ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN

กล่องเครื่องมือ ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานเครื่องมือช่าง
กล่องเครื่องมือ (Tool Boxes) เป็นอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บเครื่องมือช่างต่างๆ ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและง่ายต่อการหยิบใช้งาน เพราะส่วนใหญ่แล้วกล่องเครื่องมือมักจะถูกออกแบบให้มีทั้งการแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ หรือแบ่งเป็นชั้นๆ เพื่อช่วยให้คุณสามารถมองหาเครื่องมือที่ต้องการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณสามารถเลือกใส่เฉพาะเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงานนั้นๆ หรือถ้าหากกล่องเครื่องมือของคุณมีขนาดที่ใหญ่พอ คุณก็สามารถที่จะใส่เครื่องมือช่างที่มีอยู่ไปทั้งหมดเลยก็ได้ โดยเฉพาะตามอาคารบ้านเรือนทั่วไปที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีงานช่างอะไรมากมายให้ซ่อมแซม แต่ก็ควรที่จะมีกล่องเครื่องมือช่าง และอุปกรณ์เครื่องมือช่างพื้นฐาน เช่น ประแจ ไขควง คัตเตอร์ คีม และอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ อย่างน็อต หรือสกรู รวมถึงเครื่องมือไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น เครื่องพ่นสีไฟฟ้า สว่านไฟฟ้า หรือเครื่องเชื่อมไฟฟ้าติดบ้านไว้สำหรับใช้งานเบื้องต้น

วิธีการเลือกซื้อกล่องเครื่องมือช่างให้เหมาะสมกับการใช้งาน
กล่องเครื่องมือก็มีให้เลือกใช้งานอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือกล่องเครื่องมือช่างพลาสติก และกล่องเครื่องมือช่างเหล็ก ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ก็จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่ากล่องเครื่องมือช่างพลาสติกคงมีความแข็งแรง และคงทนคงสู้กล่องเครื่องมือช่างเหล็กไม่ได้ แต่มันจะมีน้ำหนักเบากว่า และมีช่องต่างๆ แบ่งมาให้ค่อนข้างเยอะ ส่วนกล่องเครื่องมือช่างเหล็กจะได้เปรียบในเรื่องของอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า แต่ก็จะต้องแลกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และยังมีในเรื่องขนาดของกล่องเครื่องมือช่างที่ขึ้นอยู่กับเครื่องมือของคุณว่ามีมากน้อยแค่ไหน รวมถึงขนาดของเครื่องมือที่จะนำมาใส่ด้วย นอกจากนี้คุณยังต้องพิจารณาถึงรูปแบบของกล่องเครื่องมือช่างด้วย เพราะแต่ละแบบนั้นก็จะมีการออกแบบภายในที่ไม่เหมือนกัน เช่น กล่องเครื่องมือช่างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า จะมีความลึกพอให้สามารถใส่เครื่องมือไฟฟ้าขนาดเล็กได้ และอาจจะมาพร้อมถาดสำหรับวางเครื่องมือเล็กๆ และยังมีกล่องเครื่องมือช่างแบ่งชั้น โดยภายในมีการแบ่งเป็นชั้นไว้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับใส่เครื่องมือทั่วไป และแบบสุดท้ายเป็นกล่องเครื่องมือช่างที่สามารถปรับเปลี่ยนขนาดของช่องต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม เหมาะสำหรับใส่เครื่องมือไฟฟ้า

ลูกกลิ้งทาสี ทาสีบ้านได้อย่างเรียบเนียนโดยไม่ต้องง้อช่าง
สำหรับท่านใดที่มองว่าการทาสีบ้านด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ยาก จึงจำเป็นต้องให้ช่างทาสีมาทำงานนี้โดยเฉพาะ ต้องบอกเลยว่าการทาสีบ้านเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่คิด ดังนั้นหากใครที่อยากลองเริ่มทาสีผนังห้องด้วยตัวเอง คุณควรจะต้องหาซื้ออุปกรณ์ทาสีที่จะช่วยทำให้การทาสีผนังห้องง่ายขึ้น นั่นก็คือ "ลูกกลิ้งทาสี  (Paint Roller)" นั่นเอง โดยลูกกลิ้งทาสีเป็นอุปกรณ์ทาสีอีกประเภทหนึ่งที่ใช้สำหรับทาสีบนผนังบ้านที่มีลักษณะเป็นพื้นผิวที่เรียบ รวมถึงใช้สำหรับการทาสีในพื้นที่ที่มีความกว้างขวาง ไม่เหมาะกับการทาสีในพื้นที่แคบ หรือตามซอกมุมต่างๆ แต่หากต้องการที่จะทาสีในพื้นที่เหล่านั้น ก็แนะนำให้ใช้งานแปรงทาสีแทน ซึ่งลูกกลิ้งทาสีจะช่วยคุณผ่อนเเรงในการทาสีผนังผืนใหญ่ๆ ให้เสร็จไวขึ้น อีกทั้งยังมีการใช้งานที่ง่าย และสะดวกอย่างมาก สามารถต่อด้ามสำหรับอำนวยความสะดวกในการทาสีในพื้นที่สูงๆ ได้ นอกจากนั้นยังช่วยให้คุณไม่ต้องพบเจอกับปัญหาสีฟุ้งกระจายในอากาศเหมือนกับการใช้งานเครื่องพ่นสีอีกด้วย โดยลูกกลิ้งทาสีก็มีให้เลือกใช้งานด้วยกันหลากหลายประเภท แบ่งตามวัสดุที่นำมาผลิต อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้งานได้ทั้งกับสีน้ำ หรือสีที่มีน้ำผสมอยู่ด้วย

ประเภทของลูกกลิ้งทาสี และวิธีการดูแลรักษา
ลูกกลิ้งทาสี ขนเเกะ หรือลูกกลิ้งขนยาว เป็นประเภทที่มักพบเห็นกันได้บ่อย นิยมเอามาใช้กลิ้งสีจำพวกสีน้ำ และสีทาอาคาร เนื่องจากในการจุ่มสี 1 ครั้งนั้นจะสามารถอุ้มสีได้เป็นจำนวนมาก ทำให้การกลิ้งบนพื้นผิวที่ต้องการนั้นก็จะได้พื้นที่ที่มากตามไปด้วย อีกทั้งยังสามารถทาเข้าไปรูช่องว่างต่างๆ ของผนังปูนได้เป็นอย่างดี

ลูกกลิ้งขนเกลี้ยง หรือลูกกลิ้งขนสั้น จะมีขนที่สั้นมาก นิยมใช้กลิ้งสีจำพวกสีน้ำมัน หรือสีอุตสาหกรรมต่างๆ เนื่องจากขนที่เล็กจะทำให้ได้ฟิล์มสีที่เรียบสวยงาม แถมเวลากลิ้งสีที่มีความหนืดขนจะไม่หลุดไปตามฟิล์มสี ทำให้ฟิล์มสีที่สวยงาม

ซึ่งก่อนใช้งานลูกกลิ้งทาสี ให้นำลูกกลิ้งไปล้างน้ำเพื่อนำเอาฝุ่นต่างๆ ออกก่อนเพื่อให้สีจับตัวกันได้ดี และเมื่อใช้งานเสร็จแล้วให้ปาดลูกกลิ้งทาสีกับหนังสือพิมพ์ หรือกระดาษที่ไม่ใช้แล้วเพื่อกำจัดสีบางส่วนออก จากนั้นให้จุ่มลูกกลิ้งทาสีลงไปในถังน้ำอุ่นเพื่อคลายโมเลกุลสีออกบางส่วน แล้วค่อยนำไปล้างออกโดยใช้น้ำยาล้างที่เหมาะกับประเภทสีที่ใช้ เมื่อล้างเสร็จแล้วก็นำไปแขวนตากลมให้แห้ง แล้วจัดเก็บในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก และพ้นจากแสงแดด

