• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3741
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3742


ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือกับสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ สำหรับคู่รักมาราธอนอย่างหนุ่ม "แดน วรเวช ดานุวงศ์" กับแฟนสาว "แพตตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา" ที่ล่าสุดทั้งคู่ก็ขอส่งต่อกำลังใจเล็กๆ ผ่านถุงยังชีพให้ผู้ที่เดือดร้อน

โดยสาว "แพทตี้" ได้โพสต์ภาพคู่ "แดน" ที่รายล้อมไปด้วยถุงยังชีพสีชมพูและสีฟ้า พร้อมแคปชั่น "ถุงยังชีพ ep3 แพคเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจเล็กๆจากอังนะคะ

และขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่ร่วมสนับสนุนด้วยนะคะ ขอบคุณชวนป๋วยปี่แปกอ ขอบคุณโรซ่า ขอบคุณไมโล ขอบคุณข้าวแสนดี ขอบคุณยาสีฟันเทพไทย ขอบคุณถุงผ้าเพิ่มพูนอินเตอร์เทรด ด้วยการบริจาค"
#3743


ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก "สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6" หน่วยละ 100 บาท จำนวน 1,000 ล้านหน่วย วงเงิน 100,000 ล้านบาท ฝากครบ 3 ปีได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.15 บาท พร้อมลุ้นรางวัลที่ 1 สูงสุด 10 ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 47 ล้านบาทต่อเดือน เปิดรับฝากช่วงที่ 1 วันที่ 20 สิงหาคมนี้ และช่วงที่ 2 วันที่ 18 ตุลาคม 2564 ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาและผ่านทาง ธ.ก.ส. A-Mobile

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก "สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6" จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท รวมวงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อระดมเงินฝากจากประชาชนทั่วไปสำหรับนำไปใช้เป็นทุนสนับสนุนภาคเกษตร อันเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ และเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ถือสลากออมทรัพย์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนให้สามารถฝากเงินกับ ธ.ก.ส.ได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกสำหรับการออมเงินที่ได้รับดอกเบี้ย ไม่เสียภาษีและยังมีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลมากมาย โดยแบ่งการเปิดรับฝากเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท และช่วงที่ 2 วันที่ 18 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท ณ ธ.ก.ส. ทุก
สาขาทั่วประเทศและผ่านช่องทาง แอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile

โดยสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6 มีอายุรับฝาก 3 ปี เมื่อฝากครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.15 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.05 ต่อปี นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 36 ครั้ง ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัลมูลค่า 10,000,000 บาท รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 99 รางวัล ๆ ละ 10,000 บาท รางวัลที่ 2 มี 300 รางวัล ๆ ละ 5,000 บาท รางวัลที่ 3 มี 1,000 รางวัล ๆ ละ 3,000 บาท รางวัลที่ 4 มี 2,000 รางวัล ๆ ละ 1,000 บาท รางวัลที่ 5 มี 10,000 รางวัล ๆ ละ 500 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 100,000 รางวัล ๆ 50 บาท และรางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 2,000,000 รางวัล ๆ ละ 10 บาท รวมรางวัลทั้งสิ้น 2,113,400 รางวัล เป็นเงิน 47,490,000 บาทต่อเดือน โดยจะออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2564 ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลทั่วไปและยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน (Bank Guarantee) ได้อีกด้วย

ทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลและรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากออมทรัพย์ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page "ธกส BAAC Thailand" และ "ธกส บริการด้วยใจ" Youtube Channel "BAAC Thailand" หรือทาง ธ.ก.ส. A-Mobile โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากออมทรัพย์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02-555-0555

 
#3744


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 5 ส.ค.2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ยื่นแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ตามที่ บริษัทฯ ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,599,720,233 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.07 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของกิจการ และคิดเป็น 81.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นสามัญของกิจการที่ผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่เป็นจำนวน 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 4 ส.ค.2564 นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 13 พ.ค.2554 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้ทำคำเสนอซื้อขอนำส่งแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทราบและเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้

โดยหุ้นที่บริษัทฯ ถืออยู่ก่อนทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 606,878,314 หุ้น หรือ 18.93% หุ้นที่เสนอซื้อ 2,599,720,233 หุ้น หรือ 81.07% ส่วนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายอยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ส่งผลให้หุ้นที่รับซื้อไว้อยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ดังนั้น จำนวนหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะถือภายหลังการรับซื้อจะอยู่ที่ 1,354,752,952 หุ้น หรือ 42.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ INTUCH ณ วันที่ 23 ก.พ.2564 ได้แก่ 

1. SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. 673,348,264 หุ้น 21.00%

2. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 505,918,114 หุ้น 15.78%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 463,009,866 หุ้น 14.44%

4. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED 166,753,460 หุ้น 5.20%

5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 45,803,886 หุ้น 1.43%

6. สำนักงานประกันสังคม 43,645,100 หุ้น 1.36%

7. STATE STREET EUROPE LIMITED 33,219,794 หุ้น 1.04%

8. THE BANK OF NEW YORK MELLON 31,611,600 หุ้น 0.99%

9. นาย เพิ่มศักดิ์ เก่งมานะ 31,023,100 หุ้น 0.97%

10. GIC PRIVATE LIMITED 21,620,700 หุ้น 0.67%

ส่งผลให้ภายหลังเทนเดอร์ GULF จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ของ INTUCH
#3745


จะดีแค่ไหน ?หากประเทศไทยมี Open Data แพลตฟอร์มสาธารณะด้านข้อมูล ซึ่งในวันนี้เนคเทค สวทช.ดัน 'Open-D' ขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AIFORTHAI , NETPIE IoT Platform ,HandySense ไปแล้ว มาในวันนี้ได้ส่งมอบแพลตฟอร์มด้านข้อมูลเปิดแก่สาธารณะ

เพื่อที่จะช่วยภาครัฐมีเครื่องมือ หรือระบบที่สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐหรือองค์กรให้กับประชาชนได้รับทราบ และเป็นการผลักดันให้นักพัฒนาระบบหรือผู้ประกอบการด้านธุรกิจสาสนเทศ สามารถนำไปต่อยอดให้บริการพัฒนาระบบเปิดเผยข้อมูลให้กับหน่วยงานต่างๆที่ไม่สามารถดำเนินการเองได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งสาธารณูปโภคที่สำคัญในการพัฒนาความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย


โดยตัวอย่างข้อมูลภาครัฐที่มีคุณค่าสูงหากนำมาเปิดเผยได้ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งเป็นชุดข้อมูลที่มีผู้สนใจนำไปใช้งาน อาทิ ภูมิอากาศ การใช้จ่ายของภาครัฐ


มาวันนี้กรุงเทพธุรกิจจะพาไปรู้จักกับแพลตฟอร์ม Open-D และลงลึกถึงทิศทางการวิจัยเทคโนโลยีด้าน Open Data ที่พร้อมเปิดให้ Download CKAN Open-D ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดทำ Open Data แล้ววันนี้

แต่เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องรู้ว่า "ข้อมูลเปิด (Open Data)" คือ ข้อมูลในแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลได้ และเปิดให้นำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่คิดมูลค่าซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างนวัตกรรมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถือเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนและปรับรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


ซึ่งในประเทศไทยมีเว็บไซต์ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หรือ Data.go.th ที่ริเริ่มและดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Agency: DGA) ตั้งแต่ปี 2558


แต่กระนั้นภาครัฐก็ยังขาดซอฟต์แวร์สนับสนุนการดำเนินงานเปิดเผยข้อมูลอย่างครบวงจร ขาดโปรแกรมเครื่องมือสนับสนุนการใช้ประโยชน์ข้อมูลเปิด ตั้งแต่เรื่องของการนำเข้า การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นอัตโนมัติ และสุดท้ายการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ยังมีไม่มาก

จากความสำคัญดังกล่าว ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลที่ชื่อ Open-D เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วนที่ต้องการให้บริการข้อมูลเปิดของตัวเอง โดยมีเป้าหมายให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถจัดทำบัญชีข้อมูลของหน่วยงานและให้บริการข้อมูลเปิดที่เป็นไปตามมาตรฐานระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ

และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยัง Data.go.th ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยได้มีข้อมูลแบบเปิดที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยนักพัฒนาโปรแกรม นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ผู้วางแผนและกำกับนโยบาย และ ผู้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เสาหลักสาธารณูปโภคด้านข้อมูลเปิด


"Open-D คือ เทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับข้อมูลแบบเปิดถูกพัฒนาขึ้นตามหลักการของความเป็นสากลด้าน Open Data เป็นผลงานการวิจัยของทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค" มารุต บูรณรัช กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ กล่าว

โดยในครั้งนี้ได้พัฒนาต่อยอดจากซอฟแวร์ CKAN (https://ckan.org/) ซึ่งเป็นซอฟแวร์ระบบจัดการข้อมูล (Data Management System) ชนิดโอเพนซอร์ส ที่ได้รับความนิยมในการนำไปให้บริการเว็บไซต์บัญชีข้อมูล สำหรับข้อมูลเปิดทั่วโลก ที่สำคัญได้แก่ เว็บไซต์ Data.gov, Data.gov.sg , Data.gov.au, Data.go.th เป็นต้น

ทั้งนี้ Open-D ได้ปรับปรุงเพิ่มความสามารถของ CKAN หลายฟังก์ชันได้แก่ Data Catalog สนับสนุนการจัดทำบัญชีข้อมูลที่สอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ 2.Data playground สนับสนุนการใช้ข้อมูลเปิด เพื่อวิเคราะห์ จัดทำรายงานเชิงสรุปในรูปแบบตาราง แผนที่ กราฟ 3.Data Governance สนับสนุนการทำงานของบริกรข้อมูล ตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลขององค์กร 4.Data Connect สนับสนุนการสร้างชุดข้อมูลเปิดจากแหล่งข้อมูลของหน่วยงานในแบบฐานข้อมูลหรือ API

ขณะที่ Open-D เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมความสามารถของระบบ CKAN ให้มีความสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยทั้งในด้านความสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดทำบัญชีข้อมูลที่กำหนดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ การรองรับการสืบค้นข้อมูลภาษาไทย และเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในด้านต่างๆ ในด้านการจัดการข้อมูล

เช่น เครื่องมือสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างกราฟชนิดต่างๆ เครื่องมือสนับสนุนการนำเข้าข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นต้น โดยซอฟแวร์ Open-D ให้บริการทั้งในรูปแบบของส่วนขยายของ CKAN และซอฟแวร์ที่สามารถนำไปติดตั้งใช้งานในหน่วยงานได้

ทั้งนี้ Open-D จะช่วยให้หน่วยงานสามารถประหยัดเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ให้บริการเปิดเผยข้อมูล ให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ รองรับการเชื่อมโยงบัญชีข้อมูล ตอบสนองการจัดการข้อมูลอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการนำข้อมูลไปต่อยอดใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

มารุต ยังเล่าต่อไปว่า แพลตฟอร์ม Open-D ปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว ส่วนทิศทางการวิจัยในอนาคตจะเป็นการเข้าไปสนับสนุนทั้งต้นน้ำ Data Catalog กลางน้ำ Data Governance และปลายน้ำ Open Data ซึ่งการพัฒนา Open-D เพื่อสนับสนุนในทุกขั้นตอนเพื่อที่เนคเทคจะขยับตัวเองมาเป็นผู้พัฒนา Software Platform เพื่อให้กลางน้ำและปลายน้ำคือ บริษัทซอฟแวร์เอกชนและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดด้วยตนเองให้มากที่สุด เมื่อหน่วยงานส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานเครื่องมือเดียวกันการเชื่อมโยงจะง่ายมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งมีทิศทางการดำเนินงานเพิ่มเติมคือการเพิ่มความชาญฉลาดในเรื่องของภาษาไทย การประมวลข้อมูลที่มีความไดนามิกให้สามารถรองรับการนำเข้าข้อมูลอย่างอัตโนมัติซึ่งจะเป็นการพัฒนาในลำดับต่อไป


"ข้อมูลเปิดที่ Open-D กับ Data.go.th อยู่คนละบทบาทกัน ทั้งนี้การใช้ Ckan จะมี learning curve ประมาณนึง และจะต้องมีทักษะของระบบโอเพนซอร์ส แต่ Open-D แฮกระบบยากๆให้แล้วเบื้องต้น ทั้งนี้ทางเนคเทคจะมีการจัดอบรมแบบเชิงลึก "NSTDA career for the future" โดยหลักสูตรจะมีการจัดในเดือนกันยายนนี้ผ่านช่องทางออนไลน์แก่ผู้ที่สนใจ"
#3746


นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า จากการที่กรมธนารักษ์ได้ได้ประกาศประมูลสิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุ (วังค้างคาว) พร้อมที่ดินนอกที่ตั้งตัวอาคาร เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2564 ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.2723 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 3249 แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 0-3-29 ไร่ มีกำหนดระยะเวลาการเช่า 30 ปี

สำหรับเงื่อนไขการประมูล มีรายละเอียด ดังนี้ 1. คุณสมบัติผู้เข้าประมูล 1.1 เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลตามกฎหมายไทย 1.2 จะต้องไม่เคยเป็นผู้ทิ้งงานก่อสร้างของทางราชการตามหนังสือแจ้งเวียนรายชื่อผู้ทิ้งงาน ของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุกรมบัญชีกลางมาก่อนจึงจะมีสิทธิได้รับการพิจารณา

2.สถานที่ติดต่อขอซื้อเอกสารผังประมูลสามารถติดต่อขอซื้อเอกสารผังประมูล ในราคาชุดละ 1,500.- บาท ณ ส่วนรายได้ กองบริหารที่ราชพัสดุกรุงเทพมหานคร กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. 2564 ถึงวันที่ 31 ส.ค. 2564 ทุกวันในเวลา 09.00 – 15.00 น. เว้นวันหยุดราชการ

3.กำหนดวัน เวลารับฟังคำชี้แจงและดูสถานที่ประมูลสิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุ ผู้เข้าประมูลสามารถรับฟังคำชี้แจงรายละเอียดการประมูล ในวันที่ 9 ก.ย.2564 โดยพร้อมกัน ณ กรมธนารักษ์ เวลา 10.00 น.

4. การเสนอเงินค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า ไม่ต่ำกว่า 9,475,200.- บาท

5. หลักประกันซอง ผู้เข้าประมูลจะต้องวางหลักประกันซอง เป็นเงิน 947,520.- บาท พร้อมกับการยื่นซองประมูล

6.กำหนดวัน เวลาเปิด-ปิดรับซองประมูล และเปิดซองประมูล ผู้เข้าประมูลต้องยื่นซองประมูลต่อคณะกรรมการ ณ ห้องประชุม 702 อาคารกรมธนารักษ์ ในวันที่ 23 ก.ย. 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 ถึง 10.00 น. และคณะกรรมการจะปิดรับซองประมูล ในเวลา 10.00 น. และจะเปิดซองประมูล เวลา 10.30 น. ในวันและสถานที่เดียวกัน


สำหรับประวัติความเป็นมาของวังค้างคาวนั้น อธิบดีกรมธนารักษ์ ได้กล่าวในรายละเอียดไว้ว่า บ้านพระประเสริฐวานิช (เจ้าสัวเขียว เหล่าประเสริฐ)เป็นอาคารเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของพระประเสริฐวานิช ต่อมาบ้านและที่ดินตกเป็นของนายเว้น (บุตร) และได้บริจาคให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2464

อาคารนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะและรูปแบบเป็นกลุ่มอาคารเก๋งจีน 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง หน้าจั่วปูนปั้น ประกอบด้วย อาคารสองหลังตั้งขนานกัน หันหน้าออกแม่น้ำ มีระเบียงเชื่อมถึงกัน ล้อมลานโล่ง ตรงกลางขนาดใหญ่ พื้นที่บริเวณใต้ถุนอาคารถูกแบ่งเป็นสัดส่วน

ทั้งสองฝั่งเพื่อใช้ประโยชน์เป็นที่เก็บสินค้า โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2450-2460 บริษัท หลักสุงเฮงของนายเหียกวงเอี่ยม อดีตประธานหอการค้าไทย-จีน เช่าอาคารและพื้นที่เป็นสำนักงานและท่าเรือซึ่งดำเนินกิจการรับ-ส่งสินค้าทางเรือ จากนั้น ห้างฮั่วจั่วจั่นได้มาขอเช่าต่อ โดยใช้พื้นที่ใต้ตึกเป็นที่เก็บสินค้า

เมื่อเลิกเช่าตัวอาคารจึงถูกปิดร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์มาหลายสิบปี ทำให้มีค้างคาวเข้ามาทำรังและอาศัยอยู่บริเวณใต้ตึกเป็นจำนวนมาก จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้มีคนเรียกอาคารเก่าหลังนี้ว่า "วังค้างคาว" และในปี พ.ศ. 2561 กรมศิลปากรได้ประกาศรายชื่อโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานครตามนัยราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135 ตอนพิเศษ 165 ง ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 โดยมีบ้านพระประเสริฐวานิช (เขียว) (วังค้างคาว) ในประกาศดังกล่าว
#3747


เลขานุการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) แจงตลาดหลักทรัพย์ ยันไม่ได้ให้ข้อมูลการทำสัญญา หรือจะทำสัญญาซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม และไม่ได้ใช้เงินสด เงินกู้ หรือทรัพย์สินของบริษัทฯ วางมัดจำหรือค่าปรับมัดจำวัคซีน อีกด้านไม่สามารถเปิดเผยจำนวนวัคซีน และระยะเวลาการนำเข้าได้ อ้างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

วันนี้ (5 ส.ค.) น.ส.สุวดี พันธุ์พานิช เลขานุการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือถึงกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้แจงการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 เทคโนโลยี mRNA (เพิ่มเติม) ระบุว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ("สำนักงาน ก.ล.ต.") มีหนังสือลงวันที่ 4 สิงหาคม 2564 โดยใช้อำนาจมาตรา 58(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ("พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ") ให้ผู้บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") ชี้แจงข้อมูลและนำส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และเปิดเผยคำชี้แจงดังกล่าวผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่ในหนังสือ

บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า บริษัทฯ ได้รับหนังสือจาก สำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว โดยจะดำเนินการชี้แจงโดยละเอียดตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยขอให้ข้อมูลเบื้องต้นได้ดังนี้

1. บริษัทฯ "ไม่ได้ให้ข้อมูลการทำสัญญาหรือจะทำสัญญาร่วมกับกระทรวงกลาโหม" ตามที่ได้ชี้แจงไปแล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐเพื่อร่วมกันนำเข้าวัคซีนจริง โดยจะเปิดเป็นเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้สำนักงาน ก.ล.ต.

