• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Shopd2

#3661


Thaitrade.com เว็บไซต์การค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวบรวมสินค้าส่งออกคุณภาพของไทย เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงผู้ซื้อทั่วโลก สรุปภาพรวมการซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซว่า มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 - 2564 ปัจจุบัน สร้างมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,767 ล้านบาท 

 โดยปี พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา มีมูลค่าซื้อขายรวม 1,790.85 ล้านบาท ส่วนปี พ.ศ. 2564 (ม.ค.-ส.ค.64) มูลค่าซื้อขายรวม 1,272.22 ล้านบาท โดยมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ Thaitrade.com รวม 12,108,138 ราย เป็นคนไทย 29.46% และ ชาวต่างชาติ 70.54% สำหรับความคาดหมายในปี พ.ศ. 2565 นี้ Thaitrade.com ตั้งเป้าหมายว่าการซื้อขายออนไลน์น่าจะทะยานพุ่งสูงขึ้น โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายราว 12,000 ล้านบาท

เมื่อเจาะข้อมูลผู้ซื้อชาวต่างชาติจำนวน 216,533 ราย พบว่ามียอดผู้ซื้อสินค้าออนไลน์เรียงตามลำดับ ดังนี้

อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา มูลค่า 251.54 ล้านบาท คิดเป็น 14.05% สินค้าที่นิยมได้แก่ ทุเรียนแช่แข็ง, น้ำจิ้มสุกี้, ข้าวหอมมะลิ

อันดับ 2 เวียดนาม มูลค่า 172.35 ล้านบาท คิดเป็น 9.63% สินค้าที่นิยม ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์, ขนมบิกิต, ข้าว

อันดับ 3 อังกฤษ มูลค่า 148.01 ล้านบาท คิดเป็น 8.27% สินค้าที่นิยม ได้แก่ เครื่องหอม, น้ำจิ้มสุกี้, สับปะรดกระป๋อง

อันดับ 4 อียิปต์ มูลค่า 89.08 ล้านบาท คิดเป็น 4.97% สินค้าที่นิยม ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์, ทูน่ากระป๋อง

อันดับ 5 สาธารณรัฐประชาชนจีน มูลค่า 86.83 ล้านบาท คิดเป็น 4.85% สินค้าที่นิยม ได้แก่ น้ำมะพร้าว, ทองม้วน, หมอนยางพารา

รายการสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดเรียงลำดับ ดังนี้ อาหารและเครื่องดื่ม มูลค่า 957.66 ล้านบาท คิดเป็น 53.48% อะไหล่รถยนต์ มูลค่า 257.73 ล้านบาท คิดเป็น 14.39% สินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่า 169.29 ล้านบาท คิดเป็น 9.45% สินค้ากีฬาและความบันเทิง มูลค่า 28.01 ล้านบาท คิดเป็น 1.56% และ สินค้าเกษตร มูลค่า 24.92 ล้านบาท คิดเป็น 1.39%

ส่วนสมาชิกผู้ขายบนเว็บไซต์ Thaitrade.com จำนวนทั้งหมด 25,602 ราย มีสินค้ารวมทั้งสิ้น 184,729 รายการ แบ่งตามภูมิภาคต่าง ๆ ดังนี้

- ภาคเหนือ จำนวน 972 ราย สินค้าที่นิยม ได้แก่ เครื่องเรือนทำด้วยไม้, น้ำผึ้งดอกลำไย, ข้าวโพดกระป๋อง

- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 846 ราย สินค้าที่นิยม ได้แก่ น้ำมันดาวอินคา, น้ำจิ้มสุกี้, กะทิกระป๋อง

- ภาคกลาง จำนวน 19,757 ราย สินค้าที่นิยม ได้แก่ ชิ้นล็อคยางอะไหล่, เครื่องหอม, ข้าวหอมมะลิ

- ภาคตะวันออก จำนวน 1,418 ราย สินค้าที่นิยม ได้แก่ อะไหล่ยานยนต์, ข้าว, หมอนยางพารา

- ภาคใต้ จำนวน 788 ราย สินค้าที่นิยมได้แก่ เนื้อปู

- ภาคตะวันตก จำนวน 366 ราย สินค้าที่นิยมได้แก่ ลูกเดือยอบแห้ง

ข้างต้นเป็นการซื้อขายแบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ที่เน้นการซื้อขายสินค้าล็อตใหญ่ ส่วนบริการซื้อหวยออนไลน์การค้าออนไลน์แบบขายปลีก (B2C) หรือ Thaitrade.com SOOK ก็สามารถทำมูลค่าซื้อขายรวม 1,477,205 บาท โดยสินค้าที่ขายดี ได้แก่ 1. ชาเขียว ชาคาโมมายด์ 2. ขนมขบเคี้ยว/มะม่วงอบแห้งและทุเรียนแช่แข็ง 3. สินค้าสุขภาพและความงาม จำนวนผู้ซื้อชาวต่างชาติที่มีการสั่งซื้อสินค้าสูงสุดเรียงตามลำดับ ได้แก่ ออสเตรเลีย คูเวต และ บรูไน



สำหรับการเจรจาจับคู่ธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Business Matching : OBM) เมื่อปี พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา ประมาณการยอดขายรวม 14,475.90 ล้านบาท และในปี พ.ศ.2564 ตั้งเป้าประมาณการยอดขายจากการเจรจาจับคู่ธุรกิจอยู่ที่ 15,905.19 ล้านบาท มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจจำนวน 116 ครั้ง คู่เจรจารวม 3,507 คู่ ทั้งนี้มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจที่ได้ดำเนินการแล้วตั้งแต่ ม.ค.- ส.ค.64 สร้างยอดขายได้ทั้งสิ้น 11,494.25 ล้านบาท มีผู้นำเข้า 1,047 ราย ผู้ส่งออก 1,709 ราย ผ่านการเจรจาจับคู่ธุรกิจจำนวน 59 ครั้ง เจรจาจับคู่ธุรกิจได้ทั้งสิ้น 3,745 คู่ ซึ่งแผนการดำเนินการต่อไประหว่างเดือน ก.ย.-ธ.ค.64 นี้ ประมาณการยอดขายรวม 3,625 ล้านบาท ผ่านการเจรจารวม 37 ครั้ง จับคู่เจรจา 630 คู่

โดยข้อมูลเชิงลึกจากการเจรจาจับคู่ธุรกิจพบว่า ภูมิภาคเอเชียมีมูลค่าการเจรจาจับคู่ธุรกิจสูงสุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 8,506.32 ล้านบาท โดยเป็นผู้นำเข้า 834 ราย และผู้ส่งออก 1,268 ราย ส่วนประเทศที่มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจสูงสุด คือประเทศจีน รองลงมาคือ อินเดีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ สินค้าที่ได้รับการรับความนิยมจากการเจรจาจับคู่ธุรกิจ อันดับหนึ่ง คือ อาหาร ทำยอดขายรวม 3,843.17 ล้านบาท อันดับสอง คือ ผลไม้ ทำยอดขายรวม 3,298.34 ล้านบาท อันดับสามสินค้าฮาลาล ยอดขายรวม 179.72 ล้านบาท อันดับสี่ สินค้าเครื่องมือแพทย์ ยอดขายรวม 119.46 ล้านบาท

ในขณะที่ภูมิภาคยุโรป อเมริกาเหนือ ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง มียอดการเจรจาซื้อขายจับคู่ธุรกิจรวมทั้งสิ้น 2,987.93 ล้านบาท เป็นผู้นำเข้า 213 ราย และ ผู้ส่งออก 441 ราย โดยยุโรปมีมูลค่าการซื้อขายรวม 361.6 ล้านบาท อเมริกาเหนือ 237.62 ล้านบาท ลาตินอเมริกา 164.42 ล้านบาท ตะวันออกกลาง 815.24 ล้านบาท และ แอฟริกา 1,409.05 ล้านบาท สินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ สินค้าฮาลาล ยอดขายรวม 2,160.23 ล้านบาท อาหาร ยอดขายรวม 329.63 ล้านบาท ผลไม้ ยอดขายรวม 180.32 ล้านบาท ชิ้นส่วนยานยนต์ ยอดขายรวม 60.46 ล้านบาท เครื่องมือแพทย์ ยอดขายรวม 18.25 ล้านบาท และ สินค้าอื่น ๆ ยอดขายรวม 239.04 ล้านบาท
URL
 7
 
#3662
ราคาขาย 35.5 ล้านบาท
สนใจนัดดูได้ค่ะ 081.586.4958

ขายบ้านเดี่ยว หมู่บ้านธารทิพย์ 3 ทาวน์อินทาวน์ ตรงข้ามเดอะซีน ลาดพร้าว 94


ซอย ทาวน์อินทาวน์ ลาดพร้าว 94 แขวง พลับพลา เขต วังทองหลาง 10310

ทำเลหายาก ทำเลทอง ถ้ามีบุตรหลานสามารถเข้า โรงเรียนอุดมศึกษา โรงเรียนบดินทร์เดชาได้ เพราะอยู่ในทะเบียนบ้านใกล้เคียงค่ะ

บ้านสองชั้นเนื้อที่ 88 ตรว. ใช้สอย 300 ตรม. 
4 ห้องนอน 4ห้องน้ำ ห้องโถงชั้นล่างโปรงโล่ง ไม่ร้อน แอร์ 3 ตัว...
ห้องแม่บ้านและห้องน้ำอยู่ด้านหลังเป็นสัดส่วน จอดรถได้ถึง 5 คัน ห้องเก็บของอยู่โรงจอดรถ สนามหน้าและข้างบ้าน บ้านพึ่งรีโนเวทเสร็จ...
ราคาขาย 35.5 ล้านบาท...

สนใจนัดดูได้ค่ะ 0815864958
Line id broker1972   (Ag)

ทำเลดี ใจกลางเมือง
สถานที่ใกล้คียง :  ใกล้แหล่งธุรกิจ
โรงเรียนอุดมศึกษา โรงเรียนบดินทร์เดชา
โรงเรียนอินเตอร์ฝรั่งเศส
โรงเรียนสิงคโปร์
 มหาวิทยาลัยรามคำแหง ศูนย์การแพทย์พระรามเก้า โรงพยาบาลสัตว์
โรงบาลรามคำแหง
ศรีวรา โรงแรมทาวน์อินทาวน์ CDC Chic replublic
-เซ็นทรัลอีสต์วิลล์
-ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์
-รถไฟฟ้า BTS สายสีเหลือง
-เดอะซีน ทาวน์อินทาวน์
-CDC ตริสตัลปาร์ค
-SC Park Hotel
-Home Pro,Makro,Lotus,Big C
-Fitness 7 Town in Town, The Scens Town in Town,The Mall
 
การเดินทางสะดวก : เข้าออก ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ถนนลาดพร้าว ถนนศรีวรา ถนนประชาอุทิศ รามคำแหง39 ลาดพร้าว94 ซอยลาดพร้าว 112 ถนนรามคำแหง ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ จุดขึ้นลงทางด่วนเอกมัยรามอินทรา
ย่านทาว์นอินทาว์น ศรีวรา ทำเลทองครบครัน ศูนธ์รวมเเหล่งความเจริญ  เกษตรนวมินทร์...และอื่นๆอีกมากมาย....

https://www.prakard.com/viewtopic.php?f=53&t=7858258






























#3663


Ampverse บริษัทอีสปอร์ตที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย คว้าทีมอีสปอร์ตชื่อเก๋าระดับตำนานจากประเทศไทย MiTH (Made in Thailand) เข้าสังกัดเป็นที่เรียบร้อย พร้อมประกาศจับมือกับ Fullerton Markets แพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์ ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการคนล่าสุดหลังจากจับมือกับ Doritos เครือ PepsiCo