ฝาท่อน้ำทิ้ง (Floor Drains)
ฝาท่อน้ำทิ้ง อุปกรณ์ชิ้นสำคัญขั้นแรกในการกรองสิ่งสกปรกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเส้นผม, คราบตะกอนจากแชมพูและยาสระผม, ฝุ่นละอองต่างๆ, สติ๊กเกอร์ หรือฉลากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำ, ฝาขวด และสิ่งต่างๆ ที่อาจเล็ดลอดลงไปทำให้ท่ออุดตัน และส่งผลให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งตะแกรงท่อน้ำทิ้งส่วนใหญ่มักถูกออกแบบมาให้สามารถถอดล้าง ทำความสะอาดได้ง่าย เพื่อป้องกันการหมักหมมของสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างภายในท่อได้ จนเป็นเหตุทำให้น้ำไหลลงช้าและส่งกลิ่นเหม็น เพราะถ้าหากถอดล้างทำความสะอาดยาก บางคนอาจจะรำคาญจนถอดตะแกรงท่อน้ำทิ้งทิ้งไปเลยก็เป็นได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ทำให้สิ่งสกปรกตกลงไปอุดตันในท่อน้ำทิ้งได้ง่าย และทำให้แก้ไขปัญหานี้ได้ยากในอนาคต

ฝาท่อน้ำทิ้งใช้งานได้หลากหลายกว่าที่คุณคิด
เมื่อพูดถึงฝาท่อน้ำทิ้ง หลายคนอาจจะนึกถึงแค่ฝาท่อน้ำทิ้ง ภายในพื้นห้องน้ำหรือพื้นที่บริเวณซักล้าง แต่จริงๆแล้ว ตามท้องตลาดก็ได้วางขายตะแกรงท่อน้ำทิ้งหลากหลายรูปแบบและหลายขนาดที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับรูระบายน้ำที่อื่น อย่างอ่างล้างจาน หรืออ่างล้างหน้าก็ได้เช่นกัน ส่วนมากจะถูกผลิตออกมาเป็นรูปวงกลมและสี่เหลี่ยมจัตุรัส รวมถึงลวดลายบนตะแกรงที่จะแตกต่างกันออกไป ที่นิยมใช้งานกันก็จะเป็น ตะแกรงรังผึ้ง เพื่อให้ครอบคลุมทุกการใช้งานและความสวยงามที่เหมาะสมกับห้องน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้วขนาดของฝาท่อน้ำทิ้ง ก็จะมีขนาดมากมายให้เลือกซื้อ เช่น 2 นิ้ว, 3.5 นิ้ว, 4 นิ้วขึ้นไปจนถึง 8 นิ้ว ซึ่งจะต้องเลือกซื้อตะแกรงท่อน้ำทิ้งตามขนาดของท่อน้ำทิ้งภายในห้องน้ำ รวมถึงมีวัสดุให้เลือกซื้ออย่างหลากหลายตามวัตถุประสงค์และการใช้งาน เช่น

-ตะแกรงท่อน้ำทิ้งสเตนเลส ที่ส่วนใหญ่มักใช้สเตนเลสคุณภาพดี อย่างสเตนเลสเกรด 304 เหมาะกับการใช้ในพื้นห้องน้ำ เนื่องจากมีความทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมี และไม่ก่อให้เกิดสนิม เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ

-ตะแกรงท่อน้ำทิ้งซิลิโคน เหมาะสำหรับใช้งานกับอ่างล้านจาน มีความทนทานต่อสารด่างเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี อาทิ น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาล้างพื้น สบู่ แชมพู เป็นต้น

-ตะแกรงท่อน้ำทิ้งพลาสติก ที่ผลิตจากพลาสติกคุณภาพ ทนทานต่อสารด่างเบื้องต้น อย่างน้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาล้างพื้น สบู่ แชมพู ได้เช่นกัน

ทั้งยังมีฝาปิดท่อ ที่สามารถนำเอามาใช้งานเพื่อขังน้ำสำหรับการทำความสะอาด รวมถึงป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน และกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อตะแกรงท่อน้ำทิ้งประเภทใด สิ่งที่คำคัญที่สุดคือเรื่องของการทำความสะอาด ควรหมั่นทำความสะอาดตะแกรงท่อน้ำทิ้งอยู่เป็นประจำ เพื่อสุขอนามัยที่ดีของคุณและพื้นที่บริเวณนั้น

ก๊อกน้ำสนาม ก๊อกบอลสนาม อุปกรณ์ช่วยสารพัดประโยชน์ที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้
ทุกการทำกิจกรรมนอกบ้าน หรืองานบ้านที่ต้องทำนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ซักผ้า ล้างพื้นที่บริเวณลานหน้าบ้าน หรือ ใช้ในกรณีอื่นๆ สุดแต่จะนึกออก.. ซึ่งอุปกรณ์ที่เป็นตัวช่วยเราอย่างแรกๆ คงหนีไปไม่พ้นกับ ก๊อกน้ำสนาม หรือที่มักจะเรียกกันอีกชื่อว่า ก๊อกบอล เป็นก๊อกที่ใช้สำหรับติดตั้งภายนอกอาคารทำให้ถูกออกแบบมาทนกับทุกสภาพอากาศและมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับก๊อกภายในตัวบ้านหากเรานำมาติดตั้งไว้ภายนอก

ก๊อกบอลหรือก๊อกน้ำสนามส่วนใหญ่แล้วนั้นจะผลิตมาจากทองเหลือง หรือ อลูมิเนียม เพราะว่าจะทำให้ก๊อกน้ำของเรานั้นมีความทนทานที่สูง แตกหักได้ยากมาก และไม่เป็นสนิม และมักจะนำไปชุบกับสีโครเมี่ยมนิกเกิลเพื่อเพิ่มความสวยงามรวมถึงช่วยให้ไม่เกิดคราบดำเวลามีการใช้งานไปเป็นระยะเวลานานๆ  หากคุณกำลังมองหาก๊อกน้ำภายในบ้าน หรือ ก๊อกน้ำนอกบ้าน ก็สามารถลองเลือกซื้อดูได้ที่โฮมโปรทุกสาขา หรือ จะสามารถสั่งซื้อผ่านทางโฮมโปรออนไลน์ การเลือกใช้งานก๊อกสนามนี้อยู่กับวัสดุและการออกแบบของก๊อกเพราะไม่ว่าจะเป็นก๊อกแบบทองเหลือหรือแสตนเลสอายุการใช้งานก็ไม่ต่างกัน
ข้อควรระวังในการใช้งานก๊อกสนามที่พบเจอบ่อยๆ
ทั้งนี้การใช้งานก๊อกสนามไม่ควรจะติดตั้งไว้กับบริเวณที่มีการเคลื่อนย้ายของบ่อยนักเพราะจะทำให้ก๊อกน้ำสนามของเรานั้นโดนกระแทกอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับทั้งตัวก๊อกเอง และ ตัวท่อน้ำภายในเป็นต้น หากต้องการทำความสะอาดหลังจากการใช้งานไม่ควรใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของสารกัดกร่อนในการเช็ดทำความสะอาดเพราะว่าจะทำให้สารที่เคลือบไว้ในตัวก๊อกน้ำของเราหายไปทำให้อายุการใช้งานสั้นลง

