงกรดอะมิโนเดียว ก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการทำลายเซลล์ของผู้รับเชื้ออีกด้วย 



แต่เนื่องจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เป็นเชื้อไวรัสอุบัติใหม่ ที่รู้จักเมื่อปลายปี 2562 ดังนั้นจึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงวิวัฒนาการระดับโมเลกุล เพื่อค้นหาแหล่งที่มาของเชื้อชนิดนี้ มีการศึกษาจำนวนมากที่พยายามพิสูจน์ว่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มีสารรหัสพันธุกรรม รวมถึงจีโนมคล้ายกับเชื้อไวรัสโคโรน่าของค้างคาว ผลการวิเคราะห์จากนักวิจัยหลายแหล่งข้อมูล ชี้ตรงกันว่าลำดับนิวคลีโอไทด์จากชิ้นส่วนของยีนสำคัญ ๆ ของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มีวิวัฒนาการใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสโคโรน่าที่แยกจากค้างคาวเนื่องจากเชื้อทั้งสองชนิดนี้มีบรรพบุรุษร่วมกัน (common ancestor) ทำให้อนุมานได้ว่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 น่าจะวิวัฒนาการมาจากการกลายพันธุ์ ซึ่งทำให้เชื้อมีความสามารถที่จะจับกับโมเลกุลตัวรับบนเซลล์มนุษย์ จนทำให้เกิดการติดเชื้อไปสู่คนในที่สุด

จากการค้นคว้าข้อมูลของทีมวิจัยยังพบว่า การศึกษาเกี่ยวกับจีโนไทป์ (genotyping) หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัส เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจการระบาดของเชื้อและสามารถช่วยวางนโยบายในการป้องกันการระบาดของโรคได้ด้วย ในทางทฤษฎีการศึกษาจีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ ควรเริ่มต้นจากการเข้าใจวิวัฒนาการเชิงโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นก่อน ในกรณีของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลสารพันธุกรรม มีบทบาทสำคัญต่อการเข้าใจจีโนไทป์ของเชื้อไวรัส แต่เนื่องจากไวรัส SARS-CoV-2 เป็นไวรัสที่มีจีโนมขนาดใหญ่ ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลตลอดจีโนมไม่ใช่สิ่งง่าย เนื่องจากการวิเคราะห์ดังกล่าวต้องการประสิทธิภาพในการคำนวณด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีกำลังในการประมวลผลสูง และมีการจัดการข้อมูลที่ยุ่งยากพอสมควร ทำให้การวิจัยจำนวนมากเริ่มต้นจากการเลือกใช้ข้อมูลนิวคลีโอไทด์บางส่วน มาเป็นตัวแทนของข้อมูลในการศึกษาวิวัฒนาการระดับโมเลกุลเพื่อลดภาระและเวลาในการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์

รายงานฉบับนี้ทางผู้วิจัยยังได้กล่าวว่า "ระบบมาตรฐานของการศึกษาด้านจีโนไทป์หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในปัจจุบันจำเป็นต้องใช้ข้อมูลนิวคลีโอไทด์ตลอดจีโนมของเชื้อไวรัสในการเปรียบเทียบวิเคราะห์ยังมีข้อจำกัดว่าต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีกำลังในการประมวลผลสูง ทำให้ข้อมูลจีโนไทป์ของไวรัส SARS-CoV-2 ยังมีการถกเถียงกันอยู่และยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอีกมาก อย่างไรก็ตามการสร้างแผนภูมิที่แสดงถึงสายวิวัฒนาการ phylogenetic tree เพื่อศึกษาระบาดวิทยาโมเลกุล และความหลากหลายทางชีวภาพของไวรัส ยังเป็นความต้องการของประเทศอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยให้เห็นรูปแบบการระบาดของเชื้อแล้ว ยังมีบทบาทต่อการวางนโยบายทางสาธารณสุขเพื่อป้องกันต่อไป"

นอกจากนี้ ในรายงานการศึกษาดังกล่าว ยังได้ทบทวนองค์ความรู้ในด้านการตรวจวินิจฉัยเชื้อด้วยชุดตรวจแบบต่างๆ, การพัฒนายาต้านไวรัส SARS-CoV-2, และปฏิสัมพันธ์ระหว่างไวรัส SARS-CoV-2 กับสิ่งมีชีวิตและการป้องกันโรคที่จะเน้นไปที่ระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 อีกด้วย
#10429
คิดจะ ถมดิน ขุดท่อ ทำถนน ขุดสระ ถางป่า เครียร์พื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#10430
เรื่องงานดิน ให้เป็นหน้าที่เรา บริการครบวงจร ยินดีให้คำปรึกษา โทร 080-022-3804 หรือ www.mmee2000.com
#10431
ขายดาวน์  247,800 ( กค 2564 ) ห้อง 225
#10432


