• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Hanako5

#3741


บริษัท GC International Corporation บริษัทย่อยของบริษัท พีทีที โกล. เคมิคอล (จำกัด) มหาชน (GC) และ บริษัท Cargill Incorporated (Cargill) ในฐานะผู้ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 50 ในบริษัท NatureWorks LLC (NatureWorks) ประกาศเดินหน้าสร้างโรงงานพลาสติกชีวภาพแบบครบวงจรแห่งใหม่ในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการใช้วัสดุที่ยั่งยืนให้ตลาดโลก ภายหลังได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมแสดงความยินดีผ่านระบบเสมือนจริง ซึ่งโครงการดังกล่าวนับเป็นหนึ่งในโครงการที่สนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG Economy Model (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (SDGs) ตามเป้าหมายที่วางไว้



ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกล. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) กล่าวว่า บริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ของประเทศไทยและผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอันดับหนึ่งของโลก มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืนและหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อสร้างสมดุลและการเติบโตไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม โดยขับเคลื่อนบนกรอบของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (SDGs)

"วันนี้ GC และ Cargill ในฐานะผู้ถือหุ้นของ NatureWorks ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพ PLA อันดับหนึ่งของโลก พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ชีวภาพเพื่อสิ่งแวดล้อม หลังจากที่ BOI ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้กับ NatureWorks"


โดยโรงงานพลาสติกชีวภาพแบบครบวงจรแห่งใหม่นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสติกชีวภาพอันดับหนึ่งของโลกและใช้น้ำตาลจากอ้อยจากเกษตรกรในประเทศไทยเป็นวัตถุดิบ  ซึ่งจะช่วยขยายฐานพันธมิตรในตลาด Bio-Polymer รวมถึงการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการใช้วัสดุที่ยั่งยืน

โครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านบาท โดยโรงงานจะตั้งอยู่ที่นครสวรรค์ไบโอ  คอมเพล็กซ์ (NBC) จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นโครงการแห่งแรกของประเทศไทยที่สอดคล้องกับโมเดล BCG Economy ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและขยายโอกาสทางการค้าร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ ในเวทีโลก และสนับสนุนให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

เคาะ! จ่าย 'เงินเยียวยาประกันสังคม' ม.39 ม.40 รวม 29 จ.ล็อกดาวน์ รับคนละ 5 พัน
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ตายยิ่งพุ่ง! พบเสียชีวิต 235 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 19,843 ราย ไม่รวม ATK อีก 548 ราย
เช็คสิทธิ 'เงินอุดหนุนบุตร' เดือนสิงหาคม เงินเข้าวันนี้ (10 ส.ค.64)

นางสาว คอลลีน เมย์ President บริษัท Cargill's Bioindustrial Group กล่าวว่า คาร์กิลรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ก้าวไปข้างหน้าร่วมกับ GC เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจของ NatureWorks ด้วยการสร้างฐานการผลิตแห่งที่ 2 ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้นับเป็นการตอกย้ำที่สำคัญถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของเราในการลงทุนเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืนสำหรับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมชีวภาพทั่วโลก

โรงงานแห่งใหม่นี้เป็นโรงงานพลาสติกชีวภาพโพลีแลคติก แอซิด (Polylactic Acid : PLA) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  แห่งที่ 2 ภายใต้ชื่อทางการค้า Ingeo™ และส่งเสริมการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มกับวัตถุดิบทางการเกษตรของประเทศไทย ตอบสนองการขยายตัวของตลาด ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายใน ปี 2567
#3742


รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่าที่ประชุม ครม.วันนี้ (10 ส.ค.) เห็นชอบเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ควบคุมการระบาดสูงสุด (สีแดงเข้ม) ที่ให้มีการล็อกดาวน์ 29 จังหวัดตามประกาศของ ศบค.ตามที่ คณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ฯที่มีเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธานเสนอ โดยให้มีการช่วยเหลือแรงงานประกันสังคมในกลุ่มนี้รวมประมาณ 6.6 ล้านราย ได้รับการช่วยเหลือคนละ 5,000 บาท 

แบ่งเป็นวงเงินสำหรับมาตรา 39 ใน 29 จังหวัด วงเงิน 7.18 พันล้านบาท และวงเงินสำหรับมาตรา 40 ใน 29 จังหวัดวงเงินรวม 2.62 หมื่นล้านบาท 


สำหรับคุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย


- เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีสัญชาติไทย

- มีสถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะ A (Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด) หรือ ณ วันที่3 สิงหาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัด)

- เป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะรอชำระเงิน W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564

- กรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39

- กรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือผู้รับบำนาญของกรมบัญชีกลาง

-  กรณีเป็นผู้ประกันตนในฐานทะเบียนประกันสังคม (สถานะ Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ต้องอยู่ใน 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา.สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา

- กรณีเป็นผู้ประกันตนในฐานทะเบียนประกันสังคม (สถานะ Active) ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564 ต้องอยู่ใน 16 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ นครราชสีมา  ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

- กรณีเป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ที่มีสถานะ W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ที่อยู่ระหว่างรอชำระเงินสมทบ ต้องอยู่ในพื้นที่ 29 จังหวัด โดยให้ชำระเงินสมทบภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 เพื่อเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 สมบูรณ์ตามกฎหมาย

ก่อหน้านี้นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยกับ กรุงเทพธุรกิจ ว่ากระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้ให้รายละเอียดแรงงาน และนายจ้างที่อยู่ในกลุ่มประกันสังคมมาตรา 39 และ 40 ใน 29 จังหวัดทั้งที่เป็นผู้ประกันตนเดิม และที่ลงทะเบียนใหม่ตามมติ ครม.ให้กับ สศช.เรียบร้อยแล้วเพื่อให้ได้กรอบและจำนวนที่แน่นอนเสนอให้ ครม.อนุมัติหลังจากก่อนหน้านี้อนุมัติในหลักการแล้ว 

ทั้งนี้แรงงานในกลุ่มนี้ทั้ง 29 จังหวัดที่เข้าเงื่อนไข รวมทั้งอาชีพอิสระจะได้เงินเยียวยาเป็นจำนวน 5,000 บาท โดยในส่วนของ 13 จังหวัดแรกที่มีการประกาศล็อกดาวน์มีผู้ประกันตนในมาตรา 39 ประมาณ 1 ล้านราย ส่วนในมาตรา 40 เดิมมีผู้ประกันตนประมาณ 1 ล้านราย และมีการลงทะเบียนเพิ่มเติมมา 3.1 ล้านราย รวมเป็น 4.1 ล้านราย 

สำหรับ 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. กาญจนบุรี 3. ชลบุรี 4. ฉะเชิงเทรา 5. ตาก 6. นครปฐม 7. นครนายก 8. นครราชสีมา 9. นราธิวาส 10.นนทบุรี 11.ปทุมธานี 12.ประจวบคีรีขันธ์ 13.ปราจีนบุรี 14.อยุธยา 15.เพชรบุรี 16.ปัตตานี 17.เพชรบูรณ์ 18.ยะลา 19.ระยอง 20.ราชบุรี 21.ลพบุรี 22.สงขลา 23.สิงห์บุรี 24.สมุทรปราการ 25.สมุทรสงคราม 26.สมุทรสาคร 27.สระบุรี 28.สุพรรณบุรี และ 29.อ่างทอง
#3743


รองโฆษกรัฐบาล เผย ไทยพร้อมร่วมมืออาเซียนขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพิ่มการผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ-หนุนยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าผลิต 30% ภายในปี 68

วันนี้ (10 ส.ค.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ว่า ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งอาเซียนมีความมุ่งหมายร่วมกันในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียนด้านพลังงาน ในระยะที่ 2 ที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านพลังงานของภูมิภาคอาเซียนให้มีความสะอาด ยืดหยุ่น และเหมาะสมกับสภาวะด้านพลังงานของโลก โดยประเทศไทยมีแนวทางดำเนินการดังนี้

1. ปรับแผนกลยุทธ์ระยะยาวและแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านนโยบายที่สำคัญ

2. เพิ่มการผลิตไฟฟ้าแบบคาร์บอนต่ำ โดยการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมทั้งได้ประกาศนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular Green Economy Model: BCG model) เพื่อส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

3. พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายในปี 2568 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ร้อยละ 30 จากสัดส่วนการผลิตรถยนต์ทั้งหมด รวมทั้งการสนับสนุนการปรับใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

4. สนับสนุนแผนเร่งด่วนในการปลูกป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดคาร์บอนไดออกไซด์และสอดรับกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้แสดงเจตจำนงร่วมกันในการส่งเสริมนโยบายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในอาเซียนผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล และความเชี่ยวชาญระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นในด้านการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดต่างๆ อาทิ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เทคโนโลยีการดักจับ กักเก็บและการใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) เป็นต้น
#3744


สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ดิ่งลง 1.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 66.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.66 ดอลลาร์ ปิดที่ 69.04 ดอลลาร์/บาร์เรล


ทั้งนี้ รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ระบุว่า ระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศในขณะนี้สูงพอที่จะส่งผลเสียต่อสภาพภูมิอากาศไปอีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีข้างหน้า

นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็นเรียกร้องให้นานาชาติยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหิน รวมทั้งพลังงานอื่นๆที่ปล่อยมลพิษในระดับสูงโดยทันที


"รายงานนี้เป็นการส่งสัญญาณให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหินก่อนที่พวกมันจะทำลายโลกของเรา" นายกูเตอร์เรสกล่าวในแถลงการณ์

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน รวมทั้งการที่สหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายจังหวัดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่จีนออกมาตรการคุมเข้มในหลายเมือง รวมทั้งยกเลิกเที่ยวบิน และการขนส่งในภาคสาธารณะ

ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล
#3745


ตามที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (ซีดีซี) เพิ่มระดับคำเตือนการเดินทางสู่ระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศไทย  อิสราเอล  ฝรั่งเศส  ไอซ์แลนด์  เวสต์แบงก์และกาซา รวมทั้งอีกหลายพื้นที่ซึ่งครอบคลุมถึงอารูบา และเฟรนช์ พอลินีเซีย ซึ่งเป็นดินแดนของฝรั่งเศสในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยกระดับคำเตือนเดินทางมาไทยเป็นระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเช่นกัน หมายถึงไม่ควรเดินทาง เนื่องจากมีการติดเชื้อโควิด-19 สูงมาก อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงติดเชื้อและอาการรุนแรงอาจน้อยลงถ้าฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว 



นอกจากนี้ซีดีซียังเพิ่มระดับคำเตือนการเดินทางสู่ระดับ 3 สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังออสเตรีย โครเอเชีย  เอลซาลวาดอร์  อาร์เซอร์ไบจาน  กวม  เคนยา และจาไมกา

ทั้งนี้ ซีดีซีระบุว่า ชาวอเมริกันที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศเหล่านี้
#3746


หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT)เป็นประธานใน พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการใช้และให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ที่จัดขึ้นในรูปแบบเสมือนจริง (Virtual MOU Signing Ceremony)  โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  นายนพดล ปิ่นสุภา  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและดิจิทัล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  นาวาอากาศเอก สมศักดิ์  ขาวสุวรรณ์  กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และ นางสาวจันทนา เตชะศิรินุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี  บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามเพื่อวางกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าร่วมกัน รวมถึงต่อยอดเทคโนโลยีการสื่อสารและดิจิทัลสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ  ส่งเสริมและสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากลมากยิ่งขึ้น

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รูปแบบการใช้พลังงานในปัจจุบัน มุ่งไปด้านพลังงานไฟฟ้าและพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น ปตท. จึงพัฒนาและปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่ทิศทางพลังงานในอนาคต อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศ  ซึ่งที่ผ่านมา ปตท. ได้วางแผนลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ทั้งระบบกักเก็บพลังงาน แบตเตอรี่ โครงสร้างพื้นฐาน และแพลตฟอร์ม โดยจับมือพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ในการพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และรองรับกลุ่มผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งนอกจากจะเป็นการตอบสนองนโยบายและทิศทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ ที่มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยังเป็นการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดที่จะช่วยประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอีกด้วย

"สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้  ปตท. นำเอาความแข็งแกร่งด้านธุรกิจพลังงาน ตลอดจนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจการสื่อสารและดิจิทัลของโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบที่มีจุดแข็งและมีความโดดเด่น ตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม ด้วยทางเลือกของบริการที่หลากหลาย   อันจะนำไปสู่การสร้างอนาคตแห่งการเดินทางด้วยยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สนับสนุนได้ทั้งความมั่นคงทางพลังงานและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน"

นาวาอากาศเอก สมศักดิ์  ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการใช้และให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ มีการทดสอบตลาดและศึกษาความต้องการของลูกค้า การออกแบบทางธุรกิจ การศึกษาความคุ้มทุนในการลงทุน การพัฒนาด้าน IoT และ Application ต่าง ๆ ระบบการให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นการติดตาม การจัดเก็บข้อมูล การชำระค่าบริการ และเพื่อสร้างความร่วมมือด้านธุรกิจร่วมกันต่อไป ซึ่ง NT  มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านสื่อสาร เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการนำเทคโนโลยี 5G ที่ NT มีคลื่นความถี่ที่พร้อมตอบสนองความต้องการใช้ในทุกรูปแบบมาประยุกต์ใช้ด้วย เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในด้านต่าง ๆ ของ ปตท. และ NT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่  โอกาสในการนำความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของ NT ในธุรกิจสื่อสารและดิจิทัล มาใช้ในการพัฒนารูปแบบการใช้บริการยานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นด้าน Charger และด้านการบริหารจัดการระบบรถส่วนกลาง (Fleet Management) ซึ่งระบบบริหารจัดการของยานพาหนะในธุรกิจเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและสร้างจุดแข็งทางธุรกิจที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำเนินงาน ทั้งด้านการบริหารจัดการและด้านความปลอดภัย เชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การต่อยอดในการสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงด้านการสื่อสารและดิจิทัลและอุตสาหกรรมด้านยานยนต์ในอนาคตให้กับทั้งสององค์กรร่วมกันและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน และประเทศชาติเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจด้านพลังงาน และเทคโนโลยีดิจิทัลต่อไป
#3747


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังจากที่ ส.อ.ท. ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 10 ขึ้นบริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้างเพียง 28 วัน ซึ่งปัจจุบันที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร ได้พิจารณายกระดับให้ศูนย์แห่งนี้เป็นสถานที่รองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สีเหลืองเข้ม

โดยปรับรูปแบบจากโรงพยาบาลสนามเดิมให้ใกล้เคียงกับห้อง ICU มากที่สุด เพื่อรองรับผู้ป่วยในจังหวัดสมุทรสาครที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากเดิมโรงพยาบาลสนามสภาอุตสาหกรรมฯ มีเครื่องมือทางการแพทย์พร้อมสำหรับดูแลผู้ป่วยอยู่แล้วในระดับหนึ่ง อาทิ เครื่องเอ็กซเรย์ปอด เครื่องวัดค่าออกซิเจนในปอด ระบบบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการพบปะกับผู้ป่วย ซึ่งหุ่นยนต์ดังกล่าวยังสามารถให้แพทย์และผู้ป่วยพูดคุยกันได้ผ่าน Application อีกด้วย

จึงทำให้การปรับรูปแบบเป็น ICU ในครั้งนี้มีการปรังปรุงโครงสร้างเพิ่มเติมหลักๆ คือ การวางระบบจ่ายออกซิเจนทั้งอาคาร และติดตั้งถังออกซิเจนเหลว (Liquid Oxygen) ขนาด 5,000 ลิตร ซึ่งหากมีผู้ป่วย 200 คนรักษาตัวอยู่ จะสามารถใช้ถังออกซิเจนนี้ได้ 3-4 วันต่อถัง

การปรับปรุงในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากนายอุดม ไกรวัฒนุสสรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ที่มาให้บริการในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ คือทีมจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย แพทย์ 1 คน เภสัชกร 1 คน พยาบาล 12 คน และทีมพยาบาลจากจังหวัดกาญจนบุรี 3 คน รวมทั้งทีมหลักที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสาครมาร่วมปฏิบัติงานด้วย