ไม่ควรใช้แปรงขนที่มีลักษณะแข็งในการทำความสะอาดด้วยเพราะจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนได้ หากต้องการจะถอดก๊อกสนามหรือติดตั้งก๊อกสนามใหม่ควรใช้อุปกรณ์เฉพาะทางอย่างประแจ หรือ ประแจเลื่อน เพื่อป้องกันรอยจากการขันบ่อยก๊อกเข้ากับตัวข้อต่อ

กระดาษลูกฟูก (Corrugated Papers)
กระดาษลูกฟูก คือ นับได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบที่ยอดเยี่ยม โดยกระดาษลูกฟูกเป็นกระดาษที่มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษแปะหน้าไว้ 2 ฝั่ง มีลอนกระดาษอยู่ตรงกลาง นิยมหยิบมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ สาเหตุที่กระดาษลูกฟูกได้รับความนิยม ก็เพราะความทนทาน และสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และทันสมัย กระดาษลูกฟูกถูกออกแบบให้สามารถนำมาเรียงซ้อนกันได้ เนื่องจากมันสามารถทนต่อแรงกดได้ทั้งด้านบน และด้านข้าง รวมถึงมีการทดสอบความสามารถในการทนต่อแรงดันทะลุอีกด้วย กระดาษลูกฟูกสามารถปรับเปลี่ยนให้ตรงกับความต้องการได้หลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังสามารถใช้ปกป้องสินค้า และสามารถพิมพ์ลวดลายเพื่อให้ข้อมูลในการส่งเสริมการขาย และทำให้เกิดความสวยงามได้เป็นอย่างดี กระดาษลูกฟูกส่วนใหญ่จะทำจากวัสดุรีไซเคิล และมักจะผลิตจากเศษของที่ใช้แล้วจากมนุษย์ โดยกระบวนการผลิตกระดาษลูกฟูกจะไม่มีการใช้วัสดุที่เป็นพิษ หรือทำลายชั้นโอโซน ปัจจุบันมีการพัฒนาความสามารถของกระดาษลูกฟูกอยู่ตลอดเวลา เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติ และความสามารถของกระดาษลูกฟูก เช่น ความแข็งแรง, ความสามารถในการพิมพ์, ความทนทานต่อความชื้น และการนำไปรีไซเคิลได้ เป็นต้น

ปัจจัยที่ต้องคำนึงในการเลือกกระดาษลูกฟูก
-ความสูงของลอนลูกฟูก โดยทั่วไปแล้ว ลอนลูกฟูกที่มีขนาดใหญ่กว่าจะมีความแข็งแรงสูงกว่า และสามารถรองรับแรงกระแทกได้มากกว่า ในขณะที่ลอนลูกฟูกขนาดเล็กกว่าจะพับขึ้นรูปได้ง่ายกว่า ได้มุมที่มีความเฉียบคมกว่า และให้งานพิมพ์บนกล่องที่มีความสวยงามมากกว่า แผ่นกระดาษลูกฟูกหนึ่งแผ่น อาจประกอบด้วยลอนลูกฟูกหลายขนาดผสมกัน เพื่อให้ได้งานพิมพ์ที่สวยงาม ประกอบกับมีความแข็งแรงที่สูงขึ้น ทั้งการรับแรงกด แรงกระแทกต่างๆ และขนาดความหนาของแผ่นกระดาษลูกฟูก ตัวอย่างเช่น แผ่นกระดาษลูกฟูก 2 ชั้น ลอน CE จะมีความแข็งแรงเนื่อจากลอน C ในขณะที่ลอน E ทำให้กระดาษมีพื้นผิวที่เรียบตึง เมื่อนำไปพิมพ์จะได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพสูง

-ความหนาหรือชั้นของกระดาษ โครงสร้างของกล่องกระดาษลูกฟูกโดยทั่วไป ประกอบด้วย ลอนกระดาษลูกฟูก 1 ชั้น พร้อมกระดาษปะหน้าทำผิวกล่องด้านใน และด้านนอก อีก 2 ชั้น รวมเป็นกระดาษลูกฟูก 3 ชั้น โดยสำหรับกล่องที่ต้องการบรรจุสินค้าที่มีน้ำหนักมาก หรือต้องการความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์เป็นพิเศษ ก็สามารถเลือกใช้ กระดาษลูกฟูก 5 ชั้น หรือมากกว่านั้นก็ได้

เลือกใช้สายไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน เลือกง่ายๆที่โฮมโปร
หากคุณเป็นมือใหม่ในเรื่องของการใช้งานสายไฟฟ้า ทางเรามีเกร็ดความรู้เล็กน้อยให้คุณได้รู้ก่อนใช้สายไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งานภายในบ้านคุณ สายไฟนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สายไฟแรงดันสูง และ สายไฟแรงดันต่ำ สำหรับสายไฟแรงดันต่ำ นั้นจะมีหลายขนาดมากตั้งแต่เล็กๆ ไปจนถึงใหญ่ สามารถทนแรงไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 750 โวลต์ และต่ำสุด 300 โวลต์ สายไฟประเภทนี้มีลักษณะเป็นสายหุ้มฉนวน สายข้างในทำด้วยทองแดง หรือบางสายอาจจะมีอลูมีเนียม โดยทั่วไปส่วนมากแล้วจะเป็นสายทองแดงขนาดเล็กตัวนำตัวเดียว
แต่หากเป็นสายไฟฟ้าขนาดใหญ่เป็นตัวนำตีเกลียว วัสดุฉนวนที่ใช้กับสายแรงดันต่ำ คือ Polyvinyl Chloride (PVC) และ Cross –Linked Polyethylene (XLPE) อย่างสายประเภท สายไฟ THW,VAF, VAF-GRD,NYY,NYY-GRD,0.6/1KV-CV,VCT,VCT-GRD,VSF,AV,VFF,VKF
ประเภทของสายไฟฟ้าในบ้านแบบไหนบ้างที่ควรรู้จัก?

สายไฟฟ้าแบบไอวี IV

เป็นสายไฟฟ้าแบบแกนเดี่ยวทนไฟได้ 300 โวลต์ โดยส่วนมากใช้เป็นสายสำหรับเดินเข้าที่พักอาศัยที่ใช้กับระบบไฟฟ้า 1 เฟส และไม่ควรหรือห้ามนำไปใช้กับระบบไฟฟ้า 3 เฟส ที่มีแรงดัน 380 โวลต์ ควรเดินสายในช่องเดินสาย หรือสถานที่แห้ง และห้ามต่อท่อฝังดิน หรือฝังดินโดยตรงเพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

สายไฟฟ้าแบบวีเอเอฟ VAF

เป็นสายไฟฟ้าที่นิยมใช้กันมากในประเทศไทย สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 300 โวลต์ มีให้เลือกทั้งสายไฟเดี่ยวและสายไฟแบบคู่ ที่ใช้กับระบบ 1 เฟส และไม่ควรหรือห้ามนำไปใช้กับระบบไฟฟ้า 3 เฟส ที่มีแรงดัน 380 โวลต์ ควรเดินสายในช่องเดินสาย หรือสถานที่แห้ง และห้ามต่อท่อฝังดิน หรือฝังดินโดยตรงเพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