วันนี้ (1 ก.ย.) มหาวิทยาลัยรามคำแหง โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีและมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU)ในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 "ซีพี-รามคำแหง-นพรัตน์ราชธานี" ณ อาคารโรงยิมเนเซียม 1 ภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อช่วยดูแลรักษาในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่รอเข้ารับการรักษาในระบบ ทั้งบุคลากรทางการศึกษา นักศึกษาและประชาชนทั่วไป และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ในการนี้มีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธาน โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เข้าร่วม ณ อาคารพิริยราม มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ที่รอเข้ารับการรักษาในระบบจากโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงได้ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมทั้งสำนักงานเขตบางกะปิ ในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 (Community Isolation: CI) เพื่อช่วยดูแลรักษาในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่รอเข้ารับการรักษาในระบบ โดยใช้อาคารยิมเนเซียม 1 บริเวณใกล้ประตูทางออกด้านหลัง ม.ร. เป็นสถานที่ดำเนินการ ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วยได้ 170 เตียง และหากมีความจำเป็นที่จะต้องขยายเพิ่มเติม ทางมหาวิทยาลัยและภาคีเครือข่ายพร้อมจะดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการปรับปรุงด้านสถานที่ และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการเป็นศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ในการจัดทีมแพทย์- พยาบาล เพื่อดูแลรักษาและเฝ้าสังเกตอาการของผู้ติดเชื้อในศูนย์พักคอย โดยสำนักงานเขตบางกะปิ และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี จะเป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง รายชื่อผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่จะเข้าพักรักษาตัว ณ ศูนย์พักคอย มหาวิทยาลัยรามคำแหง

อธิการบดี ม.ร.กล่าวในตอนท้ายว่า ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนในทุกด้านอย่างดียิ่งจนทำให้ศูนย์พักคอย มหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมจะเปิดบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป โดย ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จะเป็นประธานเปิดศูนย์พักคอย สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในวันที่ 1 กันยายน 2564 เวลา 08.30 น. พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะมาร่วมงานและเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์พักคอยฯ ด้วย

นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ยังคงระบาดรุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันว่า โรงพยาบาลสนามมีไม่เพียงพอรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน เกินศักยภาพที่โรงพยาบาลในระบบจะรับมือได้ โรงพยาบาลสนามจึงมีความสำคัญต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ดังนั้นเพื่อให้มีจำนวนเตียงเพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยโควิด-19 เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงมีนโยบายสร้างโรงพยาบาลสนาม เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งวันนี้ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี สร้างศูนย์พักคอย สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ขึ้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศูนย์พักคอยแห่งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขของประเทศ และขอขอบพระคุณ กรมการแพทย์ สำนักสวัสดิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย สำนักงานเขตบางกะปิ และทุกคนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันเปลี่ยนโรงยิม 1 ของมหาวิทยาลัยรามคำแห่งนี้ให้เป็นศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งจะได้สร้างประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวมในยามที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากในครั้งนี้

ด้านศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโควิดที่ต้องการเตียง หรือสถานพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาเป็นการเร่งด่วน กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการให้ผู้ป่วยโควิดได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จึงได้สนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษา ร่วมกันบูรณาการโดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาด้วยการจัดตั้งศูนย์พักคอยและโรงพยาบาลสนามขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด-19 มีสถานที่รองรับในการเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

"ขอบคุณหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ภายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เครือเจริญโภคภัณฑ์ กรมการแพทย์ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตบางกะปิ ที่ให้ความสำคัญและร่วมมือกันจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ให้ผู้ป่วยโควิดสึเขียว ซึ่งอยู่ระหว่างการรอส่งต่อโรงพยาบาลและใช้เป็นสถานที่สำหรับดูแลกลุ่มคนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษระหว่างรอเตียง และขอให้ทุกฝ่ายรวมพลังรวมใจมีความสามัคคีช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ เพื่อยหุดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ของสังคมส่วนรวมและประเทศชาติให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเจริญอย่างมั่นคง ยั่งยืนและสันติสุขสืบไป"
#10433


นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ยอดทีมแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปิดดีลคว้าตัว ซานติอาโก มูญอซ หัวหอกดาวรุ่งชาวเม็กซิกัน มาร่วมทัพ ซึ่งกลายเป็นที่ฮือฮาเนื่องจากชื่อของนักเตะละม้ายคล้ายคลึงกับ ซานติอาโก มูเญซ ในภาพยนต์เรื่อง Goal!