อีสปอร์ตและเกมมิ่งถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่กำลัง 'มาแรงมาก' ในประเทศไทย ด้วยจำนวนเกมเมอร์ที่มีมากถึง 34 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็น 50% ของประชากรทั้งหมดในประเทศเลยทีเดียว อุตสาหกรรมเกมมิ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 9.8% ต่อปี และมีการประเมินว่ามูลค่าตลาดซื้อหวยออนไลน์ในปีนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 31,800 ล้านบาท การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ทำให้แบรนด์ต่างๆ เริ่มหันมาสนใจและลงทุนในการทำการตลาดผ่านอีสปอร์ตและสื่อเกมมิ่งเพื่อเจาะฐานลูกค้ากลุ่ม Gen Z และ Millennials กันมากขึ้น

MiTH หรือ Made in Thailand ก่อตั้งโดย คุณชนิกนันท์ ทิพย์ไพโรจน์ หรือ "พี่แว่น" ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกอีสปอร์ตในยุคแรกๆ ในเอเชีย ตลอดระยะกว่า 10 ปีที่ผ่านมาพี่แว่นลงมือปั้นทีมนี้มาด้วยตัวคนเดียว แต่ในตอนนี้พี่แว่นพร้อมพาลูกทีมเข้าสังกัด Ampverse เพื่อดันทีมให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น โดยทีม MiTH เพิ่งคว้าแชมป์จากรายการ PUBG Thailand Open 2021 Winter มาหมาดๆ และพร้อมลงสนามสู้ศึก PUBG Continental Series 5: Asia Pacific ที่จะถึงนี้ ซึ่งพอดีกันกับอีกหนึ่งทีมภายใต้สังกัด Ampverse อย่าง Bacon Time ที่เพิ่งคว้าชัยจาก Rov Pro League 2021 Summer มาในปีนี้ นับว่า Ampverse มีทีมอีสปอร์ตระดับแชมป์ไว้ในมือถึง 2 ทีมจาก 2 เกมดังทั้ง PUBG และ ROV

นับจากนี้ Ampverse จะให้การสนับสนุนและพัฒนาผู้เล่นทุกคนของ MiTH เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับทุกๆ การแข่งขันในอนาคต และเสริมลูกเล่นให้ทีมในเรื่องจุดขายและความเป็นไลฟ์สไตล์เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้สปอนเซอร์จากแบรนด์ต่างๆ ประเดิมด้วย Fullerton Markets ซึ่งถือเป็นดีลที่อาจพลิกมุมมองเดิมๆ ในการทำการตลาดไปโดยสิ้นเชิง Fullerton Markets เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย โดยมีแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้สามารถเทรดฟอเร็กซ์ โลหะ และดัชนีต่างๆ วิสัยทัศน์ของบริษัทนั้นเน้นที่จะเป็นผู้ที่แตกต่างในอุตสาหกรรมการเทรดด้วยการโฟกัส 3 อย่าง ได้แก่ ความปลอดภัยของเงินทุน ความเร็วในการดำเนินการ และการสร้างระบบที่มีความมั่นคง Fullerton Markets ตั้งใจที่จะมาตีตลาดเอเชียพร้อมกับเจาะกลุ่มฐานลูกค้าวัยรุ่น



เกมเมอร์ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากกว่าที่ใครหลายคนคิด จึงเป็นเหตุผลที่ Fullerton Markets ตัดสินใจร่วมงานกับ MiTH และหวังเจาะฐานลูกค้ารุ่นใหม่ที่มีความสนใจในการลงทุนและเทรดออนไลน์ โดย Fullerton Markets ถือเป็นอีกหนึ่งแบบอย่างของบริษัทจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ปรับตัวและยอมรับในศักยภาพของอุตสาหกรรมใหม่อย่างอีสปอร์ตและเกมมิ่ง ในปัจจุบัน Gen Z และ Millennials เริ่มมีความรู้ความเข้าใจด้านการเงินกันมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่ Fullerton Markets จะเข้ามาเสนอโซลูชันให้กับกลุ่มคนที่สนใจเรื่องการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่งส่วนตัว ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ โลโก้ของ Fullerton Markets จะแปะเด่นอยู่บนเสื้อเจอร์ซีย์ของผู้เล่นทุกๆ คน พร้อมด้วยเนื้อหาคอนเทนต์ และการ Tie-in แบรนด์อีกหลากหลายรูปแบบบนโซเชียลมีเดียของ MiTH

หากมองในแง่การตลาด การจับมือระหว่าง Fullerton Markets กับ MiTH ในครั้งนี้มีความเหมาะสมมาก เพราะ MiTH มีฐานแฟนที่ค่อนข้างโตกว่าทีมอื่นๆ ด้วยคาแรกเตอร์ของทีมที่มีความสุขุม เนี้ยบ และคีป 'คูล' ในทุกๆ อิริยาบถ เมื่อร่วมงานกับ Ampverse แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้หลายรูปแบบ ผ่านทีมต่างๆ ที่มีคาแรกเตอร์และฐานแฟนที่หลากหลาย อย่าง Bacon Time เองก็เป็นทีมที่มีความ 'แมส' มาก สามารถเข้าได้กับทุกเพศทุกวัย และทั้งสองทีมเองก็มีฐานแฟนที่เหนียวแน่นและมี 'Engagement' ในระดับที่ไม่น้อยหน้าใคร โดย MiTH มีผู้ติดตามมากถึง 7.5 ล้านคน ส่วน Bacon Time มีผู้ติดตามมากกว่า 10 ล้านคน

อนาคตของอุตสาหกรรมอีสปอร์ตในประเทศไทยกำลังเติบโตและเต็มไปด้วยโอกาส จากการสนับสนุนและลงทุนที่มากขึ้นจากฝั่งแบรนด์และฐานผู้ชมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การที่จะเจาะกลุ่มเกมเมอร์ได้สำเร็จ แบรนด์ต้องหาวิธีใหม่ๆ ในการสื่อสารที่นอกจากสร้างสรรค์แล้วต้องทำคอนเทนต์ที่ดึงดูดผู้ชมได้

หลังเริ่มต้นธุรกิจในปี 2019 Ampverse ได้ขยายตลาดไปยังหลายประเทศทั่วโลกและผ่านการร่วมงานกับลูกค้าชั้นนำระดับโลกมากมายทั้ง Samsung, Nestle, McDonalds, Lazada, และ Grab โดยให้คำปรึกษาสำหรับแบรนด์ที่สนใจทำการตลาดผ่านอีสปอร์ต และมีเครือข่าย Influencers และ Creators ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมเกมมิ่งและอีสปอร์ต
#3664
ข้าวสุขภาพทำไมถึงดีกับสุขภาพคุณแม่ตั้งครรภ์
ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ (ข้าวออแกนิคคือ) ถึงแพงกว่าข้าวธรรมดา    ต้นข้าวอินทรีย์   'ข้าวอินทรีย์' ดีต่อสุขภาพ  ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น  อย่างยิ่งกับการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยซึ่งมีมากมายหลากหลายในปัจจุบัน  รวมถึงผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคทั้งหลายให้ความไว้วางใจ  แต่ก็ยังมีคำถาม ข้อสงสัย ติดอันดับยอดนิยมจากผูบริโภคว่า  "ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ถึงราคาแพงกว่า ทั่วไป ทั้งที่ข้าวในนาผลิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีต้นทุนปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง"    การตรวจสอบข้าวอินทรีย์  ข้อมูลจากเวปไซด์ขององค์กรการอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวถึงข้อเท็จจริงบางประการ ข้าวorganic ที่เป็นเหตุผลของราคาผลผลิตและสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สูงกว่าเอาไว้  ดังนี้- ฟาร์มเกษตรอินทรีย์มีขนาดเล็ก ใช้แรงงานต่อหน่วยในการผลิตมากกว่าฟาร์มทั่วไป (สาเหตุหนึ่งที่ต้นทุนการผลิตสูง)
- ค่าใช้จ่ายในขบวนการหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรอินทรีย์  ข้าวจังหวัดสุรินทร์  สูงกว่าเพราะในการขนส่ง หรือแปรรูปจะต้องแยกออกจากผลผลิตทั่วไปอย่างชัดเจน
- ปริมาณของข้าวเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างน้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าต่อหน่วยของ ข้าวหอมสุรินทร์ ออกสู่ตลาดนั้นสูงกว่าผลผลิตทั่วไป
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ทำให้เกษตรกรได้รายได้ที่เป็นธรรมและพอเพียง
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ ข้าวสุรินทร์  มีการจัดการมาตรฐาน คุ้มครองสัตว์เลี้ยงในฟาร์มได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
- และสุกท้ายที่สำคัญที่สุด ข้าวเกษตรอินทรีย์มีจำนวนจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค
เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิคที่แท้จริงของเรา  




ข้าวฮอร์ (HOR) ข้าวกล้องอินทรีย์  ได้รับมาตรฐาน 
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้"  จากกรมการข้าว  จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   ในประเภทของ 
2.1  ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)  
2.2  ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)  
2.3  ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวเกษตรอินทรีย์สุรินทร์   กลุ่มข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย  ข้าวกล้องออร์แกนิค
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : xn--22cs9b8acu9b9a7a3hub5cc1c.life/
Facebook :   www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ  ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิค  ข้าวหอมมะลิออแกนิคส่งทั่วไทย
1. ข้าวหอมมะลิorganic
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
3. ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค
6. ข้าวมะลินิลออแกนิก
7. ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค  #ข้าวออแกนิก #ข้าวอินทรีย์ 
#ข้าววสุขภาพ  #ข้าวเกษตรอินทรีย์
 

 

 

 


 

 

 

 

 
 
#3665


นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 กันยายนนี้ บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ โดยใช้ชื่อย่อ 'BBIK' ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อเข้าไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจและปลดล็อกศักยภาพการเติบโตให้แก่ลูกค้าองค์กร โดยรับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย จะทำให้บริษัทฯ เป็นหุ้น IPO น้องใหม่ที่นักลงทุนให้ความสนใจ

ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 25 ล้านหุ้นในช่วงที่ผ่านมาที่ราคาหุ้นละ 18 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่ดีเกินกว่าความคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นบริษัทคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำแบบครบวงจร ได้แก่ 1.การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ตลอดจนวางแผนพัฒนาศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center) 2.พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Software as a Service หรือ SaaS) รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center) 3.เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภายในผ่านการยกระดับระบบซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร 4.ขยายพื้นที่สำนักงานรองรับการเพิ่มบุคลากร 5.ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตและรับมือความผันผวนของตลาด และ 6.เสริมศักยภาพด้านเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

บริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศ โดยผนึกความร่วมมือกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท บริษัทฯ ถือหุ้น 60% และ OR ซึ่งถือหุ้นผ่าน Modulus ที่เป็นบริษัทย่อย ถือหุ้น 40% เพื่อร่วมมือกันดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์โอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ให้ OR เพื่อเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีกต่อไป ซึ่งบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จาก ORBIT ปลายปีนี้ และรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565

ด้าน นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.บลูบิค หรือ BBIK เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษา เคยผ่านงานกับบริษัทคอนซัลต์ชั้นนำระดับโลก และได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าองค์กรที่เป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่ม SET 50 และ SET 100 รวมถึงบริษัทจดทะเบียนระดับแนวหน้าของประเทศหลายราย ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ BBIK ได้วางแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มบุคลากรและฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนการขยายบริการด้านการจัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอทีเพื่อไปปฏิบัติงานยังไซต์งานของลูกค้า รวมถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ OR จะส่งผลดีต่อศักยภาพการเติบโตในอนาคต จึงเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในหุ้น IPO น้องใหม่ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บมจ.บลูบิค กรุ๊ป หรือ BBIK ถือเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันของประเทศไทย ที่มีศักยภาพการเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของภาพรวมธุรกิจในด้านนี้ เนื่องจากปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่างๆ ล้วนมีความต้องการพัฒนาขีดความสามารถและรูปแบบการทำงานให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล จึงมีความต้องการบริษัทที่ปรึกษาเพื่อเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกำหนดกลยุทธ์และปลดล็อกศักยภาพการเติบโต จึงทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ BBIK เติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพสามารถแข่งขันได้กับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก
#3666


ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้มีแนวโน้มต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมกลับมาติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ -0.02% YoY จากเดือนก่อนอยู่ที่ 0.45% สาเหตุสำคัญจากราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดที่ลดลงค่อนข้างมาก สอดคล้องกับความต้องการที่ชะลอลงในการช่วงการแพร่ระบาดที่รุนแรง ขณะเดียวกันภาครัฐยังมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพ โดยการลดค่าน้ำประปา ค่าไฟ และค่าธรรมเนียมการศึกษา ขณะที่ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานแม้ยังขยายตัวแต่มีอัตราที่ชะลอลง ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.07% ชะลอลงจาก 0.14% เดือนกรกฎาคม

ซึ่งผลจากการระบาดที่รุนแรงของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ฉุดอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลงมาก ประกอบกับทางการขยายเวลาการใช้มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.73% ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ และล่าสุดวิจัยกรุงศรีได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้เหลือ 0.9% จากเดิมคาด 1.2% อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้บ้าง ปัจจัยหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด รวมถึงราคาพลังงานที่ยังทรงตัวในระดับสูงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ด้านมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย แม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่าคาดการณ์เดิม และผลการประชุมกนง.ครั้งล่าสุดบ่งชี้ว่ามีความน่าจะเป็นอยู่ที่ 52.7% ที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 29 กันยายนนี้ แต่วิจัยกรุงศรีคาดว่ากนง.จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ปัจจัยหนุนจาก กรณีกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางสาขาเริ่มกลับมาดำเนินการได้บ้างแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจากที่เคยแตะระดับกว่า 20,000 รายต่อวัน ประกอบกับการฉีดวัคซีนมีความคืบหน้า (เฉลี่ยวันละกว่า 6 แสนโดสในช่วงวันที่ 1-9 กันยายน) และทางการเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดลง และ

นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธปท.ได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID- 19 ทั้งการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ และการสนับสนุนให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะยาวที่เหมาะสมกับลูกหนี้ ทั้งนี้ มาตรการเพิ่มเติมดังกล่าวอาจสะท้อนถึงการเน้นใช้มาตรการทางการเงินที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือนได้อย่างตรงจุดมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำและอาจช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ไม่มาก

ด้านความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอ่อนแอ ขณะที่ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีสัญญาณบวก สะท้อนจากข้อมูลเดือนสิงหาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคคาดการณ์ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 46.7 จาก 47.6 เดือนก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ในระยะ 3 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ที่ 90.9 จาก 89.3 เดือนก่อน

ขณะที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลงมากเนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของ COVID-19 ที่ลากยาวและกระจายเข้าสู่ภาคโรงงาน กระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนไทยในวงกว้าง ล่าสุดแม้เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดลง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางสาขากลับมาดำเนินการ แต่ยังต้องอยู่ภายใต้พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดอยู่ (สีแดงเข้ม) ต่อไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นเดือนกันยายน จึงคาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภาคธุรกิจและการจ้างงานจะยังคงซบเซา นอกจากนี้ ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศ โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปีนี้จะเติบโตต่ำที่ 0.5% อย่างไรก็ตาม อานิสงส์จากปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าฟื้นตัว หนุนการส่งออกในปีนี้เติบโตได้ที่ 15% ซึ่งจะช่วยเป็นแรงพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรม
#3667


บมจ.เซนต์เมด (SMD) ผู้นำธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต เซ็นสัญญาซื้อขายเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด 2 ฉบับ จำนวน 10,000 เครื่อง มูลค่าการซื้อขาย 8 ล้านบาท และจำนวน 25,000 เครื่อง มูลค่างาน 20 ล้านบาท ให้กองสร้างเสริมสุขภาพ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร หนุนงานในมือรอส่งมอบ (Backlog) เพิ่มอีก 28 ล้านบาท รวมมี Backlog ทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท ดันรายได้ปีนี้แตะ 1,200 ล้านบาท

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต เปิดเผยว่า แม้ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ป่วยติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้การตรวจคัดกรองผู้ป่วยเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากการเฝ้าระวังสังเกตอาการได้ด้วยตัวเองจากภายนอกแล้ว ปัจจุบันยังสามารถวัดผลได้จากค่าปริมาณความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Oxygen Saturation) โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Fingertip Pulse Oximeter อีกทั้งเครื่องมือชนิดนี้ยังใช้ใน Home Isolation และ Community Isolation อีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้ของครุภัณฑ์การแพทย์ดังกล่าว จึงนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องวัดออกซิเจนในเลือดจากปลายนิ้ว (Fingertip Pulse Oximeter) ที่ได้รับการอนุญาตให้นำเข้าจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้แก่โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ล่าสุด SMD ได้เซ็นสัญญาซื้อขายและส่งมอบเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด จำนวน 10,000 เครื่อง มูลค่ารวม 8,000,000 บาท ให้กองสร้างเสริมสุขภาพ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ไปแล้วในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเซ็นสัญญาซื้อขายเพิ่มอีก จำนวน 25,000 เครื่อง มูลค่า 20,000,000 บาท เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา กำหนดส่งมอบภายในปีงบประมาณ 2564 รวมมูลค่าการสั่งซื้อทั้ง 2 สัญญา เป็นเงิน 28,000,000 บาท ซึ่งสนับสนุนมูลค่างานในมือที่รอส่งมอบ (Backlog) เพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดภายในปี 2564 นี้ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปี 2564 แตะ 1,200 ล้านบาท

"ความต้องการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่ง SMD ได้ตระหนักถึงความต้องการ จึงได้นำเข้าเครื่องวัดออกซิเจนในเลือดเพื่อจัดจำหน่ายให้แก่โรงพยาบาลรัฐ เอกชน นิติบุคคล และบุคคล รองรับความต้องการที่มีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเครื่องวัดออกซิเจนในเลือดที่ซื้อขายในครั้งนี้ มีเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนที่จะทำให้การเฝ้าระวัง ป้องกัน ติดตามระดับความรุนแรงของการติดเชื้อโควิด-19 มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น" ดร.วิโรจน์ กล่าว
#3668


เอสซีจี เคมิคอลส์ ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทยและผู้ผลิตชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย เดินหน้าขับเคลื่อนพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ "ปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน" สอดคล้องกับหลัก ESG (Environmental, Social, Governance)

ล่าสุด ได้ผนึกกำลังร่วมกับ Braskem (บราสเคม) ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกจากประเทศบราซิล โดยได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย เพื่อผลิตไบโอ-เอทิลีน (bio-based ethylene) ซึ่งจะนำไปผลิตเป็นเม็ดพลาสติกประเภทไบโอ-พอลิเอทิลีน (bio-based polyethylene) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกชีวภาพในเอเชียและตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมการใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกลุ่มผู้บริโภคสายกรีนอีกด้วย

นายโรเจอร์ มาร์คิโอนี Braskem's Director for Asia เผยว่า "เทรนด์โลกมีความต้องการโซลูชันที่ตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น Braskem จึงมองหาโอกาสที่จะนำเสนอพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แบรนด์ I'm GreenTM ซึ่งเป็นไบโอ-พอลิเอทิลีน เพื่อช่วยดูแลโลกควบคู่กับการตอบความต้องการของลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เรายังมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 สำหรับการร่วมมือกับ เอสซีจี เคมิคอลส์ ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทยและเป็นผู้ผลิตชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของเราในเอเชีย ซึ่งทั้งสององค์กรต่างมีเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกัน โดยจะร่วมกันศึกษา แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ รวมทั้งจะช่วยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลาสติกชีวภาพได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น"

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ กล่าวว่า "เอสซีจี เคมิคอลส์ มีแนวทางที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือ การเร่งขยายเข้าสู่ธุรกิจเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดภาวะโลกร้อน พร้อมตอบโจทย์ลูกค้า เจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สำหรับการลงนามใน MOU ร่วมกับ Braskem ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกในครั้งนี้ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย ซึ่งจะตอบโจทย์เทรนด์โลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ช่วยลดโลกร้อน และช่วยให้เรามุ่งสู่การเป็น 'ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน' อย่างเป็นรูปธรรมตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และสอดคล้องกับนโยบาย BCG Model ของรัฐบาล สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจประเทศไทย"



ทั้งนี้ หากการศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวดำเนินไปด้วยดีและบรรลุข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย การดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตพลาติกชีวภาพจะเกิดขึ้นในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยโครงการนี้จะผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลาสติกชีวภาพของ Braskem เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการผลิตพลาสติกพอลิเอทิลีน และความเป็นเลิศด้านการตลาดของเอสซีจี เคมิคอลส์ เพื่อส่งเสริมการใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในวงกว้างต่อไป
#3669


นายกรด โรจนเสถียร ประธานโครงการหัวหิน รีชาร์จภาคเอกชน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หัวหินเมืองท่องเที่ยวตากอากาศระดับนานาชาติเป็นพื้นที่นำร่องเฟส 2 เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางท่องเที่ยวโดยไม่กักตัวอย่างปลอดภัยในพื้นที่ควบคุมภายในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน 86 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ขณะนี้มีความพร้อมที่จะเปิดในวันที่ 1 ต.ค. นี้

เนื่องจากฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายเกิน 80 % ของจำนวนประชากร ขณะที่มาตรฐานตามเอกสารคู่มือการปฏิบัติงานหรือ SOP ได้ร่วมกับดำเนินการกับภาครัฐ หลังจากผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการ ขณะนี้มีการทำแผนมาตรการต่างๆใกล้เสร็จสิ้น คาดว่าในเดือนกันยายน นี้ จะมีคู่มือการทำงานที่ชัดเจน จากนั้นจะนำเสนอ ศบค.ส่วนกลางรับทราบ

นายกรด กล่าวว่า มาตรการที่เน้นการเปิดเมืองหัวหินจะต้องมีความสมดุลระหว่างความปลอดภัยและความสมดุลกับภาวะเศรษฐกิจ เพื่อการท่องเที่ยวยุคใหม่ เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาต้องมีแผนรองรับ ไม่ว่าจะเดินทางผ่านสนามบินสุวรรณภูมิหรือสนามบินหัวหิน หลังจากผ่านการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR สามารถเข้าพักในโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA และ SHA+ โดยรอผลตรวจในห้องพัก หากผลตรวจเป็นลบก็สามารถท่องเที่ยวนำพื้นที่ 86. ตร.กม.ขณะเดียวกันยังมีการทำแผนเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ เพื่อกระจายรายได้ให้ชุมชน หลังจากมีการผลตรวจ RT-PCR ยืนยันอีก 2 ครั้ง หากผลตรวจเป็นลบก็ให้เดินทางออกนอกพื้นที่ได้ ตามแผนงานที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)กำหนด

" ต้องสร้างมาตรฐาน SHA และ SHA+ ในโรงแรมที่มีกว่า 5,000 ห้อง พร้อมรับนักท่องเที่ยว โดยมีแผนจะนำนักท่องเที่ยวไปในพื้นที่อื่นที่มีความปลอดภัย สำหรับการสร้างการมีส่วนร่วมได้ทำประชาพิจารณ์กับผู้นำชุมชนในเขตเทศบาลหัวหินแล้ว เสียงสวนใหญ่เห็นด้วยกับการเปิดเมืองแต่ต้องมีความปลอดภัย นอกจากนั้นมีเสียงเรียกร้องให้ขยายพื้นที่เปิดเมืองในพื้นที่ใกล้เคียง แต่มีปัญหาจากการฉีดวัคซีนยังไม่ครอบคลุมเป้าหมาย ทำให้มีการเสนอขอวัคซีนฉีดเพิ่มนอกเขตเทศบาลหัวหินให้ครอบคลุมทั้งจังหวัดอีก 110,000 โดส เพื่อให้ทุกอำเภอเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ในเฟสต่อไป"

นายกรด กล่าวอีกว่า สำหรับข้อกังวลกลัวมีปัญหาจะซ้ำรอยเหมือนภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ขอเรียนว่าโควิด 19 มีการกลายพันธุ์ แต่การเปิดเมือง เป็นการเรียนรู้ที่จะเดินไปข้างหน้า การเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ถือเป็นความกล้าหาญ ผู้เกี่ยวข้องมีวิสัยทัศน์ที่จะแสวงหาประสบการณ์ในการทำงาน หากอยู่นิ่ง ขณะที่โลกของการท่องเที่ยว พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้ไปการท่องเที่ยวต้องเซต ซีโร่แล้วกลับมามองการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ มีการเรียนรู้ในสิ่งต่างๆทำให้สามารถแก้ปัญหาผลกระทบหรือฝ่าฝันวิกฤตไปพร้อมกันได้

ก่อนที่จะมั่นใจว่าเปิดเมืองแล้วไม่มีปัญหา สิ่งสำคัญก็คือต้องเรียนรู้ควบคู่กันไป ระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่เจอโควิด เชื่อว่าหลายฝ่ายได้เรียนรู้และมีประสบการณ์จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในธุรกิจท่องเที่ยวจากการจำกัดจำนวนคน จำนวนพื้นที่ เพื่อป้องกันความเสี่ยง มีการกำหนดมาตรการเสริมเพื่อป้องกันโรค เชื่อว่าทุกประเทศจะต้องแข่งขัน ต้องพยายามผลักกันเพื่อนำนักท่องเที่ยวกลับคืนมาให้ได้ เพื่อผลดีทางเศรษฐกิจ ขณะที่หัวหินรายได้หลัก 90%ของประชาการมาจากภาคการท่องเที่ยวและบริการ ทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำดีกว่าอยู่นิ่งเฉย รอเพียงโชคชะตากำหนด

" ส่วนรายได้ที่วางเป้าไว้ 1,200 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้หลังเปิดเมืองหัวหิน คือธงที่ต้องไปให้ถึง โดยกำหนดให้มีนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ชอบสิ่งแวดล้อมที่ดี แสวงหาวัฒนธรรมพื้นเมือง จะต้องอยู่ในพื้นที่ยาวนานมากขึ้น ก่อนเปิดเมืองมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากทุกฝ่าย แม้ว่าเสียงใหญ่เห็นด้วย แต่มีอีกบางส่วนที่คัดค้านก็ต้องเปิดใจรับฟัง พร้อมทำความเข้าใจ เสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วน จะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องระวังในการเดินไปข้างหน้า ต้องดูว่ามาตรการตามคู่มือที่กำหนดเพียงพอหรือไม่ในทางปฏิบัติ ควรเสริมมาตรการใด เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ ดีกว่าการอยู่เฉยโดยไม่สู้ เศรษฐกิจในพื้นที่ก็จะทรุดไปเรื่อยๆ หลังจากมีโรงแรมที่หัวหินเปิดบริการเพียง 50 กว่าแห่งจากจำนวนมากกว่า 200 แห่ง"
#3670


วันนี้ (12 ก.ย.64) พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมการจัดทำแผนเผชิญเหตุน้ำท่วมและภัยธรรมชาติของกรุงเทพมหานคร ว่า กรุงเทพมหานครมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอันมีสาเหตุจากน้ำฝนน้ำหลากและน้ำหนุน

โดยขีดความสามารถของระบบระบายน้ำของกรุงเทพมหานครสามารถรองรับปริมาณฝนตกสะสมใน 1 วันได้ไม่เกิน 80 มิลลิเมตร หรือปริมาณความเข้มฝนไม่เกิน 58.70 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง หากเกินกว่าปริมาณดังกล่าวก็จะเกิดปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ตามความรุนแรงปริมาณฝนที่เกิดขึ้น

ในกรณีดังกล่าวกรุงเทพมหานครได้มีจัดเตรียมแผนเผชิญเหตุเมื่อเกิดน้ำท่วมในพื้นที่แล้วโดยมีมาตรการต่าง ๆ ดังนี้ 

มาตรการก่อนเกิดภัย ติดตามสถานการณ์อุทกภัยเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และเตรียมพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวหากต้องมีการอพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วม 

มาตรการขณะเกิดภัย แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำท่วมและข้อปฏิบัติขณะเกิดเหตุให้แก่ประชาชนรับทราบและรับแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เพื่อลดระดับน้ำให้สู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่เร็ว (BEST) และหน่วยบริการประชาชนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการดำรงชีพแก่ประชาชนผู้ประสบภัย การอพยพ ช่วยอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคพื้นฐานและบริการด้านสาธารณสุข 

มาตรการฟื้นฟูบูรณะหลังเกิดเหตุ จัดตั้งหน่วยบรรเทาทุกข์เพื่อให้การช่วยเหลือบูรณะฟื้นฟูสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการบูรณาการความร่วมมือการบริหารจัดการน้ำระหว่างกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรุงเทพมหานครได้มีการประชุมทุกสัปดาห์ร่วมกับคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานต่างๆ และอีกหลายหน่วยงาน ร่วมกันติดตามวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศ เพื่อเป็นข้อมูลในการสั่งการและสนับสนุนการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งบริเวณรอยต่อกรุงเทพฯและปริมณฑล กรุงเทพมหานครได้จัดประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกับจังหวัดปริมณฑลโดยรอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือและเตรียมการแก้ไขพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำท่วม ซึ่งมีการดำเนินการมาต่อเนื่องทุกปี

นอกเหนือจากนี้กรุงเทพมหานครได้ร่วมกับกรมชลประทาน บูรณาการการบริหารจัดการน้ำร่วมกันและได้กำหนดเกณฑ์ค่าระดับและปริมาณน้ำที่ปล่อยเข้าสู่กรุงเทพมหานคร บริเวณรอยต่อระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดปริมณฑล เพื่อช่วยรองรับน้ำจากพื้นที่ตอนบน โดยไม่เกิดผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพมหานคร และระบายน้ำออกนอกพื้นที่ไม่ให้กระทบพื้นที่รอยต่อ เช่น สถานีสูบน้ำคลองหกวาสายล่าง ช่วงฤดูฝน จะเดินเครื่องสูบน้ำเมื่อค่าระดับน้ำภายในสูงเกินกว่า +0.90 ม.รทก. และจะหยุดเดินเครื่องสูบน้ำเมื่อค่าระดับน้ำภายนอกสูงถึง +1.70 ม.รทก.





ด้านการเตรียมความพร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับสถานการณ์น้ำหลากกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครมีแผนรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ 9 ขั้นตอน ประกอบด้วย 

1. ติดตามสถานการณ์สภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาและจากเรดาร์ตรวจฝนของกรุงเทพมหานครโดยศูนย์ป้องกันน้ำท่วม ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง 2. เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ตามจุดที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาน้ำท่วมให้เพียงพอและพร้อมใช้งานได้ทันที 3. ควบคุมและลดระดับน้ำในคลอง บ่อสูบน้ำและแก้มลิงให้อยู่ในระดับต่ำตามแผนฯ 4. เมื่อมีฝนตก ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม แจ้งเตือนสถานการณ์ฝนตกให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม ผ่านระบบวิทยุสื่อสาร Trunked Radio แจ้งเตือนสำนักงานเขตผ่านวิทยุสื่อสารเครือข่าย "อัมรินทร์" แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านกลุ่ม Line "เตือนภัยน้ำท่วม กทม." (ปภ. ทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน)

5. ส่งหน่วยปฏิบัติการเร่งด่วน (BEST) ประจำจุดเสี่ยงและจุดสำคัญเมื่อคาดว่าจะมีฝนตกหนัก เพื่อเร่งระบายน้ำ และแก้ปัญหาด้านการการจราจร 6. หน่วยงานภาคสนามลงพื้นที่ตามจุดต่างๆ และรายงานสถานการณ์น้ำท่วมให้ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม ทราบ 7. ประสานงานขอการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกการจราจร การปิดเส้นทางน้ำท่วม / ทหาร ช่วยเหลือประชาชน หากมีระดับน้ำท่วมสูงรถเล็กไม่สามารถใช้เส้นทางผ่านได้ เป็นต้น 8. เร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจุดที่วิกฤติ โดยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำชนิดเคลื่อนที่ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม 9. ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม รายงานสภาพฝน ปริมาณฝน พื้นที่น้ำท่วมขังเป็นระยะๆ และสรุปสถานการณ์เพื่อแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ผ่านหน่วยงานต่างๆและช่องทางโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน กรุงเทพมหานครจัดตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยมี ผอ.เขต เป็นผู้บัญชาเหตุการณ์



ส่วนความคืบหน้าการเร่งกำจัดผักตบชวาและสิ่งกีดขวางทางน้ำที่เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำในส่วนที่กรุงเทพมหานครรับผิดชอบ ทางสำนักการระบายน้ำได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมของระบบระบายน้ำในปี 2564 ได้ดำเนินการ ล้างทำความสะอาดท่อระบายน้ำ 3,348 กิโลเมตร ขุดลอกคูคลอง 130 คลอง 270 กิโลเมตร เก็บขยะ ผักตบชวา เฉลี่ย 20 ตัน/วัน เปิดทางน้ำไหลและหมุนเวียนเปิดทางน้ำไหล 1,528 คลอง ความยาว 1,601 กิโลเมตร

ด้านการจัดเก็บวัชพืชในแม่น้ำเจ้าพระยาสำนักสิ่งแวดล้อม มีแผนดำเนินการจัดเก็บขยะและวัชพืชอย่างต่อเนื่องทุกปี ในปี 2563 จัดเก็บได้ 3,233.51 ตัน แบ่งเป็น วัชพืช 2,651.48 ตัน ขยะบ้าน 258.68 ตัน เศษไม้ 226.35 ตัน โฟม 97.01 ตัน และปี 2564 จัดเก็บได้ 3,612.40 ตัน แบ่งเป็น วัชพืช 3,562.19 ตัน ขยะบ้าน 24.56 ตัน พลาสติก 25.65 ตัน(ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม) โดยในวันพรุ่งนี้(13 ก.ย.64) เวลา 08.00 น. จะจัดกิจกรรม "จิตอาสา" ร่วมแก้ไขปัญหาผักตบชวาในแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 8 สวนหลวงพระราม 8 (สะพานพระราม 8 เขตบางพลัด โดยจะลงเรือจัดเก็บผักตบชวา วัชพืช และขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่บริเวณสะพานพระราม 7 ถึงสะพานพระราม 9

พร้อมกันนี้ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาภัยจากอุทกภัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2563 โดยถือปฏิบัติในปี พ.ศ. 2564 พลางก่อน จนกว่าจะมีแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฉบับใหม่ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาภัยจากอุทกภัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2563 ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยปฏิบัติการหลักซึ่งประกอบด้วย สำนักการระบายน้ำ สำนักการโยธา สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักเทศกิจ และสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต และหน่วยสนับสนุนประกอบด้วยสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล สำนักพัฒนาสังคม สำนักอนามัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะต้องจัดทำแผนรองรับเพื่อเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากร ระบบการปฏิบัติ ให้สามารถดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากอุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน นอกจากนี้สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยังได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัย ยานพาหนะ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันที ตลอดจนทำการฟื้นฟูเยียวยาสงเคราะห์ผู้ประสบภัยภายหลังจากอุทกภัยสิ้นสุดแล้ว

ข้อมูลที่มา กรุงเทพมหานคร
โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์
#3671


เป็นการคัมแบ็กสู่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สวยสดงดงามดังเขียนบทไว้สำหรับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลังโชว์ยิง 2 ประตูพา "ผีแดง" เปิดบ้านถลุง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 4-1 เมื่อคืนวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

เกมคู่สำคัญ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับ 3 มี 7 แจ้ม เปิดบ้านเจอ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด อันดับ 17 มี 1 แต้ม เกมนี้สาวก "เรด เดวิลส์" มากันแน่นขนัด 74,000 ที่นั่ง เพื่อต้อนรับการกลับมาของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาล ที่คัมแบ็กบ้านหลังเก่าพร้อมลงตัวจริงทันที

เปิดฉาก นาที 7 นิวคาสเซิล ทักทายก่อน โจลินตัน เลี้ยงฝ่ามาทางซ้ายแล้วยิงแต่.หลุดออกหลัง ขณะที่ นาที 10 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้โอกาสโชว์ลีลาให้เจ้าบ้าน เลี้ยงสับด้านซ้ายแล้วพุ่งไปยิงยัดเสาแรกแต่เข้าข้างตาข่าย

เกมแลกกันสนุก นาที 27 โจ วิลล็อค แย่ง.จากลูกทุ่มฝั่งซ้ายแล้วพุ่งไปยิงแต่แรงเกินข้ามคาน กระทั่งทดเจ็บ นาที 46 ผีแดง ได้ประตูจากชายที่ทุกคนรอดู เฟร็ดดี วูดแมน เซฟ.จากลูกยิงของ เมสัน กรีนวูด ไม่พ้นเจอ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซ้ำตุง 1-0 และจบครึ่งแรกเลย

แต่ครึ่งหลัง นาที 55 นิวคาสเซิล เป็นตีเสมอจากลูกสวนกลับ อัลลัน แซงต์-แม็กซิแมง จับ.ทางขวาแล้วแทงให้ ฮาเวียร์ มานกีโญ่ ยิงยัดเสาไกล 1-1 ทว่านาที 61 แมนฯยู นำอีกครั้งจากคนเดิม ลุค ชอว์ แทงทะลุให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สปีดทะลุขึ้นไปสับไกคมกริบ 2-1

มาถึง นาที 80 ผีแดง ซัดเม็ดสาม พอล ป๊อกบา จ่ายออกซ้ายให้ บรูโน่ เฟอร์นานเดส ตะบันเสียบเสาสวยงาม 3-1 และอีกลูกส่งท้ายจาก เจสซี ลินการ์ด นาที 92 เป็น 4-1 ทำให้ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา เก็บ 3 แต้มเข้าบ้าน พร้อมกับการคัมแบ็กที่สวยงามของ CR7

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - ดาบิด เด เคอา, แฮร์รี แม็คไกวร์, ราฟาเอล วาราน, ลุค ชอว์, อารอน วาน-บิสซาก้า, บรูโน่ เฟอร์นานเดส, เนมานย่า มาติช, พอล ป๊อกบา, เจดอน ซานโช, เมสัน กรีนวูด, คริสเตียโน่ โรนัลโด้
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด - เฟร็ดดี วูดแมน, จามาล ลาสเซลส์, ไอแซต เฮย์เดน, แมตต์ ริทชีย์, ฮาเวียร์ มานกีโญ่, ฌอน ลองสตาฟฟ์, มิเกล อัลไมรอน, โจ วิลล็อค, อัลลัน แซงต์-แม็กซิแมง, โจลินตัน
#3672


ผู้ใช้เฟซบุ๊ค Panyawat Ketsanthawiwat โพสต์ภาพโขลงช้างป่าเขาใหญ่ ราว 6-7 ตัว กำลังลงกินโป่ง ณ โป่งทุ่งกวาง บนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยได้โพสต์ลงในกลุ่ม เขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ Khaoyai National Park เมื่อช่วงเย็นนี้ (วันเสาร์ที่ 11 กันยายน 2564) เขาบอกเพียงสั้นๆ ว่า "มามาครับ ตอนนี้ยังทัน...ช้างๆๆ"

นั่นทำให้คนรักช้าง รักผืนป่า พากันอิจฉาเล็กๆ หลายคนในคอมเมนต์ บอกว่า รู้สึกอิจฉา เพราะเคยขึ้นมาเที่ยวทีไร ไม่เคยเจอช้างป่าแบบนี้เลย

ในคลิปที่โพสต์ มีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนไม่มาก กำลังนั่งชม ยืนชมโขลงช้าง ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นอย่างชื่นมื่น ทุกคนต่างบันทึกภาพแห่งความประทับใจนี้เก็บเอาไว้ ลิงก์ชมคลิป

นอกจากเป็นภาพประทับใจ ยังสะท้อนให้เห็นความสมบูรณ์ของธรรมชาติช่วงฤดูฝนปีนี้ ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้เป็นอีกหมุดหมายให้คนรักช้าง และสัตว์ป่า ขึ้นมาชื่นชมอย่างใกล้ชิดท่ามกลางวิวงดงามของธรรมชาติในทุ่งหญ้า และขุนเขา

เมื่อสองสามวันก่อนหน้า น้าหมูสาริกา-บดินทร์ จันทศรีคำ เคยโพสต์บนเพจ บดินทร์ จันทศรีคำ ได้บรรยายถึงบรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้ว่า " ฟ้าหลังฝนบนเขาใหญ่ ช้างกินโป่งทุ่งกวาง ท่ามกลางหมอกสีขาว อากาศเย็นสบาย"

สำหรับ"ทุ่งกวาง" คืออีกพื้นที่หนึ่งที่ทางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้จัดทำกิจกรรมทำโป่งเทียม ร่วมกับกลุ่มจิตอาสาและกลุ่มคนรักสัตว์ป่า และอนุรักษ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเพิ่มแร่ธาตุในดินให้ช้างและสัตว์ป่าอื่นๆได้ออกมากิน นอกจากได่ช่วยให้ช้างป่าอยู่บนเขาโดยไม่ลงไปรบกวนชาวบ้านด้านล่าง ยังเป็นกิจกรรมที่ทำให้คนเข้าใจถึงวิถีการดำรงอยู่ของช้างป่ามากขึ้นอีกด้วย

ข้อมูล / ภาพอ้างอิง เพจเฟซบุ๊ค Panyawat Ketsanthawiwat
#3673


นางณชธร มโนปัญจสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง เปิดเผยถึงขั้นตอนการส่งออกผลไม้จากไทยไปจีน ว่า ผู้ประกอบการที่ต้องการจะส่งออกผลไม้ไปจีน จะต้องเริ่มต้นจากการขออนุญาตเป็นผู้ส่งออกสินค้าไทย โดยต้องดำเนินการเรื่องอนุญาตเป็นผู้ส่งออกสินค้ากับกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อให้ได้บัตรประจำตัวผู้ส่งออกไว้ใช้ในการออกหนังสือรับรองและใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการส่งออกจากประเทศไทย และต้องยื่นขอเอกสารใบรับรองปลอดโรคพืชจากกรมวิชาการเกษตร

ทั้งนี้ เมื่อได้ใบรับการอนุญาตเป็นผู้ออกสินค้าไทยแล้ว การส่งออกสินค้าแต่ละชนิดก็ยังมีขั้นตอนการขออนุญาตส่งออกที่แตกต่างกัน โดยหากเป็นพืชผลทางการเกษตร จำเป็นต้องขอเอกสารเพิ่มเติมประกอบการส่งออกกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งตามประกาศกรมการค้าต่างประเทศเรื่องการกำหนดชนิดหรือประเภทของผลไม้ที่ต้องมีหนังสือรับรองในการส่งออก ระบุให้ผลไม้ที่ส่งออกไปต่างประเทศ หากประเทศที่นำเข้านั้นต้องการใบรับรองปลอดโรคพืช สารตกค้าง หรือแมลง ผู้ส่งออกสามารถขอใบรับรองดังกล่าวได้ที่กรมวิชาการเกษตร

ส่วนการเตรียมเอกสารสำหรับใช้ในการนำเข้ามายังจีน นอกจากการเตรียมเอกสารใบรับรองปลอดโรคของไทยแล้ว ยังต้องเตรียมเอกสาร เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าประเทศจีนได้อย่างถูกต้องตามกฎระเบียบในการนำเข้าของจีนด้วย โดยเฉพาะข้อกำหนดด้านสุขอนามัยผลไม้ที่จะนำเข้ามายังจีนที่ผู้นำเข้าจากทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนโดยหน่วยงานศุลกากรจีนที่มีหน้าที่ดูแลด้านสุขอนามัยและการตรวจสอบความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ผู้นำเข้าผลไม้ของจีนจะต้องมีเอกสารใบอนุญาตการนำเข้าผลไม้เพื่อยื่นขอนำเข้าด้วย สำหรับผู้ส่งออกที่ยังไม่เคยมีลูกค้าหรือผู้นำเข้าในจีนมาก่อนควรเริ่มจากการตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้าของผลไม้ของผู้นำเข้าจีนก่อน เพื่อใช้เป็นผู้ยื่นขอการนำเข้าผลไม้มายังจีนได้

ทางด้านพิธีการศุลกากรจากกรมศุลกากรส่งออกสินค้าจากไทย เมื่อสินค้าได้รับการรับรองในการส่งออกและมีใบอนุญาตใช้เพื่อเตรียมพร้อมในการนำเข้าผ่านหน่วยงานจีนแล้ว เพื่อให้สินค้าออกจากประเทศไทยอย่างถูกต้อง ยังจำเป็นต้องเตรียมเอกสารที่สำคัญ เช่น เอกสารใบขนส่งสินค้าขาออก (กศก.101) เอกสารใบราคาสินค้า Invoice (ตามจำนวนของใบขนขาออกที่ยื่นทั้งหมด) เอกสารPacking list แสดงรายละเอียดการบรรจุหีบห่อ และอาจมีเอกสารอื่นๆ ตามที่กรมศุลกากรต้องการ โดยขั้นตอนพิธีการศุลกากรนี้อาจมีขั้นตอนและมีการเตรียมเอกสารค่อนข้างมาก ดังนั้น ผู้ส่งออกอาจจะใช้บริการของบริษัทชิ้ปปิ้งที่มีบัตรผ่านศุลกากรเพื่อดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากรส่งออกแทนในนามของบริษัท

สำหรับด่านนำเข้าผลไม้ ปัจจุบันมีด่านขนส่งสินค้าผลไม้ไทยเข้ามายังจีนทั้งหมด 4 ด่าน ประกอบด้วย 3 ด่าน ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ได้แก่ 1.ด่านโหยวอี้กวน 2.ด่านตงซิง 3.ด่านรถไฟผิงเสียง และ 1 ด่านในมณฑลยูนนาน คือ ด่านบ่อหาน โดยด่านบ่อหาน มีการเปิดให้บริการนำเข้า-ส่งออกสินค้าได้ตามปกติ โดยขนถ่ายสินค้าแบบจุดต่อจุดแยกสินค้าและคนขับรถ พร้อมฆ่าเชื้อรถขนส่งสินค้าและตรวจเชื้อคนขับรถอย่างละเอียด พร้อมยกระดับการจัดระเบียบการขนส่งอย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ตาม ผลไม้ไทยเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในตลาดจีนอยู่แล้ว เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไย ส้มโอ และมะพร้าว เป็นต้น โดยผลไม้ไทยสามารถส่งออกมายังจีนได้มากถึง 22 ชนิด แต่มีเพียงผลไม้ไม่กี่ชนิดที่มีการนำเข้าจริง ทำให้ผลไม้ของไทยชนิดอื่นๆ ยังคงมีโอกาสในการเข้ามาทำตลาดในจีน โดยเกษตรกรหรือผู้ส่งออกจะต้องศึกษาและเข้าใจความต้องการผลไม้ของผู้บริโภคชาวจีน และต้องให้ความสำคัญกับการคุมเข้มด้านคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับผลไม้ไทยเหนือคู่แข่ง เพราะปัจจุบัน จีนมีการอนุญาตให้ประเทศในอาเซียนส่งออกผลไม้ได้เพิ่มเติม เช่น ลูกแพร์และมะพร้าว จากฟิลิปปินส์ มังคุด จากเวียดนาม และกล้วย จากกัมพูชา เป็นต้น ส่งผลให้ไทยมีคู่แข่งทางการค้าเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ส่งออกจะต้องมีเจ้าหน้าที่ ที่สามารถสื่อสารภาษาจีนได้ เพื่อให้การทำการค้าร่วมกันประสบผลสำเร็จ เพราะผู้นำเข้าจีนส่วนใหญ่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และการขอหนังสือรับรองฉลาก China Inspection Quarantine : CIQ และการตรวจสอบส่วนผสมของสินค้าบริโภคของจีนค่อนข้างเข้มงวด ผู้ผลิตต้องการเข้ามาทำตลาดที่จีน จะต้องมีการศึกษาข้อมูลและปฏิบัติตามกฎระเบียบของจีนอย่างเคร่งครัด ส่วนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือชื่อแบรนด์ก่อนเข้ามาทำตลาดจีน ผู้ประกอบการต้องการขยายตลาดสู่จีน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือชื่อแบรนด์ เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ แม้ว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจีนมีขั้นตอนที่ต้องใช้ระยะเวลาตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจีนก็ตาม ขณะเดียวกัน ในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 จีนมีการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีการขนส่งแบบแช่เย็นแช่แข็ง ทำให้ต้องใช้เวลาในการสุ่มตรวจมากขึ้น จึงต้องวางแผนให้ดี
#3674


ประเด็นความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) กลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้ง เมื่อข้อมูลขององค์กรด้านสาธารณสุขถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกันคือ "โรงพยาบาลเพชรบูรณ์" และ "สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์" จนทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เพราะเหตุใดองค์กรเหล่านี้ถึงตกเป็นเป้าของเหล่า "แฮกเกอร์" บ่อยครั้งขึ้น รวมทั้งมีคำถามไปถึงรัฐบาลไทย โดยเฉพาะ "กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม" ว่าจะรับมือกับ "มัลแวร์เรียกค่าไถ่" ที่กำลังเกิดระบาดในองค์กรรัฐอย่างไร

สำหรับเหตุการณ์แรกตามรายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2564 พบการขายบนเว็บไซต์ RaidForums ซึ่งเป็นเหมือนแหล่งขายข้อมูล ฐานข้อมูลมีจำนวน 3.7 GB ในส่วนของ Record ทั้งหมด รูปแบบนั้นแฮกเกอร์ใช้วิธีนับจำนวนตารางทั้งหมดรวม 16 ล้าน Record แต่ไม่ใช่ข้อมูลของ 16 ล้านคน โดยมีข้อมูลเพียงชื่อคนไข้ หมายเลขคนไข้ และชื่อแพทย์ที่ดูแล ไม่ปรากฏหมายเลขบัตรประชาชน ส่วนโรคต่างๆ จะปรากฏแค่วอร์ดคนไข้ ไม่มีข้อมูลที่ระบุโรค โดยมีข้อมูลคนไข้ไม่เกิน 10,000 ราย

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยอมรับว่าข้อมูลดังหลุดจริงเหตุเกิดที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ แต่ไม่พบมีการเรียกค่าไถ่กับโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามได้กำชับให้ทางกระทรวงฯ เข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะโรงพยาบาลถือเป็นเป้าหมายสำคัญของการเรียกค่าไถ่ไซเบอร์

เวลาไล่เรี่ยกัน "โรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์" ก็ถูกแฮกโดยลักษณะคล้ายคลึงกับโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เป็นข้อมูลของผู้ป่วยแต่คราวนี้เป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเอกซเรย์ การฟอกไต และการจ่ายยา ข้อมูลคนไข้หลุดกว่า 40,000 ราย จากทั้งหมด 100,000 ราย ซึ่งทางโรงพยาบาลมีการปรับปรุงข้อมูล จึงอาจเป็นช่องโหว่ทำให้มีผู้กระทำผิดเจาะข้อมูล โดยคาดว่าผู้ก่อเหตุ เจาะระบบด้วยวิธีการรีโมตมาจากภายนอกโรงพยาบาล

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์คล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2563 ที่ "โรงพยาบาลสระบุรี โดยมีรายงานว่าระบบถูกโจมตีโดย Ransomware มัลแวร์ค่าไถ่เพื่อแลกกับการยกเลิกการปิดกั้นข้อมูล และถูกเรียกค่าไถ่เป็นจำนวนถึง 200,000 บิตคอยน์ หรือราว 6.3 หมื่นล้านบาท เพื่อแลกเปลี่ยนกับการคืนข้อมูล โดยสร้างความโกลาหลทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลขัดข้อง และบริการคนไข้อย่างล่าช้า เพราะระบบค้นหาประวัติเก่าใช้การไม่ได้

ข้อมูลน่าสนใจ  นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ รองคณบดีฝ่ายปฏิบัติการ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ออกมาเปิดเผยว่า โรงพยาบาลในประเทศไทยโดน Ransomware หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ กันเป็นระยะๆ ซึ่งจะเข้ารหัสข้อมูลสำคัญและเรียกค่าไถ่ในจำนวนเงินที่สูงเพื่อแลกกับการได้ข้อมูลคืน

นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวมูลกองทัพบกหลุด ซึ่งเป็นข้อมูลที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน แต่ไม่ใช่ระบบป้องกันประเทศ รวมทั้งภาคเอกชน ล่าสุด มีการตรวจพบข้อมูลของ CP Freshmart ถูกแฮก ประกอบด้วยข้อมูลค้ากว่า 6 แสนรายการ ประกอบด้วย ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล แต่ไม่มีข้อมูลบัตรเครดิตหรือข้อมูลด้านการเงิน

นายชัยวุฒิ ธมาคมานุสรณ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงข่าวถึงกรณีการโจมตีข้อมูลระบบของโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ว่า เป็นระบบโรงพยาบาลใช้มาหลายปีแล้ว เป็นระบบ Chart audit ไว้ตรวจสอบการทำงานของแพทย์ เมื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ไม่ได้มาตรฐาน จึงทำให้ถูกโจมตีอย่างที่เป็นข่าว

สำหรับการรับมือความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) กระทรวงดีอีเอสได้ย้ำมาตรการเบื้องต้นใหห้ทุกหน่วยงานรัฐพัฒนาซอฟท์แวร์ที่ปลอดภัยที่เพียงพอ และขั้นตอนต่อไปคือการเฝ้าระวังเพิ่มเติม โดยระบบ ThaiCert จะต้องประสานงานกับทุกส่วนราชการที่เก็บข้อมูลสำคัญ และข้อมูลส่วนบุคคล ว่าต้องการให้เฝ้าระวังอะไรบ้าง โดยที่ผ่านมาได้เฝ้าระวัง 250 หน่วยงานแล้ว แต่ยังไม่ได้หยิบยกโรงพยาบาลระดับจังหวัดเข้ามาอยู่ในระบบเฝ้าระวังอยู่ระหว่างพัฒนาระบบต่อไป

ประเด็นสำคัญ โรงพยาบาลหรือหน่วยงานที่มีข้อมูลส่วนบุคคลมากๆ หากไม่ระมัดระวัง ไม่ใช้ระบบที่มีความมั่นคงปลอดภัยเพียงพอ ก็มีความผิดด้วยเช่นกัน โดยเมื่อนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ก็ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย และควรมีการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดีอีเอสจะมีระบบ ThaiCert (Computer Emergency Response Team) และ GovernmentCert อยู่แล้ว จึงขอให้ทุกหน่วยงานรัฐร่วมใช้ระบบนี้ เพื่อสร้างความปลอดภัยเรื่องฐานข้อมูลส่วนบุคคลต่อไป

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เตือนภัยประชาชนกรณีแฮกเกอร์เรียกค่าไถ่ข้อมูลเป็นเรื่องใกล้ตัว โดย  พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ  รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าการเรียกค่าไถ่ข้อมูลหรือ Ransomware อาชญากรรมรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่หลายคนต้องทำงานผ่านคอมพิวเตอร์และสื่อออนไลน์ รวมถึงบริษัทต่างๆ ต้องมีการป้องกันและพร้อมรับมือกับอาชญากรรมรูปแบบดังกล่าว ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

รูปแบบของการเรียกค่าไถ่ข้อมูลหรือ Ransomware จะแฝงตัวมาในรูปแบบของอีเมลล์ที่แนบลิงค์มาด้วย หรือลิงค์ที่แอบแฝงอยู่ในโฆษณาบนเว็บไซต์ต่างๆ เมื่อเหยื่อกดเข้าไปที่ลิงค์ดังกล่าว ก็จะเป็นการรับเอามัลแวร์เข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่รู้ตัว

จากนั้นมัลแวร์ก็จะแพร่กระจายไปยังข้อมูลต่างๆ เมื่อมัลแวร์ได้แพร่กระจายไปครอบคลุมข้อมูลที่บรรดาแฮกเกอร์ต้องการแล้ว ก็จะล็อกข้อมูลดังกล่าว ไม่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้ และจะปรากฎข้อความขึ้นมาแจ้งว่าข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกล็อกไว้ หากต้องการปลดล็อกจะต้องจ่ายเงิน ไม่เช่นนั้นจะลบข้อมูล แต่ในช่วงหลังเริ่มมีการข่มขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลสู่สาธารณะหรือนำไปประมูลขาย เป็นต้น

ทั้งนี้ การกระทำกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันประเทศไทยมี พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ที่เป็นกฎหมายป้องกันเรื่องนี้โดยตรง แต่ต้องยอมรับว่าเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุเพราะการการโจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้นตลอดเวลา

 ท้าทายว่ารัฐบาลไทยจะรับมือกับสถานการณ์เรียกค่าไถ่ไซเบอร์ที่เกิดถี่ขึ้นโดยเฉพาะในหน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐอย่างไร 
#3675


เมื่อเดือน พ.ย.2560 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศวิสัยทัศน์และแผนลงทุนในแบรนด์ระดับโลกทั้งด้านเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ รวมถึงธุรกิจโรงแรม หวังกระจายความหลากหลายในการสร้างรายได้ใหม่ๆ นอกเหนือจากธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์

โดยเข้าลงทุนในเครือโรงแรม "สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชันแนล" เจ้าของธุรกิจเชนโรงแรมบูติกเพื่อเสริมทัพรายได้หมุนเวียน ด้วยสัดส่วนการเข้าถือหุ้น 35% ก่อนที่แสนสิริจะขยับสัดส่วนเพิ่มเป็น 62% ครองตำแหน่งผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของสแตนดาร์ด อินเตอร์ฯ รองลงมาคือกลุ่ม SEAM โดยมี เซธ โคเฮน และ อมาร์ ลัลวานี่ เป็นเจ้าของหุ้นอันดับ 2 ตามด้วยกลุ่มอื่นๆ

อมาร์ ลัลวานี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชันแนล ฉายภาพว่า ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ขยายฐานธุรกิจเครือโรงแรมนอกประเทศสหรัฐอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบัน สแตนดาร์ด อินเตอร์ฯมีโรงแรม 17 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพัก 1,834 ห้อง ภายใต้ 3 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ "เดอะ สแตนดาร์ด" (The Standard) มุ่งนำเสนอประสบการณ์อันดื่มด่ำ มีจำนวน 6 แห่ง, แบรนด์ "บังค์เฮ้าส์" (Bunkhouse) เป็นแบรนด์โรงแรมขนาดเล็ก เน้นปักธงตามเมืองรอง จำนวน 9 แห่ง โฟกัสตลาดสหรัฐ และแบรนด์ "เดอะ เภรี โฮเทล" (The Peri Hotel) เป็นแบรนด์โรงแรมขนาดเล็ก มุ่งเจาะตลาดเอเชีย ปัจจุบันมี 2 แห่งที่เขาใหญ่และหัวหิน ซึ่งมีแสนสิริเป็นเจ้าของ รีแบรนด์จากเดิมที่ใช้ชื่อ เอสเคป (Escape)

"ภายใน 5 ปีข้างหน้า สแตนดาร์ด อินเตอร์ฯจะรุกรับบริหารโรงแรมเพิ่มมากขึ้น รวมมีทั้งหมด 35 แห่งทั่วโลก โดยเตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 18 แห่ง กว่า 75% ตั้งอยู่ในโลเกชั่นนอกสหรัฐ เป็นโรงแรมใหม่ภายใต้แบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด จำนวน 9 แห่ง"

หนึ่งในนั้นคือ "เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน" มีแสนสิริเป็นเจ้าของ ถือเป็นรีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกของแบรนด์ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวนห้องพัก 178 ห้อง และพูลวิลล่าอีก 21 หลัง รวมมี 199 ห้อง นำเสนอคอนเซ็ปต์ความงามแบบเรียบง่าย มีกำหนดเปิดให้บริการวันที่ 1 ธ.ค.2564 สอดรับกับไทม์ไลน์เปิดพื้นที่นำร่องโครงการ "หัวหิน รีชาร์จ" รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาท่องเที่ยวแบบไม่กักตัวในพื้นที่รวม 86.36 ตารางกิโลเมตรของเทศบาลเมืองหัวหิน ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป

และเมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในไทย "หัวหิน" ถือเป็นเมืองที่พึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดยก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 กว่า 70% ของนักท่องเที่ยวที่มาหัวหินเป็นคนไทย หนุนอัตราการเข้าพักสูงถึง 90% ในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ ขณะที่ปี 2563 โรงแรมในหัวหินมีอัตราการเข้าพักสูงที่สุดอยู่ที่ 39% มากกว่าเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ อย่างภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพฯ

เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน

ส่วนอีกแห่งในไทยคือ "เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร" จะเป็นโรงแรมระดับเรือธง (Flagship) ของแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด ในเอเชีย หลังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ "คิง เพาเวอร์ กรุ๊ป" ในการนำแบรนด์ดังกล่าวมาเสริมความโดดเด่นแก่ "คิง เพาเวอร์ มหานคร" แลนด์มาร์กใจกลางกรุงเทพฯซึ่งมีขนาด 78 ชั้น สูงเป็นอันดับต้นๆ ของไทยในปัจจุบัน

สะท้อนความเป็นเมืองหลวงเปี่ยมพลังของกรุงเทพฯ ด้วยจำนวนห้องพัก 155 ห้อง เพนต์เฮาส์ สระว่ายน้ำริมระเบียง ฟิตเนส ห้องประชุม รวมทั้งบริการอาหารและเครื่องดื่ม และสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนตอนกลางคืน ตั้งแต่ห้องเดอะ พาร์เลอร์ (The Parlor) ไปจนถึงที รูม (tea room) และร้านอาหารชื่อดังอย่างสแตนดาร์ด กริล (Standard Lottovip Grill) โดยโรงแรมแห่งนี้มีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2565

"การเปิดตัวแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด เข้าสู่ตลาดประเทศไทย ถือว่าทำได้อย่างถูกเวลา เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่ประชาชน"

คิง เพาเวอร์ มหานคร

ส่วนนอกประเทศไทย เตรียมเปิดให้บริการแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด ในเมืองท่องเที่ยวตลาดสำคัญทั่วโลก ทั้งที่อิบิซ่า ขนาด 67 ห้อง ปี 2565, สิงคโปร์ ขนาด 140 ห้อง ปี 2566, เมลเบิร์น 127 ห้อง ปี 2566, ลิสบอน ขนาด 160 ห้อง ปี 2566, บรัสเซลส์ ขนาด 180 ห้อง ปี 2568, ดับลิน ขนาด 200 ห้อง ปี 2568 และลาสเวกัส ขนาด 600 ห้อง ปี 2568

อมาร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าวิกฤติโควิด-19 จะสร้างผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจโลก ทำลายธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเสียหาย แต่เครือสแตนดาร์ด อินเตอร์ฯยังคงยืนหยัดสู้กับสถานการณ์ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลับมามีอนาคตที่สดใส โรงแรมเป็นหนึ่งในสถานที่มีอยู่ในชีวิตจริง หรือ "In Real Life" ไม่มีอย่างอื่นมาทดแทนได้! มีแนวโน้มฟื้นตัวเมื่อถึงสถานการณ์เหมาะสม เพราะผู้คนต่างอยากออกมาเที่ยวและแฮงเอาต์อยู่แล้ว โดยส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ในปี 2564 ในสหรัฐแซงหน้าตัวเลขในปี 2562 ด้วยค่าเฉลี่ยดัชนีการสร้างรายได้ที่ระดับ 134 ต่อ 122 เมื่อเทียบกับเครือโรงแรมคู่แข่งในระดับเดียวกัน

            "ท่ามกลางความท้าทายที่กำลังเผชิญ เราสามารถรักษาฐานกำไรและยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในโครงการใหม่ๆ และเร่งสรรหาโรงแรมใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเครือ โดยตัวเลขการเติบโตในแง่ส่วนแบ่งตลาดถือเป็นผลจากความแข็งแกร่งของแบรนด์และการที่บริษัทฯตัดสินใจรักษาทีมงานทุกคนไว้ในการเดินหน้าแผนงานต่างๆ ทางการตลาดตลอดช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด"
#3676


การกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมกับ จังหวัดภูเก็ต จัดงานแสดงความยินดีให้กับ "ฮีโร่" ทัพนักกีฬาพาราไทยที่เดินทางกลับมาจากพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 16 โตเกียว 2020 มาเข้าร่วม "โครงการ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์" ในงาน "พาราลิมปิก ฮีโร่ โฮม คัมมิ่ง" โดยมี "ตูน บอดี้สแลม", เทนนิส-พาณิภัค, "หนูนา" หนึ่งธิดา โสภณ, "นิ้งหน่อง" ปลื้มจิตร์ ถินขาว, "ป๊อด" ธนชัย อุชิน และ "บิ๊กจ๊ะ" สาธิต กรีกุล ร่วมยินดีสุดชื่นมื่น

ความเคลื่อนไหวของทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยที่เดินทางกลับจากการแข่งขันมหกรรมกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 16 โตเกียว 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาเข้าสู่การกักตัวที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเวลา 14 วัน ภายใต้โครงการ "ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์" ที่ได้รับการสนับสนุนโดยกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย จังหวัดภูเก็ต ซึ่งสามารถฝึกซ้อมร่างกายรวมทั้งทำกิจกรรมต่างๆ ภายในจังหวัดภูเก็ตได้เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป

ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากทัพฮีโร่พาราไทยได้เดินทางกลับมาถึงยังประเทศไทยครบทั้ง 3 ชุด รวมทั้งสิ้น 74 คน จากทั้งหมด 14 ชนิดกีฬาเป็นที่เรียบร้อย ได้มีการจัดงานแสดงความยินดีให้แก่คณะนักกีฬา ผู้บริหาร ผู้ฝึกสอน และบุคลากรที่เข้าร่วมมหกรรมกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ในงาน "พาราลิมปิก ฮีโร่ โฮม คัมมิ่ง" ที่ห้องอัครา แกรนด์.รูม (ชั้น 2) โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีช รีสอร์ท จ.ภูเก็ต



ทั้งนี้ได้มี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นางนาที รัชกิจประการ, นายเขมพล อุ้ยตยะกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต, นายพิเชษฐ์ ปาณะพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, พลโท อิสระ วัชรประทีป ที่ปรึกษาผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, นาง โปรดปราน สมานมิตร รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, นายอำนวย กลิ่นอยู่ รองประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย (ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย), นายธรรมวรรธ วงศ์เจริญยศ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดภูเก็ต, ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, คณะผู้บริหารคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย, คณะผู้บริหารการกีฬาแห่งประเทศไทย, คณะผู้บริหารส่วนราชการจังหวัดภูเก็ต, คณะนักกีฬาผู้บริหาร ผู้ฝึกสอน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับมหกรรมกีฬาพาราลิมปิก โตเกียว 2020 เข้าร่วมงานต้อนรับฮีโร่พาราไทยครั้งนี้อย่างอบอุ่น ภายใต้มาตการป้องกันป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มงวด

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ตนได้รับฝากคำขอบคุณและแสดงความยินดีจาก พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มาถึงยังทัพนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ทีมงานไทยทุกคนกว่า 130 ชีวิตที่เป็นตัวแทนประเทศชาติไปทำการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 16 โตเกียว 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมดได้ช่วยกันนำชัยชนะกลับมาฝากพ่อแม่พี่น้องชาวไทยด้วยจำนวน 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 8 เหรียญทองแดง ตนมองว่านี่เป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะที่ทุกคนสร้างความสุขให้แก่ประเทศไทยขึ้นมาได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศกำลังประสบปัญหาของไวรัสโควิด-19 ตนเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงหายเหนื่อยแล้วจากการแข่งขัน หลักจากฝึกซ้อมต่อสู้เตรียมตัวเข้าแข่งขันมาตลอด 5 ปี สำหรับคนที่ได้เหรียญตนก็ขอแสดงความยินดี สำหรับคนที่ไม่ได้เหรียญตนก็อยากเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไป อย่าท้อถอย อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ

"ตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนจะได้พักผ่อนแล้ว ก็อยากจะให้ใช้เวลาที่เข้าร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตลอด 14 วันนี้ ตักตวงความสุขและตักตวงพละกำลังที่ทุกคนต้องสูญเสียไปในการแข่งขันให้กลับมาให้ได้เร็วที่สุด เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ายังมีภารกิจต่อไปรอคอยอยู่ ต้องขอขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับต้อนรับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกๆ คนจนครบ ตั้งแต่คนแรกที่เดินทางกลับมาสู่ประเทศไทย จนถึงคนสุดท้ายที่เดินทางมาถึงภูเก็ต ขอบคุณกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย ที่คอยสนับสนุนทัพนักกีฬาไทยอย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด ขอบคุณสมาคมกีฬาทุกๆ สมาคมและหน่วยงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอบคุณคนไทยทุกคนที่อยู่เบื้องหลังคอยส่งกำลังใจให้แก่ฮีโร่พาราทุกๆ คน" นายพิพัฒน์ กล่าว



ขณะที่ นายอำนวย กลิ่นอยู่ รองประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พาราลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนพิการไทยได้แสดงศักยภาพให้ปรากฎแก่ชาวโลกว่ามีความสามารถมากเพียงใด แม้จะถูกจำกัดทางด้านร่างกายและต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคอย่างหนักในเวลาที่โลกกำลังพบปัญหาโรคระบาด แต่ทุกคนก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะไปสู่เป้าหมาย สมกับคำสุภาษิตที่ว่า "ลิขิตของฟ้า ยังไม่เท่ามานะตน" และวันนี้ทุกคนกลับมาถึงบ้านกันแล้ว ต้องขอขอบคุณ ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ คณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ตลอดจนผู้ให้การสนับสนุนทัพพาราไทยทุกท่านทั้งภาครัฐและเอกชน ในโอกาสนี้ ตนในฐานะตัวแทนทัพพาราไทย ขอมอบชัยชนะและความสุขคืนให้แก่คนไทยทุกคน ให้มีพลังร่วมกันต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคไปด้วยกัน พวกเราสัญญาว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า พาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 17 ที่กรุงปารีส ทัพพาราไทยจะทำให้ดีกว่านี้

ด้าน "กร" พงศกร แปยอ นักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งประวัติศาสตร์ที่คว้า 3 เหรียญทองในพาราลิมปิกเกมส์ครั้งเดียวคนแรกของไทยในครั้งนี้ เป็นตัวแทนของทัพพาราไทยกล่าวว่า ดีใจที่สามารถช่วยสร้างความสุขให้แก่คนไทยได้ ก่อนไปแข่งขันครั้งนี้ตนมีความมั่นใจในรายการที่เป็นแชมป์เก่าอยู่คือ 400 ม. กับ 800 ม. และพยายามเก็บความผิดพลาดในการแข่งขันเมื่อ 5 ปีที่แล้วมาพัฒนาตนเองเพื่อจะทำผลงานให้ดีขึ้น ซึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้ก็มาจากการฝึกซ้อมที่หนัก ความตั้งใจ ความมานะ และระเบียบวินัยของตัวเอง ซึ่งก็เหมือนเดิมคือหลังจากนี้ตนก็จะกลับไปมุ่งมั่นซ้อมต่อและทบทวนสิ่งที่ผิดพลาดในแมตช์นี้เพื่อที่จะไปพัฒนาต่อยังแมตช์ต่อๆ ไป



ส่วน ประคอง บัวใหญ่ ตัวแทนทีมฟุต. 5 คน หรือ ฟุต.คนตาบอดทีมชาติไทยที่แม้จะไม่ได้รับเหรียญรางวัลแต่ก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นชนิดกีฬาประเภททีมที่คว้าสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ได้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย กล่าวถึงความรู้สึกว่า ทีมฟุต. 5 คนดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยเป็นตัวแทนไปสู้เพื่อประเทศชาติ ต้องยอมรับว่าด้วยประสบการณ์และเทคนิคส่วนบุคคลของนักฟุต.คนตาบอดไทยยังเป็นรองทีมระดับโลก แต่พวกเราจะพยายามสู้ต่อและสู้ให้เต็มที่ที่สุดเพื่อโอกาสการกลับไปแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ในอีก 3 ปีข้างหน้าให้ได้ ส่วนในวันนี้ก็อยากเป็นตัวแทนขอบคุณคนไทยทุกคนที่เฝ้าดูเฝ้าเชียร์ทีมฟุต.ไทยและทัพพาราไทยทุกคนผ่านการถ่ายทอดสด พวกเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว และจะพยายามทำให้ดีมากขึ้นกว่านี้ในอนาคตเพื่อพวกคุณคนไทยทุกคน

ภายในงานได้มีการเปิดคลิปวิดีโอของเหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยที่มาร่วมกล่าวแสดงความยินดีและขอบคุณการสร้างความสุขให้แก่ประเทศไทยของทัพฮีโร่พาราครั้งนี้ นำมาโดย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล, "เทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เจ้าของเหรียญทองเทควันโดโอลิมปิกเกมส์ 2020, "แต้ว" สุดาพร สีสอนดี เจ้าของเหรียญทองแดงมวยสากลหญิงโอลิมปิกเกมส์ 2020, "นิ้งหน่อง" ปลื้มจิตร์ ถินขาว นักวอลเลย์.หญิง, "บิ๊กจ๊ะ" สาธิต กรีกุล พร้อมด้วยเหล่าศิลปิน ประกอบด้วย "แอม" เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, "หนูนา" หนึ่งธิดา โสภณ, "ป๊อด" ธนชัย อุชิน, "ดีเจพี่อ้อย" นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล, "ดู๋" สัญญา คุณากร และ "ตูน บอดี้สแลม" อาทิวราห์ คงมาลัย

หลังจากนี้ทัพฮีโร่พาราไทยทั้งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 131 คนที่เข้าร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จะใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเวลา 14 วันเพื่อทำการกักตัว โดยจะพักที่ "โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีช รีสอร์ท" และจะทำกิจกรรมผ่อนคลายหลังจากการกรำศึกหนักเพื่อประเทศชาติมาที่ทางโครงการได้จัดเตรียมไว้ให้ตลอด 14 วันต่อไป

สำหรับบทสรุปผลงานของทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยในมหกรรมกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 16 โตเกียว 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 24 สิงหาคม - 5 กันยายน 2564 ทัพฮีโร่ของคนไทยสามารถทำผลงานคว้าเหรียญรางวัลมาได้ 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 8 เหรียญทองแดง จบอันดับที่ 25 ในตารางสรุปเหรียญรางวัล และเป็นอันดับที่ 6 หากนับเฉพาะประเทศในทวีปเอเชีย และยังคงเป็นอันดับที่ 1 ของชาติในโซนอาเซียนเป็นพาราลิมปิกเกมส์สมัยที่ 7 ติดต่อกัน
#3677


นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการศึกษาโอกาสทางเศรษฐกิจไทยในมณฑลไห่หนาน ตามนโยบาย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการหาโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการไทย เพื่อต่อยอดการค้าที่ต่อเนื่องมาจากการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้าไทย-ไห่หนาน ซึ่งถือเป็น Mini-FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับมณฑลในประเทศจีน เมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งใน 14 นโยบายสำคัญที่ให้ไว้กับกระทรวงพาณิชย์ โดยพบว่า ไห่หนาน เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ที่มีโอกาสในธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย เพราะรัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบาย Hainan Free Trade Port เพื่อมุ่งเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูง และอุตสาหกรรมบริการสมัยใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางการแพทย์และยา (Health & Medical) และเมืองโป๋อ๋าว (Boao) เป็นเขตนำร่องการท่องเที่ยวทางการแพทย์นานาชาติ "ไห่หนานโป๋อ๋าวเล่อเฉิง" (Hainan Boao Lecheng International Medical Toursim Pilot Zone) เน้นความล้ำสมัยทางการแพทย์ในระดับนานาชาติ ทั้งด้านเทคโนโลยี อุปกรณ์การแพทย์ และเวชภัณฑ์ และยกให้เป็นเมืองแห่งการประชุมและศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ จึงทำให้เกิดการพัฒนาสิ่งก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ

ทั้งนี้ เมืองโป๋อ๋าวอยู่ในระยะเริ่มต้น จึงยังคงขาดแคลนทั้งจำนวนของสถานพยาบาลระดับสูง อุปกรณ์การแพทย์ เทคโนโลยี รวมถึงประสบการณ์ในการบริหารจัดการ ทำให้หน่วยงานสถานพยาบาลในไห่หนานจำเป็นต้องหาความร่วมมือจากรอบด้าน โดยจีนได้ประกาศให้สถาบันทางการแพทย์จำกัดการลงทุนให้อยู่เพียงรูปแบบการร่วมหุ้นหรือความร่วมมือเท่านั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับไทยที่จะเข้าไปร่วมมือ โดยไทยมีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานกว่า 64 แห่งทั่วประเทศ ที่เพียบพร้อมด้วยประสบการณ์และการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนับได้ว่าเป็นโอกาสที่จะทำข้อตกลงความร่วมมือในการลงทุนในพื้นที่ไห่หนาน

นอกจากนี้ ยังพบว่าไทยมีโอกาสในธุรกิจภาคบริการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยสามารถขยายตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) รวมถึงสินค้าและบริการด้านสุขภาพ ผ่านความร่วมมือเชิงการแพทย์ และความร่วมมือด้านทัวร์เรือสำราญ โดยครอบคลุมธุรกิจ เช่น การรักษาพยาบาล ศัลยกรรมความงาม อาหารเพื่อสุขภาพ ร้านอาหาร สปา ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ได้แก่ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ SME ไทยมีศักยภาพและชาวจีนนิยมเลือกไทย

ขณะเดียวกัน มีโอกาสที่จะพัฒนาความร่วมมือและส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น ขยายความร่วมมือและพัฒนาเส้นทางเดินเรือยอชต์ เรือสำราญ ขยายท่าเรือน้ำลึกให้สามารถรองรับเรือสำราญให้มากขึ้นตามนโยบายผลักดันให้ จ.ภูเก็ต เป็นมารีนาฮับ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุน และมีโอกาสสร้างการจ้างงานสำหรับคนไทยที่ต้องการไปทำงานภาคบริการในจีน โดยมณฑลไห่หนานได้ประกาศรับสมัครผู้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบริการยุคใหม่ การท่องเที่ยว และเทคโนโลยีขั้นสูงจากทั่วโลก ซึ่งหน่วยงานภาครัฐควรเร่งให้ความรู้แก่แรงงานศักยภาพไทย เช่น กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ขั้นตอนการสมัคร การเดินทางไปทำงาน รวมถึงสิทธิและสวัสดิการแรงงาน

"ไห่หนานกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งมณฑลที่น่าสนใจลงทุนสำหรับธุรกิจจากไทย ทั้งในแง่การนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านค้าปลอดภาษี การร่วมลงทุน การเป็นพันธมิตรในธุรกิจการท่องเที่ยว และการร่วมลงทุนหรือเป็นพันธมิตรในเขตการดูแลสุขภาพพิเศษ (Special Health Care Zone) ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์การพัฒนาท่าเรือการค้าเสรีไห่หนานอย่างใกล้ชิด" นายภูสิตกล่าว

แม้ว่าเกาะไห่หนานยังคงมีขนาดเศรษฐกิจค่อนข้างเล็กเป็นอันดับ 28 จากทั้งหมด 31 เขตการปกครองของจีน แต่ในช่วงระยะเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2553-2562) พบว่าไห่หนานมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 11.06 ต่อปี โดยเฉพาะการค้าปลีกปลอดภาษีเติบโตสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดที่คนจีนออกนอกประเทศไม่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกงแล้ว พบว่าฮ่องกงมีจุดแข็งกว่าเกาะไห่หนานในหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมทั้งท่าเรือและสนามบิน ความหลากหลายทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจการค้ากับประเทศคู่ค้าใหญ่ๆ และเป็นแหล่งส่งออกสินค้าและบริการทางการเงินที่สำคัญ ซึ่งการผลักดันมณฑลไห่หนานให้ขึ้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญในจีนเทียบเท่าฮ่องกงนั้นยังคงต้องอาศัยระยะเวลาของการพัฒนา

ปัจจุบันไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ไทย และออสเตรเลีย ตามลำดับ โดยไทยมีข้อได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลาย บุคลากรมีความรู้ มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ มีความคุ้มค่าคุ้มราคา เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง มีศิลปวัฒนธรรมประเพณี และการผสมผสานศาสตร์ในการดูแลสุขภาพเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย เช่น การนวดของไทย สปาสมุนไพร ฤาษีดัดตน อาหารเพื่อสุขภาพ และบริการทางการแพทย์
#3678
กิน สุขภาพโภชนาการสูงปลอดสารพิษ แท้ 100%
ข้าวดีปลอดสารแท้ 100%ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวออแกนิคสำหรับทารกส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวสุขภาพมะลินิล คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




ข้าวหอมมะลิออแกนิกข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลออร์แกนิคเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวหอมมะลิแดงสุขภาพ เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์ 
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมีจังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่เพื่อสุขภาพ 


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#3679
 กินปลอดสาร โภชนาการสูง ข้าวแท้ 100% ของดีเมืองช้างสุรินทร์
ข้าวอินทรีย์เมืองสุรินทร์ข้าวหอมมะลิปลอดสาร   ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ข้าวมะลินิลออแกนิก คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารกข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิorganic คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคคือเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก ข้าวหอมมะลิแดงออร์แกนิค เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22cs9b8acu9b9a7a3hub5cc1c.life/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  กลุ่มข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
3. ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์สุรินทร์7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่organic


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#3680


ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนสินเชื่อปลูกกัญชา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และการศึกษาวิจัยพัฒนา ผ่านสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี หรือล้านละร้อย หรือสินเชื่อที่เหมาะสมกับธุรกิจ โดยผู้กู้ต้องจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตรที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีการจัดทำ MOU ในการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลระหว่างผู้ขอกู้กับหน่วยงานของรัฐหรือสถาบันอุดมศึกษา และได้รับใบอนุญาตให้ผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา จาก อย. สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจในการปลูกพืชกัญชา เพื่อนำไปศึกษาวิจัยและพัฒนาสำหรับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์หรือเภสัชกรรมเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 มีผลบังคับให้สามารถนำกัญชาไปใช้ในกรณีจำเป็น เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย รวมถึง การเกษตรกรรม พาณิชยกรรม วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม ภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลของหน่วยงานของรัฐ ในการนี้ เพื่อรองรับความต้องการเพาะปลูกกัญชาที่เพิ่มขึ้น ธ.ก.ส. จึงได้มีแนวทางสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการปลูกกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การศึกษาวิจัยพัฒนา และสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรและชุมชน อย่างไรก็ตาม การผลิตกัญชาซึ่งเป็นพืชที่มีความเสี่ยงสูงและถือเป็นยาเสพติดให้โทษ จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลและดำเนินการภายใต้กฎหมาย ข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องมีการบริหารจัดการทั้งด้านการผลิต การเก็บรักษา และการตลาดเป็นการเฉพาะ



สำหรับคุณสมบัติของผู้ขอกู้ ต้องเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตรที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ในการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลระหว่างผู้ขอกู้กับหน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษา ที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัยหรือจัดการเรียนการสอนหรือมีหน้าที่ให้บริการทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเกษตรศาสตร์ หรือมีหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด และต้องได้รับใบอนุญาตให้ผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)