นอกจากนี้ ส.อ.ท. ได้ส่งเสริมผู้ประกอบการและสมาชิกจัดทำมาตรการ Bubble and seal ในโรงงาน ที่มีพนักงานตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยไม่ต้องปิดโรงงาน พร้อมสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในรูปแบบ Community Isolation ในโรงงาน ที่รับรองโดยสาธารณสุขจังหวัดและดูแลโดยโรงพยาบาลในสังกัดประกันสังคม ยกตัวอย่างในนิคมอุตสาหกรรมสินสาครในจังหวัดสมุทรสาครที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม (Factory Accommodation Isolation: FAI) ด้วยความร่วมมือจากสถานประกอบการภายในนิคมฯ มีจำนวนเตียงเพียงพอต่อการรองรับผู้ติดเชื้อไม่น้อยกว่า 10%

ซึ่งการทำ Factory Quarantine ในจังหวัดสมุทรสาคร แบ่งเป็น 2 กรณี คือ หากพบผู้ติดเชื้อในโรงงานน้อยกว่า 10% ให้ดำเนินการจัดทำ FAI แต่หากเกินกว่า 10% โรงงานจะต้องการ Bubble & Seal พร้อม FAI

โดยมี 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) จัดเตรียมสถานประกอบการให้พร้อมสำหรับการทำ FAI 2) ส่งข้อมูลการจัดทำ FAI ไปยังสำนักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร 3) ส่งภาพการจัดทำ FAI ที่เรียบร้อยแล้วให้สำนักงานสาธาณสุขจังหวัดสมุทรสาคร

4) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครนัดหมายสถานประกอบการประเมินผ่านระบบ Video Conference โดยให้นำตรวจสถานที่แบบ Real Time ผ่านระบบ Video Conference 5) เมื่อผ่านการประเมิน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครจะจัดทำใบรับรองส่งให้

และ 6) ดำเนินงานตามมาตรการ Bubble & Sealed กรณีที่โรงงานสุ่มตรวจและพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 10% ของจำนวนพนักงาน โดยการจัดการระบบดูแล ลดการกระจายเชื้อสู่ภายนอก จำนวน 28 วัน

ส.อ.ท. ยังได้จัดตั้ง "กองทุน ส.อ.ท. สู้ภัยโควิด-19" ภายใต้มูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อระดมทุนจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือ สิ่งของจำเป็น อาทิ ห้องความดันลบแบบประกอบเคลื่อนย้ายได้ (Modular Unit) , "ชุดจัดทำห้องความดันลบแบบติดตั้งถาวร (Non-Mobility), ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 (Antigen Test Kit), เมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจรและกล่องห่วงใยจากใจ ส.อ.ท.

ส่งมอบกับให้สถานพยาบาลนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 จึงขอเชิญร่วมบริจาคเงินได้ที่ชื่อบัญชี มูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม เลขที่บัญชี 009-1-71583-0 ธนาคารกรุงไทยสาขาไทยเบฟควอเตอร์ (ใบบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 100%) สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน ส.อ.ท. หมายเลข 1453 ทุกปัญหาอุตสาหกรรมมีคำตอบ
#3748

กระทรวงสาธารณสุข เผย ส่งวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ร้อยละ 50-75 ตามข้อมูลสำรวจจากแต่ละโรงพยาบาล พร้อมให้สำรวจจำนวนที่ต้องการอีกครั้ง เนื่องจากบางโรงพยาบาลมีบุคลากรด่านหน้าจบใหม่ หรือได้รับมอบหมายมาทำงานด่านหน้าเพิ่มขึ้น สามารถแจ้งมาได้ที่กรมควบคุมโรค เพื่อส่งวัคซีนให้เพิ่มเติมล็อตถัดไปในสัปดาห์หน้า ยืนยันส่งครบตามสำรวจแน่นอน

วันนี้ (8 ส.ค.) นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ว่า การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ 7 แสนโดส เริ่มทยอยจัดส่งวัคซีนตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 ไปยังโรงพยาบาลใหญ่ครบ 170 แห่ง ทั้ง 77 จังหวัดภายใน 3 วัน โดยเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ถือว่าเร็วกว่ากำหนดที่วางไว้ 5 วัน ขณะนี้ฉีดแล้ว 5.7 หมื่นโดส จากการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ พบอาการปวด บวม ร้อน และไข้เล็กน้อย ไม่มีอาการรุนแรง

"การจัดส่งวัคซีนไปโรงพยาบาลใหญ่ เนื่องจากมีศักยภาพในการเก็บรักษาควบคุมอุณหภูมิและควบคุมติดตามการฉีดได้ง่ายกว่ากระจายไปจุดย่อยๆ เนื่องจากเมื่อเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส วัคซีนจะมีอายุ 31 วัน จึงต้องเร่งฉีดให้หมด โดยวัคซีน 1 ขวดฉีดได้ 6 โดส หากกระจายไปหลายจุดเมื่อเปิดใช้ 1 ขวดอาจไม่ถึง 6 คนจึงต้องรวมไว้ที่โรงพยาบาลใหญ่ก่อนในช่วงแรก" นายแพทย์โสภณ กล่าว

นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า สำหรับวัคซีนที่ส่งไปล็อตแรกประมาณร้อยละ 50-75 นั้น เนื่องจากได้สำรวจความต้องการฉีด พบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์บางส่วนฉีดบูสเตอร์โดสด้วยแอสตร้าเซนเนก้าแล้วกว่าร้อยละ 20 ต้องการฉีดไฟเซอร์ประมาณร้อยล 70 ซึ่งการบริหารจัดการด้วยวิธีการทยอยส่งเป็นล็อตทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากส่งไปทั้งหมด 100% ของจำนวนบุคลากร บางพื้นที่อาจได้เกินหรือขาด เนื่องจากมีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ารายใหม่ที่ยังไม่เคยฉีดมาก่อน เช่น ผู้ที่จบใหม่ หรือบุคลากรด่านหลังที่ได้รับมอบหมายมาทำงานด่านหน้า เพราะว่าในพื้นที่มีโควิดระบาดเพิ่มขึ้น เป็นต้น สามารถแจ้งมาได้ที่กรมควบคุมโรค เพื่อส่งวัคซีนให้เพิ่มเติมล็อตถัดไปในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะจัดส่งครบจำนวนบุคลากรด่านหน้าตามการสำรวจเพิ่มอย่างแน่นอน

นายแพทย์โสภณ กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้น ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปในพื้นที่ 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 645,000 โดส รวมถึงชาวต่างชาติกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนไทยเดินทางไปต่างประเทศ 1.5 แสนโดส จะทยอยส่งวัคซีนไปยังโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคมนี้ เริ่มจัดบริการได้กลางสัปดาห์ โดยจะฉีดในคนที่ยังไม่เคยได้วัคซีนโควิดตัวอื่นมาก่อนมีการติดตามอาการหลังฉีด 30 นาที 1 วัน 7 วัน และ 30 วัน โดยกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคเรื้อรังแพทย์ที่รักษาจะประเมินว่าพร้อมรับวัคซีนหรือไม่ และจะติดตามอาการหลังฉีด โดยรายงานผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งเด็กวัยนี้ใช้แอปพลิเคชันได้ หรือให้ผู้ปกครองช่วยรายงาน หลังฉีดวัคซีนหากมีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่นหายใจไม่สะดวก สงสัยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ให้รีบมาโรงพยาบาล เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคนี้รักษาให้หายได้ ทั้งนี้ เคยมีรายงานจากสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนฉีดวัคซีน mRNA เป็นหลักมีโอกาสพบอาการดังกล่าวได้ประมาณ 4 รายต่อล้านเข็ม โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี และเพศชาย ยังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ส่วนในประเทศไทยยังไม่พบอาการเหล่านี้หลังการฉีดวัคซีน