แข้งวัย 19 ปี เกิดในเมืองเอล ปาโซ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งบ้านเกิดของเขามีชายแดนที่ติดกับประเทศเม็กซิโก แต่เจ้าตัวเริ่มต้นอาชีพนักฟุต.กับทีมซานโตส ลากูน่า ยักษ์ใหญ่ในลีกแดนจังโก้ และมีชื่อติดทีมชาติเม็กซิโก รุ่นอายุไม่เกิน 17 และ 23 ปี ไปแล้ว

โดย 'สาลิกาดง' ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ ซานติอาโก มูญอซ ในรูปแบบของสัญญายืมตัวยาว 18 เดือน พ่วงอ็อปชั่นซื้อขาด ทั้งนี้่เจ้าตัวจะต้องมาลงเล่นให้กับทีมอะคาเดมีของ นิวคาสเซิล เสียก่อน และค่อยลุ้นไต่เต้าขึ้นทีมชุดใหญ่อีกครั้ง

การย้ายทีมในครั้งนี้ของ ซานติอาโก มูญอซ เรียกเสียงฮือฮาให้กับแฟนนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เป็นอย่างมาก เนื่องจากชื่อของเขาดันไปคล้ายคลึงกับ ซานติอาโก มูเญซ ตัวละครเอกในภาพยนต์เรื่อง Goal! ซึ่งในเรื่องนั้น มูเญซ เป็นชาวเม็กซิกัน และได้ทำตามความฝันคือการได้มาเล่นฟุต.อาชีพกับ นิวคาสเซิล ที่เกาะอังกฤษ

สำหรับ ซานติอาโก มูญอซ ทำผลงานได้น่าประทับใจให้กับซานโตส ลากูน่า เขามีชื่อลงเล่นทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปี เคยช่วยทีมจังโก้คว้าแชมป์คอนคาเคฟ ยู-17 ด้วยการซัดไปถึง 5 ประตูในทัวร์นาเมนต์ และยังเป็นหนึ่งในขุนพลเม็กซิโก ยู-17 ที่คว้ารองแชมป์โลกเมื่อปี 2019 อีกด้วย
#10434


"เซ็นทรัลพัฒนา" ย้ำผู้นำศูนย์การค้า สะอาด ปลอดภัย COVID-FREE เปิดตัวมาตรการ "เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+" มั่นใจขั้นสูงสุด พนักงานฉีดวัคซีนแล้ว และตรวจคัดกรอง ATK ต่อเนื่อง พร้อมเปิดศูนย์การค้า 1 ก.ย.นี้ พนักงานพร้อม: พนักงานฉีดวัคซีนแล้ว, ตรวจ ATK 100% วันแรก และสุ่มตรวจต่อเนื่องทุกสัปดาห์, สวมหน้ากากอนามัยป้องกัน 2 ชั้น ศูนย์การค้าพร้อม: ฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศด้วยแสง UV-C, เช็ดถูจุดสัมผัสทุก 30 นาที, และทำ Big Cleaning ฆ่าเชื้อทุกวัน

วันนี้ (31 ส.ค. 64) ดร. วัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นางวัลยา วัฒนรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะผู้บริหารลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของมาตรการที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ก่อนเปิดให้บริการตามปกติพร้อมกัน 21 สาขาในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพและปริมณฑล, ชลบุรี, ระยอง, นครราชสีมา และหาดใหญ่
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า "เซ็นทรัลพัฒนา เราได้ริเริ่มแผนแม่บทมาตรการความสะอาดมาตั้งแต่เริ่มต้นการระบาด สร้างมาตรฐานใหม่ New Normal และเราไม่เคยหยุดยั้งในการยกระดับมาตรการ ปรับปรุงตามสถานการณ์ เพื่อให้ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน เป็นต้นแบบมาตรการยกระดับเข้มข้นสูงสุดของวงการศูนย์การค้าไทย อีกทั้งยังช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งคู่ค้าผู้เช่า และอาชีพต่างๆ ไปพร้อมกันด้วย ซึ่งการเปิดศูนย์การค้าภายใต้นโยบายที่ภาครัฐควบคุมดูแลจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศให้เดินหน้า ซึ่งเราหวังว่าสถานการณ์ในประเทศจะค่อยๆ คลี่คลาย พร้อมฟื้นตัวช่วงปลายปี"



"ทั้งนี้จากการประกาศของศบค.เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่อนุญาตให้ธุรกิจในศูนย์การค้าเปิดให้บริการได้เพิ่มเติมได้นั้น เรามีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเปิดให้บริการ และพร้อมปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัด ในฐานะผู้นำแผนแม่บทเซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ ใน 5 แกนหลัก 75 มาตรการ เรามุ่งมั่นและต้องการรณรงค์ให้ทุกคนร่วมกันสร้างสังคมที่สะอาด ปลอดภัยด้วยกัน จึงเป็นที่มาของการพัฒนามาตรการ เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+ ที่เข้มข้นขึ้น โดยเน้นที่การดูแลสถานที่และพนักงานให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พื้นที่ของศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ปลอดภัย COVID-FREE เป็นต้นแบบของการบริหารจัดการมาตรการของศูนย์การค้าไทยต่อไป" ดร. ณัฐกิตติ์ กล่าว

"โดยมาตรการ "เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+" สอดคล้องตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำเป็นพิเศษในการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล รวมไปถึงให้พนักงานให้บริการมีการฉีดวัคซีน – ตรวจคัดกรองวันแรก 100% และต่อเนื่องทุกสัปดาห์ – กักตัวอย่างเป็นระบบ – เว้นระยะห่าง – สะอาดปลอดภัยตลอดเวลาทุกวัน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทั้งผู้เช่าร้านค้า และพนักงานภายในศูนย์การค้า ที่พร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการอย่างเต็มที่ รวมถึงการประเมินร้านค้าผ่าน Thai Stop Covid Plus, พนักงานประเมินตนเองผ่าน Thai Safe Thai ทุกวัน ตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้มาใช้บริการ" ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าว



ไฮไลท์ มาตรการ "เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+" ยกระดับเข้มข้นสูงสุด อาทิ
• Extra Screening+ เรื่องการฉีดวัคซีน และตรวจคัดกรองด้วย ATK
สำหรับลูกค้า
◦ ลูกค้าที่มาใช้บริการในศูนย์การค้าทุกคนต้องสแกน "ไทยชนะ" ก่อนเข้าพื้นที่ศูนย์การค้า และร้านค้าทุกครั้ง
◦ ส่งเสริมให้ทุกคนร่วมกันสร้างสังคมสะอาด ปลอดภัย ด้วยการแสดงหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ 1) ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม 2) ผลตรวจ ATK ไม่เกิน 7 วัน 3) ผู้ป่วยที่หายจากโควิด ไม่เกิน 3 เดือน แสดงใบรับรองแพทย์ 4) ผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 7 วัน 5) ประเมินความเสี่ยงผ่าน ไทยเซฟไทย ทุกวัน
◦ เน้นย้ำการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา วัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล



สำหรับพนักงาน

◦ พนักงานที่จะเข้าปฏิบัติงานในศูนย์การค้าเซ็นทรัล มี 3 ทางเลือก ได้แก่
1. พนักงานร้านค้า และศูนย์การค้าต้องฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม พร้อมแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน
2. พนักงานที่เคยติดโควิดและรักษาหายแล้ว ต้องมีใบรับรองแพทย์ไม่เกิน 3 เดือน
3. พนักงานที่ยังรอรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะต้องตรวจ ATK ในครั้งแรกทุกคน และตรวจเป็นระยะต่อเนื่อง ทุกสัปดาห์
◦ วันแรกที่เปิดให้บริการ พนักงานต้องตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ทุกคน 100% และสุ่มตรวจคัดกรองด้วย ATK หมุนเวียนทุกสัปดาห์
• หากมีอาการ พนักงานต้องหยุดทำงาน และไปตรวจ ATK ทันที
• ผลการตรวจ ATK ของพนักงาน ต้องได้รับการรับรองจากบริษัทต้นสังกัด โดยใบรับรองจะมีผลใช้ได้ 3 วัน นับจากวันที่ตรวจ
• อุปกรณ์การตรวจ ATK ต้องเป็นแบรนด์ที่ได้รับเครื่องหมาย อย. เท่านั้น
• 100% Social Distancing+
• จำกัดจำนวนคนในพื้นที่ 1 ต่อ 5 ตร.ม.
• ร้านอาหาร นั่งได้ 50% ของพื้นที่เพื่อลดความแออัดและ 75% หากไม่มีแอร์
• สำหรับศูนย์อาหาร จัดให้มีระบบ Customer counting ในการควบคุมจำนวนลูกค้า 50% ของพื้นที่
• ส่งเสริมการจองคิวล่วงหน้า และการทำธุรกรรมผ่านออนไลน์
• พนักงานต้องทานข้าวคนเดียวเท่านั้น



• กำหนดระยะห่างระหว่างบุคคลเมื่อใช้บันไดเลื่อน ไม่ต่ำกว่า 2 เมตร หรือ 4 ขั้นบันไดเลื่อน
• Extra Deep Cleaning+
• ฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศในศูนย์การค้าตลอดเวลาด้วยแสง UV-C, ควบคุมระบบอากาศหมุนเวียนภายใน 5-6 ACH และล้างไส้กรองแอร์ทุก 2 เดือน
• ทำความสะอาดทุกจุดสัมผัสทุก 30 นาที
• ทำความสะอาด Big Cleaning หลังศูนย์ฯ ปิดทุกวัน
• ศูนย์การค้า / ร้านค้า ต้องลงทะเบียนเพื่อทำการประเมินผ่าน Thai Stop Covid Plus
• พนักงานศูนย์ฯ และร้านค้าทุกคน ต้องประเมินตนเองผ่าน Thai Save Thai ทุกวัน
• ป้องกัน 2 ชั้น พนักงานทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น หรือ ใส่หน้ากากอนามัย 1 ชั้น และ Face Shield
• ห้ามเดินทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ระหว่างอยู่ในศูนย์การค้า
• ตรวจสอบคุณภาพน้ำตลอดเวลา โดยควบคุมระดับคลอรีนฆ่าเชื้อในน้ำไม่ต่ำกว่า 0.5 ppm
โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัล 21 สาขาในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด จะเปิดให้บริการธุรกิจตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 11:00 – 20:00 น.* ยกเว้นบางธุรกิจที่เปิดแบบมีเงื่อนไข ได้แก่
• ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม/ Food Court ที่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งรับประทานได้ 50% สำหรับร้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ นั่งรับประทานได้ 75% และงดจำหน่ายและดื่มสุราในร้านอาหาร
• ร้านเสริมสวย ร้านตัดผมหรือแต่งผม เปิดได้เฉพาะตัด สระ ซอย แต่งผม โดยผ่านการนัดหมาย ให้บริการไม่เกิน 1 ชั่วโมง และต้องไม่มีผู้นั่งรอในร้าน
• ร้านนวด เปิดได้เฉพาะฝ่าเท้า โดยผ่านการนัดหมาย
• คลินิกเวชกรรม คลินิกเสริมความงาม (ต้องนัดหมายล่วงหน้าเท่านั้น)



โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั้ง 21 สาขา ในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เฟสติวัล อิสต์วิลล์, เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, ปิ่นเกล้า, พระราม 2, พระราม 3, แกรนด์ พระราม 9, รามอินทรา, บางนา, แจ้งวัฒนะ, เวสต์เกต, รัตนาธิเบศร์, ศาลายา, มหาชัย, เซ็นทรัลวิลเลจ, เซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี, เซ็นทรัล มารีนา, เฟสติวัล พัทยา บีช, เซ็นทรัลพลาซา ระยอง, นครราชสีมา และเฟสติวัล หาดใหญ่ เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 11:00 – 20:00 น.* ซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดให้บริการ 8:00 – 20:00 น. ทุกวัน*
เซ็นทรัลพัฒนา พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ ในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และพร้อมดูแลทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพื่อให้เราทุกคนฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุดและช่วยกันขับเคลื่อนประเทศชาติให้ยังคงเดินหน้าต่อไป
#10436


เป็นที่รู้มานานว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ กฟผ. มีผลพลอยได้จากการผลิตไฟฟ้าเป็นเถ้าลอยที่นำไปขายต่อถึงปีละกว่า 9 แสนตัน แต่ก็มีเถ้าลอยอีกส่วนไม่สามารถสร้างประโยชน์ และต้องนำไปทิ้งซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเพื่อฝังกลบ แต่ในวันนี้ กฟผ.มีวิธีนำเถ้าลอยที่ต้องทิ้ง ผลิตเป็นสินค้าสร้างประโยชน์ได้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง ใช้ถ่านหินลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่ง กฟผ. มีมาตรฐานในการดูแล และควบคุมการปล่อยมลสารอย่างเข้มงวด และในกระบวนการผลิตไฟฟ้ายังมีผลพลอยได้ คือ 'เถ้าลอย' (Fly Ash) สามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมสำหรับงานก่อสร้าง เช่น คอนกรีต เสาเข็ม พื้นสำเร็จรูป กระเบื้อง ฯลฯ

แต่ไม่ใช่เถ้าลอยทั้งหมดที่สามารถนำไปใช้งานได้ ยังมีบางส่วนที่ถูกทิ้ง เพราะองค์ประกอบทางเคมีไม่ผ่านเกณฑ์ กฟผ. จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) นำโดย รศ.ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ คณบดีวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม นำเถ้าลอยที่ไม่ได้มาตรฐานมาวิจัยเพื่อหาทางนำสิ่งไร้ค่ามาพัฒนาให้เกิดประโยชน์

"เถ้าลอยที่มีค่ามักถูกนำไปเป็นส่วนผสมเสริมเพื่อทดแทนปูนซีเมนต์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลัก" ประเด็นคำถามนี้จุดประกายแนวคิด กฟผ. และอาจารย์สมิตร ร่วมกันหาแนวทางการผลิตคอนกรีตจากเถ้าลอยที่ต้องถูกทิ้ง (Activated Fly Ash)  ซึ่งในที่สุดก็พบว่า สภาพคอนกรีตจากเถ้าลอยที่ถูกทิ้งนั้นมีความแข็งแรงและคงทน ลักษณะทางกายภาพเหมือนกับการใช้ปูนซีเมนต์

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ที่่จ.ลำปาง ผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลิกไนต์ ทำให้เกิดเถ้าลอย 
โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ที่่จ.ลำปาง ผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลิกไนต์ ทำให้เกิดเถ้าลอย

เฉลิมพล บุญส่ง หัวหน้าแผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์ธุรกิจวัตถุพลอยได้ กองธุรกิจวัตถุพลอยได้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อธิบายถึงที่มาของเถ้าลอย และความมุ่งมั่นในการนำเถ้าลอยที่มีคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์การขายไปพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มโดยนำไปใช้ประโยชน์ว่า

"ถ่านหินลิกไนต์ที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า เมื่อใช้มาเป็นเวลานานก็ต้องยิ่งขุดลึกลงไปเรื่อยๆ เพื่อนำถ่านหินด้านล่างมาใช้ ยิ่งขุดถ่านหินลึกเท่าไหร่ ถ่านหินก็ยิ่งมีคุณสมบัติทางเคมีที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อคุณภาพของเถ้าลอย โดยเฉพาะส่วนผสมของ Free CaO หรือ แคลเซียมออกไซด์อิสระที่มากเกิน 4.0% และ Sulfur Trioxide หรือ ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์มากเกิน 5.0% ทำให้ไม่ผ่านเกณฑ์เถ้าลอยที่ขายในปัจจุบัน จึงต้องถูกกำจัดทิ้งไป"

เมื่อเผาเชื้อเพลิงถ่านหินลิกไนต์ เพื่อให้ความร้อนกับหม้อไอน้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะก็จะเกิดเถ้าถ่านหิน เถ้าขนาดใหญ่จะตกลงก้นเตา เรียกว่า เถ้าหนัก (Bottom ash) ใช้เป็นส่วนผสมทำบล็อกประสาน ก่อสร้างถนน หรือบดเพื่อลดขนาดของอนุภาคใช้ในงานคอนกรีต ส่วนเถ้าขนาดเล็กที่เหลือ คือ เถ้าลอย (Fly Ash) จะถูกดักจับโดยเครื่องดักจับฝุ่นไฟฟ้าสถิต และในปัจจุบันสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมสำหรับงานก่อสร้าง เช่น คอนกรีต เสาเข็ม พื้นสำเร็จรูป กระเบื้อง ฯลฯ

รศ.ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ 
รศ.ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ

รศ.ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงของการนำเถ้าลอยมาใช้เป็นส่วนผสมหลักทดแทนปูนซีเมนต์ จำเป็นต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ด้านการใช้งานด้วย เพราะต้องมีคุณสมบัติที่ดี มีประสิทธิภาพ ไม่ต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ กำลังรับแรงอัดของคอนกรีตที่เพียงพอต่อการก่อสร้างแต่ละงาน เช่น หากจะสร้างถนน ต้องมีกำลังคอนกรีตไม่น้อยกว่า 280 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร และเมื่อคอนกรีตผสมเสร็จมาถึงหน้างานต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ไม่แข็งตัวก่อนที่จะนำไปเท และสามารถก่อคอนกรีตได้รูปแบบตามต้องการ

กว่าจะคิดค้นสูตรคอนกรีตจากเถ้าลอยที่ไม่ผ่านเกณฑ์การขายได้นั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง เพราะยังไม่เคยมีงานวิจัยในลักษณะนี้ จึงนับว่าเป็นงานที่ท้าทายที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ

ในที่สุดก็ได้สูตรสำเร็จในการทำคอนกรีตจากเถ้าลอยเป็นส่วนผสมหลัก แต่จะใช้งานได้จริงหรือไม่ ต้องทดลองในพื้นที่จริง เมื่อปีที่ผ่านมาได้ร่วมกับ กฟผ. เลือกพื้นที่บริเวณหน้าทางเข้าออกตาชั่งในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ ที่มีรถบรรทุกน้ำหนัก 20-50 ตันวิ่งเข้าวิ่งออกวันละหลายๆ เที่ยวเพื่อทดสอบว่า คอนกรีตจากเถ้าลอยนั้นจะสามารถรับน้ำหนักได้ดีตามที่คิดไว้หรือไม่

การทดลองเริ่มต้นเมื่อเทคอนกรีตแล้ววัดค่ากำลังรับแรงอัดคอนกรีต พบว่า วัดได้ถึง 325 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร หลังจากเทในระยะเวลา 28 วัน นั่นหมายถึง กำลังคอนกรีตที่ได้มากกว่าค่าที่ออกแบบไว้ สภาพคอนกรีตมีความแข็งแรงและคงทน ลักษณะทางกายภาพเหมือนกับการใช้ปูนซีเมนต์ แต่มีสีที่เข้มกว่าเล็กน้อย สามารถใช้งานได้เมื่อถึงหน้างาน แข็งตัวได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และเมื่อคำนวณต้นทุนแล้ว ยังพบว่ามีต้นทุนที่ถูกกว่าการใช้ปูนซีเมนต์อีกด้วย

ต่อมา กฟผ. ต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้ และพบว่าเถ้าลอยที่ต่ำกว่ามาตรฐานสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำคอนกรีต ซึ่งนอกจากจะได้คอนกรีตที่มีความแข็งแรงไม่ต่างจากการใช้ปูนซีเมนต์แล้ว ยังมีราคาต้นทุนถูก ส่งผลดีต่อผู้ใช้งาน ข้อสำคัญเมื่อผลิตคอนกรีตโดยใช้เถ้าลอยเป็นส่วนผสมหลักแล้วช่วยลดการใช้ปูนซีเมนต์ลง ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ เพราะในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ 1 ตันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศมากถึง 1 ตันเช่นกัน

นั่นหมายถึง ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยคอนกรีตจากเถ้าลอย จึงเป็นคอนกรีตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโลก สอดคล้องกับแนวทางใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)
จากของที่ต้องกำจัดทิ้ง เปลี่ยนสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า ซ้ำยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการฝังกลบได้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อปี จึงถือว่าเป็นมิติใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับวงการอุตสาหกรรมก่อสร้าง

หลายคนคงไม่รู้ว่า การก่อสร้างเขื่อนคลองท่าด่าน มีเถ้าลอยเป็นผสมอยู่ด้วย
หลายคนคงไม่รู้ว่า การก่อสร้างเขื่อนคลองท่าด่าน มีเถ้าลอยเป็นผสมอยู่ด้วย

ความนิยมใช้เถ้าลอยมากขึ้น

นอกจากสาเหตุด้านเศรษฐกิจยังมีเหตุผลทางเทคนิค ซึ่งเพิ่มคุณสมบัติหลายประการของคอนกรีตให้ดียิ่งขึ้น โดยมีการศึกษาวิจัยของนักวิชาการและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ยืนยันผลการทดสอบ ตัวอย่างเช่น ขนาดที่เล็กละเอียดและมีทรงกลมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เถ้าลอยทำหน้าที่ในการลดช่องว่างที่เป็นโพรงอากาศ เพิ่มความแข็งแรงในระยะยาวให้คอนกรีต เพิ่มความสามารถในการเทและสูบดีขึ้น ไม่อุดตัน โดยที่ความต้องการน้ำในการผสมน้อยลง การเกิดปฏิกิริยากับน้ำไม่คายความร้อนรุนแรงเหมือนซีเมนต์ ซึ่งจะลดความเสี่ยงของการแตกร้าวในคอนกรีต ทำให้เหมาะแก่การใช้งานกับโครงสร้างที่มีความหนามากกว่า 1 เมตรขึ้นไป นอกจากนี้ คอนกรีตที่ผสมเถ้าลอยจะมีความทนทานต่อกรดและซัลเฟตเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถยืดอายุของคอนกรีตที่อยู่ในบริเวณแหล่งน้ำทะเลได้นานขึ้น

ความสำเร็จของการนำเถ้าลอยมาใช้ในงานคอนกรีต พบเห็นได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็น การก่อสร้างผนังอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน, สะพานพระราม 8, แท่นจอดรถไฟฟ้า BTS, โครงการระบบบำบัดน้ำเสียที่หนองแขมและสมุทรปราการ, อาคารมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตบางนา เป็นต้น ซึ่งนอกเหนือจากงานก่อสร้างแล้ว ความสำเร็จยังรวมไปถึงการเปิดสอนหลักสูตรเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้างงานคอนกรีตสมัยใหม่ เรื่อง การใช้เถ้าลอยจากถ่านหิน ผ่านทางอินเตอร์เน็ต (www.learn.in.th) รวมทั้งการพัฒนาโปรแกรมการออกแบบและคำนวณการใช้เถ้าลอยในงานคอนกรีตโดย รศ.ดร. สมนึก ตั้งเติมสิริกุล และคณะซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของ กฟผ. ซอฟท์แวร์ที่พัฒนาขึ้นนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทผลิตไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือและให้ทุนในการวิจัยพัฒนาให้เหมาะสมกับเถ้าลอยของประเทศญี่ปุ่น

ส่วนโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นการก่อสร้างเขื่อนคลองท่าด่าน ที่บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก อันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนของชาวนครนายก เขื่อนคลองท่าด่านมีความยาว 2,720 เมตร ถือเป็นเขื่อนคอนกรีตที่ยาวที่สุดในโลก อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน ก่อสร้างด้วยระบบคอนกรีตบดอัด โดยใช้คอนกรีตผสมประมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ประกอบด้วยซีเมนต์ 90 กิโลกรัม และเถ้าลอย 100 กิโลกรัม/คอนกรีต 1 ลูกบาศก์เมตร
#10437
เครื่องทำน้ำแข็ง Cleanicethailand
เครื่องทำน้ำแข็ง Clean ice หมดปัญหาสักที กับความสกปรก ของน้ำแข็ง หรือน้ำแข็งละลายเร็ว อีกทั้งยังประหยัดกว่าเดิมถึง 5 เท่า
ไม่ว่าจะใส่เมนูน้ำชนิดไหนๆ เครื่องทำน้ำแข็ง cleanice ก็เอาอยู่ไปซะทุกอย่าง
เครื่องทำน้ำแข็ง ของเรารับประกันความประหยัดคุ้มค่าน่าลงทุน น้ำแข็งที่เย็น ละลายช้า สะอาด ไร้สารเคมีตกค้าง ราคาถูก สามารถทำให้เมนูน้ำของคุณน่ากินได้อีกกกด้วย ! 
เพราะว่าเราใส่ใจในความสะอาด และ ความสะดวกสบาย ด้วยดีไซน์เครื่องที่ออกแบบมา สวยทันสมัยตั้งในคาเฟ่ ก็เชิญชวนลูกค้าได้ดีอีกด้วย!!!! มีคุณภาพ เเละเอื้อต่อการใช้งานจริง
เมนูน้ำไหนๆ ใคร ๆ ก็อยากซื้อ น่าดื่มไปซะทุกอย่างเเบบนี้สิ รักเลย  ต้องลองแล้วค่ะถึงจะรู้ว่าของเราดีจริง
 Made in JAPAN 
สนใจสินค้า ปรึกษา สอบถามได้ที่
Tel: 02-024-9152-3 Mobile: 061-2780-780
ไลน์ไอดี: valaiporn25
website:https://www.cleanicethailand.com
facebook:https://www.facebook.com/cleanicethailand
#เครื่องทำน้ำแข็ง #เครื่องทำน้ำแข็งหยอดเหรียญ #ตู้กดน้ำแข็ง #ตู้กดน้ำแข็งหยอดเหรียญ #cleanice #cleanicethailand
 

 

 

#10438


นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ตามที่ บขส. ได้แจ้งกลับมาเปิดให้บริการเดินรถ ในเส้นทางภาคเหนือ จำนวน 8 เส้นทาง เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก จำนวน 10 เส้นทาง และเส้นทางภาคใต้ จำนวน 8 เส้นทาง ในวันที่ 1 กันยายน 2564 ขณะนี้ บขส. เตรียมความพร้อมของรถโดยสาร พนักงาน และสถานีขนส่งฯ ให้สอดคล้องกับประกาศฯ ของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (2019) รวมถึงนโยบายของกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบก

ทั้งนี้ บขส. ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่และพนักงานร่วมกันเช็ดทำความสะอาดและฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร,เอกมัย,บรมราชชนนี, ปิ่นเกล้า) และสถานีเดินรถโดยสารขนาดเล็ก (จตุจักร) บริเวณเก้าอี้พักคอยผู้โดยสาร เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ลิฟท์ ห้องน้ำ ศูนย์อาหาร พื้นที่บริเวณชานชาลา และจุดต่างๆ ที่มีการสัมผัสบ่อย รวมทั้งตรวจความพร้อมของรถโดยสารที่จะนำมาวิ่งบริการ อาทิ เครื่องยนต์ ,ระบบแอร์ , ระบบไฟฟ้า , ยาง เป็นต้น และให้มีการเช็ดทำความสะอาดฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนรถโดยสาร เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้กู้ใช้บริการ


กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน , สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา , ล้างมือบ่อย ๆ , ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย , ตรวจเชื้อโควิด 19, สแกนแอปพลิเคชันไทยชนะหรือหมอชนะ กรณีไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันได้ สามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด รวมทั้งผู้โดยสารที่มีความจำเป็นต้องเดินทางสามารถตรวจสอบมาตรการของ แต่ละจังหวัดได้จาก https://www.moicovid.com/

นอกจากนี้ผู้ใช้บริการสามารถจองตั๋วล่วงหน้าเดินทางกับ บขส. ได้ ผ่าน website บขส. https://tcl99web.transport.co.th/Home , ร้าน 7-Eleven เคาน์เตอร์เซอวิส ทุกสาขา หรือตัวแทนจำหน่ายตั๋วของ บขส. และสามารถชำระค่าโดยสาร บขส. โดยใช้สิทธิ์โครงการคนละครี่ง ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตังค์" ได้ โดยสิทธิ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้กับการจองตั๋วล่วงหน้าได้ และไม่สามารถยกเลิก/คืน/เปลี่ยนแปลงตั๋วได้ทุกกรณี สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ได้ที่ ช่องจำหน่ายตั๋วรถโดยสารของ บขส. ทั่วประเทศ และ Call Center1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง