รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...
31 ตุลาคม 2564...Halloween Day...
ทะลุ 247 ล้านคนไปแล้ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 373,019 คน ตายเพิ่ม 5,768 คน รวมแล้วติดไปรวม 247,101,728 คน เสียชีวิตรวม 5,009,884 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุด (https://forum.baagdoor.com/smf/index.php?topic=5417.new)คือ สหราชอาณาจักร รัสเซีย อเมริกา ยูเครน และตุรกี
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 94.83 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 93.27
ADVERTISEMENT
...สำหรับสถานการณ์ไทยเรา
เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 9,224 คน สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก
หากรวม ATK อีก 2,944 คน จะขึ้นเป็นอันดับ 8 ของโลก
และไม่ว่าจะเป็นแค่ยอดที่รายงานทางการ หรือจะรวม ATK ก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
...ว่าด้วยเรื่องจุดที่หากผ่านไปแล้วจะไม่มีวันหวนกลับ หรือ Point of no return...
มีบทเรียนหลากหลายที่แต่ละประเทศประสบมา
ไทยเราก็เช่นกัน
หากมองย้อนไปในอดีต จุดที่เป็น point of no return ที่เห็นได้ชัดเจนคือการระบาดระลอกสองเมื่อปลายปี 2020
ด้วยนโยบายและมาตรการควบคุมป้องกันโรคที่ใช้นั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะจัดการการระบาดให้หมดไปได้ ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมา ณ มีนาคม 2021 นั้นเป็นการติดเชื้อรายวันอย่างต่อเนื่องตลอดมา (Continuous infection) และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นระยะยาวคือความเสี่ยงต่อการกลายเป็นแดนดงโรค หรือ endemic area ซึ่งจะเป็นระดับประเทศหรือระดับพื้นที่อำเภอ/จังหวัดนั้นจะขึ้นอยู่กับการจัดการกับสถานการณ์ระบาดในช่วงถัดไป ทั้งเรื่องวัคซีนที่ใช้ ความครอบคลุม มาตรการควบคุมป้องกันการระบาด
จุดที่เป็น point of no return ที่ 2 คือ การระบาดระลอกสามตั้งแต่เมษายน 2021 ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนพีคช่วงเดือนสิงหาคม
มาตรการที่เลือกใช้ และช่วงเวลาที่ใช้นั้น ไม่เพียงพอต่อการจัดการสถานการณ์ระบาดรุนแรงระดับสองหมื่นกว่าต่อวันได้ ผลลัพธ์จึงออกมาแตกต่างจากประเทศอื่นที่มีการระบาดรุนแรงพอกับเรา เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งเค้ากดการระบาดลงมาได้เหลือต่ำกว่าพันต่อวัน แต่ไทยเราคงสถานะการระบาดหลักหมื่นต่อวัน ต่างกันถึงสิบเท่า และส่งผลกระทบต่อทั้งเรื่องปัญหาสุขภาพ เศรษฐกิจ และความปกติสุขของการใช้ชีวิตของประชาชนในสังคมในระยะยาว
จุดที่จะเป็น point of no return ที่ 3 นั้นมีโอกาสที่จะเห็น หลังจากเปิดประเทศในวันพรุ่งนี้
ดังที่เคยวิเคราะห์ไว้ว่า ความเสี่ยงต่างๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่ไม่พร้อมและไม่เข้มแข็งเพียงพอ ได้แก่ ศักยภาพของระบบการตรวจคัดกรองโรคมาตรฐานที่จำกัด ความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนครบสองโดสในประชากรที่ยังน้อย และสถานการณ์ระบาดในประเทศแต่ละวันที่ยังสูงระดับหลักหมื่น หากรวม ATK ด้วย นอกจากนี้ยังมีนโยบายอื่นที่อาจทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งเรื่องการเปิดสถานศึกษา รวมถึงการเปิดกิจการเสี่ยงอื่นๆ เช่น การให้มีการดื่มเหล้า เป็นต้น
ธรรมชาติของผลลัพธ์ที่เราเห็นจากต่างประเทศ มักใช้เวลาราว 6-8 สัปดาห์กว่าจะปรากฏผลให้เห็นชัด ดังนั้นช่วงปลายปีจึงเป็นช่วงที่เราคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม เราย่อมไม่เหมือนคนอื่นเขา ปัจจัยต่างๆ มีความแตกต่างกันดังที่กล่าวมาข้างต้น ระยะเวลาปรากฏผลอาจเร็วกว่าเค้าก็เป็นได้
จึงต้องช่วยกันระมัดระวัง ป้องกันตัวเสมอ
ใส่หน้ากากนะครับ สำคัญมาก
อยู่ห่างคนอื่นเกินหนึ่งเมตร ช่วยลดอัตราติดเชื้อลงได้ถึง 5 เท่า
ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ด้วยรักและห่วงใย
สวัสดีวันฮาโลวีนครับ...
ขอบคุณข้อมูลและภาพ เฟซบุ๊ก-Thira Woratanarat