2. บริษัทฯ ไม่ได้ใช้เงินสด เงินกู้ หรือทรัพย์สินของบริษัทฯ ในการวางมัดจำหรือค่าปรับมัดจำวัคซีน

3. วัคซีนจำนวน 20 ล้านโดส ที่ได้มีการเจรจากับผู้แทนจำหน่ายแล้วนั้น ยังไม่มีการลงนามสั่งซื้อจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ตามระเบียบของรัฐ แต่บริษัทฯ ยังไม่ละทิ้งความพยายาม โดยจำนวนวัคซีน และระยะเวลาการนำเข้าวัคซีนไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อนึ่ง ขอเรียนให้ท่านทราบว่า "แม้บริษัทฯ ไม่ใช่ผู้มีหน้าที่ในการดำเนินการสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 ตามกำหนดของรัฐ" แต่เป็นการ "ทำหน้าที่ในฐานะเอกชนและพลเมือง" ที่ไม่เพิกเฉยต่อสถานการณ์การระบาดของโรคที่มีในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้วิกฤตนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ราคาหุ้น THG วานนี้ (4 ก.ค.) ปิดตลาดอยู่ที่ราคา 28.25 บาท ลดลงมา 2.50 บาท หรือ 8.13% โดยพบว่าเปิดตลาดราคาหุ้นดิ่งลงมาจากราคา 30.75 บาท ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นมา
#3748


ผู้จัดการรายวัน360 องศา - ส่องอาณาจักรคุณนายปลัดมหาดไทย "SPCG" ผลดำเนินงานกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี จากธุรกิจพลังงานทดแทนขยายตัวไม่หยุด คาดปี 2564 รายได้ไม่ต่ำกว่า 5.5 พันล้านบาท จากโครงการใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ส่วนปีหน้า Solar Farm ใน EEC ช่วยกระตุ้น

กลายเป็นกระแสที่พูดถึงในแวดวงการลงทุน และแวดวงการเมือง เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 ส.ค. มีมติแต่งตั้ง "สุทธิพงษ์ จุลเจริญ" อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ แทน "ฉัตรชัย พรมเลิศ" ปลัดกระทรวง ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ นั่นเพราะแม้การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อตุลาคมปีก่อนจะไม่มีอะไรที่โดดเด่นหรือสะดุดตามากนัก แต่ในฟากคู่สมรสกลับเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

เพราะนั่นคือ "วันดี กุญชรยาคง" หัวเรือใหญ่ของบริษัทพลังงานทดแทนอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยแสดงข้อมูลทรัพย์สินที่ระดับ 1.02 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยเงินสด เงินฝาก เงินลงทุน เงินให้กู้ยืม โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งทรัพย์สินอื่นๆ โดยไม่มีหนี้สิน ทำให้รู้บ้านนี้ "รวย"

ที่ผ่านมา "วันดี กุญชรยาคง" ถือเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ในวงการพลังงานทดแทนของประเทศ เดิมที่ก่อนหน้านั้นเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.โซลาร์ตรอน (SOLAR) ด้วยสัดส่วนประมาณ 31.41% และเป็นหัวเรือสำคัญในการนำพา SOLAR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2548

ด้วยฝีมือการบริหารงาน สามารถนำพา SOLAR มีกำไรให้มีกำไรก้าวกระโดดในระดับ 137 ล้านบาท จาก 2 ปีก่อนหน้าบริษัทมีกำไรประมาณ 4.86 ล้านบาท ทำให้ราคาหุ้น SOLAR ในช่วงเวลานั้นขยับขึ้นถึงระดับ 17.00-18.00 บาทต่อหุ้น จากราคา IPO ที่ระดับ 8.00 บาทต่อหุ้น และต่อมาในช่วงปี 2550 พอ"วันดี" ตัดสินใจทยอยขายหุ้นที่ถืออยู่ใน SOLAR ออกจนหมด และเข้ามาถือหุ้นและบริหารใน บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) จนถึงปัจจุบันมีผลให้ราคาหุ้น SOLOR ปรับตัวลงเช่นกัน

จากการตรวจสอบข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันดี กุญชรยาคง ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 298,950,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 28.32% หากคำนวณราคาปิดล่าสุด (4 ส.ค.) ที่หุ้นละ 18.50 บาท ทำให้มีมูลค่ารวม 5,530.58 ล้านบาท

ปัจจุบัน SPCG ประกอบธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม 36 แห่ง กำลังผลิตรวม 205.9 เมกะวัตต์ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ระยะเวลา 5 ปี ต่ออายุอัตโนมัติครั้งละ 5 ปี และ SPCG ถือหุ้นในโครงการเหล่านี้ในสัดส่วน 56-100% ขณะเดียวกัน SPCG ยังถือหุ้น 100% ในบริษัท Solar Power Roof เพื่อทำธุรกิจติดตั้งโซลาร์บนหลังคาอาคาร รวมถึงหน่วยราชการ โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

นอกจากนี้ SPCG ยังร่วมจัดตั้งบริษัท SET Energy ด้วยสัดส่วนถือหุ้น 80% (อีก 20% ถือหุ้นโดยบริษัทลูกของ PEA) เพื่อทำธุรกิจโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ 500 เมกะวัตต์ ขึ้นไปในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยโครงการนี้เป็นโครงการของ EEC ที่มอบสิทธิให้ PEA เป็นผู้พัฒนาโครงการ ซึ่ง PEA มอบสิทธิต่อให้บริษัทลูก PEA ENCOM ดำเนินการ

ด้านสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ใน SPCG พบว่า "วันดี กุญชรยาคง" เป็นถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งของบริษัทด้วยสัดส่วน 28.32% (รวมถือในนามกลุ่มกุญชรยาคง คิดเป็นสัดส่วน 33.45%) โดยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่

ภาพรวมด้านผลดำเนินงาน แม้รายได้ของบริษัทจะลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ระดับ 6.12 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 5.04 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา แต่กำไรสุทธิกลับเติบโตสวนทางจาก 2.52 พันล้านบาทในปี 2560 มาอยู่ที่ 2.73 พันล้านบาทในปี 2563 เช่นเดียวกับอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนจาก 5.02% ในปี 2560 มาอยู่ที่ 6.07%ในปี 2563 และ 6.39% ในปัจจุบัน

สำหรับปี 2564 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมไม่น้อยกว่า 5.5 พันล้านบาท โดยมาจากโปรเจกต์งานใหม่ๆ ขณะเดียวกัน คาดว่าโครงการ Solar Farm จะสามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 385 ล้านหน่วย จากกำลังผลิตรวมโครงการโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการ อีกทั้งยังมองหาช่องทางขยายการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ส่วนแนวโน้มของธุรกิจ Solar Rooftop คาดว่าผลงานในช่วงไตรมาส 2/64 จะดีกว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมองว่าทั้งปีจะสามารถทำรายได้ไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท จากโครงการติดตั้งใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้นหลายโครงการ แม้ที่ผ่านมา รายได้จะชะลอตัวไปจากลูกค้ากลุ่มโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ด้านธุรกิจ Solar Farm โครงการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะเริ่มทยอยกำลังผลิตเฟสแรกที่ 300 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ได้ในไตรมาสแรกปีหน้า ล่าช้าจากกำหนดเดิมที่คาดว่าจะเริ่ม COD ใน Q4/64 เพราะสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้การยื่นขอใบอนุญาตต่างๆ ล่าช้าออกไป

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากโครงการใน EEC ทันทีภายหลังการ COD ในเฟสแรก ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟได้ครบทั้งหมด 500 เมกะวัตต์ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีโครงการจ่ายไฟอยู่มาก แต่บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้ ธุรกิจ Solar Farm จะได้รับผลกระทบจากการจ่ายไฟที่ลดลง เนื่องจากมีโครงการที่จะหมด Adderไป 4 โครงการในปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีโครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ โดยทาง SPCG ถือหุ้นอยู่สัดส่วน 17.92% ซึ่งปัจจุบันกำลังเร่งดำเนินการก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถเริ่ม COD ได้ราว Q3/65 ตามแผนงานเดิม
#3749












ขายที่ดิน ต.มหาราช อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ตามหน้าโฉนดครุฑแดง เนื้อที่ 4ไร่ 1งาน 88วา ราคา 1250 บาทต่อตารางวา ไร่ละ 400000 บาท ขายรวม 1.7 ลบ แบ่งโฉนดขาย ติดถนนคอนกรีตถนนดำ เสาไฟฟ้าหน้าที่ดิน น้ำไฟเข้าถึง เดินทางสะดวกสบาย คมนาคมและสาธารณูปโภคครบครันสะดวกสบายใกล้ทางหลวงทางหลัก ย่านแหล่งชุมชน อยู่ใกล้สถานที่สำคัญหลายแห่ง ใกล้โรงพยาบาล โรงเรียน การไฟฟ้า สำนักงานเทศบาลตำบลมหาราช สำนักงานเกษตร ธนาคาร และอื่น ค่าใช้จ่ายวันโอนคนละครึ่ง 

โทร 083-712-4115
line id : 0837124115

ปักหมุด
ใกล้ ตำบล มหาราช อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13150
https://maps.app.goo.gl/1eHFoygSJFgMqPQg8

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=122520983178778&id=100062626307647
#3750


"กระทรวงท่องเที่ยวฯ" เผยสถิติ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" ครบ 1 เดือนแรก สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเฉียด 2 พันล้านบาท จากนักท่องเที่ยวกว่า 1.4 หมื่นคน ใช้จ่ายเฉลี่ยเกือบ 6 หมื่นบาทต่อทริป "สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้" ลุ้นไตรมาส4 ท่องเที่ยวภูเก็ตพลิกสถานการณ์

ฝ่าวิกฤติยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศพุ่ง มีนักท่องเที่ยวไทย-เทศเดินทางเข้ามาเที่ยว 2-3 แสนคนต่อเดือน ดันจำนวนและรายได้ท่องเที่ยวฟื้น 20%

หลังจากโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" เปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว ครบ 1 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รวบรวมสถิติที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 14,055 คน โดยประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก คือสหรัฐ 1,802 คน, สหราชอาณาจักร 1,558 คน, อิสราเอล 1,455 คน, เยอรมนี 847 คน และฝรั่งเศส 839 คน มีจำนวนการจองห้องพักโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ตลอดเดือน ก.ค.ที่ผ่านมารวม 190,843 คืน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกว่า 1.4 หมื่นคนที่เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตลอดเดือนแรกที่เปิดดำเนินการ ช่วยสร้างรายได้แก่ภูเก็ต 829 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 58,982 บาทต่อทริป แบ่งเป็นค่าที่พักมากที่สุด 282 ล้านบาท ค่าซื้อสินค้าและบริการ 194 ล้านบาท ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 175 ล้านบาท บริการทางการแพทย์และสุขภาพ 124 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 54 ล้านบาท

"สร้างเงินหมุนเวียนที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง และห่วงโซ่อุปทานที่สนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น ภาคเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน คิดเป็นจำนวนเงินรวม 1,925 ล้านบาท และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม 816 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินหมุนเวียนที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวก่อให้เกิดมูลค่าของการผลิตสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน (หรือ GDP)"

นอกจากนี้มูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดผลตอบแทนในรูปของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนให้กับพนักงานและลูกจ้างทั้งหมดเป็นมูลค่า 210 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงาน รักษาตำแหน่งงานเทียบเท่าระยะเวลา 1 ปี (Full Time Equivalent) จำนวน 2,719 คน ขณะที่ภาครัฐมีรายได้ในรูปแบบภาษีในทุกๆ รอบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ 87 ล้านบาท