สายทีเอสดับเบิลยู หรือ สายไฟ THW

เป็นสายไฟฟ้าที่สามารถทนแรงดันไฟได้ถึง 750 โวลต์ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการอุสาหกรรมเนื่องจากวงการนี้มีการติดตั้งไฟฟ้าแบบ 3 เฟส เป็นปกติ แกนของสายไฟ THWจะทำมาจากทองแดงที่ทำมารวมกันหลายๆ สาย ทำให้เส้นของสายไฟดูมีขนาดหนาและใหญ่ การใช้งานควรเดินสายไฟ THWในช่องเดินสาย หรือฝั่งในท่อดิน ที่มีการป้องกันน้ำรั่วซึมเอาไว้ แต่ห้ามฝังดินโดยตรง เนื่องจากจะเกิดอันตรายได้

สายไฟฟ้าเอ็มวายวาย NYY

เป็นสายไฟฟ้าชนิดกลม ที่สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 750 โวลต์ นิยมใช้กันเป็นวงกว้างเนื่องจากมีความทนต่อสภาพแวดล้อมบางคนเรียกว่าสายฉนวนสามชั้น

กระเบื้องพื้น (Flooring Tile)
กระเบื้องห้องน้ำ เป็นวัสดุยอดนิยมที่นำมาใช้ในการตกแต่งห้องน้ำ กระเบื้องพื้นเป็นตัวช่วยเพิ่มความสวยงามและโดดเด่นให้กับบ้านของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่การที่เราจะเลือกกระเบื้องปูพื้นไว้ใช้งานภายในบ้านจะต้องคำนึงถึงเรื่องของความปลอดภัยควบคู่กับความสวยงาม ดังนั้นก่อนตั้งสินใจเลือกกระเบื้องพื้นมาตกแต่งบ้าน จะต้องพิจารณาถึงเรื่องของลักษณะการใช้งาน ความต้องการ และความชื่นชอบของผู้อยู่อาศัยเป็นองค์ประกอบหลัก เพื่อสร้างบ้านที่สวยงามตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
โดยสิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกของกระเบื้องพื้นคือ การเลือกกระเบื้องพื้นให้เหมาะสมกับสถานที่ที่นำไปใช้งาน เพราะในแต่ละห้องภายในบ้าน จะมีการเลือกใช้กระเบื้องที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น พื้นที่ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ที่มีคนใช้งานมากที่สุด ควรเลือกกระเบื้องพื้นที่มีพื้นผิวมันวาวสวยงาม และทำความสะอาดง่ายไม่เก็บฝุ่นมาใช้งานจึงจะเหมาะสม แต่หากต้องการเลือกกระเบื้องพื้นสำหรับห้องน้ำ ที่เป็นพื้นที่ที่โดนน้ำอยู่ตลอด ควรเลือกกระเบื้องห้องน้ำ ซึ่งกระเบื้องพื้นที่มีผิวหยาบ ป้องกันการลื่นได้ดี โดยความหนืดของกระเบื้องเราสามารถพิจารณาได้จากค่า R หรือ ค่าต้านทานความลื่น นั่นเอง โดยกระเบื้องพื้นมีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น กระเบื้องแกรนิตโต้ ที่เป็นกระเบื้องเซรามิกเนื้อพอร์ซเลน ซึ่งผ่านขั้นตอนการเผาที่อุณหภูมิสูง จึงมีความแข็งแกร่ง ทนทาน และมีค่าการดูดซึมน้ำต่ำ ซึ่งจะมีลวดลายหลากหลายตามแต่ละผู้ผลิต โดยพื้นผิวมีทั้งผิวด้าน กึ่งเงา และมันเงา
ค่าความต้านทานความลื่น R
การจะเลือกกระเบื้องพื้นมาใช้งานไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกบ้าน จะต้องพิจารณาค่าความต้านทานความลื่นประกอบด้วย โดยระดับของค่า R จะมีค่าตั้งแต่ระดับ R9-R13 ยิ่งมีค่าสูงแสดงว่ากระเบื้องนั้นมีผิวที่หนืดและหยาบคล้ายกับกระดาษทราย ซึ่งคุณสามารถทดสอบด้วยการสัมผัสที่ผิวกระเบื้อง โดยเฉพาะกระเบื้องห้องน้ำ หรือบริเวณที่ต้องเปียกน้ำ จะต้องใช้กระเบื้องที่มีค่า R สูงเพื่อป้องกันการลื่นและการเกิดอุบัติเหตุ โดยการเลือกระดับค่า R ของกระเบื้องปูพื้นให้เหมาะสมกับการใช้งาน จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
R9 เป็นค่าตัวเลขต่ำสุดสำหรับการเลือกกระเบื้อง ที่มีความหนืดในการปูพื้นที่ 3-10 องศา สำหรับใช้ในพื้นที่สาธารณะโซนพื้นที่แห้ง เช่น ทางเข้า ทางเดิน บันได ห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขกโถงทางเดิน
R10 เป็นค่าสำหรับการเลือกใช้กระเบื้องในบริเวณที่ต้องเปียกน้ำ ในระดับความหนืดของพื้นที่ที่ 10-19 องศา เช่น ภายในห้องน้ำ โรงรถ ที่จอดรถ เป็นต้น
R11 เป็นค่าที่ระบุสำหรับความหนืดในระดับ 19-27 องศา เพื่อเลือกพื้นผิวสำหรับปูภายนอก เช่นบริเวณทางเข้า บันไดนอกตัวอาคาร ที่จอดรถนอกอาคาร เป็นต้น
R12 เป็นค่าความหนืดที่ 27-35 องศา และค่า R13 เป็นค่าความหนืดมากกว่า 35 องศา สำหรับเป็นเกณฑ์ในการนำมาใช้งานภายนอกที่มีความลาดชันมาก เช่น พื้นที่ลาดชันสูง พื้นที่ที่มีคราบไขมันและความมัน
ขนาดของกระเบื้องพื้น
ขนาดของกระเบื้อง เป็นอีกปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกกระเบื้องปูพื้นด้วยเช่นกัน โดยตามร้านค้าที่จัดจำหน่ายกระเบื้องทั่วไป จะมีกระเบื้องให้เลือกซื้ออยู่ค่อนข้างหลากหลายขนาด ซึ่งการเลือกกระเบื้องพื้นขนาดเล็กหรือใหญ่มาใช้งาน ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่จะนำไปติดตั้ง เช่น ห้องน้ำขนาดเล็ก ควรเลือกกระเบื้องห้องน้ำขนาดเล็กประมาณ 20x20 หรือ 30x30 ไว้ใช้งานจึงจะเหมาะสม เนื่องจากห้องที่มีขนาดเล็ก เมื่อนำกระเบื้องห้องน้ำ ขนาดเล็กมาติดตั้งจะช่วยทำให้ห้องดูกว้างขวางมากขึ้น
แต่สำหรับห้องที่มีพื้นที่กว้าง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือห้องรับแขก ควรเลือกกระเบื้องขนาดใหญ่มาใช้งาน เช่น กระเบื้องขนาด 40x40, 50x50 หรือ 60x60 จะมีความเหมาะสมมากกว่า และสามารถช่วยลดรอยต่อของกระเบื้องให้น้อยลง ทำให้พื้นห้องดูแนบเนียนสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Automatic Toilets)
สุขภัณฑ์อัตโนมัติ หรือ ชักโครกอัตโนมัติ เป็นโถสุขภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ระบบการทำงานเป็นระบบไฟฟ้าที่สามารถปรับการใช้งานได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการชำระล้าง ทั้งถ่ายหนักและเบา ที่คุณสามารถปรับทิศทางของน้ำได้ตามสะดวก ระบบชำระล้างนี้จะเหมือนกับสายฉีดชำระที่ใช้งานทั่วไป นอกจากนี้ยังมีระบบเป่าลมหลังจากชะล้างเพื่อลดความอับชื้นได้อีกด้วย รวมถึงระบบอุ่นฝารองชักโครก ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายเมื่อนั่งสัมผัสลงบนฝารองนั่งชักโครก เรียกได้ว่าสุขภัณฑ์อัตโนมัติ หรือ ส้วมไฟฟ้า จะเข้ามาช่วยอัพเกรดความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้อย่างดีเยี่ยม
โดยชักโครกอัตโนมัติ ที่มีวางจำหน่ายปัจจุบันก็มีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ สุขภัณฑ์อัตโนมัติที่มีระบบในตัวเอง ทุกอย่างพร้อมติดตั้งใช้งาน เหมาะสำหรับบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่หรือคนที่คิดจะเปลี่ยนชักโครกที่บ้าน สามารถนำชักโครกอัตโนมัติไปติดตั้งใช้งานได้เลยทันที แต่หากคุณไม่ได้มีแผนที่จะเปลี่ยนชักโครกที่บ้าน ก็สามารถเลือกเป็นฝารองนั่งชักโครกอัตโนมัติมาติดตั้งทดแทนได้แช่นกัน ลักษณะการใช้งานก็จะมีความคล้ายกับชักโครกอัตโนมัติ แต่ต่างกันตรงที่การติดตั้ง สำหรับฝารองนั่งอัตโนมัติทำเพียงแค่ติดตั้งร่วมกับชักโครกก็สามารถใช้งานได้เลย ไม่จำเป็นต้องรื้อชักโครกใหม่
ชักโครกอัตโนมัติรุ่นแนะนำ
- สุขภัณฑ์อัตโนมัติ MOYA 2013 6L สีขาว โดดเด่นด้วยนวัตกรรมสุดล้ำของสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติ จาก MOYA ด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์สวยงาม หรูหรา และใช้งานง่ายด้วยรีโมทคอนโทรล คือทั้งยังนั่งสบายด้วยฝารองนั่งปรับอุณหภูมิได้ รูปทรงโค้งมน รองรับทุกสรีระของผู้ใช้งาน มีระบบเป่าลมและสามารถปรับอุณหภูมิน้ำได้ 6 ระดับ พร้อมระบบหัวฉีดชำระแบบด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อสุขอนามัยที่ดีและให้คุณสัมผัสความสบายในการใช้สุขภัณฑ์ที่มากยิ่งขึ้น สั่งซื้อได้ที่ > ชักโครกอัตโนมัติ MOYA 2013 6L
- สุขภัณฑ์อัตโนมัติ AMERICAN STANDARD 2026-WT-9 6L สีขาว นิยามของสุขภัณฑ์อัตโนมัติเจอเนอเรชั่นใหม่ ที่มากกว่าความสะอาด จาก อเมริกันสแตนดาร์ด ชิ้นงานผ่านออกแบบ Full skirt design สะท้อนภาพลักษณ์ที่สวยงาม สมบูรณ์แบบ พร้อมฝารองนั่งแบบหน้ายาว นั่งสบาย เปิด-ปิดนุ่มนวล ผ่านกระบวนการผลิตจาก Aqua Ceramic ที่ได้คุณภาพ ผิวหน้าเคลือบสาร Anti-Bacteria เพื่อป้องกันเชื้อโรคและสิ่งสกปรก มาพร้อมประสิทธิภาพการชำระล้างที่ดีเยี่ยมด้วยระบบ Siphon Max ฟลัชเดียวทรงพลัง ชำระล้างได้อย่างสะอาดหมดจด และยังใช้งานง่ายด้วยรีโมทคอนโทรล ตอบโจทย์ Lifestyle คนรุ่นใหม่ ชื่นชอบเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย สั่งซื้อได้ที่ > สุขภัณฑ์อัตโนมัติ AMERICAN STANDARD 2026-WT-9 6L

อุปกรณ์ข้อต่อสำหรับงานประปา?
เราพูดถึง งานประปา... มักจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนมองว่าเป็นงานต่อเติมซ่อมแซมที่จุกจิกยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินท่อประปา การเลือกข้อต่อ สำหรับใช้งาน ไหนจะน้ำรั่วซึม ท่อรั่ว ท่อตัน งานระบบสุขภัณฑ์ก็ยิ่งจัดการลำบากเข้าไปอีก  ทำให้เราต้องรู้เรื่องการติดตั้งและยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ "อุปกรณ์เดินท่อประปา" ซึ่งมีอะไหล่ประปามากมาย มีตั้งแต่วัสดุท่อประปา, ท่อน้ำทิ้ง วาล์วน้ำงานประปา, เช็ควาล์ว , บอลวาล์ว , ฟุตวาล์ว , สต๊อปวาล์ว , ประตูน้ำ, ข้อต่อท่อน้ำ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เดินท่อประปาเพียงบางส่วนเท่านั้น
ในการเดินระบบประปาการเลือกอุปกรณ์ประเภทข้อต่อนั้น เราควรอุปกรณ์ต่อเติมซ่อมแซม และวัสดุก่อสร้างต่างๆ ว่าควรเลือกซื้อวัสดุก่อสร้างเหล่านี้ที่ไหนดี? ทั้งนี้ งานประปาเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่...หากระบบประปาในบ้านชำรุดเมื่อใด คุณก็ควรรู้เรื่องเครื่องมือช่างบางอย่างที่สำคัญ และอุปกรณ์เดินท่อและวิธีเดินท่อประปาเบื้องต้น ไว้สำหรับคอยต่อเติมซ่อมแซมและติดตั้งงานประปาได้ด้วยตนเอง

ประเภทของข้อต่อประปา หรือ ข้อต่อ PVC
เป็นงานที่ไม่ง่ายเท่าไหร่สำหรับมือใหม่เพราะว่าข้อต่อท่อนัน้มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม อุปกรณ์ข้อต่อท่อ PVC นั้นมีมากมายไม่ว่าจะเป็น ข้อต่อตรง ข้อต่องอ ข้อต่อสามทาง ข้อต่อเกลียว ข้อต่อสามทางตั้งฉาก ข้อต่อสามทางเข้ามุม เป็นต้น ซึ่งหากเราสามารถนำข้อต่อเหล่านี้มาประกอบกันได้แล้ว เราสามารถออกแบบระบบทางเดินน้ำของตัวเองเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งบ้านเพื่อความสวยงาม การทำสวน การทำบ่อปลา หรืออื่นๆ เพราะเรามีความรู้เกี่ยวกับระบบประปาเบื้องต้น ข้อดีของการเลือกใช้ข้อต่อแบบ PVC ในการทำงานคือมีราคาที่ย่อมเยาและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ชนิดและประเภทของข้อต่อ PVC
ข้อต่อแบบตรง เป็นรูปทรงพื้นฐานที่สามารถนำมาประยุกต์ได้สารพัดแบบสามารถใช้งานได้ง่ายๆ เพราะตรงข้อต่อจะมีข้อต่อตรงไว้สำหรับต่อสองเส้นเข้าหากัน
ข้อต่องอ 45 องศา และแบบ 90 องศา เป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันรองลงมาจากข้อต่อแบบตรง การใช้งานก็จะมีรูปแบบเหมือนกับข้อต่อแบบตรงแต่จะสามารถเพิ่มองศาได้เยอะกว่า ทำให้สามารถนำไปใช้ในมุมต่างๆได้ดีขึ้น
ข้อต่องอสามทางฉาก หรือ ข้อต่อสามตาฉาก เป็นรูปแบบที่ช่วยให้เราสามารถใช้ท่อในการทำมุมฉากกับกำแพงหรือบริเวณที่เราต้องการได้ นอกจากนี้การใช้ประโยชน์ของข้อต่อแบบนี้ยังทำให้เราสามารถทำเป็นอุปกรณ์อื่นๆได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราวตากผ้า คอกกั้นเด็ก หรือรั้วแบบ PVC

ทำความรู้จักกับประเภทของเครื่องดูดควัน เพื่อให้เลือกซื้อได้อย่างเหมาะสม
เครื่องดูดควัน (Cooker Hood) เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการช่วยระบายกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ รวมถึงควัน หรือไอน้ำที่เกิดจากการประกอบอาหารทุกประเภท เพราะแค่การเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศนั้นก็อาจจะไม่เพียงพอหากคุณมีการทำอาหารมื้อใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้นหากคุณไม่มีการใช้งานเครื่องดูดควัน กลิ่นไม่พึงประสงค์และควันอาจจะฟุ้งลอยไปทั่วบริเวณห้องครัว และอาจลามไปถึงพื้นที่ส่วนอื่นๆ ในบ้านได้ แถมยังอาจทำให้กลิ่นติดตามเสื้อผ้า ตามเฟอร์นิเจอร์ หรือในส่วนของควันนั้นก็อาจจะลอยไปบนเพดาน ทำให้เพดานมีคราบสกปรกเกิดขึ้นอีก ทำให้ในปัจจุบันเครื่องดูดควันจึงกลายมาเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวที่ขาดไม่ได้ในแทบทุกครัวเรือนนั่นเอง โดยเครื่องดูดควันนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับหลังคา ที่ด้านในจะมีตัวกรอง และพัดลมสำหรับดูดควันออกไปยังนอกบ้าน นอกจากนั้นเครื่องดูดควันก็ยังจะมีไฟส่องสว่างเพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดเวลาทำอาหารอีกด้วย แต่เครื่องดูดควันในปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนาให้มีหลากหลายประเภทเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน และสไตล์การตกแต่งห้องครัวที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้นคุณจึงจำเป็นต้องศึกษาประเภทของเครื่องดูดควันให้ดีก่อนทำการเลือกซื้อ

-เครื่องดูดควันกระโจม (Chimney Hood) จะมีลักษณะคล้ายปล่อง หรือกระโจมอยู่ด้านบน จำเป็นต้องติดตั้งไว้ติดกับผนังด้านข้างเพื่อให้สามารถต่อท่อระบายอากาศออกไปด้านนอกได้ ทำให้มีประสิทธิภาพในการดูดอากาศสูง จึงเหมาะสำหรับห้องครัวที่มีขนาดใหญ่เพียงพอในการรองรับการติดตั้ง

-เครื่องดูดควันฝังเคาน์เตอร์ (Downdraft Hood) เป็นเครื่องดูดควันที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เน้นลูกเล่นที่สามารถ Built-in ไปกับเคาท์เตอร์ครัวได้ ทำให้สามารถสร้างสีสัน และเพิ่มความโดดเด่นมีสไตล์ให้กับห้องครัวไปด้วยในตัว

-เครื่องดูดควันกลางห้อง (Island Hood) เป็นเครื่องดูดควันที่สามารถพบได้ตามร้านอาหาร โดยจะมีลักษณะคล้ายคลึงเครื่องดูดควันกระโจม แต่จะแตกต่างกันตรงที่สามารถติดตั้งตรงกลางห้องได้ และไม่ต้องติดตั้งแบบติดกับผนังด้านข้าง จึงเหมาะกับห้องครัวที่มีตำแหน่งของเตาปรุงอาหารอยู่กลางห้องครัว

-เครื่องดูดควันมาตรฐาน (Standard Hood) มีกระบวนการดูดอากาศ การกรองกลิ่นและควันโดยใช้การหมุนเวียนภายในตัวเครื่องผ่านฟิลเตอร์และแผ่นคาร์บอน ทำให้ไม่จำเป็นต้องทำการต่อท่อระบายอากาศออกไปยังด้านนอก และด้วยความที่เครื่องดูดควันประเภทนี้มีขนาดเล็ก ทำให้ประสิทธิภาพในการดูดควันน้อยกว่าเครื่องดูดควันประเภทอื่น จึงเหมาะสำหรับคนที่อาศัยอยู่คอนโด หรืออพาร์ทเมนต์

การเลือกซื้อตู้กดน้ำดื่มภายในบ้าน หรือตู้น้ำดื่มที่เลือกซื้ออย่างไร??
หากจะพูดถึงตู้กดน้ำดื่ม ตู้กดน้ำดื่มเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากไม่ว่าจะเป็นภายในอาคาร โรงงาน โรงเรียน สำนักงานต่างๆ  ตั้งตู้กดน้ำดื่มแบบต่างๆ ไว้บริการลูกค้าเพื่อความสะดวกสายในการใช้บริการ หรือมาติดต่อธุรกิจ หรือแม้แต่ตามบ้านหรือคอนโดเอง ลูกค้าของโฮมโปรสามารถเลือกซื้อตู้น้ำดื่มขนาดเล็ก เพื่อนำมาใช้สำหรับรับแขก หรือเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมเยียนได้เช่นกัน
ตู้น้ำดื่มเลือกซื้อยี่ห้อไหนดี..
สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ใน การเลือกซื้อตู้กดน้ำดื่ม หรือตู้ทำน้ำดื่มภายในบ้าน ปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่ยากมากนัก ตู้กดน้ำดื่มนั้นมีมากมากมายหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น ตู้น้ำดิ่ม SHARP , ตู้น้ำดื่ม CLARTE , ตู้น้ำดื่ม MAZAMA หากจะถามว่าตู้น้ำดื่มแบบไหนดี ทั้งนี้เองขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานของคุณลูกค้าเองด้วย เพราะว่า ตู้กดน้ำดื่มแต่ละยี่ห้อ ก็มีลักษะแบบเฉพาะตัว และการออกแบบที่แตกต่างกันไป การเลือกซื้อตู้กดน้ำดื่มสามารถลือกซื้อได้ง่ายๆ เพียงแต่ว่าเราต้องทำความเข้าในเกี่ยวกับประเภทของตู้ทำน้ำดื่มกันสักก่อน
รูปแบบของตู้ทำน้ำดื่มโดยทั่วไปแล้วจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ สองแบบ ตู้กดน้ำดื่มดื่มที่มีระบบการกรองน้ำในตัว และ ตู้กดน้ำที่ไม่มีระบบกรองน้ำในตัว ซึ่งข้อดีของตู้ทำน้ำดื่มทั้งสองแบบนี้ ก็จะแตกต่างกันออกไป
ตู้น้ำดื่มพร้อมระบบกรองน้ำในตัว..
  ตู้น้ำดื่มในรูปแบบนี้มีข้อดี คือเนื่องจากสามารถต่อน้ำเข้าได้เลยจากระบบประปา โดยทั่วไปตู้น้ำดื่มจะมีลักษณะที่ค่อนข้างเล็กกว่า ทำให้สามารถนำไปวางในบ้านของคุณ หรือสำนักงานเล็กๆ ที่มีพื้นที่จำกัดไปเป็นอย่างดี แต่ข้อเสียหลักๆ ของการติดตั้งตู้ทำน้ำดื่ม ต้องมีการติดตั้งระบบการวางสายเพื่อที่จะให้นำเอาน้ำประปามาใช้เข้าไปในตัวเครื่อง ซึ่งในขั้นตอนนี้เองก็ทำให้มีความยากลำบากพอสมควร และไม่สะดวกนักหากมีการเคลื่อนย้ายบ่อยๆ และราคาในท้องตลอดค่องข้างสูง
ตู้ทำน้ำดื่มที่ไม่มีระบบกรองน้ำในตัว
ตู้กดน้ำดื่มแบบนี้จะสามารถติดตั้งได้ง่าย และสามารถเคลื่อนย้ายได้ค่อนข้างสะดวก เนื่องจากหลักการทำงานเพียบแค่เสียบปลั้กไฟก็สามารถใช้งานได้เลย ไม่ต้องติดตั้งระบบประปายุ่งยาก และราคาตามท้องตลาดค่อนข้างถูกกว่ามากหากเทียบกับตู้กดน้ำดื่มที่มีระบบกรองน้ำ แต่ข้อเสียของตู้กดน้ำดื่มแบบนี้คือต้องคอยเปลี่ยนถังน้ำที่วางไว้ด้านบนตู้น้ำอยู่ตลอดเวลา และยังเปลืองพื้นที่ค่อนข้างมาก ในการใช้เก็บถังน้ำ

กระเบื้องพื้นภายนอก ต้องเลือกซื้ออย่างไรให้ใช้งานได้ยาวนาน
กระเบื้องพื้นภายนอก (Outdoor Floor Tiles) เป็นกระเบื้องที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับปูพื้นภายนอกโดยเฉพาะ และเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญที่หลายๆ ท่านมักจะละเลย แต่ที่จริงแล้วมันมีความสำคัญมากกว่าที่คุณคิด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประโยชน์ใช้สอย ความสวยงาม และความปลอดภัยต่อการใช้งาน เพราะในกิจวัตรประจำวันก็คงจะมีเรื่องให้ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าคุณจะทำความสะอาดพื้นอย่างดีแล้ว แต่อุบัติเหตุอย่างการลื่นล้มก็อาจเกิดขึ้นได้อยู่ดี ทั้งสาเหตุจากน้ำฝนที่ตกค้างอยู่ภายนอกบ้าน ไปจนถึงพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นที่สะสมความชื้นจนก่อให้เกิดเชื้อรา ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พื้นกระเบื้องมีความลื่นขึ้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้งานในพื้นที่ที่จำเป็นต้องทำงานกับน้ำยิ่งต้องระวังมากที่สุด เช่น ลานซักล้าง การล้างรถในโรงรถ หรือการรดน้ำในสวนหน้าบ้าน เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ก็ย่อมตามมาถึงการสูญเสียหลายประการ ทั้งเสียสุขภาพ เสียเงินรักษา แล้วยังต้องเสียเวลาในการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย ฉะนั้นคุณจึงจำเป็นต้องเลือกซื้อกระเบื้องพื้นภายนอกที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน โดยปัจจัยหลักที่คุณควรพิจารณาก็มีดังต่อไปนี้

ความแข็งแรงของกระเบื้องพื้นภายนอก ด้วยความที่กระเบื้องพื้นภายนอกจะต้องเจอสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และต้องรับแรงกระแทกจากการใช้งานในระหว่างวัน ซึ่งบางครั้งก็อาจมีวัตถุหล่นทับแบบไม่ได้ตั้งใจ แถมยังต้องทนต่อการเหยียบย่ำ และรอยขีดขูดจากการเคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ รวมทั้งต้องรองรับน้ำหนักของรถยนต์ในส่วนของโรงจอดรถด้วย ฉะนั้นการเลือกซื้อชนิดของกระเบื้องที่ใช้นอกบ้านจึงต้องสามารถรับแรงกระแทกได้ดี และต้องมีความแข็งแรงไม่แตกหักง่าย

พื้นผิวของกระเบื้องพื้นภายนอกควรจะเลือกใช้กระเบื้องที่มีพื้นผิวกึ่งมันกึ่งหยาบ ผิวหยาบ ไปจนถึงผิวหยาบมาก เนื่องจากความหยาบด้านจะช่วยเพิ่มแรงเสียดทานเพื่อป้องกันการลื่นล้มเมื่อต้องสัมผัสน้ำได้ดีกว่ากระเบื้องผิวมันที่มักนิยมนำมาใช้งานเป็นกระเบื้องพื้นภายใน

ลวดลาย สีสัน และขนาดของกระเบื้องพื้นภายนอก นอกเหนือจากลวดลายสวยงามเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับวัสดุธรรมชาติจริงที่นิยมนำมาใช้งานกันแล้ว โทนสีก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ควรพิจารณา โดยแนะนำให้เลือกโทนสีเข้ม เพราะพื้นที่นอกบ้านเป็นส่วนที่ต้องเจอกับคราบสกปรกอยู่เสมอ ฉะนั้นโทนสีเข้มจะช่วยพรางสายตาให้กับคราบสกปรกต่างๆ รวมถึงเรื่องขนาดของกระเบื้องด้วยเช่นกัน หากคุณเลือกปูพื้นด้วยกระเบื้องแผ่นเล็กก็จะมีเส้นยาแนวมากกว่ากระเบื้องแผ่นใหญ่ และอาจทำให้ดูไม่สวยงาม และทำความสะอาดได้ยาก

เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier)
"เครื่องฟอกอากาศ" เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าทางเลือกสำหรับฟอกอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน อาคาร หรือรถยนต์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และผู้ที่รักสุขภาพ ซึ่งหลายคนอาจมองว่าการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศอาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะแค่การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศแต่เมื่อเกิดสถานการณ์ปัญหามลพิษ PM 2.5 และปัญหาเชื้อไวรัส COVID-19 ระบาด จึงทำให้เกิดความนิยมในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อผลกระทบมันกระจายไปทั่วประเทศไทย แบรนด์เครื่องปรับอากาศชั้นนำจึงมีการผลิตแอร์ฟอกอากาศขึ้นมาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกด้วย ดังนั้นก่อนเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ ควรมีความรู้เบื้องต้นก่อนว่าเครื่องฟอกอากาศคืออะไร และมีคุณสมบัติและการทำงานเป็นอย่างไร

เครื่องฟอกอากาศมีหลักการทำงานโดยระบบจะดูดอากาศเข้าตัวเครื่องเพื่อดักจับสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ฝุ่นละออง PM 2.5 มลพิษอนุภาคขนาดเล็ก เชื้อโรค เชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ผ่านระบบการกรองอากาศก่อน แล้วจึงปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาให้กับคุณและคนในครอบครัว แต่สำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง ก็อาจจะทำให้คุณต้องทำความสะอาด หรือคอยเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศของเครื่องฟอกอากาศอยู่บ่อยครั้ง

ข้อแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ
เครื่องฟอกอากาศ ที่สามารถกรองอากาศได้ดีและรวดเร็ว ควรมีค่าประสิทธิภาพการฟอกอากาศ (Airflow) ในระดับที่สูง ซึ่งมันจะทำงานได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้นหากทำงานควบคู่กับแผ่นกรองอากาศที่มีคุณภาพกรองสูง เช่น แผ่นกรองอากาศ HEPA และสำหรับความสามารถในผลิตปริมาณอากาศบริสุทธิ์ในบ้านได้จำนวนมากและรวดเร็ว ควรมีค่าประสิทธิภาพการสร้างอากาศบริสุทธิ์ (CADR - Clean Air Delivery Rate) ในระดับที่สูงเช่นกัน เพราะมันจะช่วยฟอกสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่นละออง ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนในเรื่องของระดับเสียงที่เหมาะสมต่อการใช้งานในห้องนอน คือ 30-31 เดซิเบล ซึ่งหากเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศระบบ Inverter แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้เท่าไรนัก และที่สำคัญคือ ควรเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีฉลากเบอร์ 5 หรือเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศระบบ Inverter เพราะมันจะช่วยให้คุณประหยัดพลังงานมากขึ้น รวมถึงควรเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะนำไปใช้งานเพื่อลดอัตราการกินไฟ โดยราคาของเครื่องฟอกอากาศในตลาดจะอยู่ที่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น จึงแนะนำว่าให้กำหนดงบประมาณที่พร้อมจ่ายก่อน แล้วจึงเลือกคุณสมบัติ หรือฟังก์ชั่นให้ตรงกับความต้องการ

ช่วยปกป้องทุกสภาพอากาศด้วยสีทาหลังคา
ในปัจจุบันนั้นหลังคาเปรียบเสมือนเป็นผู้ปกป้องหลักของบ้านเลยก็ว่าได้ มีหน้าที่ช่วยกันแดด กันฝน และกันความร้อนต่างๆ ให้กับอาคารหรือที่อยู่อาศัยของเรา ดังนั้นการเลือกใช้สีทาหลังคาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยทำให้บ้านของเรานั้นดูสวยงามสดใส และน่าอยู่ ซึ่งหากนำสีทาหลังคาสีใหม่ไปทาทับสีเก่าก็จะทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าได้บ้านหลังใหม่เลยทีเดียว อีกทั้งสีทาหลังคายังช่วยป้องกันปัญหาเรื่องน้ำรั่วซึมที่มาพร้อมกับหน้าฝน และปัญหาเรื่องหลังคาดูดซับความร้อนมากเกินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะหากเป็นบ้านหรืออาคารที่ผ่านการอยู่อาศัยมาเป็นระยะเวลานาน หากเราปล่อยละเลย ไม่ดูแลก็จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นได้ นอกจากเรื่องของปัญหารั่วซึมที่เราสามารถพบเห็นกันได้บ่อยๆ แล้ว สภาพอากาศของบ้านเราอย่าง ฝนตกหนัก หรือแดดร้อนจัด ก็ยังเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้หลังคาของที่อยู่อาศัยเสื่อมอายุการใช้งานเร็วกว่าที่ควรจะเป็นด้วย

ประเภทของสีทาหลังคา ที่นิยมใช้งาน มีแบบไหนบ้าง
สีทาหลังคาบ้านกันรั่ว การที่หลังคาบ้านรั่วซึมนั้น ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยไว้ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของบ้านและอาคารได้ โดยสีทาหลังคาบ้านกันรั่ว เป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันปัญหาจากการรั่วซึม ช่วยป้องกันได้ตั้งแต่ขั้นแรกที่เริ่มมุงหลังคา หรือจะทาสีภายหลังตามเพื่อซ่อมแซมหลังคาก็สามารถทำได้ สีที่ใช้ทาหลังคาบ้านกันรั่วส่วนใหญ่นั้นจะมีอะคริลิกเป็นส่วนประกอบประมาณ 60-80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้สามารถเคลือบป้องกัน รอยแตกร้าว หรือรอยแยกต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

สีทาหลังคากันความร้อน สีประเภทนี้ในเนื้อสีจะมีโพลีเมอร์ที่มีสารป้องกันยูวีเป็นส่วนประกอบ ใช้สำหรับเคลือบหลังคาป้องกันความร้อนจากแสงแดด นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาการเคลือบผิวแบบเซรามิก กับ นาโนซิลิกา ทำให้สามารถเป็นฉนวนสะท้อนความร้อนกลับไปได้ในตัว ช่วยให้หลังคาของเรานั้นไม่สะสมความร้อน ทำให้บ้านของเรานั้นเย็นสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เครื่องปรับอากาศภายในบ้านไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป

ทั้งนี้เมื่อถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนสีทาหลังคา เราไม่ควรจะเลือกเพียงแต่สีที่ถูกใจเราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราควรจะศึกษาข้อมูลของสีทาหลังคาเบื้องต้นดูก่อน เพื่อที่จได้สีทาหลังคาที่มีคุณภาพดี อยู่คู่กับบ้านของเราไปนานๆ

คลายร้อนได้ทุกที่ด้วยพัดลมพกพา
พัดลมพกพา (Portable Fan) เป็นอีกอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนที่ต้องเดินทางไกล หรือจำเป็นต้องยืนตากแดดกลางแจ้งรับความร้อนของแสงอาทิตย์อยู่บ่อยครั้ง เพราะด้วยภูมิอากาศของประเทศไทยที่มีอุณภูมิสูง อากาศร้อนแทบจะตลอดทั้งปี ทำให้หลายคนเริ่มมองหาอุปกรณ์ที่จะสามารถพกพาเพื่อช่วยคลายความร้อนได้อย่างสะดวก และมีประสิทธิภาพ ดังนั้นพัดลมพกพาจึงกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลายคนนิยมพกติดในกระเป๋าไว้สำหรับใช้ปัดเป่าบรรเทาความร้อนมากที่สุดในปัจจุบัน โดยhttps://www.homepro.co.th/c/APP0503เป็นพัดลมที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก กะทัดรัด และน้ำหนักเบาเพื่ออำนวยความสะดวกในการพกพา อีกทั้งยังมีดีไซน์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ดีไซน์น่ารักกิ๊บเก๋ หรือจะเป็นดีไซน์เรียบง่าย แต่ไม่ว่าhttps://www.homepro.co.th/c/APP0503จะมาในรูปแบบไหน จุดประสงค์ในการใช้งานก็คือการช่วยบรรเทาความร้อนให้กับผู้ใช้งานได้เหมือนกัน ดังนั้นการเลือกhttps://www.homepro.co.th/c/APP0503ไว้ใช้งานจึงต้องพิจารณาที่ความแข็งแรงทนทาน และพฤติกรรมในการใช้งานเพื่อให้คุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุด

การเลือกซื้อพัดลมพกพา
สิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกเลยคือเรื่องของพฤติกรรมการใช้งานของตัวคุณเองว่าปกติแล้วจะใช้งานพัดลมพกพามากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาแต่ละวัน เพื่อประเมินว่าหากคุณเลือกซื้อมาใช้งานแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งอันที่จริงพัดลมพกพามีราคาไม่แพงมากนัก ปกติแล้วราคาทั่วไปจะอยู่ที่หลักร้อย โดยราคาก็จะขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นของhttps://www.homepro.co.th/c/APP0503 และด้วยราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้จึงส่งผลให้การตัดสินใจเลือกพัดลมพกพาไว้ใช้งานจึงค่อนข้างง่ายมากกว่าพัดลมประเภทอื่น นอกจากนี้เรื่องของการปรับแรงลมก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณา โดยhttps://www.homepro.co.th/c/APP0503รุ่นทั่วไฟจะมีให้เลือกอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ ชนิดที่สามารถปรับแรงลมได้ กับชนิดที่ไม่สามารถปรับแรงลมได้ ซึ่งมีเพียงลมระดับปกติเพียงระดับเดียว ฉะนั้นการเลือกว่าจะใช้https://www.homepro.co.th/c/APP0503แบบไหนดีก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งานเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงเรื่องของมาตรฐาน และความปลอดภัยอย่างละเอียด เพราะขึ้นชื่อว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ย่อมมีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน ดังนั้นควรเลือกพัดลมพกพาที่ผ่านการรับรองและตรวจสอบกระบวนการผลิตจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น มาตรฐานระดับโลก ISO 9001 เป็นต้น