สำหรับเดือนสิงหาคมนี้ จะมีวัคซีนโควิด 10 ล้านโดส ที่จะทยอยส่งสัปดาห์ละ 2 ล้านโดส โดยจะส่งไปต่างจังหวัดกว่าร้อยละ 80 จำนวนนี้ครึ่งหนึ่งจะส่งไปยัง 29 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งมีการระบาดเกิดขึ้นอยู่ โดยเน้นฉีดกลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ โดยให้ฉีดเร็วที่สุดเพื่อให้ครอบคลุมร้อยละ 70 อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองสวมหน้ากาก ล้างมือเว้นระยะห่าง หากต้องไปสถานที่คนจำนวนมากอาจใส่หน้ากากสองชั้น อยู่ในบ้านก็ต้องระวังผู้สูงอายุติดเชื้อจากลูกหลานที่ออกไปนอกบ้าน ดังนั้น จึงควรออกนอกบ้านให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงไปรับเชื้อนอกบ้านแล้วนำมาติดสมาชิกในครัวเรือน และให้พาผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนตามนัดหมายของโรงพยาบาล
#3749


การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินได้มีการลงนามร่วมลงทุนกับบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด ไปแล้ว ในขณะที่การพัฒนาส่วนอื่นเพื่อผลักดันเมืองการบินจะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะใน พื้นที่อุตสาหกรรมการบิน หรือ ATZ ที่จะทำให้สนามบินอู่ตะเภามีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบินได้มากขึ้น

รายงานข่าวจากกองทัพเรือ (ทร.) ระบุว่า ขณะนี้การพัฒนาในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนสนามบินอู่ตะเภายังมีความก้าวหน้า เอกชนผู้รับสัมปทานโครงการต่างๆ อาทิ ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ยังคงเริ่มดำเนินงานในส่วนที่สามารถทำได้ เช่น สำรวจพื้นที่โครงการ และออกแบบโครงการ

ขณะเดียวกันกองทัพเรือและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ยังหารือในการพัฒนาโครงการอื่นเพื่อรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลลาย โดยส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา สกพอ.มีเป้าหมายดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมพัฒนาพื้นที่ ATZ บนพื้นที่ 500 ไร่ เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมการบิน

สำหรับโครงการ ATZ จะรองรับการลงทุนจากเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกของอีอีซีเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน เบื้องต้น สกพอ.อยู่ระหว่างจัดทำแผน คาดว่าจะเริ่มทดสอบความสนใจของนักลงทุน และเชิญชวนนักลงทุนภายในเดือน ก.ย.นี้

"ขณะนี้แผนลงทุนในอีอีซีไม่ได้หยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการพัฒนาในพื้นที่ใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการบิน โดย สกพอ.ยังมีแผนจะปรับพื้นที่ศูนย์ซ่อมอากาศยานของการบินไทยให้เล็กลง เนื่องจากปัจจุบันการบินไทยยังมีแผนลงทุนโครงการไม่ชัดเจน เพื่อวางแผนเพิ่มพื้นที่ให้เอกชนรายอื่นเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง หรือศูนย์ซ่อมอากาศยานใน ATZ"

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ขณะนี้มีเอกชนสนใจสอบถามเกี่ยวกับการลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานในพื้นที่ ATZ อย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นว่าภายหลังโควิด-19 คลี่คลายแล้วจะทำให้อุตสาหกรรมการบินกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากช่วงปี 2563-2564 การเดินทางท่องเที่ยวชะลอตัว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียจะมีการเดินทางมากที่สุด ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด นำมาสู่การลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานเพื่อรองรับ

ทั้งนี้ กองทัพเรือได้ประเมินว่า หาก สกพอ.เร่งผลักดัน ATZ โดยมีการสอบถามความสนใจของนักลงทุนและประกาศเชิญชวนภายในปีนี้ จะทำให้โครงการ ATZ มีการลงทุนและพัฒนาโครงการอย่างเป็นรูปธรรมในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะสอดคล้องไปกับสถานการณ์โควิด-19 ที่มีท่าทีจะคลี่คลายใน 2565 จากการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และคาดว่าการบินจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติเช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในช่วงปี 2566–2567

"โครงการ ATZ หากมีการพัฒนา คาดว่าจะเพิ่มอัตราการจ้างงานด้านอุตสาหกรรมการบินกว่า 3,000 ตำแหน่ง และส่งเสริมให้อีอีซีเป็นศูนย์กลางด้านการบิน"

ทั้งนี้ความพร้อมของพื้นที่ฐานรากศูนย์ซ่อมอากาศยานที่กองทัพเรือรับผิดชอบในการดำเนินงาน ปัจจุบันกองทัพเรือได้ประกวดราคาจัดหาเอกชนเริ่มงานแล้ว รวม 4 งาน มูลค่ากว่า 1,890 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 

1.การจ้างปรับถมดินและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท 

2.การจ้างควบคุมงานถมดินและอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 16.5 ล้านบาท

3.การจ้างปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 1,180 ล้านบาท

4.การจ้างควบคุมงานปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 29.6 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามแผนจะพัฒนาบนพื้นที่ราว 210 ไร่ โดยปัจจุบันการบินไทยยังอยู่ระหว่างทบทวนแผนพัฒนา ซึ่งมีเป้าหมายจะปรับการลงทุนให้สามารถรองรับซ่อมอากาศยานหลายรูปแบบ และยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการลงทุน โดยขณะนี้มี 3 ทางเลือก คือ 

1.การบินไทยร่วมทุนกับแอร์บัส 2.การบินไทยลงทุนเองและใช้เทคโนโลยีของทางแอร์บัส 3.หาผู้ร่วมทุนใหม่

นอกจากนี้ การการพัฒนาสนามบินยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ จะเป็นการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง 3 รูปแบบ คือ 1.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) 2.ถนน 3.ทางเรือ โดยพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาครอบคลุมบนพื้นที่ 6,500 ไร่ ให้สิทธิบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด 30 ปี ซึ่งจะเป็นการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเพิ่มการใช้เชิงพาณิชย์ จากเดิมที่เน้นภารกิจด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

เชิดพันธ์ โชติคุณ ประธานเจ้าหน้าที่สายช่าง การบินไทย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ตามแผนลงทุนของการบินไทย โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานจะดำเนินการบนพื้นที่ประมาณ 210 ไร่ เป็นพื้นที่ของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ โดยแบ่งระยะการลงทุนออกเป็น ระยะแรกช่วงปี 2565-2583 จะลงทุนประมาณ 6,400 ล้านบาท โดยการบินไทยลงทุนเอง 2,000 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุง และจัดซื้ออุปกรณ์

ทั้งนี้ จะพัฒนาเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงอากาศยานได้ 80-100 ลำ โดยตามแผนเดิมคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2565 มีเป้าหมายสร้างรายได้ในปีแรกอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท จากการซ่อมอากาศยาน 10 ลำ และประเมินว่าจะมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยอีกปีละ 2% และในช่วง 50 ปีจะมีรายได้รวม 2 แสนล้านบาท 
#3750


จากสถานการณ์ขาดเเคลนชิพสำหรับอุตสาหกรรมไฮเทคทั่วโลก เป็นเหมือนปรากฎการณ์ที่จุดประเด็นทางการค้าใหม่ ที่จีนเห็นว่า ปัญหาใหญ่จากชิ้นส่วนขนาดเล็กอย่าง "ชิพ" กำลังจะเป็นตัวฉุดแผนพัฒนาประเทศให้ข้ามผ่าน ดิจิทัล ดิสรัปชั่น  ดังนั้น การสร้างความเข้มแข็งจากภายในและการพึ่งพาตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น 

รายงานเรื่อง "Technology & Innovation – China Semiconductor self-reliance will support tech growth but pose overcapacity risk" จัดทำโดย  Moody's Investors Service ระบุว่า จีนกำลังส่งสัญญาณการลงทุนมหาศาลในไม่กี่ปีจากนี้ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เผชิญปัญหาขาดแคลนชิพและความตรึงเครียดทางการค้าจนสร้างช่องว่างระหว่างดีมานด์และซับพลายในประเทศทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและผลิตเพื่อพึ่งพาตัวเองเป็นทางเลือกที่นำมาใช้ในขณะนี้ 

อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้จะดีจริงหรือไม่อาจเป็นการลงทุนที่ไร้ประสิทธิภาพและเกิดการบิดเบือนการใช้ทรัพยากรซึ่งนำไปสู่ความเจ็บปวดในระยะยาว 
#3751