คาด ส.ค.ทัวริสต์เข้าภูเก็ตไม่เกิน 1.5 หมื่นคน

ก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตามเป้าหมายของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 แสนคนในไตรมาส 3 ตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.นี้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องในเดือน ส.ค.นี้ แม้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะพยายามใช้กลยุทธ์ซิตี้มาร์เก็ตติ้ง ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาติมองภูเก็ตแบบแยกส่วนจากประเทศไทยในภาพรวมแล้ว แต่ด้วยยอดผู้ติดเชื้อในไทยที่พุ่งสูงจึงกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ กระแสการจองห้องพักโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ช่วงเดือน ส.ค.นี้เริ่มแผ่วลง โดยคาดว่าเดือน ส.ค.จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ไม่เกิน 1.5 หมื่นคน น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4 หมื่นคนในเดือนนี้

"กระทรวงการท่องเที่ยวฯจึงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จะถึงเป้าหมาย 1 แสนคน"

ลุ้นรายได้ท่องเที่ยวภูเก็ต Q4 ฟื้น 20%

นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า ไตรมาส 3 ถือเป็นช่วงเริ่มต้นของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อนำไปสู่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากขึ้นในไตรมาส 4 นี้ หลังจากเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ครบ 1 เดือนแรกพบว่านักท่องเที่ยวมีความประทับใจ

และหลังจากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 4 พบยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวไทยเข้ามาเที่ยวภูเก็ตเลย ต่างจากในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวไทยมาเยือน 1.5-2 แสนคน

"เดิมสมาคมฯคาดว่าในไตรมาส 4 ซึ่งตรงกับช่วงไฮซีซั่น จะมีนักท่องเที่ยวจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศรวมกันที่เดือนละ 2-3 แสนคน ช่วยทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้กลับมา 20% จากภาวะปกติ ทำให้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตยังพอเดินต่อไปได้ แต่ตอนนี้ในภูเก็ตเหลือแต่นักท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ ส่วนตลาดคนไทยเที่ยวภูเก็ต ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร คงต้องหวังพึ่งการกระจายวัคซีน และติดตามการล็อกดาวน์ในประเทศว่าจะได้ผลแค่ไหน"

เนายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต กล่าวเสริมว่า ในช่วงภาวะปกติก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวรวม 14.4 ล้านคนเมื่อปี 2562 โดยมีฐานนักท่องเที่ยวคนไทยมากเป็นอันดับ 1 ที่ 4.4 ล้านคน รองลงมาคือจีน 3 ล้านคน รัสเซีย 8 แสนคน อินเดีย 3.5 แสนคน ออสเตรเลีย 3.2 แสนคน สหราชอาณาจักร 3.1 แสนคน และอื่นๆ

"ในช่วงไฮซีซั่นภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวมากสุดถึง 4 หมื่นคนต่อวัน ต่างจากปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เฉลี่ย 400 กว่าคน โครงการแซนด์บ็อกซ์จึงถือเป็นกระบะทรายแห่งความหวัง ทำให้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตสู้ต่อไปได้"

ทั้งนี้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตหวังว่าประเทศไทยจะมีการรับรองวัคซีน "สปุตนิก วี" ภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวรัสเซียซึ่งมีจำนวนมาเที่ยวภูเก็ตมากเป็นอันดับ 3 เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้
#3751
Sharisma ตัวช่วยลดอายุเซลล์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย ครบเครื่องเรื่องสุขภาพ 

สัมผัสกับศาสตร์แห่งรางวัลโนเบลครั้งแรกในประเทศไทย ให้คุณได้ฟื้นฟูสุขภาพและผิวพรรณในทุกมิติ รวมถึงผิวหน้า ผิวกาย ระบบภูมิคุ้มกัน กับการลดอายุที่ระดับเซลล์ 

Talos95  สารสกัดสำคัญที่สำคัญใน Sharisma ที่แรกที่เดียวในประเทศไทย ศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 3รางวัล ช่วยลดอายุเซลล์ได้จริงมีงานวิจัยรองรับ Telomere Health Support

Astaxanthin จาก AstaReal
 ราชาแห่งสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีมากถึง 6000 เท่า เกราะป้องกันผิวและร่างกาย จากมลพิษและสิ่งเร้าภายนอก

Pure collagen dipeptide จาก Wellnex โมเลกุลเล็กที่สุด ดูดซึมได้ทันที เข้มข้นด้วยกรดอะมิโน po-og กระตุ้นการสร้ๅงคอลลาเจนได้ดีถึง 10 เท่า เป็นcollege อันดับหนึางในญี่ปุ่น

Camucanu King of Natural VitaminC วิตามินซีเข้มข้นกว่าส้มถึง 60 เท่า ปกป้องเซลล์และปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดบำรุงตับ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส

Gos�  สารสำคัญในน้ำนมแม่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน #Prebiotic และผลวิจัยด้านความงามพบว่า สามารถลดริ้วรอยได้

MitoActive บูสท์การเผาผลาญระดับเซลล์ กระชับสัดส่วน กล้ามเนื้อทนทาน ออกกำลังกายได้นานขึ้น

สารสกัดเข้มข้นจากทั่วโลกอีก 20 ชนิดอัดแน่นเต็มกล่อง 


No sugar No Cholesterol > ปราศจากสารให้ความหวานและน้ำตาล จึงไม่ทำให้เกิดไขมันที่ก่อตัวในเส้นเลือด

วิธีการทาน ทานตอนท้องว่าง 
ทานวันละ 1 ซอง ลดอายุเซลล์ได้ถึง 7.4 ปี
ทานวันละ 2ซอง ลดอายุเซลล์ได้ถึง 8.5 ปี
เมื่อทานต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน 

โปรโมชั่นพิเศษ
จากปกติกล่องละ 1,290 บาท
 1 890 บาท รวมส่ง 950 บาท ประหยัดไป 400 บาท
 2 กล่อง 1,780 บาท รวมส่ง 1,840 บาท ประหยัดไป 820 บาท 
 3 กล่อง 2,670 บาท รวมส่ง 2,700 บาท ประหยัดไป 1,270 บาท 
 4 กล่อง 3,560 บาท รวมส่ง 3,600 บาท ประหยัดไป 1,700 บาท 
 5 กล่อง 4,450 บาท รวมส่ง 4,500 บาท ประหยัดไป 2,100 บาท 

ช่องทางการส่งของเรา มีทุกช่องทางนะคะ
ส่งไปรษณีย์ Kerry flash เริ่มต้นที่ 60 บาท
Grab หรือ line man คิดตามระยะ ทางนะคะ

ทางทีมกำไร
-  เปิดรับ Holding มาร่วมทีม สร้างรายได้ไปด้วยกัน 
-  ทางทีมมีการเทรน Holding ในทีมแบบ private 
-  Holding ทีมกำไรมีแผนโปรโมทเฉพาะทีม 
-  มี Add เฉพาะทีม 
-  ไม่ทิ้ง Holding ให้เคว้งคว้าง
-  ปั้น Holding แม้ไม่มีพื้นฐานหรือประสบการณ์การขายออนไลน์มาก่อน เพียงแค่ตั้งใจพอค่ะ เชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า และลงมือทำ ถึงเป้าหมายแน่นอน 

สนใจติดต่อ 
Line@ : @gumrai (มี@) 

https://lin.ee/L2ygeGr


IG : Gumrai_kaikong 

https://www.instagram.com/p/CSDqkpeHY5O/?utm_medium=copy_link

Facebook Sharisma เพจดีลเลอร์รายใหญ่ 

https://www.facebook.com/100369412341981/posts/112206244491631/?d=n

Call : 090-9914691





























 
#3752


คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ "แอชตัน อโศก" มูลค่า 6,481 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทลูกอย่าง "บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ยังคงเป็นประเด็นร้อนของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจลุกลามไปยังพัฒนาโครงการอื่นๆทั้งห้างค้าปลีก โรงแรม ที่อยู่อาศัย ในกรณีที่มีการใช้ทางเชื่อมกับระบบสาธารณูปโภคของรัฐ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกฏหมายเวนคืนที่ดิน 

ทันทีที่มีคำพิพากษาศาลออกมา วันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา "อนันดาฯ" บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ ต้องเร่งแจงลูกบ้าน เพื่อลดผลกระทบ ความกังวลใจที่เกิดขึ้น ล่าสุด บริษัทได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมถึงแนวทางการแก้ปัญหา และยืนยันจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้โครงการขายเกือบหมด มียอดโอนแล้ว 87% คิดเป็นมูลค่า 5,639 ล้านบาท 


ทางเข้าโครงการแอชตัน อโศก

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการแก้ปัญหาโครงการแอชตัน อโศก เบื้องต้น บริษัทได้เตรียมข้อมูล และระดมทีมกฎหมายเพื่อดำเนินการยื่นอุทรณ์คำพิพากษาคดีเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน จากนั้นคาดว่ากระบวนการทางศาลจะใช้เวลา 3-5 ปี 

ทั้งนี้ ระหว่างกระบวนกานทางศาล บริษัทยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การดูแลจะดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders) ตลอดจนผู้ถือหุ้นอื่นๆ 

 นอกจากนี้ บริษัท ได้นำข้อมูลพร้อมชี้แจงเกี่ยวกับการซื้อที่ดินซึ่งอยู่ใกล้แยกอโศก เพื่อพัฒนาโครงการแอชตัน อโศก เนื่อที่กว่า 2 ไร่ แต่ทางเข้าออกหลักมีระยะเพียง 6.4 เมตรเท่านั้น จึงได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการซื้อที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการศึกษาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ทางเข้า-ออก ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) จากโครงการอื่นๆแล้ว 

ประกอบกับเวลานั้น รฟม. มีแนวคิดในการพัฒนาเมืองที่เรียกว่า Transit Oriented Development หรือ TOD  คือการพัฒนาที่เน้นระบบขนส่งมวลชน โดยออกแบบพื้นที่รอบสถานีให้ผสมผสานระหว่างศูนย์พานิชยกรรมร้านค้า ที่พักอาศัย แหล่งงาน ฯ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก ในนี้มีการระบุรายละเอียดให้สามารถประกอบธุรกิจที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ได้ด้วย รวมถึงการให้กำหนดอัตราค่าตอบแทนการอนุญาตให้ใช้ที่ดินรฟม.เป็นทางผ่าน 

โดยบริษัทให้ค่าตอบแทนแก่รฟม. เป็นมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท  ด้วยการสร้างอาคารที่จอดรถความสูง 7 ชั้น เบื้องต้นมีการวางเงินมัดจำแล้วจำนวนหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวบริษัทย้ำว่าโครงการ แอชตัน อโศก ไม่ใช่รายแรกที่ใช้ทางเข้า-ออกของ รฟม. เพราะที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานขออนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับของภาครัฐอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ทั้งการได้รับอนุมัติจาก 8 หน่วยงานราขการ เช่น สำนักงานนโยบายและแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) สำนักงานเขตวัฒนา กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมที่ดิน ฯ


ผังที่ดินโครงการแอชตัน อโศก

บริษัทยังได้รับใบอนุญาต 9 ฉบับ เช่น ใบอนุญาตใช้ทางของรฟม. ใบอนุญาติเชื่อมทางสาธารณะ ใบรับแจ้งการก่อสร้างตามมาตรา 39 ทวิ 3 ใบ ฯ นอกจากนี้ ยังขอความเห็นก่อนดำเนินการ 7 หน่วยงาน เช่น รฟม. กองควบคุมอาคาร สำนักการจราจร สำนักงานที่ดินฯ ผ่านความเห็นชอบจาก 5  คณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการ รฟม. คณะกรรมการ พิจารณาแบบของสำนักงานควบคุมอาคารว่าแบบก่อสร้างถูกต้อง เป็นต้น 

"บริษัทมั่นใจอย่างยิ่งว่าในกระบวนการดำเนินโครงการแอชตัน อโศก ที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและสุจริต ชอบด้วยกฎหมายทุกขั้นตอน"


ทั้งนี้ เมื่อมีคำพิพากษาของศาลออกมา บริษัทเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะกรณีดังกล่าวเปรียบเสมือนอุกาบาตหรือสินามิที่กระเทือนต่อเศรษฐกิจมหาศาล กระทบความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย 

"ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์เหนื่อยอยู่แล้ว เจอแบบนี้ตอกย้ำว่าอยากให้เราตายเร็วใช่ไหม"

สำหรับโครงการเป็นอาคารชุดสูง 51 ชั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 666 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,400 ล้านบาท การโอนห้องชุดแล้ว87% มูลค่ากว่า 5,639 ล้านบาท มีผู้พักอาศัย  578 ครัวเรือน แบ่งเป็นคนไทย 438 ราย และลูกค้าต่างชาติ 140 รายจากทั้งสิ้น 20 ประเทศ ปัจจุบันโครงการยังเหลือขายมูลค่า 842 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่า 2.48% ของมูลค่าโครงการเหลือขายทั้งหมด 33,973 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบดังกล่าว ยังส่งผลให้บริษัทต้องเลื่อนการออกหุ้นกู้มูลค่า 6,000 ล้านบาท ออกไปประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้นักลงทุนพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน  

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ปัญหาโครงการแอชตัน อโศกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯเท่านั้น แต่ยังกระเทือนวงการธุรกิจอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบธนาคาร ห้างค้าปลีก โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรมที่ขอทางเชื่อมกับกฎหมายเวนคืนที่ดินทั้งหมด เฉพาะโครงการอสังหาฯ ยังมีอีก 13 โครงการ ที่มีลักษณะคล้ายกันกับอนันดา โดยเป็นโครงการเฉพาะ รฟม. 6 โครงการ ดังนั้น จึงเห็นควรหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาเป็นวาระแห่งชาติ 


แม้ยืนยันทำถูกต้อง แต่ยังมี 13 โครงการเข้าข่ายเดียวกับแอชตัน อโศก เฉพาะ รฟม.มีกว่า 6 โครงการ  

"ปัจจุบันอสังหาฯย่ำแย่อยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทยังมาถูกกระทบกับเรื่องนี้ด้วย ซึ่งยอมรับว่าเป็นโจทย์ยากที่สุดในชีวิต เพราะธุรกิจ เศรษฐกิจได้รับผลกระทบในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่ายืนอยู่บนความถูกต้อง เพราะได้รับการอนุญาตจาก 8 หน่วยงาน ใบอนุญาต 9 ฉบับ และเชื่อว่าวิกฤติครั้งนี้ อนันดาฯจะผ่านไปได้" 
#3753


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 มาตรการการล็อกดาวน์ของ ศบค. ส่งผลให้การบริโภคไข่ไก่เพิ่มสูงขึ้นกว่าสถานการณ์ปกติ ล่าสุดกรมปศุสัตว์ได้เตรียมแผนรองรับในเรื่องนี้

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์จึงได้กำหนดมาตรการปรับสมดุล Demand – Supply โดยได้แจ้งให้เกษตรกรเจ้าของฟาร์มไก่ไข่ทั่วประเทศ สามารถยืดอายุการเลี้ยงแม่ไก่ไข่ยืนกรงออกไปตามที่แต่ละฟาร์มเห็นว่าเหมาะสม จากเดิมที่กำหนดให้ปลดแม่ไก่ยืนกรงที่อายุ 80 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณไข่ไก่เข้าสู่ตลาด จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่มีเพียงพอสอดคล้องกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ และสามารถรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงพออยู่ได้ไม่ขาดทุน ไม่ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน


คาดว่าจะทำให้ปริมาณผลผลิตไข่ไก่ในตลาดภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ยวันละ 2–3 ล้านฟอง จากเดิมที่มีผลผลิตวันละ 40 ล้านฟอง จึงขอให้ประชาชนผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าปริมาณผลผลิตไข่ไก่จะมีเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์อย่างแน่นอน
#3754


ดิ เอเชียน แบงเกอร์ (The Asian Banker) ยกย่อง "บัณฑูร ล่ำซำ" เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงการดำรงตำแหน่ง สามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติ มุ่งดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง เป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก จนประสบความสำเร็จตลอด 40 ปีที่ได้บริหารธนาคารกสิกรไทย

ดิ เอเชียน แบงเกอร์ วารสารเศรษฐกิจการเงินชั้นนำของเอเชีย ได้ประกาศเกียรติคุณมอบรางวัล The Asian Banker Leadership Achievement Awards 2021 for Lifetime Achievement in Leadership in the Financial Services Industry ให้แก่นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus) ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงดำรงตำแหน่งในธนาคาร นับเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติยศนี้

ทั้งนี้ รางวัลนี้นับได้ว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดรางวัลหนึ่ง เนื่องจากเป็นการให้การยอมรับต่อบุคคลที่ได้ก้าวล้ำหน้าไปในแวดวงของตนเอง และดำรงความมีชื่อเสียง ความสามารถและความสำเร็จอย่างโดดเด่นตลอดมา เป็นการสร้างเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดถึงผลสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้ ผู้ที่เคยได้รับรางวัลดังกล่าวในอดีตต่างเป็นผู้ที่ได้มีส่วนสำคัญในการก่อร่างสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง และในบางกรณีก็เป็นบุคคลที่ได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศของตน

วารสาร The Asian Banker มอบรางวัลนี้ให้แก่บุคคลที่ไม่เพียงแต่ปฏิรูปองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่เท่านั้น แต่ยังได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญให้แก่อุตสาหกรรมการให้บริการทางการเงินในประเทศและภูมิภาคด้วย ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านผลงานและภาวะผู้นำ อีกทั้งบุคคลที่ได้รับรางวัลนี้ยังมีคุณลักษณะที่ประกอบด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์สุจริต ความสำเร็จที่น่าประทับใจและเชาว์ปัญญาที่เฉียบแหลม ซึ่งกำลังถูกมองข้ามไปในวงการธุรกิจปัจจุบัน ผลงานความสำเร็จได้รับการยอมรับทั้งจากพันธมิตรและคู่แข่งในตลาด

ในช่วงที่ผ่านมา บุคคลที่เคยได้รับรางวัลนี้ล้วนเป็นผู้นำในแวดวงการเงินของแต่ละประเทศในเอเชีย อาทิ ดร.โจว เสี่ยวชวน อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศจีน (Dr. Zhou Xiaochuan, former Governor of People's Bank of China), ดร.เซติ อัคตาร์ อาซิซ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศมาเลเซีย (Dr. Zeti Akhtar Aziz, former Governor of Bank Negara Malaysia), มร.อแมนโด้ เอ็ม. เตตังโก้ จูเนียร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศฟิลิปปินส์ (Mr. Amando M. Tetangco Jr, former Governor of Bangko Sentral ng. Pilipinas), มร.หลิว หมิงคัง อดีตประธานคณะกรรมการกำกับธนาคารแห่งประเทศจีน (Mr. Liu Mingkang, former Chairman of China Banking Regulatory Commission)

ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้พิจารณารางวัลมีความเห็นว่า วิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ของนายบัณฑูร ตลอด 40 ปีที่ได้บริหารงานในธนาคารกสิกรไทย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย ได้ปรับเปลี่ยนให้ธนาคารกสิกรไทยกลายเป็นองค์กรตัวอย่าง ซึ่งได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวาง ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในธนาคาร และยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติและความท้าทายนานัปการ ทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง ทั้งยังเป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075745
#3755


ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรง ทำให้มีความกังวลว่าโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน อาจจะต้องเลื่อนเปิดให้บริการจากวันที่ 2 ส.ค. 2564 ออกไปก่อนหรือไม่ ซึ่ง "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รีบยืนยันว่ารถไฟสายสีแดงปักหมุดเปิดให้บริการ (Soft Opening) วันที่ 2 ส.ค. 2564 แน่นอน...ไม่เลื่อน โดยตามกำหนดการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดผ่านระบบออนไลน์ จากตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยจะให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีเป็นเวลา 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค. 2564)

สำหรับรถไฟสายสีแดงถือเป็นตำนานโครงการรถไฟฟ้าที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานมากที่สุดเส้นทางหนึ่ง และเป็นรถไฟฟ้าสายที่ประชาชนคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลจับตา และรอคอยสายหนึ่ง

โดยช่วงบางซื่อ-รังสิต หากนับจากวันที่เริ่มต้นสัญญาก่อสร้างงานโยธาเมื่อ 10 ก.พ. 2556 จนถึง 2 ส.ค. 2564 ที่รถไฟสายสีแดงขบวนแรกจะเปิดหวูดให้ประชาชนได้ทดลองนั่งฟรี ใช้ระยะเวลากว่า 8 ปี โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาโครงการมีปัญหาอุปสรรคมากมาย จนทำให้ต้องมีการขยายระยะเวลาสัญญาก่อสร้าง และปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างมาแล้ว 5 ครั้ง จากกรอบเริ่มต้น 52,220 ล้านบาท เป็น 93,950 ล้านบาท ซึ่งยังเหลือครั้งล่าสุดที่จะเสนอขอปรับอีก 10,345 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าก่อสร้างเพิ่มเติม (Variation Order : VO) โดยจะทำให้กรอบวงเงินโครงการสายสีแดงรวมช่วงบางซื่อ-รังสิต เพิ่มเป็น 104,295 ล้านบาท


"ศักดิ์สยาม" ปักหมุดเปิดให้บริการ จี้ รฟท.เร่งแก้ปัญหาติดขัดทุกมิติ

ก่อนหน้านี้ รฟท.กำหนดเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงอย่างไม่เป็นทางการในเดือน ม.ค. 2564 "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" ประกาศนโยบายปักหมุดเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงภายในปี 2564 หลังจากตรวจเช็กการก่อสร้างงานโยธา 2 สัญญา และความก้าวหน้าสัญญา 3 งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล วางไทม์ไลน์ ปิดจ็อบ และเมื่อรถไฟฟ้า 2 ขบวนแรกเดินทางมาถึง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2562 และเข้าประจำการ ณ โรงซ่อมบำรุงสถานีกลางบางซื่อ ในเดือนพ.ย. 2562 รฟท.เดินหน้าเข้าสู่โหมดการทดสอบระบบตามขั้นตอน

นอกจากนี้ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม ยังได้มีการติดตามการดำเนินการในทุกๆ ด้านอย่างใกล้ชิด โดยตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อจำนวน 5 คณะ ประกอบด้วย

1. ด้านการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งระบบ รวมทั้งการเชื่อมต่อการให้บริการระบบขนส่ง 2. ด้านสถานี 3. ด้านราคาค่าโดยสารและบัตรโดยสาร 4. ด้านการสื่อสารสาธารณะ 5. ด้านการกำหนดจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า (Gateway/Hub)

นอกจากนี้ ยังมีคณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) และพื้นที่ช่วงสถานีกลางบางซื่อ และคณะอนุกรรมการด้านการพิจารณาดำเนินการขอพระราชทานชื่อโครงการ 2 สายทาง สายทางละ 3 ชื่อ ซึ่ง รฟท.ได้จัดทำหนังสือถึงสำนักงานราชบัณฑิตยสภาและกรมศิลปากรเพื่อพิจารณาชื่อที่จะขอพระราชทาน

โครงการสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) เสนอ 3 ชื่อ ได้แก่ เฉลิมมหามงคล อาทรวัฒนวิถี และสวัสดิลีลาศ

โครงการสายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เสนอ 3 ชื่อ ได้แก่ ฉลองมหานคร สิทธิรังสีรัถยา และ ประพาสภิรมย์



ช่วงทดลองให้บริการฟรี วิ่งความถี่ 15-30 นาที

รถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กม. มี 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ, สถานีจตุจักร, สถานีวัดเสมียนนารี, สถานีบางเขน, สถานีทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, สถานีการเคหะ, สถานีดอนเมือง, สถานีหลักหก และสถานีรังสิต ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. มี 3 สถานี ได้แก่ สถานีบางซ่อน สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 นาที

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา รฟท.โดยบริษัท รฟฟท. จำกัด ได้มีการทดลองระบบการเดินรถ มีการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุต่างๆ ตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยวิศวกรที่ปรึกษาอิสระ (Independent Certification Engineer : ICE) ของโครงการได้เข้าตรวจสอบและออกใบรับรองให้แล้ว พร้อมที่จะเปิดให้ประชาชนร่วมใช้บริการโดยไม่เก็บค่าโดยสารตามแผนงาน

ในช่วงทดลองตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.นี้จะกำหนดความถี่ในการให้บริการเวลาเร่งด่วน 15 นาที นอกเวลาเร่งด่วน 30 นาที วิ่งเฉลี่ย 78 เที่ยว/วัน ใช้รถประมาณ 12 ขบวน โดยสายบางซื่อ-รังสิตจะใช้รถแบบ 6 ตู้/ขบวน จำนวน 8 ขบวน สายบางซื่อ-ตลิ่งชันใช้รถแบบ 4 ตู้/ขบวน จำนวน 4 ขบวน

ตารางการเดินรถสายบางซื่อ-รังสิต เที่ยวแรกออกจากบางซื่อ เวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกออกจากรังสิต เวลา 06.00 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากรังสิต เวลา 19.30 น.

สายบางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวแรกออกจากบางซื่อ เวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกออกจากตลิ่งชัน เวลา 06.06 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากตลิ่งชัน เวลา 19.36 น.



ระบบฟีดเดอร์เชื่อมเข้าสถานียังไม่สมบูรณ์

สำหรับการเดินทางเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อและสถานีรายทางนั้น ต้องยอมรับว่าการจัดระบบฟีดเดอร์และโครงสร้างพื้นฐานยังไม่สมบูรณ์ 100% ซึ่งคาดว่าก่อนจะถึงกำหนดเปิดเดินรถเชิงพาณิชย์เดือน พ.ย.จะมีความพร้อมมากขึ้น

โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดรถเมล์ 4 สาย ได้แก่ สาย 49 สาย 67 สาย 79 และ สาย 522 ปรับปรุงเส้นทางเดินรถให้เชื่อมเข้าสถานีสายสีแดง

ขณะที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก่อสร้างทางเดินเชื่อมต่อกับบริเวณทางเดินชั้นใต้ดินของสถานีกลางบางซื่อ จำนวน 2 จุด คือ บริเวณทางเดินผู้โดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ และทางเดินเชื่อมต่อบริเวณชั้นจำหน่ายบัตรโดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ

"ขณะที่สถานีกลางบางซื่อนั้นมีลานจอดรถใต้ดินรองรับได้ถึง 1,600 คัน คาดว่าจะเพียงพอต่อจำนวนผู้โดยสารในช่วงแรกที่คาดว่ายังมีไม่มากนัก"



เร่งปรับปรุงถนนเชื่อมเข้าสถานีรังสิต เกตเวย์ด้านเหนือ

สำหรับสถานีรังสิต ซึ่งเป็นเกตเวย์จุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายจุดเชื่อมต่อผู้โดยสารเสร็จแล้ว คือ ปรับปรุงถนนหน้าสถานี (ฝั่งตะวันตก) รฟท.ดำเนินการ และการปรับปรุงทางเข้าสถานีจาก ทล.346 (ทิศทางจากรังสิต) วงเงิน 4 แสนบาท (กรมทางหลวง ดำเนินการ)

ส่วนที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติมอีกคือ ก่อสร้างสะพานกลับรถด้านทิศใต้ วงเงินรวม 206 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 12 เดือน คาดแล้วเสร็จเดือน มี.ค. 2566, ปรับปรุงจุดกลับรถใต้สะพานข้ามทางรถไฟ ทางเท้า และระบบระบายน้ำ (ทิศทางจากปทุมธานี) วงเงิน 4.6 ล้านบาท ดำเนินการช่วงปี 2565 โดยกรมทางหลวง (ทล.)

ในส่วนของการจ้างบริการเพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดใช้สถานีกลางบางซื่อและสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี ประกอบด้วย 1. จ้างงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และจราจร 2. จ้างบริการทำความสะอาดอาคารและบริเวณสถานี 3. งานบริหารจัดการงานอาคารและสถานที่บริเวณสถานี 4. จ้างบริการรักษาความปลอดภัยและทำความสะอาดภายในอาคารและพื้นที่โดยรอบของโรงซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีแดง (CT Depot) และทำความสะอาดขบวนรถไฟฟ้าสายสีแดง 5. จ้างติดตั้งระบบจัดการจราจรภายในบริเวณลานจอดรถสถานีกลางบางซื่อ และจัดเก็บค่าบริการจอดรถ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดหาตามขั้นตอน

ด้านการจัดประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ อยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศเชิญชวนเพื่อคัดเลือกเอกชนดำเนินการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์และป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อและสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง 12 สถานี คาดว่าจะเสนอบอร์ด รฟท.พิจารณาอนุมัติร่างทีโออาร์ในเดือน ส.ค.นี้ คาดว่าจะได้เซ็นสัญญาและเริ่มดำเนินการในเดือน พ.ย. 64 โดยจะแบ่งเป็นเฟสเพื่อเปิดให้บริการได้รวดเร็วขึ้น

โดยมี 4 ฉบับ คือ 1. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ บริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ

2. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการเช่าสิทธิติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ

3. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี

4. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการเช่าสิทธิติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี



โจทย์สุดหิน...ห้ามขาดทุน

การให้บริการโครงการรถไฟฟ้ารายได้มาจาก 2 ส่วน คือ จากค่าโดยสาร และจากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งรายได้จากค่าโดยสารจะมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณผู้โดยสาร แต่... สถานการณ์ในปัจจุบัน ปริมาณการเดินทางลดลงไปอย่างมาก โดยล่าสุดพบว่าผู้โดยสารระบบรางทั้งระบบเหลือเพียง 98,453 คน/วันเท่านั้น หรือลดลงถึง 91.82% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณผู้โดยสารช่วงปี 2562 ก่อนที่จะเกิดโรคโควิด-19 ที่ระบบรางมีผู้โดยสารรวมถึงกว่า 1.2 ล้านคน/วัน

ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารและอัตราค่าโดยสารจะผันแปรโดยตรงกับรายได้ ซึ่งรถไฟสายสีแดงมี 13 สถานี ระยะทาง 41.56 กม. กำหนดอัตราเริ่มต้นที่ 12 บาท สูงสุด 42 เฉลี่ย 1.01 บาท/กม.

ทั้งนี้ ตามผลการศึกษาเดิม คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารในปีแรกที่เปิดให้บริการเฉลี่ยที่ 86,620 คน/วัน โดยคาดว่าจะมีรายได้ในปีแรกรวมประมาณ 1,153 ล้านบาท โดยมาจากค่าโดยสารราว 673 ล้านบาท และมีรายได้เชิงพาณิชย์ 480 ล้านบาท

ส่วนรายจ่ายรวมอยู่ที่ 1,267 ล้านบาท หลักๆ จะเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรประมาณ 376.6 ล้านบาท ค่าไฟฟ้าประมาณ 327 ล้านบาท ค่าประปา 7.5 ล้านบา ค่ารักษาความปลอดภัยและรักษาความสะอาดอีกราว 284.1 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา 90.3 ล้านบาท

ภายใต้สมมติฐานรายรับ รายจ่ายนี้ เท่ากับในปีแรกสายสีแดงจะยังขาดทุนประมาณ 113 ล้านบาท โดยยังไม่หักค่าดอกเบี้ย เงินกู้งานไฟฟ้าและเครื่องกลอีกกว่า 317 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ 431 ล้านบาท

สำหรับประมาณการผู้โดยสารนั้น ในข้อเท็จจริงมีการปรับลดลงมากกว่าครึ่ง ประกอบกับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงหนักหน่วงเช่นนี้ คงไม่สามารถคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารได้เลย ...คงได้แต่รอลุ้นว่าในเดือน พ.ย. 2564 ที่จะมีการเปิดเดินรถเชิงพาณิชย์ และเริ่มเก็บค่าโดยสารสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้วหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์กลับคืนปกติ รฟท.คาดหวังว่าจะสามารถใช้โปรโมชันการปรับลดอัตราค่าโดยสาร การจัดทำตั๋วเดือน เข้ามาใช้เพื่อจูงใจให้เพิ่มผู้ใช้บริการรถไฟสายสีแดง

หากมีการเปิดประเทศ การเดินทางกลับสู่ปกติ สนามบินดอนเมืองเปิด สายการบินให้บริการนักท่องเที่ยวกลับมา คาดหมายว่าสนามบินดอนเมืองจะป้อนผู้โดยสารเข้าสายสีแดงอย่างน้อย 10,000 คน/วัน ขณะที่ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม ทุบโต๊ะห้ามสีแดงขาดทุน...โจทย์สุดหิน! ที่ รฟท.ต้องหาคำตอบให้เจอ...

https:// m.mgronline.com/business/detail/9640000075315
#3756


เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ (วันที่ 29 ก.ค.) ของทุกปี จะมีการพิจารณามอบรางวัลเพื่อยกย่องบุคคลในวงการเพลงที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาไทย สำหรับปีนี้ ผลงานเพลงของค่าย "รถไฟดนตรี" ได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงเพื่อชีวิตชาย ได้แก่ ศิลปิน รอน อรัณย์ จากเพลง "รักคนอื่นไม่ได้เลย"

ทั้งนี้ รอนได้กล่าวด้วยความปลื้มใจว่า "รู้สึกภูมิใจที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ครับ รางวัลเพชรในเพลงเป็นรางวัลที่มาจากการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง สวยงาม เรามาร่วมกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องกัน รางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ ผมขอขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรม ขอบคุณคณะกรรมการผู้เกี่ยวข้อง ขอบคุณรถไฟดนตรีที่ให้โอกาสสร้างงาน และมอบโอกาสให้ผมได้เป็นผู้ถ่ายทอดเพลง "รักคนอื่นไม่ได้เลย" จนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ครับ" ติดตามอัปเดตข่าวสาร-เพลงใหม่ ศิลปินรถไฟดนตรีได้ทางยูทูบ : MUSIC TRAIN OFFICIAL เฟซบุ๊ก : รถไฟดนตรี ค่ายเพลง แฟนเพจ : รถไฟดนตรี.
#3757


โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ ยกครัวมาบน Truck เสิร์ฟความอร่อยระดับ 5 ดาวในรูปแบบอาหารกล่องสดใหม่ คุณภาพคับกล่องราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 60 บาท ให้คุณสั่งไปอิ่มอร่อยที่บ้านแบบปลอดภัย



• เกี๊ยวหมาล่า 60 บาท
• ก๋วยเตี๋ยวเส้นสด ซอสเสฉวนหมูสับ และเกี๊ยวหมาล่า 90 บาท
• บะหมี่ฮ่องกงจักรพรรดิ เสิร์ฟพร้อมหมูกรอบ หมูแดง เป็ดย่าง และเกี๊ยวหมู 120 บาท
• สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่า เสิร์ฟพร้อมคอหมูย่าง 90 บาท
• สปาเก็ตตี้แซลมอนย่าง ซอสครีมไข่กุ้ง 120 บาท
• สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทรัฟเฟิล เสิร์ฟพร้อมเนื้อวากิว 120 บาท



แมริออท สุรวงศ์ Food Truck เสิร์ฟความอร่อยให้คุณทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 20.00 น. บริเวณหน้าโรงแรม ถนนสุรวงศ์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ส.ค. 2564 มีเดลิเวอรี่ผ่าน Robinhood เพียงหาชื่อ 'แมริออท สุรวงศ์'

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 088 5666 หรือไลน์ @marriottsurawongse
#3758


กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รับโควิดกระทบซัพพลายเชนสะดุด หวั่น 6 เดือนหลังสถานการณ์ในไทยไม่ดีขึ้น อาจกระทบซัพพลายเชนทั้งโลก เสี่ยงถูกโยกกำลังการผลิตไปประเทศอื่น งัดทุกมาตรการดูแล "พนักงาน" ไม่ให้เกิดความเสี่ยง เผยพร้อมจัดซื้อวัคซีนให้กลุ่มพนักงานเพิ่ม หลังอัตราการฉีดยังครอบคลุมไม่มากพอ 

นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ภาพรวมในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ช่วงนี้ หากมองทั้งซัััพพลายเชนที่มีอยู่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า "เริ่มสะดุด" ในไทยถูกผลกระทบจากโควิด ส่งผลให้บางบริษัทได้ปิดไปในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ มาตรการที่ถูกนำมาใช้ขณะนี้ ทุกบริษัทจะมุ่งดูแล "คน" ก่อน "ธุรกิจ" แต่ละบริษัทจะมีมาตรการดูแลพนักงานไม่ให้มีการติดเชื้อภายในบริษัท ขณะเดียวกัน ให้ความรู้พนักงานกรณีที่ต้องออกไปภายนอก แจ้งเตือนทำความเข้าใจถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปเสี่ยง


หวั่นสะเทือนซััพพลายเชนทั้งโลก

"แต่ละโรงงานในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ การจะใช้มาตรการ Bubble and seal หรือ Home Isolation รวมไปถึงโรงพยาบาลสนาม ก็อาจจะมีติดขัดอยู่บ้างไม่น้อย ที่ผ่านมาในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เองได้มีการจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้กับพนักงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นวัคซีนซิโนฟาร์มของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นหลัก วัคซีนที่มาจากภาครัฐน้อยมาก" 

นายสัมพันธ์ ย้ำว่า ภาคอิเล็กทรอนิกส์เองพร้อมที่จะจัดซื้อวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้กับกลุ่มพนักงานมาก แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อที่ไหน ซึ่งปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ก็ยังครอบคลุมไม่มากพอ 

"ถ้าตัวเลขการติดเชื้อในประเทศไม่ลดลง ไทยจะกลายเป็น Bottleneck ของซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งโลก"

ทั้งนี้ใน 6 เดือนแรกที่ผ่านมา กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 10% แต่ 6 เดือนข้างหน้า มีความไม่แน่นอนสูง หากตัวเลขติดเชื้อในประเทศไม่ลด จะกระทบไปหมด ซึ่งมาตรการที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์นำมาใช้ก็อาจจะป้องกันไม่ได้ 100% ซึ่งหลักๆ พยายามดูแลคนในภาคอิเล็กทรอนิกส์ไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐ  

"ช่วงเดือน ก.ค ถือว่าหนักมาก ดังนั้นไตรมาสนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ถ้ายังเป็นสถานการณ์ลักษณะนี้ อาจเห็นภาพการโยกการผลิตจากประเทศไทยไปประเทศอื่น" นายสัมพันธ์ กล่าว 


เปิดรายได้ยักษ์ฮาร์ดดิสก์โลกในไทย

โควิดระลอกล่าสุด ส่งผลกระทบกับกลุ่มโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางโรงงานต้องปิดตัวลงชั่วคราว ข้อมูลจาก Creden data เผยรายได้ในกลุ่มบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ 2 ยักษ์ใหญ่ บริษัทซีเกท ประเทศไทย ฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์สำคัญของโลก มีรายได้ปี 2563 ที่ 154,499,475,430 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ 149,568,157,717 บาท

บริษัทเวสเทิร์น ดิจิตอล ประเทศไทย หรือดับบลิวดี ฐานการผลิิตและส่งออกฮาร์ดดิสก์โลกที่สำคัญเช่นกัน มีรายได้ปี 2563 ที่ 88,178,228,057 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ราว 78,092,718,973 บาท อย่างไรก็ตาม ย้อนหลังไป 5 ปีที่ผ่านมารายได้ของ ดับบลิวดีอยู่ในระดับแสนล้านบาทมาโดยตลอด


การ์ทเนอร์ชี้โควิดกระทบชิพขาด

นายคานิสกัส ชัวฮาน นักวิเคราะห์หลัก ฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆ ประเภทในปีนี้ ขณะที่โรงงานผลิตขึ้นราคาแผ่นเวเฟอร์ ที่เป็นส่วนประกอบหลักผลิตชิพ และมีผลต่อเนื่องไปถึงบริษัทผู้ผลิตชิพก็ขึ้นราคาตามไปด้วย

ปัญหาการขาดแคลนชิพ เริ่มเกิดกับอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ก่อน เช่น อุปกรณ์สำหรับการจัดการพลังงาน จอแสดงผล และไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่ผลิตจากบนโหนดการทำงานแบบเดิม ของโรงงานผลิตชิพขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ซึ่งมีวัตถุดิบจำกัด เวลานี้ปัญหาการขาดแคลนส่งผลต่อไปยังอุปกรณ์อื่นและมีข้อจำกัดด้านความจุ 

รวมถึงขาดสารตั้งต้นในการผลิต กระบวนการเชื่อมลวดทองคำ ส่วนประกอบแบบพาสซีฟ วัสดุและการทดสอบ ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ที่กำลังเป็นปัญหานอกจากเรื่องโรงงานผลิตชิพ การ์ทเนอร์คาดว่าปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์แทบทุกหมวดหมู่จะกระทบต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2565

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952257
#3759


เมืองชายฝั่งทั่วเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว จาการ์ต้า โซล ไทเป มะนิลา และกรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุหมุนเขตร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น

รายงานของกรีนพีซ เอเชียตะวันออก คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ประชาชนกว่า 15 ล้านคนใน 7 เมือง อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม การวิเคราะห์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในการวิเคราะห์ครั้งแรกที่ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความละเอียดสูงในการระบุถึงพื้นที่ของเมืองที่อาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และขอบเขตของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เมืองชายฝั่งทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุโซนร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ระหว่าง 0.43-0.84 เมตรภายในปี พ.ศ.2643 (IPCC, 2019) ขณะเดียวกัน ตลอดศตวรรษที่ 21 พายุมีความเร็วลมรุนแรงซึ่งสร้างความเสียหายมากขึ้น คลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่มีสภาวะสุดขีดมากกว่าในอดีต (Knutson et al., 2020)

คิม มีกยอง ผู้จัดการโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวว่า "ภายในทศวรรษนี้ เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งในเอเชียจะมีความเสี่ยงสูงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุที่เข้มข้นรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบ้านเรือน ความปลอดภัย และวิถีชีวิตของผู้คน นอกจากเหลือเวลาไม่มากในการยุติโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการระบบบริหารจัดการน้ำท่วมและการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (nationally determined contribution targets) นั้นไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งในสภาวะสุดขีด"

นอกจากอินโดนีเซีย และไทเป อีกหลายเมืองในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น จาการ์ตา โตเกียว ฮ่องกง โซล มะนิลา รวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย

เราเลือกเมือง 7 แห่งในเอเชียที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและตั้งอยู่บนชายฝั่งหรือใกล้ชายฝั่งเพื่อวิเคราะห์ถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากน้ำท่วมชายฝั่ง(coastal flooding) ในปี พ.ศ.2573 ตามภาพฉายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นไปตามปกติ (business as usual) การวิเคราะห์ของเราชี้ให้เห็นว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองต่างๆ ที่อยู่ในรายงานนี้ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ เว้นแต่เราจะลงมือทำในทันทีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างรวดเร็ว

จากปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกขอประเทศ(nationally determined contribution targets) นั้นยังไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งแบบสภาวะสุดขีด รัฐบาลและบรรษัทต่างๆ ต้องลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วขึ้น เช่น ยุติการสนับสนุนทางการเงินให้กับอุตสาหกรรมถ่านหินและเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เพื่อป้องกันมิให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มมากไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส

ข้อมูลอ้างอิง Greenpeace Thailand
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >> https:// act.gp/2Tf58WS
#3760



การประชุมคณะกรรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2564 ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน มีมติเห็นชอบปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปี 2564 – 2566 เพื่อรองรับการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติระยะที่ 2 โดยกำหนดโควตาให้นำเข้าในปี 2564 จำนวน 4.8 แสนตันต่อปี ส่วนปี 2565 นำเข้าได้ 1.74 ล้านตันต่อปี และปี 2566 นำเข้าได้ 3.02 ล้านตันต่อปี

เมื่อภาคนโยบายกำหนดปริมาณการนำเข้าที่ชัดเจนตามข้อสั่งการของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งได้มอบหมายให้กรมเชื้อแพลิงธรรมชาติ และบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ PTT พิจารณากำหนดปริมาณการนำเข้า LNG ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และให้ กกพ. บริหารความสามารถของ LNG Terminal และทบทวนความเหมาะสมของ TPA Regime และ TPA Code 

ทั้งนี้ ให้ กกพ. เป็นผู้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการพิจารณาการดำเนินงานให้เป็นไปตามรูปแบบการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2

แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน ระบุว่า การนำเข้า LNG ของผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper)รายใหม่ จะดำเนินการได้ทันภายในไตรมาส 3 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่นั้น ยังขึ้นอยู่กับความพร้อมในหลายเรื่อง เช่น การประชุม กบง. และกพช.นัดถัดไป ซึ่งก็ต้องลุ้นว่า จะเกิดขึ้นในไตรมาส 3นี้ หรือไม่ จากเดิมกำหนดจะประชุมในไตรมาส 2 รวมถึง แผนบริหารจัดการนำเข้า LNG ของ กกพ. หลัง กบง. อนุมัติโควตาช่วง 3 ปีแล้ว จะสามารถจัดทำวิธีการปฏิบัติได้เสร็จทันหรือไม่

หลังได้รับรายงานในเบื้องต้นว่า ขณะนี้ กกพ. ประสานขอตารางการจอง LNG Terminal ที่ว่างอยู่ ของ ปตท. เพื่อจัดส่งให้ Shipper พิจารณาเลือกคิวที่ต้องการโดยเร็วที่สุด รวมถึง กกพ.จะส่งเอกสารให้ Shipper แต่ละราย ระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการใช้สิทธิ์โควตานำเข้าในปริมาณเท่าไหร่ และห้ามมีเงื่อนไขโดยเด็ดขาด ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้เสร็จภายในกลางเดือน ส.ค.นี้ เพื่อจะได้มีเวลานำเข้า LNG ได้ทันโควตาในปีนี้


"เท่าที่ทราบ บอร์ด กกพ. เมื่อเร็วๆนี้ ยังไม่อนุมัติให้ผู้ Shipper รายใด นำเข้า LNG ตามโควตา 4.8 แสนตันในปีนี้ เพราะ Shipper บางรายตั้งเงื่อนไข เช่น จะนำเข้า LNG หากราคาอยู่ในระดับที่ต้องการ หรือจะนำเข้า LNG ก็ต่อเมื่อจอง LNG Terminal จาก ปตท. ได้ก่อน ทำให้ กกพ.ต้องเข้มหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อป้องกันกรณี Shipper ไม่นำเข้า LNG ตามจริง ซึ่งอาจทำให้ประเทศประโยชน์ได้"


แหล่งข่าวคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุว่า สำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างเตรียมส่งเอกสารถึง Shipper ทั้ง 7 ราย อีกครั้ง เพื่อให้ยืนยันปริมาณความประสงค์ที่จะนำเข้า LNG และจัดส่งตารางจอง LNG Terminal พร้อมใบเสร็จชำระค่าจองใช้ LNG Terminal ที่ชัดเจนมายังกกพ. ก่อนที่จะอนุมัติสิทธินำเข้าในปีนี้

ส่วนปี 2565 ที่มีโควตานำเข้า อยู่ที่ 1.74 ล้านตัน ทาง กกพ. เตรียมพิจารณาออกบทลงโทษหาก Shipper ยื่นขอใช้สิทธิแต่ไม่นำเข้ามาจริง เช่น หาก Shipper ไม่สามารถจัดหา LNG มาส่งให้กับลูกค้าโรงไฟฟ้าได้ ขั้นแรกต้องไปยืม LNG จาก Shipper รายอื่น แต่หากยังไม่สามารถยืมได้ และจะหันมาซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. ในระบบ จะต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม เป็นต้น โดยการกำหนดบทลงโทษนี้ จะเสนอ กพช. พิจารณาอนุมัติใช้ในการประชุมนัดถัดไป

สำหรับ Shipper ทั้ง 7 ราย ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.),บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน),บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด,บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด,บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป, บริษัท PTT Global LNG Company Limited หรือ PTTGL และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG


นางราณี โฆษิตวานิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยืนยันว่า กฟผ.มีความพร้อมที่จะนำเข้า LNG ในปีนี้ ตามปริมาณที่เคยแจ้งต่อ กกพ.ไปแล้ว อยู่ที่ ประมาณ 3 แสนตัน ซึ่งในส่วนของการจอง LNG Terminal นั้น ในส่วนของ กฟผ.ได้ดำเนินการจองคลังก๊าซฯภายใต้โควตา 1.5 ล้านตันไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้นในส่วนของประเด็นนี้สำหรับกฟผ.ไม่น่าจะมีปัญหา

"กฟผ.เราพร้อมมาก หาก กกพ.อนุมัติปริมาณนำเข้า และ กบง.เห็นชอบแล้ว ทาง กฟผ.ก็พร้อมออก TOR เปิดประมูลจัดหาฯ LNG ทันที ซึ่งปริมาณนำเข้า 3 แสนตัน น่าจะมีมูลค่าราว 4-5 พันล้านบาท"

อย่างไรก็ตาม ตามแผนเดิมนั้น กฟผ.จะเริ่มทยอยนำเข้า LNG ตั้งแต่เดือน ส.ค. ถึงเดือน ต.ค.ปีนี้ แต่ขณะนี้กระบวนการอนุมัติจากภาครัฐยังไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น คาดว่า เดือน ส.ค.นี้ คงนำเข้า LNG ไม่ทัน และน่าจะเริ่มนำเข้าได้ในช่วงเดือน ก.ย.นี้ เป็นต้นไป ก็อาจส่งผลให้ปริมาณนำเข้า LNG ปีนี้ ลดลงจากแผนบ้าง ส่วนปีหน้าก็ยังคาดหมายที่จะนำเข้าในปริมาณ 1.2-1.3 ล้านตันต่อปี

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951931