นายดีราช บาจาช Head of Asia Credit  Lombard Odier  เปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินตามปกติและนำหน้าประเทศหลักอื่นๆ ส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ (Default rate) ในภาคเอกชนโดยรวมลดลง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามแผนพัฒนาประเทศระยะยาวทำให้รัฐบาลจีนทยอยยกเลิกการอุ้มกิจการที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งออกนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นในบางภาคธุรกิจ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เพื่อควบคุมความร้อนแรงที่สะสมในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ทำให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในภาครัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจที่ตกเป็นเป้าหมายเพิ่มขึ้น

Lombard Odier มองว่าตราสารหนี้เอกชนให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าพันธบัตรรัฐบาล และ Spread (อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากพันธบัตรรัฐบาล) ของตราสารหนี้เอกชนระดับ Investment Grade ในเอเชีย (Asia IG Credit) นับว่าสูงกว่า Spread ของตราสารหนี้เอกชนในระดับเดียวกันทั่วโลก (Global IG Credit) นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในเอเชีย ทำให้ Spread ของตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในเอเชีย (Asia High Yield)  เพิ่มขึ้น (ราคาลดลง) สวนทางกับ Spread ของตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในสหรัฐฯ (US High Yield) ที่ลดลง (ราคาเพิ่มขึ้น) จึงยิ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนให้ตราสารหนี้เอกชนของเอเชีย

ในประเด็นความเสี่ยง ปริมาณตราสารหนี้ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดไม่น่าสร้างผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทเอกชนหลายแห่งได้ออกตราสารหนี้เพื่อล็อคดอกเบี้ยกู้ยืมระยะยาวไปล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ ความกังวลเรื่องบอนด์ยีลด์ระยะยาวที่อาจจะปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจากการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อได้ผ่อนคลายลง ดังจะเห็นได้จากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ขยับลงจาก 1.78% ในช่วงเดือนเมษายน 2564 เหลือเพียง 1.22% ณ สิ้นเดือนกรกฏาคม 2564 ที่ผ่านมา


นางสาวศิริพร สุวรรณการ Private Banking Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ให้คำแนะนำว่า นักลงทุนควรทยอยสะสมเงินลงทุนในสินทรัพย์ให้หลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนเป็นแหล่งสร้างรายได้สม่ำเสมอและเงินลงทุนมีการเติบโตในระยะยาว


สำหรับส่วนของตราสารหนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางสามารถเลือกลงทุนในกองทุน K-APB เป็นสัดส่วน 3-5% ของพอร์ต เนื่องจากผลตอบแทนของตราสารหนี้ในฝั่งจีนและเอเชียดีกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยกองทุนนี้ให้ความสำคัญกับการคัดสรรตราสารหนี้คุณภาพดีจากบริษัทเอกชนที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและกำไรสุทธิขยายตัว รวมทั้งมีการกระจายเงินลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า 300 รายการ จึงช่วยสนับสนุนพอร์ตโดยรวมทั้งในด้านการสร้างรายได้และพยุงมูลค่าเงินลงทุนในยามตลาดหุ้นผันผวน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนควรลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพราะอัตราผลตอบแทนปัจจุบันต่ำมาก ทำให้รายได้น้อย และที่สำคัญรายได้นั้นไม่เพียงพอจะชดเชยกับแนวโน้มราคาที่อาจจะลดลงจากผลกระทบของบอนด์ยีลด์ขาขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้

สำหรับ "กองทุน K-APB" เป็นกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน LO Funds – Asia Value Bond Fund, (USD) โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (รวมญี่ปุ่น) ที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non – Investment Grade) และตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ได้
#3752


การระบาดโควิดระลอกที่ 4 ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ได้พัฒนากลายพันธุ์ มีความรุนแรงและแพร่กระจายรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งการกระจายวัคซีนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายและรวดเร็วเพียงพอกับการแพร่ระบาด ปัจจุบันยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบ 4 ทำสถิตนิวไฮเกือบทุกวัน โดยพุ่งเกินวันละ 2 หมื่นรายต่อวัน และยังไม่มีสัญญาณว่าแนวโน้มของการติดเชื้อจะลดลง ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของไทยเกินจะรับไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้กระจายไปภาคอุตสาหกรรมกระทบต่อการการผลิตของไทย

1,500 โรงงาน คือยอดที่เป็นทางการจากการตรวจสอบที่พนักงานในโรงงานติดเชื้อโควิด-19  และยังมีอีกหลายโรงงานที่มีการติดเชื้อ  ซึ่งการตรวจโควิดด้วยตนเอง หรือชุดตรวจ ตรวจโควิด-19 หรือที่เรียกว่า  Antigen Test Kit หรือ ATK  จึงเป็นทางออกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในการการตรวจเชิงรุกเพื่อคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ COVID-19 อย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ขั้นตอนการดูแลรักษาผู้ป่วยตามระบบของสาธารณสุข

"วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ระบุว่า    สถานการณ์การระบาดของโรงงานผลิตอาหาร หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด- 19 จาก 99 โรงงาน  ยังไม่ขยายวงกว้าง โดยโรงงานใช้มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เน้นการตรวจเชิงรุกมากขึ้นโดยใช้ชุดตรวจ ATK เพื่อแยกแรงงานที่ติดเชื้อออกจากแรงงานที่ไม่ติดเชื้อ เพื่อให้ส่วนที่เหลือยังคงทำงานได้ แทนการปิดทั้งโรงงานซึ่งถ้าหากใช้มาตรการปิดทั้งโรงงานจะส่งผลให้อาหารขาดแคลนได้ในอนาคต

"โรงงานต้องการให้รัฐดูแลราคาชุดตรวจให้ราคาไม่แพง เข้าถึงง่าย จะช่วยทำให้โรงงานสามารถสุ่มตรวจพนักงานได้บ่อยครั้งมากขึ้น เป็นการป้องกันเบื้องต้นภายในโรงงาน"

ชุดตรวจ ATK  จึงมีความสำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรมเพื่อแยกผู้ป่วยและคนปกติออกจากกันเพื่อให้โรงงานสามารถเดินเครื่องการผลิตได้บางส่วนแต่ชุดตรวจ ATK  ไม่เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งยังไม่นับรวมความต้องการของประชาชนที่ต้องการซื้อชุดตรวจ ATK   เช่นกัน ที่สำคัญ"ราคา"ของชุดตรวจ ATK  เริ่มมีราคาแพงและหายากมากขึ้น

"สนั่น อังอุบลกุล " ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า   หอการค้ายังได้มีการติดต่อผู้นำเข้า ATK ที่ได้รับการรับรองแล้วมาให้สมาชิกฯ ได้ติดต่อซื้อตรงในราคาพิเศษที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการใช้ในสถานประกอบการ ชุดตรวจนี้ไม่เพียงแต่จำเป็นต่อภาคการผลิตเท่านั้นแต่ยังจำเป็นต่อภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วย ซึ่งหลายๆประเทศก็ได้มีการใช้ Rapid ATK ในการควบคู่ไปกับการกลับมาเปิดดำเนินธุรกิจต่างๆ

ทางหอการค้าไทยได้เสนอให้รัฐบาลรัฐบาลในการสนับสนุนและจำหน่าย Rapid Antigen test Kit (ATK) ในราคาที่ถูก มีความหลากหลาย มีคุณภาพ และหาซื้อได้ง่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถเข้าถึงได้  ซึ่งประเทศไทยควรเร่งดำเนินการจัดหาเพิ่มขึ้น รวมถึงควรสนับสนุนให้สามารถซื้อขายได้ในรูปแบบ B2B ระหว่างผู้นำเข้าและผู้ประกอบการ ภายใต้การควบคุมดูแล คุณภาพและมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนั้นควรมีการให้ความรู้ ความเข้าใจถึงวิธีใช้งานและวิธีกำจัดภายหลังการใช้งานด้วย และในระยะถัดไปควรมีการวางแผนเพื่อมีส่งเสริมการลงทุนให้มีการผลิต ATK ในประเทศ โดยสามารถให้เอกชนร่วมเข้าไปสนับสนุนในส่วนนี้ได้

ล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มี 26 บริษัทที่จดทะเบียนนำเข้าชุดตรวจ ATK และอยู่ในระหว่างการนำเข้า ส่วนชุดตรวจ ATK ที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้มีประมาณ 5-7 ยี่ห้อเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งผลให้มีราคาสูง ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งจัดหาชุดตรวจ ATKให้เพียงพอและมีราคาถูกเพราะส่วนจะเป็นด่านแรกที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถสามารถป้องกันไม่ให้การติดเชื้อขยายเป็นวงกว้างออกไปจนกระทบต่อการผลิต
#3753


โควิดหนุนเงินดิจิทัลโต-กัมพูชาเล็งเลิกพึ่งดอลล์สหรัฐ ขณะที่การเพิ่มสัดส่วนการใช้เงินท้องถิ่นช่วยให้ธนาคารกลางกัมพูชาดำเนินนโยบายทางการเงินที่เป็นอิสระและควบคุมปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศได้ดีขึ้น
ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองเพื่อทำให้ระบบการชำระเงินค่าสินค้าและบริการในประเทศมีความสะดวกสบายและมีความปลอดภัยในยุคที่ระบบดิจิทัลกำลังขยายเข้าไปในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ นั่นเท่ากับว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสกุลเงินหลักของโลกเริ่มลดบทบาทลงเรื่อยๆ

จีน ได้ทำการทดสอบหยวนดิจิทัลในเมืองใหญ่หลายเมือง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)ประกาศโครงการยูโรดิจิทัลเมื่อเดือนที่แล้วพร้อมทั้งบอกว่าจะใช้เวลาสองปีในการพัฒนาและดูว่าสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง(ซีบีดีซี)จะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลกอย่างไร

ซีบีดีซีเป็นสกุลเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง สามารถชำระค่าสินค้าและบริการ รักษามูลค่า และเป็นหน่วยวัดทางบัญชีได้ ต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิทคอยน์ อีเธอร์ หรือริปเปิ้ลที่ออกโดยภาคเอกชน และมีมูลค่าผันผวนจากการใช้เพื่อเก็งกำไร จึงไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ

ซีบีดีซีมี 2 รูปแบบคือ ซีบีดีซีสำหรับการทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน และสำหรับธุรกรรมรายย่อยของภาคธุรกิจและประชาชน

รายงานวิเคราะห์ในเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย ระบุว่า ตอนนี้ธนาคารกลางกว่า 60 ประเทศทั่วโลกกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการออกซีบีดีซี และกัมพูชาก็เป็นผู้นำในการแข่งชันด้านนี้ หลังจากธนาคารกลางกัมพูชา(เอ็นบีซี)เปิดตัว"บากอง"สกุลเงินดิจิทัลของประเทศในเดือนต.ค.ปี 2563 ภายใต้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนจากบริษัทโซรามุตสึของญี่ปุ่นโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการยอมรับเงินเรียลซึ่งเป็นเงินสกุลท้องถิ่นของกัมพูชาและค่อยๆลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ

"ชี เซเรย์" ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา กล่าวว่า โครงการบากองซึ่งเปิดดำเนินการในไตรมาสนี้เป็นช่องทางการชำระเงินแห่งชาติของกัมพูชา และมีบทบาทสำคัญในการนำผู้เล่นทุกคนในธุรกิจการชำระเงินเข้ามาอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกัน เพิ่มความสะดวกแก่ผู้ใช้งานปลายทางในการชำระเงิน โดยไม่คำนึงถึงว่าสถาบันการเงินที่พวกเขาทำธุรกรรมด้วยเป็นธนาคารอะไร และในอนาคตจะอนุญาตให้มีการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่านระบบบากอง


นับจนถึงเดือนมิ.ย.ผู้ใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของบากองเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวจากประมาณสามเดือนก่อนหน้านี้เป็น 200,000 ราย ขณะที่ระบบโดยรวมของบากองเข้าถึงผู้ใช้ประมาณ 5.9 ล้านคน ในจำนวนนี้ รวมถึงผู้ติดตั้งแอพพลิเคชันบนมือถือของธนาคาร และในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีการทำธุรกรรมโดยรวม 1.4 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์

ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา กล่าวว่า "ยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการชำระเงินด้วยระบบดิจิทัลในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดในกัมพูชาและรัฐบาลออกมาตรการควบคุมด้านต่างๆทำให้ผู้คนหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีกันมาขึ้น"

อย่างไรก็ตาม บากองมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคริปโตเคอร์เรนซีแบบไร้ศูนย์กลางการควบคุมอย่างบิทคอยน์เนื่องจากโครงการสกุลเงินดิจิทัลของกัมพูชาเป็นระบบปิด ที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารของประเทศและหน่วยงานด้านการเงิน ที่สำคัญไม่สามารถนำเงินบากองนี้ไปใช้เพื่อการเก็งกำไรได้

นอกจากนี้ กระเป๋าเงินบากองยังถูกเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคาร ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลของพวกเขา สำหรับสกุลเงินของประเทศ

"การทำธุรกรรมทั้งหมด จะเป็นแบบเรียลไทม์ และจะถูกบันทึก จัดเก็บไว้อย่างปลอดภัยที่ธนาคารกลาง" ผอ.ธนาคารกลางกัมพูชา กล่าวและเชื่อว่าธนาคารกลางอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาระบบแบบเดียวกับที่กัมพูชาทำอยู่ในตอนนี้

ชาวกัมพูชาสามารถใช้เงินบากองซื้อสินค้าตามร้านค้า หรือส่งเงินผ่านแอพฯมือถือ โดยไม่ต้องใช้เงินสด พร้อมทั้งนำเงินนี้ไปชำระหนี้และส่งเงินนี้กลับประเทศในรูปเงินเรียล หรือ ดอลลาร์สหรัฐได้ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลักๆที่กัมพูชาออกเงินสกุลดิจิทัลนี้มาก็เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในประเทศใช้เงินเรียลมากขึ้น

ปัจจุบัน กัมพูชาใช้เงินสองสกุลในการซื้อขายคือเงินเรียลและเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่เงินดอลลาร์สหรัฐได้รับความนิยมและแพร่หลายในระบบเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า

ชี กล่าวด้วยว่า การใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นประโยชน์กับประเทศในช่วงประเทศกำลังฟื้นตัวจากภาวะสงครามแต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจของกัมพูชาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้เงินท้องถิ่นยังช่วยให้ธนาคารกลางกัมพูชาสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินที่เป็นอิสระได้ต่อไป รวมทั้งควบคุมปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศได้ดียิ่งขึ้น

แต่ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา ก็ยอมรับว่า แม้จะมีการใช้เงินเรียลเพิ่มขึ่้นในการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัล นับตั้งแต่มีการเปิดตัวเงินบากอง แต่เงินสกุลดิจิทัลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจกัมพูชาที่พึ่งพาดอลลาร์สหรัฐไปเป็นระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเงินสกุลท้องถิ่นได้ ยังมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายอื่นๆเข้ามาช่วย เช่น เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งเนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ

"ภาระกิจหลักของบากองคือเพิ่มการใช้เงินเรียลในระบบดิจิทัลและมีเป้าหมายระยะยาวอยู่ที่ทำให้ชาวกัมพูชาใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพียงสกุลเดียวในการซื้อสินค้าและบริการ"ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา กล่าว

ธนาคารกลางกัมพูชา ระบุด้วยว่าขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนด้วยสกุลเงินบากอง โดยกำลังทำงานร่วมกับธนาคารเมย์แบงก์ของมาเลเซียและธนาคารกลางแห่งประเทศไทย(ธปท.)
#3754


เกาะติดกรณีการแจกเงินเยียวยา แรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในกลุ่ม 9 อาชีพ ใน 10 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ที่ประกาศ ล็อกดาวน์ โดยประกันสังคม เปิดลงทะเบียนผ่าน www.sso.go.th 

โดยวันนี้ สำนักงานประกันสังคม ประกาศ โอนเงิน "ช่วยเหลือเยียวยาโควิด" ให้แก่ ผู้ประกันตน มาตรา 33 (ม.33) ผ่าน "พร้อมเพย์" ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน โดยจะโอนเงินให้วันละ 1 ล้านคน ซึ่งทางกระทรวงแรงงานได้เริ่มจ่าย "เงินเยียวยา" ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. 64 เป็นต้นมานั้น

เช็คสิทธิรับเงินเยียวยา ผ่านออนไลน์ คลิก  


ผู้ประกันตน ม.33 

รับเงินเยียวยา 2 ส่วน คือ เงินชดเชย 50% ของค่าจ้าง สูงสุด 7,500 บ. และเงินชดเชยเพิ่มเติมอีก 2,500 บาท ระยะเวลา 2 เดือนคือในเดือน ก.ค. - ส.ค. รวม 5,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 4 - 6 ส.ค. 64 วันละ 1 ล้านราย โดยจะดำเนินการทยอยโอนเงินผ่าน "พร้อมเพย์" 

ยกเว้น พื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม อีก 3 จังหวัดที่ประกาศเพิ่มเติม ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และอยุธยา จะดำเนินการโอนเงินเยียวยาในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ต่อไป

นายจ้าง ม.33

รับเงินเยียวตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุด 200 คน ภายในวันที่ 6 ส.ค. 64 

ยกเว้น พื้นที่จังหวัดสีแดงเข้มอีก 3 จังหวัดที่ประกาศเพิ่มเติม ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และอยุธยา จะดำเนินการโอนเงินเยียวยาในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ต่อไป


'พยากรณ์อากาศกรมอุตุนิยมวิทยา' วันนี้มีฝนฟ้าคะนอง 36 จังหวัด รับมือมรสุม
Cluster Concepts – ว่าด้วยกรอบระเบียงเศรษฐกิจที่สอง หรือสาม หรือสี่ ..... ตอนที่ 2
โควิดหนุนเงินดิจิทัลโต-กัมพูชาเล็งเลิกพึ่งดอลล์สหรัฐ
ทั้งนี้ หาก "ผู้ประกันตน ม.33" ยังไม่ได้เงินเยียวยา 2,500 บาท ในวันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 ทางประกันสังคมจะทยอยโอนเงิน แนะนำรอตรวจสอบในวันถัดไป

ขณะที่ "ผู้ประกันตน ม.33" สงสัยว่าทำไมอยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 33 แล้วไม่ได้รับสิทธิ​ ทางประกันสังคม ชี้แจงว่า มาตรการเยียวยานายจ้าง และผู้ประกันตน รวมทั้งอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยเพิ่มจากเดิม 10 จังหวัดเป็น 13 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ

(1) ก่อสร้าง
(2) กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร
(3) กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ
(4) กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ ตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด
(5) การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
(6) การขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์
(7) กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน
(กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ
(9) สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
ตรวจสอบสาเหตุต้องติดต่อสำนักงานประกันสังคมพื้นที่ ที่รับผิดชอบโดยตรง

ที่มา :สำนักงานประกันสังคม
#3755
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3756
 
 
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ PremiereKato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอนเฟสบุ๊ค ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- สอนพื้นฐานของเฟสบุ๊ค และการตั้งค่าต่างๆที่ควรรู้ ก่อนทำธุรกิจ
- สอนสร้างเพจเฟสบุ๊คยังไงให้น่าโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
- สอนเช็คข้อความและรูปภาพใน Facebook ลดปัญหาการทำงานที่เสียเวลา
- รู้ทันกับกฎระเบียบต่างๆในการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค 
-  วิธีการนำเพื่อนหรือ พนักงานเข้ามาช่วยบริหารในเพจเฟสบุ๊ค ลดความเสี่ยงจากการโดยยึดเพจ
- สอนการสร้างบัญชีธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้บัญชีส่วนตัวในการยิง เลี่ยงการถูกปิดบัญชี
- สอนวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้วยสถิติ [ผู้สอนจบโทด้านงานวิจัยสถิติโฆษณาโดยตรง]
 - สอนดูคู่แข่งเพื่อมาวิเคราะห์ และพัฒนาสินค้าของตัวเองอย่างมืออาชีพ
- สอนสร้างกลุ่มเป่าหมาย แบบตีวง ล้อมคอก เพื่อเผด็จศึก
- สอนสร้างกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ
- สอนการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ การมีส่วนร่วม, การเพิ่มยอดไลค์, วีดีโอและข้อความ เชิงลึกแบบเป็นระบบ วิเคราะห์เห็นภาพ
- สอนยิงแอดแบบไม่ให้คู่แข่งดึงข้อมูลของเราได้
- สอนการสร้างกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่ายิงแอดบน Instagram
- A/B Testing (การทดสอบเปรียบเทียบคุณภาพการเข้าถึงของโฆษณา)
- สอนสร้าง Lookalike Audience เพื่อหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เชิงสถิติ
- การวางแผน สร้างระบบข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot) ในกล่องข้อความเฟสบุ๊ค
- วิธีใช้ เครื่องมือสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot)เพื่อปิดการขาย
- วิธีการตั้งค่าการชำระเงิน /การออกใบเสร็จรับเงิน จากเฟสบุ๊ค
- สอนให้วิเคราะห์เพจของผู้เรียนแบบมืออาชีพ แบบยั่งยืนไม่โดนหลอก
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

Facebook :https://www.facebook.com/katostock
- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://katoacademy.com/profile_kato

วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ

#สอนเฟสบุ๊ค #สอนเฟสบุ๊คตัวต่อตัว #สอนการตลาดออนไลน์ #สอนถ่ายรูป #สอนโฟโต้ช๊อป


 
 
#3757


นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายกสมาคมสายการบินประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากสายการบินทั้ง 7 สาย ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ นกแอร์ ไทยสมายล์ ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท ออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอความอนุเคราะห์เเละติดตามรัฐบาลในการอนุมัติเงินกู้เพื่อรักษาสภาพการจ้างงานพนักงานกว่า 2 หมื่นคน ซึ่งหลังจากนั้นสายการบินบางส่วน ได้ทยอยประกาศหยุดกิจการชั่วคราว พร้อมงด หรือเลื่อนจ่ายเงินเดือนพนักงานออกไป เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนในการดำเนินงานไว้ได้เเล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวและทำให้มีผู้สอบถามมายังสมาคมฯจำนวนมาก กรณีสายการบินทยอยได้รับสินเชื่อเงินกู้ช่วยเหลือตามนโยบายกระทรวงการคลัง เพื่อรักษาสภาพการจ้างงานพนักงาน เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว

ทั้งนี้ สมาคมฯขอเรียนชี้เเจงว่าตลอดสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา สายการบินได้พยายามปรับตัวอย่างดีที่สุด รวมทั้งทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการได้รับความช่วยเหลืออย่างดี จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมเเบงก์) ในการออกมาตรการผ่อนปรนการชำระหนี้หรือปล่อยกู้ให้กับสายการบินต่างๆ เพื่อประคองธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม สำหรับการยื่นขออนุมัติเงินกู้โดยตรงต่อรัฐบาล ถือเป็นมาตรการสำคัญที่สมาคมฯ ดำเนินการโดยมีวัตถุประสงค์โดยเฉพาะเพื่อรักษาการจ้างงานพนักงานสายการบิน ในสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต่อเนื่องยาวนาน เกินกว่าที่จะควบคุมเเละคาดการณ์ได้

โดยถึงวันนี้ สมาคมฯยืนยันว่า "ยังคงไม่ได้รับการอนุมัติเงินกู้เพื่อรักษาสภาพการจ้างงานจากรัฐบาลเเต่อย่างใด" ซึ่งทราบว่าผ่านความเห็นชอบในหลักการจากสำนักงานประกันสังคม กระทรวงเเรงงานเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว แต่ติดอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้สอดคล้องกับธุรกิจสายการบิน ซึ่งต้องขอความอนุเคราะห์จากรัฐบาลช่วยเหลือในการพิจารณาเร่งรัดแก้ไขข้อกำหนดโดยเร็วที่สุดต่อไป

"สมาคมฯหวังว่าพวกเราจะได้รับการอนุมัติเงินกู้ในเร็ววันนี้ พร้อมผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากกลับมาให้บริการอีกครั้งไปด้วยกัน" นายพุฒิพงศ์กล่าว
#3758


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (3 ส.ค.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการอันเนื่องมาจากข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) 

สาระสำคัญจะปรับปรุงมาตรการการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการยกระดับมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิดที่เพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดจาก 13 เป็น 29 จังหวัด

ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจะยังคงเป็นไปตามระบบเดิมที่วางไว้คือ เงินเยียวยา แรงงานและผู้ประกอบการใน 9 กลุ่มอาชีพ ธุรกิจ ในพื้นที่ที่ล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นอีก 16 จังหวัด แบ่งเป็นการช่วยเหลือแรงงานในระบบประกันสังคม ม. 33 ม.39 และม.40 ซึ่งในส่วนที่เป็นแรงานนอกระบบกำหนดให้ลงทะเบียนเป็นแรงงานตามระบบประกันสังคมเพื่อรับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลได้วางไว้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง

อย่างไรก็ตามเนื่องจากในการขยายพื้นที่สีแดงเข้มเพื่อควบคุมการระบาด ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในครั้งนี้ขยายไปมากถึง 16 จังหวัด ซึ่งมีหลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ มีการผลิตในภาคอุตสาหกรรม มีโรงงานจำนวนมาก เช่น ในจ.ระยอง จ.สระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก

สศช.จึงจะเสนอให้มีการขยายกรอบวงเงินที่จะใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อคดาวน์ของ ศบค.จากเดิมที่ขอกรอบการใช้เงินกู้ ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวการคลังกู้เงินฯในส่วนของเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ไว้ 3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ในบทวิเคราะห์ของ บล.หยวนต้าระบุว่ามาตรการล็อกดาวน์ใน 29 จังหวัดไม่ได้กดดันเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากการประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่ 13 จังหวัดก่อนหน้านี้ มีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมกันสูงถึง 61% ของจีดีพีประเทศ ส่วนการล็อกดาวน์อีก 16 จังหวัดมีสัดส่วน 17% ของจีดีพีประเทศ

โดยถ้าอิงสัดส่วนของภาคการผลิตที่ราว 80-85% ซึ่งยังสามารถดำเนินการได้เกือบปกติ เนื่องจากไม่ได้มีการประกาศให้หยุดการผลิตในโรงงาน แต่การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะการหยุดภาคบริการและสันทนาการจะกระทบเชิงลบต่อจีดีพีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะกระทบเดือนละ 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน 

ขณะที่มาตรการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทต่อเดือนจึงเสนอแนะให้มีการเพิ่มเงินเยียวยาอีกเดือนละ 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือไม่ให้สภาพคล่องหดตัวมากเกินไปในครึ่งปีหลังไม่เเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะหดตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

สำหรับวาระครม.อื่นๆที่น่าสนใจวันนี้ได้แก่ วาระเพื่อพิจารณา

กระทรวงพัฒนาสังคมฯเสนอขอความเห็นชอบปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ(เทพารักษ์ 4) และเพิ่มกรอบงบลงทุน "โครงการบ้านเคหะสุขเกษม"

กระทรวงการต่างประเทศเสนอ รายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย(Universal Periodic Review: UPR) รอบที่ 3

- กระทรวงอุดมศึกษาฯเสนอ ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานโครงการอบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕

วาระเพื่อทราบ กระทรวงดิจิทัลฯรายงานความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai พร้อมทั้งรายงาน ร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. ....

กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Gathering of Cairns Group Ministers)

กระทรวงพัฒนาสังคมฯรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย

- กระทรวงการคลังเสริมรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ
รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๓ ประจำปี ๒๕๖๓
#3759


หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของเกาหลีใต้ โดยคณะกรรมการบริการทางการเงิน หรือ FSC ได้ออกประกาศสั่งปิดเว็บกระดานเทรดสกุลเงินคริปโตในประเทศจำนวน 11 แห่ง เนื่องจากตรวจสอบพบว่าไม่เป็นไปตามกฎหมาย

จากการรายงานของ The Korea Herald ระบุถึงแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมคริปโตว่าการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในพื้นที่เกาหลีกำลังจะถูกปิดตัวลง เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของประเทศได้ตรวจพบกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของพวกเขาเมื่อเร็วๆ นี้ และจะมีการบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้

ตามแหล่งข่าวระบว่ากระดานเทรดจำนวน 11 แห่ง ที่ใช้บัญชีร่วมที่ฉ้อโกงจะต้องปิดตัวลงเนื่องจากคณะกรรมการบริการทางการเงินวางแผนที่จะหยุดการทำธุรกรรมและแจ้งกิจกรรมที่ผิดกฎหมายให้กับอัยการและตำรวจ อย่างไรก็ดีชื่อของกระดานเทรดเหล้านั้น ยังไม่ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นความยากลำบากสำหรับกระดานเทรดเหล่านั้นที่จะได้รับการอนุมัติให้กลับมาดำเนินงานโดย FSC ได้ แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมกล่าว

ทั้งนี้ผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่าการแลกเปลี่ยน crypto จะปิดตัวลงในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ ยกเว้นบริษัท crypto ยักษ์ใหญ่อย่าง Upbit, Bithumb, Coinone และ Korbit

ซึ่งประเด็นมาจากกฏระเบียบข้อกำหนดในการเปิดบัญชีชื่อจริงสำหรับลูกค้า ซึ่งเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับ การดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ บริษัทแลกเปลี่ยนขนาดกลางหลายแห่งได้ประกาศแผนการที่จะปิดบริการหรือธุรกิจของตน เนื่องจากนักเทรดไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยชื่อจริง

ขณะที่ Darlbit ได้ประกาศเลิกกิจการเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว หลังจากแจ้งลูกค้าเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่าจะหยุดให้บริการฝากและถอนเงิน

ขณะที่ CPDAX ได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าจะปิดบริการในวันที่ 1 กันยายนนี้ ซึ่ง "ไม่ใช่มาตรการชั่วคราว แต่เป็นมาตรการถาวรในการปิดธุรกิจ สำหรับผู้ที่มี cryptocurrencies ในบัญชีจะต้องถอนออกก่อน 15:00 น. เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม" บริษัทกล่าว

ในส่วนของ Bitsonic ได้ประกาศผ่านช่องทางการส่งข้อความอย่างเป็นทางการของ Telegram เมื่อวันศุกร์ว่าจะหยุดให้บริการชั่วคราว โดยเตรียมที่จะมีการเจรจาเพื่อเสนอราคาในการต่ออายุระบบบริการ

"เมื่อเราต่ออายุเสร็จแล้ว เราคาดว่าจะบรรลุระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล" บริษัทกล่าว

ในส่วนของ ISMS อยู่ในช่วงของการเตรียมขั้นตอนในการจัดการข้อมูลของลูกค้าโดยจำกัดการละเมิดความปลอดภัยในเชิงรุก เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นอื่นที่จำเป็นสำหรับการแลกเปลี่ยนเพื่อดำเนินการในเกาหลี แต่คำถามยังคงอยู่ไม่ว่าจะเป็นมาตรการปิดชั่วคราวหรือไม่

ทั้งนี้กระดานเทรดที่ถูกขึ้นบัญชีดำทั้ง 11 กระดานเทรดนั้นจะต้องได้รับการอนุมัติจาก FSC ภายในวันที่ 24 กันยายนสำหรับการดำเนินธุรกิจ แต่บริษัทกล่าวว่าจะได้รับ ISMS หลังจากหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคมถึง 30 พฤศจิกายนเท่านั้น เนื่องจากไทม์ไลน์ไม่เพิ่มขึ้นและต้องใช้เวลามากในการบรรลุข้อตกลงด้านการจัดการ ISMS ขณะที่ในส่วนของ Bitsonic จะปิดตัวลงโดยพฤตินัย ตามข้อมูลภายในตลาด

ในขณะเดียวกัน โช เมียงฮี สมาชิกสภาคองเกรสของ People Power Party กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขยายระยะเวลาการรายงานกระดานเทรดในประเทศเกาหลีที่เปิดทำการจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านการเงินกล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าการบังคับใช้จะเป็นไปตามแผนเดิมที่จะเสร็จสิ้นกระบวนการภายในวันที่ 24 กันยายนนี้ หลังจากที่ให้ระยะเวลาผ่อนผันไปแล้ว 6 เดือนตั้งแต่เดือนมีนาคม

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075282
#3760
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf