• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Shopd2

#3681


"ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย"  หนึ่งในธนาคารสมาชิกกลุ่มซีไอเอ็มบี กลุ่มการเงินชั้นนำของอาเซียน ได้จัดงานแถลงข่าวเนื่องในโอกาสวันอาเซียน ซึ่งตรงกับวันที่ 8 เดือน 8 ของทุกปี  ในหัวข้อ ASEAN Outlook Amid COVID-19 Storm "วิเคราะห์การลงทุนในอาเซียนท่ามกลางพายุโควิด" 

ล่าสุด ธนาคารรายงานสถิติ ยอดคงค้าง "มูลค่าการลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ" (Thai Direct Investment : TDI) จำแนกรายประเทศ จากข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า 10ประเทศ ที่ภาคธุรกิจไทยเน้นไปลงทุนสะสมมากที่สุด 10อันดับ  ณ ไตรมาส 1 ปี 2564 ดังนี้

1. ฮ่องกง มูลค่า 77,257 ล้านบาท

2. สหราชอาณาจักร  มูลค่า 23,337 ล้านบาท

3. เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 12,137 ล้านบาท


4. ลาว มูลค่า 3,707 ล้านบาท

5. มอริเชียส มูลค่า 2,729 ล้านบาท

6. อินโดนีเซีย มูลค่า 2,507 ล้านบาท

7. จีน มูลค่า 2,101 ล้านบาท

8. บริติช เวอร์จินไอส์แลนด์ มูลค่า 1,290 ล้านบาท

9. ไต้หวัน มูลค่า 747 ล้านบาท

10.เวียดนาม มูลค่า 465 ล้านบาท


และหากดุราย "ธุรกิจ" ที่คนไทย นิยมไปลงทุนมากที่สุด10 อันดับ  ดังนี้

1. การทำเหมืองแร่และเหมืองหิน มูลค่า 57,177 ล้านบาท

2. การเงินและการประกันภัย  มูลค่า  31,150 ล้านบาท

3. การผลิตเครื่องดื่ม มูลค่า 7,871 ล้านบาท

4. การขายส่งและการขายปลีก มูลค่า 6,515 ล้านบาท

5. การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์  มูลค่า 3,293 ล้านบาท

6. การขนส่งและคลังสินค้า มูลค่า 3,203 ล้านบาท

7. การผลิตไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำและระบบปรับอากาศ มูลค่า 1,303 ล้านบาท

8. ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร มูลค่า 832 ล้านบาท

9.  กิจกรรมการก่อสร้าง มูลค่า 785 ล้านบาท

10. การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า มูลค่า 385 ล้านบาท

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ชี้เงินลงทุน TDI ปีนี้ยังโตแซง FDI แม้เผชิญพายุโควิด

"เกษม พันธ์รัตนมาลา" กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)  ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)  มองว่า บริษัทไทย มองหาโอกาสลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านตลอดเวลา จากตัวเลข  Thailand Direct Investment (TDI) คนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559  แม้ปี 2563 จะเผชิญโควิดแต่ TDI ยังคงโตสูงสุด มีมูลค่า 564,000 ล้านบาท  และโตต่อเนื่องมาถึงปีนี้  

อย่างไรก็ตามจากการแพร่ระบาดโควิด-19  ในฝั่งประเทศเกิดใหม่ของเอเชีย ตั้งแต่ต้นปี 2564 มานี้ ส่งผลให้ มูลค่า TDI  ในไตรมาส  1 ปีนี้  ยังเติบโตอยู่ที่ 9,300 ล้านบาท แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตถึง 181 ,000 ล้านบาท และยังพบว่า ในไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทไทยมีการขายเงินลงทุนในอาเซียนบางส่วน มูลค่าราว 23,000 ล้านบาท โยกย้ายเงินลงทุนมาในประเทศฝั่งยุโรปแทน มูลค่าราว 33,000 ล้านบาท

แต่มองว่า แนวโน้ม TDI ทั้งปีนี้ เม็ดเงินลงทุนอาจชะลอลงบ้าง จากผลกระทบโควิด  แต่มูลค่าเงินลงทุนจะยังคงมากกว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย(FDI ) แน่นอน 

"เงินลงทุน TDI ขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกับพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศว่าจะสามารถเข้าลงทุนหรือซื้อกิจการสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงไหน ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ทุกไตรมาสในไตรมาส 1 ปีนี้ยังคงโตได้แม้ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยังไม่มีผลกระทบจากโควิด"  

สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารซึ่งมีความเชี่ยวชาญการลงทุนในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคาร ยังมุ่งจับมือบริษัทไทยออกไปลงทุนใน "ตลาดอาเซียน" ที่ยังคงสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนได้ดีต่อเนื่องหลังโควิดคลี่คลาย

ปัจจุบันพบว่า บริษัทไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนผลตอบแทนจากการไปลงทุนอาจต้องรอ 3-5 ปี หากธุรกิจเติบโต แข่งขันได้  เงินลงทุนจะเริ่มกลับเข้ามาในประเทศ ส่งให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้น

สายตาต่างชาติ ไม่สน "ลงทุนในไทย"

ขณะที่ เงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย Foreign Direct Investment (FDI) "เกษม" กล่าวว่า  เงินลงทุน FDI กลับน้อยกว่าเงินที่คนไทยนำไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดย FDI ปีก่อน ติดลบ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมองย้อนกลับไปก่อนมีโควิด FDI มาไทยไม่ได้สูงมาตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาถึงตอนนี้

"ตลาดไทยไม่น่าสนใจในสายตาต่างชาติอีกต่อไป เพราะเราไม่ค่อยมีบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่วนใหญ่เป็น sector ใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี สินค้าไฮเทค สมาร์ทโฟน รถ EV ซึ่งต้องมีเงินทุนใหม่ๆ มารองรับ ถ้าถามว่าไทยจะมีอุตสาหกรรมใดที่จะพัฒนาเพื่อต่อยอดเศรษฐกิจของเราเองได้ เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องนำไปคิด ทำไมต่างชาติเขามองข้ามเราไป หรือโครงสร้างพื้นฐานเราเองมีปัญหา เช่น เรื่องคน เรื่องการศึกษา แรงงานเราค่าแรงไม่ถูก แต่ทักษะสูงไม่พอหรือเปล่า รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ไม่เอื้อ ทำให้ประเทศไทยขาดความน่าสนใจในการลงทุน อย่าว่าแต่นักลงทุนต่างชาติเลย แม้แต่นักลงทุนไทยยังไปลงทุนเพื่อนบ้าน" 
#3682


นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เปิดเผยว่า  ได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรเร่งขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรให้แก่สหกรณ์การเกษตร  เกษตรกรและผู้ที่สนใจทั่วไปได้นำไปปลูกเพื่อป้อนเป็นวัตถุดิบให้กับกระทรวงสาธารณสุขนำไปผลิตเป็นยาสมุนไพรเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19  โดยกรมวิชาการเกษตรสนับสนุนต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นผลงานวิจัยปรับปรุงพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตรจำนวน 2 สายพันธุ์ที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูง


คือ สายพันธุ์พิจิตร 4-4 ซึ่งมีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์มากถึง 12.20  กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม  และสายพันธุ์พิษณุโลก 5-4  มีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์มากถึง  8.89 กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม  ให้กับสหกรณ์ที่สนใจร่วมโครงการส่งเสริมปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรรวมทั้งเกษตรกร  ซึ่งมั่นใจว่าสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น


นายพิเชษฐ์  วิริยะพาหะ  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า  ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรได้เตรียมต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรไว้ 2 สายพันธุ์ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงกว่าพันธุ์การค้าทั้ง 2 สายพันธุ์  คือพันธุ์พิจิตร 4-4 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 3,880 กิโลกรัมต่อไร่ และพิษณุโลก 5-4 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4,187 กิโลกรัมต่อไร่  จำนวน 800,000 ต้น

โดยจะมอบให้จังหวัดอุทัยธานีนำไปปลูกนำร่องเป็นจังหวัดแรก จำนวน 24,000 ต้น    และเปิดให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่สนใจลงทะเบียนจองต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรได้ฟรีโดยจำกัดคนละ 5 ต้น ผ่านเว็บไซต์กรมวิชาการเกษตร   ตั้งแต่วันที่ 7 – 31 สิงหาคมนี้   และจะเริ่มแจกต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายให้ผู้ที่สั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2564 เป็นต้นไป
"นอกจากกรมวิชาการเกษตรจะแจกต้นกล้าพันธุ์ฟ้าทะลายโจรให้กับผู้ที่สนใจแล้ว  ยังได้จัดทำคู่มือการปลูกฟ้าทะลายโจรให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย  เพื่อเป็นแนวทางให้เกษตรกรและผู้สนใจได้นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมในพื้นที่ของตนเอง  โดยในคู่มือจะประกอบไปด้วย   สารสำคัญในฟ้าทะลายโจร  การปลูกและการดูแลรักษา  การจัดการศัตรูพืช  การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว  โดยสามารถดาวน์โหลดคู่มือดังกล่าวได้ผ่านทางเว็บไซต์ กรมวิชาการเกษตร
#3683


เมื่อเร็วๆ นี้ นายอรรถพล  ฤกษ์พิบูลย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนกลุ่ม ปตท.  ส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในโครงการลมหายใจเดียวกัน ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 13 จังหวัด  ได้แก่ปทุมธานี นครปฐม ฉะเชิงเทรา ระยอง อุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย บึงกาฬ นนทบุรี เลย สมุทรปราการ ชลบุรี และภูเก็ต


เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปยังภูมิภาคในการต่อลมหายใจผู้ป่วย  COVID-19 ให้มีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น  โดยมีนายสุพัฒน์พงษ์  พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี

โดย ปตท. และบริษัทในกลุ่มประกอบด้วย  ปตท.สผ.  ไทยออยล์   ไออาร์พีซี  จีซี   จีพีเอสซี และ โออาร์ ร่วมกันสนับสนุนและส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ High Flow  ชุด Isolation Gown PE Gown  ถุงมือ  หน้ากากอนามัย และอุปกรณ์เพื่อใช้ปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถพยาบาลในการรับส่งผู้ป่วย 

รวมถึงกาแฟดริป คาเฟ่อเมซอน และน้ำดื่มจิฟฟี่ เพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าที่สำคัญในการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้  รวมมูลค่ากว่า18 ล้านบาท


ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. พร้อมสนับสนุนและเคียงข้างบุคลากรทางการแพทย์ คนไทยและประเทศชาติ ให้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันโดยเร็ว เพราะเชื่อมั่นว่า "เราคนไทยทุกคนล้วนมีลมหายใจเดียวกัน
#3684


นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า คาดรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะเติบโตต่อเนื่อง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้น โดยบริษัทประเมินสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งในไตรมาส 2 ปี 2564 เฉลี่ยที่ 66.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าในช่วงที่เหลือราคาน้ำมันดิบจะแกว่งในกรอบ 60-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ บริษัทยังได้อานิสงส์จากการปรับราคาก๊าซธรรมชาติย้อนหลังตามราคาพลังงานที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 อีกด้วย

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในประเทศยังเผชิญปัญหาในการเข้าพัฒนาพื้นที่โครงการจี 1/61 (แหล่ง เอราวัณ) แม้บริษัทจะยอมรับเงื่อนไขของผู้รับสัมปทานเดิมแล้วก็ตาม จึงคาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการผลิตได้ตามสัญญาที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD)  โดยบริษัทได้จัดทำแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตในแหล่งอื่นบริเวณอ่าวไทยเข้ามาชดเชย รวมถึงการเตรียมแท่นผลิตในกรณีที่สามารถเข้าพื้นที่ได้ในระยะถัดไป

ส่วนโครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) คาดว่าจะดำเนินการได้ตามแผน จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและติดตั้งแพลตฟอร์ม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย.2564 นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมขุดเจาะและเจรจาซื้อขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ในต่างประเทศ คาดว่าจะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตโครงการ Oman Block 61 ในโอมานเต็มที่ 1,500 MMSCFD ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.9 หมื่นบาร์เรลต่อวัน ส่วนโครงการฮาสสิ เบอร์ราเคซ (HBR) ในแอลจีเรียคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ กำลังการผลิต 1-1.3 หมื่นล้านบาร์เรลต่อวัน

สำหรับโครงการลัง เลอบาห์ (Lang Lebah) ในมาเลเซียคาดว่าจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย (FID) ได้ตามแผน และจะเริ่มดำเนินการขุดเจาะได้ภายในปี 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ค้นพบเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการซาราวัก SK438 และ PM407 อยู่ระหว่างประเมินศักยภาพทางปิโตรเลียม


ในการนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายปี2573 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจพลังงานทางเลือก จะมีกำไรสุทธิ 20% ส่วนธุรกิจหลักคือการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมจะลดสัดส่วนลงเหลือ 80%

ทั้งนี้ บริษัทประเมินยอดขายไตรมาส 3 ปี 2564 จะลดลงเหลือ 4.05 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานแยกก๊าซของ บมจ.ปตท. (PTT) แต่คาดว่ายอดขายทั้งปีจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 4.12 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น จากปี 2563 หนุนให้อัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายขั้นต้น (EBITDA Margin) เติบโตตามเป้าหมายที่ 70-75%
#3685


"เรือใบสีฟ้า" ตกเป็นข่าวกับปีกตัวเก่งทีมชาติอังกฤษมาอย่างยาวนาน ก่อนที่ทีมจะบรรลุข้อตกลงกับ แอสตัน วิลล่า ปิดดีลดึง กรีลิช มาร่วมทัพได้สำเร็จ ซึ่งเจ้าตัวจะเซ็นสัญญาอยู่โยงกับทีมไปจนถึงปี 2027 และจะได้สวมเสื้อหมายเลข 10 แทนที่ของ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า 

การย้ายทีมครั้งนี้ของ แจ็ค กรีลิช ทำให้เขามีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของเกาะอังกฤษ ที่ 100 ล้านปอนด์ หรือประมาณ หรือประมาณ 4,600 ล้านบาท ทุบสถิติเดิมที่ พอล ป็อกบา เคยทำเอาไว้ หลังย้ายจาก ยูเวนตุส กลับมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ค่าตัว 93.25 ล้านปอนด์

"ผมมีความสุขอย่าไม่น่าเชื่อที่ได้ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้" กรีลิช เริ่มกล่าว

"ซิตี้ เป็นทีมที่ดีที่สุดในประเทศ ณ เวลานี้ โดยมีผู้จัดการทีมที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลก เหมือนความฝันที่เป็นจริงที่ผมได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรแห่งนี้"

"ตลอดระยะเวลา 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาคว้าแชมป์ได้อย่างต่อเนื่อง เป๊ป ช่วยทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปอีกระดับ ฟุต.ที่นี่มันน่าตื่นเต้นที่สุดในยุโรป การลงเล่นภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป ถือเป็นเรื่องที่ดี ผมจะได้เรียนรู้จากเขา ถือเป็นสิ่งที่พิเศษ และนักฟุต.ทุกคนก็ต้องการ"

"ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่น่าทึ่งมากๆ ผมรอแทบไม่ไหวแล้วที่จะได้เริ่มพบปะกับทุกคนที่นี่" เจ้าของค่าตัวแพงที่สุดในเกาะอังกฤษคนใหม่ ทิ้งท้าย
#3686


เอเอฟพี - ผู้นำสหรัฐฯแถลงต่อประชาชนผ่านทางโทรทัศน์ในวันอังคาร (3 ส.ค.) ว่าสหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกในการต่อสู้การระบาดไวรัสเดลตาประสบความสำเร็จบริจาควัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 110 ล้านโดสใน 65 ประเทศทั่วโลก ยืนยัน "วัคซีนอเมริกาของฟรีไม่ได้ขาย"

เอเอฟพีรายงานวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน แถลงผ่านทางโทรทัศน์ไปยังประชาชนทั่วประเทศในวันอังคาร (3) ชี้ว่า สหรัฐฯ เป็นชาติผู้นำในการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ไปทั่วโลกท่ามกลางการระบาดไวรัสสายพันธุ์เดลตา เป็นการประกาศตามหลังสหรัฐฯ เพิ่งประสบความสำเร็จเห็นตัวเลขชาวอเมริกันในประเทศเข้าฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็มจำนวน 70% ช้ากว่ากำหนดที่ตั้งไว้ในวันชาติสหรัฐฯ 4 ก.ค

"เป็นความพยายามเริ่มแรกของสหรัฐฯ ในการเข้าช่วยเหลือโลกเพื่อต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาด" ทำเนียบขาวแถลง

ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวผ่านทางโทรทัศน์มีใจความว่า "มาจนถึงวันนี้เราได้ส่งมอบไปแล้วกว่า 110 ล้านโดสไปยัง 65 ประเทศ" และเขายังเสริมต่อว่า "วัคซีนเหล่านี้ที่บริจาคมาจากอเมริกาเป็นของฟรี เราไม่ได้ขาย" และชี้ว่า "ไม่มีเงื่อนไขข้อผูกมัดใดๆ เพราะเราทำไปเพื่อช่วยชีวิตผู้คนแค่นั้นเอง"

เอเอฟพีรายงานว่า สหรัฐฯ ได้ส่งมอบวัคซีนโควิด-19 จำนวน 111.7 ล้านโดส ส่วนใหญ่ผ่านโครงการโคแวกซ์ รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศเป็นต้นว่า สหภาพแอฟริกา AU และชุมชนแคริบเบียน ที่รู้จักในนาม CARICOM

ไบเดนแถลงว่า "อ้างอิงจากสหประชาชาติ นี่มันมากไปกว่าการบริจาคเมื่อเทียบกับจำนวนชาติอื่นๆ รวมกันทั้งหมด"

เอเอฟพีรายงานว่า ชาติผู้รับบริจาคส่วนใหญ่คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โคลัมเบีย เวียดนาม บังกลาเทศ ปากีสถาน และแอฟริกาใต้

ทั้งนี้ บังกลาเทศประกาศวานนี้ (4) ว่า ธากามีวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการบริจาคจากจีนและสหรัฐฯ ผ่านโครงการโคแวกซ์อย่างเพียงพอที่จะสามารถฉีดให้ประชาชนจำนวน 12 ล้านคนได้ใน 1 สัปดาห์

"โครงการแจกวัคซีนโควิด-19 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค สำหรับเจ้าหน้าที่การแพทย์แนวหน้าบังกลาเทศที่ศูนย์สาธารณสุข 14,000 แห่ง" เอ.เค.เอ็ม โมซัมเมล เฮค (A.K.M Mozammel Haque) รัฐมนตรีอาวุโสบังกลาเทศแถลง

และเสริมต่อว่า "จะมีประชาชนจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านจะได้รับวัคซีนโควิด-19 ภายใน 1 สัปดาห์ ผู้สูงอายุ แรงงาน และเจ้าของกิจการร้านค้าจะได้รับตามลำดับความเหมาะสม"

เอเอฟพีรายงานว่า ธาการยังประกาศขยายมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดออกไปในวันอังคาร (3)

ซึ่งถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะออกมาเป็นชาติผู้นำการแจกวัคซีนโควิด-19 ไปทั่วโลก แต่กลับเป็นว่าคนในประเทศยังลังเลที่จะฉีดวัคซีน เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานในวันจันทร์ (2) ว่า มีจำนวนตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ต่ำกว่า 50,000 คนต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นทั่วสหรัฐฯ ขณะที่โรงพยาบาลต่างออกมาชี้ว่า "ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19"

ไบเดนใช้โอกาสนี้ร้องขอไปยังชาวอเมริกันที่ยังไม่ได้รับวัคซีนให้เข้ารับวัคซีนโควิด-19 โดยเร็วโดยชี้ว่า การระบาดไวรัสเดลตาเหมือนไฟป่าที่ไหม้ลามอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

เขาระบุว่า "มันเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดโดยเฉพาะมันเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้"

และในการแถลงเขายังกล่าวไปถึงบริษัทใหญ่ในอเมริกาที่ออกคำสั่งให้พนักงานต้องเข้ารับวัคซีนโควิด-19 และแนวโน้มกระแสคนไม่รับวัคซีนเพิ่มโดยเฉพาะในพื้นที่มีการระบาดอย่างรวดเร็ว

เอเอฟพีรายงานว่า บริษัทดิสนีย์ เฟซบุ๊ก กูเกิล วอลมาร์ท และบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ ไทสัน ฟู๊ดส์ (Tyson Foods) ต่างออกมาชี้ว่าบริษัทเหล่านี้มีหน้าที่ต้องกำหนดให้พนักงานของตัวเองเข้ารับวัคซีนโควิด-19
#3687
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ PremiereKato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอนเฟสบุ๊ค ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- สอนพื้นฐานของเฟสบุ๊ค และการตั้งค่าต่างๆที่ควรรู้ ก่อนทำธุรกิจ
- สอนสร้างเพจเฟสบุ๊คยังไงให้น่าโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
- สอนเช็คข้อความและรูปภาพใน Facebook ลดปัญหาการทำงานที่เสียเวลา
- รู้ทันกับกฎระเบียบต่างๆในการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค 
-  วิธีการนำเพื่อนหรือ พนักงานเข้ามาช่วยบริหารในเพจเฟสบุ๊ค ลดความเสี่ยงจากการโดยยึดเพจ
- สอนการสร้างบัญชีธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้บัญชีส่วนตัวในการยิง เลี่ยงการถูกปิดบัญชี
- สอนวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้วยสถิติ [ผู้สอนจบโทด้านงานวิจัยสถิติโฆษณาโดยตรง]
 - สอนดูคู่แข่งเพื่อมาวิเคราะห์ และพัฒนาสินค้าของตัวเองอย่างมืออาชีพ
- สอนสร้างกลุ่มเป่าหมาย แบบตีวง ล้อมคอก เพื่อเผด็จศึก
- สอนสร้างกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ
- สอนการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ การมีส่วนร่วม, การเพิ่มยอดไลค์, วีดีโอและข้อความ เชิงลึกแบบเป็นระบบ วิเคราะห์เห็นภาพ
- สอนยิงแอดแบบไม่ให้คู่แข่งดึงข้อมูลของเราได้
- สอนการสร้างกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่ายิงแอดบน Instagram
- A/B Testing (การทดสอบเปรียบเทียบคุณภาพการเข้าถึงของโฆษณา)
- สอนสร้าง Lookalike Audience เพื่อหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เชิงสถิติ
- การวางแผน สร้างระบบข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot) ในกล่องข้อความเฟสบุ๊ค
- วิธีใช้ เครื่องมือสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot)เพื่อปิดการขาย
- วิธีการตั้งค่าการชำระเงิน /การออกใบเสร็จรับเงิน จากเฟสบุ๊ค
- สอนให้วิเคราะห์เพจของผู้เรียนแบบมืออาชีพ แบบยั่งยืนไม่โดนหลอก
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

Facebook :https://www.facebook.com/katostock
- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://katoacademy.com/profile_kato

วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ

#สอนเฟสบุ๊ค #สอนเฟสบุ๊คตัวต่อตัว #สอนการตลาดออนไลน์ #สอนถ่ายรูป #สอนโฟโต้ช๊อป


 

 

 
 
#3688


ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด–19 ในปัจจุบันทำให้หลายคนจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) แต่ทราบหรือไม่ว่าการนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมนานๆ โดยไม่ขยับหรือเปลี่ยนอิริยาบถ รวมถึงการนั่งอย่างที่ไม่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังจากการนั่งผิดท่าเป็นระยะเวลานาน และอาจลุกลามจนเป็นออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ได้โดยไม่รู้ตัว แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผมจากสารสกัดธรรมชาติ 'ธัญ' (THANN) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ มาแนะ "นั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน" กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย อาทิ 'ไทม์ ทู รีเฟรช' (Time to RefreshTM), 'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser), 'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) และ 'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) ร่วมกับเซเลบริตี้สาวสวยมาเผยเคล็ดลับการสร้างความผ่อนคลายระหว่างทำงานอยู่ที่บ้านตามแบบฉบับของตนเอง อาทิ ปณิตา ศรไทยเทวา, ศิตา ชุติภาวรกานต์ และ สิรี วงศ์รักมิตร



กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด ได้แนะนำการจัดท่านั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน ว่า "ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) รวมถึงอาการปวดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อและเอ็น (Tendinitis) และอาการปวดชาจากปลายประสาทที่ถูกกดทับบริเวณหลัง บ่า คอ ศีรษะ แขน และข้อมือ อาการเหล่านี้มักพบได้บ่อยกับกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่นั่งทำงานในท่าเดิมนานเกินไป โดยไม่มีการขยับปรับเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ ซึ่งอาการในระยะแรกนั้นอาจไม่รุนแรงมากเหมือนเป็นการปวดธรรมดาทั่วไป หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคปวดเรื้อรังได้



การจัดท่านั่งที่ถูกต้องในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

· ศีรษะ ตั้งตรง ไม่ยื่นคอ เก็บคาง ไม่หนีบโทรศัพท์คุย
· ตา อยู่ระดับเดียวกับหนาจอ ห่างประมาณ 45-60 ซม.

· หลัง นั่งหลังตรง พิงพนักเล็กน้อย

· ต้นขาและสะโพก นั่งบนเบาะให้เต็มก้น และขนานกับพื้น

· ข้อมือและแขน อยู่ระนาบเดียวกกับแป้นพิมพ์ หากใช้เม้าส์ควรมีที่รองข้อมือ

· ข้อศอก แนบลำตัว งอศอกทำมุม 90-120 องศา

· ไหล่ ไม่ยกและปล่อยแขนช่วงบนตามธรรมชาติ

· หัวเข่า ควรอยู่ระดับเดียวกับสะโพก ให้ปลายเท้าวางล้ำไปข้างหน้าเล็กน้อย

· เท้า วางแนบพื้น หากความสูงของโต๊ะไม่พอดี ควรใช้กล่องหรือที่รองมาไว้วางเท้า



คนส่วนใหญ่ที่นั่งทำงานทั้งวันมักมีอาการปวดหลังส่วนบนและส่วนล่างตามมา สาเหตุจากท่านั่งที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการนั่งท่าใดท่าหนึ่งนานจนเกินไป ดังนั้นควรแก้ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมงด้วยท่าที่เหมาะสม ได้แก่

· ผสานมือทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงขึ้นไปเหนือศีรษะ ยืดตัวค้างไว้ 10 วินาที ทำติดต่อกัน 5 ครั้ง จะช่วยฝึกยืดตัวระหว่างนั่งทำงาน
· นำมือทั้ง 2 ข้างท้าวเอวแล้วหมุนสะโพกไปข้างหลัง สลับกันซ้าย-ขวา ทำซ้ำ 20 ครั้ง จะช่วยให้กระดูกสันหลังยืดยุ่นตัวมากขึ้น ช่วยลดอาการปวดหลังได้
· เก็บคางเข้าหาแนวกลางลำตัวค้างไว้ 5 วินาที ทํา 10 ครั้ง จะช่วยลดภาวะคอยื่นไปข้างหน้า

นอกจากนี้ยังมีวิธีผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกายจากอาการเมื่อยล้า โดยสามารทำได้ดังนี้

· ยืนตัวตรงชิดกําแพง พยายามให้ศีรษะ ไหล่ และหลัง ชิดติดกําแพงให้มากที่สุด ยกแขนขึ้นทํามุมตั้งฉาก ผ่อนบ่าสบายๆ ให้รู้สึกเกร็งบริเวณสะบักด้านหลังค้างไว้ 10 วินาที ทําซํ้า 10 ครั้ง จะช่วยลดการเกร็งของคอ บ่าและไหล่
· ยืนก้มตัวหันหน้าเข้าหากำแพงในระยะห่างที่พอดี โน้มตัวไปข้างหน้าโดยใช้มือยันกําแพงไว้ และปล่อยตัวลง ค้างไว้ 10 วินาที ทําซํ้า 5-6 ครั้ง จะช่วยยืดกล้ามเนื้อด้านหน้า และลดภาวะหลังค่อม
· นั่งไขว้ขาข้างขวาเหมือนท่านั่งไขว่ห้าง แล้วหมุนลําตัวด้านบนไปทางขวาค้างไว้ 10 วินาที ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง จะช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลังและสะโพก
· นั่งไขว้ขาข้างขวาเป็นเลข 4 แล้วก้มตัวลงไปด้านหน้าค้างไว้ 10 วินาที ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง จะช่วยลดอาการปวดหลัง, สะโพกและก้น



ภาวะออฟฟิศซินโดรมนั้น นอกจากจะมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานด้วยท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยร่วม คือ "ความเครียด" จากการทำงาน ดังนั้นจึงควรหาเวลาผ่อนคลายทางด้านอารมณ์ระหว่างการทำงานด้วยการใช้กลิ่นหอมบำบัด (Aromatherapy) จากน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ อาทิ ไทม์ ทู รีเฟรช และ ก้านไม้หอม นอกจากนี้การทำสปาด้วยตัวเองที่บ้านด้วยการแช่ตัวในน้ำอุ่นที่ผสมบาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ หรือการนวดตัวด้วยบอดี้ บัตเตอร์ ร่วมกับท่านวดเพื่อความผ่อนคลาย นอกจากจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและความเครียดแล้ว ยังสามารถบำรุงผิวให้เนียนุ่มชุ่มชื้นไปพร้อมกันได้"



ธัญ' (THANN) ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ผสานคุณค่าแห่งพืชพรรณจากแหล่งธรรมชาติชั้นดีทั่วโลกและเทคโนโลยีอันทันสมัย ตลอดระยะเวลากว่า 19 ปีที่ผ่านมา 'ธัญ' (THANN) มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ธรรมชาติผสานเทคโนโลยีชั้นนำ ผ่านการทดสอบจากสถาบันวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง Spincontrol Asia Co.,Ltd. (France), Skinnova Lab Co.,Ltd. และ Dermscan Asia อาทิ Dermatological test, Irritation test และ Efficacy test เพื่อยืนยันในคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม และครั้งนี้แบรนด์ 'ธัญ' (THANN) ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีจำหน่ายในร้านและเคาน์เตอร์ 'ธัญ' (THANN) กว่า 100 สาขาในทวีปเอเชีย อเมริกา และยุโรป ไทม์ ทู รีเฟรช (Time to RefreshTM) ขนาด 15 มล. ราคา 410 บาท เติมความสดชื่นระหว่างวัน ด้วยส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 8 ชนิด อาทิ เกล็ดสาระแหน่ (Menthol), ยูคาลิปตัส (Eucalyptus), เปปเปอร์มินท์ (Peppermint), เลมอน (Lemon peel oil), โรสแมรี่ (Rosemary ), กานพลู (Clove), พริกไทยดำ (Black Pepper ) และจันทน์เทศ (Nutmeg) เนื้อเจลบางเบา สูตรเย็น มอบคุณค่าการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วย ออแกนิค เชียร์บัตเตอร์ (Organic shea butter), ออแกนิค โกโก้บัตเตอร์ (Organic cocoa butter), ออแกนิค โจโจ้บา ออยล์ (Organic jojoba oil) และออแกนิค อาร์แกน ออยล์ (Organic argan oil)



'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser) ขนาด 150 มล. ราคา 1,450 บาท มอบกลิ่นหอมนุ่มนวลจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานได้มากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ตกแต่ง และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น โต๊ะทำงาน หรือห้องนอน มีให้เลือก 5 กลิ่น อาทิ อะโรมาติก วูด ( Aromatic wood), โอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence), อีสเทิร์น ออร์ชาร์ด (Eastern Orchard), อีเดน บรีซ (Eden Breeze) และ เอิร์ลเกรย์ อินฟิวชั่น (Earl Gray Infusion)



'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) ขนาด 295 มล. ราคา 990 บาท เติมเต็มความชุ่มชื้น คืนชีวิตชีวา สู่ผิว ด้วยคุณค่าการบำรุงของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ อาทิ น้ำมันรำข้าว (Rice Bran Oil), น้ำมันอโวคาโดออแกนิค (Organic Avocado oil), น้ำมันดาวอินคาออแกนิค (Organic Inca Inchi oil) และน้ำมันมะกอก (Olive oil) มอบความชุ่มชื้นสู่ผิวได้ยาวนาน พร้อมมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงประสิทธิภาพ สูตรบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่อุดตันรูขมุขน พร้อมกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ มีให้เลือก 6 กลิ่น คือ กลิ่นอะโรมาติก วูด (Aromatic Wood) เติมเต็มความเบิกบาน มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของ ส้ม จันทน์เทศ ส้มแทงเจอรีน และไม้จันทน์, กลิ่นโอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence) สดชื่นเบาสบายด้วยกลิ่นอายแห่งโลกตะวันออกด้วยส่วนผสมของตะไคร้และมะกรูด, กลิ่นอีเดน บรีซ (Eden Breeze) ให้ความสงบสมดุล แฝงความอบอุ่นอ่อนหวานด้วยส่วนผสมของดอกมะลิและดอกกุหลาบ, กลิ่นอีสเทิร์น ออร์เชิร์ด (Eastern Orchard) สดชื่นรื่นรมย์ด้วยส่วนผสมของส้มยูซุ มะนาว น้ำมันหอมระเหย และดอกมะลิ, กลิ่นสปริง ฟอเรสต์ (Spring Forest) สะอาด สดชื่น มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของหญ้าแฝก เมล็ดถั่ว และเจอราเนียม และกลิ่นลาเวนเดอร์โรสแมรี่ (Lavender & Rosemary) ที่มอบความผ่อนคลายด้วยส่วนผสมของดอกลาเวนเดอร์และดอกโรสแมรี่



'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) ขนาด 350 มล. ราคา 1,550 บาท ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายสูตรเสริมประสิทธิภาพที่ให้มากกว่าความชุ่มชื้น คืนความเรียบเนียนสู่ผิว ผิวเรียบเนียนขึ้น 19%, ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น 22.9% แม้เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง รวมถึง 90% ของผู้ทดสอบผิวมีความกระจ่างใสขึ้น ด้วยส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาตินานาชนิด อาทิ สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากใบชิโซะ (Nano shiso extract), สารสกัดจากจมูกข้าวบาร์เลย์ (Barley extract), เมล็ดเชียบัตเตอร์ออแกนิค (Organic Shea Butter), โจโจ้บา ออยล์ ออแกนิค (Organic Jojoba oil), น้ำมันมะพร้าวออแกนิค (Organic Coconut oil), น้ำมันรำข้าว (Rice bran oil), สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากบุทเชอร์บรูม (Butcher]s broom extract), สารสกัดมิลค์ทิสเทิล (Milk Thistel extract), สารสกัดจากสนหางม้า (Horsetail extract), สารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Bladderwrack extract), สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์ (Kelp extract), สารสกัดจากใบไอวี่ (Ivy extract) และ สารสกัดจากรากชะเอมเทศ (Licorice extract) โดยแนะนำให้ใช้ควบคู่กับการออกกำลังกายจะช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น



สัมผัสความผ่อนคลายกับผลิตภัณฑ์ 'ธัญ' (THANN) อาทิ 'ไทม์ ทู รีเฟรช' (Time to RefreshTM), 'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser), 'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) และ 'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) ได้แล้ววันนี้ที่ออนไลน์สโตร์ www.thann.co.th (ส่งฟรีทั่วประเทศ) และร้าน 'ธัญ' (THANN) ทั้ง 12 สาขาทั่วประเทศ อาทิ สาขาสุขุมวิท 47, ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ชั้น 3 ศูนย์การค้าเกษร, ชั้น 5 ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม, ชั้น 1 และชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, ชั้น 4 ไอคอน สยาม, ร้านวูว์ ถนนเจริญราษฎร์ และสาขาถนนพระปกเกล้า (ตรงข้ามวัดเจดีย์หลวง) จังหวัดเชียงใหม่, สาขาป่าตอง (หน้าโรงแรม La Flora ป่าตอง) จังหวัดภูเก็ต และ ธัญ เวลเนส เดสทิเนชั่น จ.พระนครศรีอยุธยา
#3689












 โควิดลดกระหน่ำราคา ที่ดินติดทะเล ริมทะเล สูงจากน้ำทะเลประมาณ 6-9 เมตร ขนานนามฝั่งแดง ทะเลสวยสดชื่นสดใส 5ไร่ ไรละ 3.5ลบ. แบ่งขายโฉนดครุฑแดง ต.ทรายทอง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ 

ธรรมชาติฟินอารมณ์สุดสุด วิวสวยงาม Unseen Thailand พร้อมสวนมะพร้าวเต็มพื้นที่ เก็บเกี่ยวได้เลย ที่ดินที่หายาก ลักษณะทางธรรมชาติไม่เหมือนที่ใด  เห็นวิวทะเลหมู่เกาะต่างๆ เช่น เกาะทะลุ เกาะสิงห์ เกาะสังข์ อื่นๆ

นับแสนปีหินกรวดมนมากมายกองกันจนเป็นแนวจากกรดที่ทับถมกันเป็นหินทรายที่มีอายุ 60-214 ล้านปี อยู่ด้านใต้ลงไปแล้วถูกน้ำพามาถมกันนอกจากจะเห็นเป็นศิลาแลงแล้วยังมีหินทรายที่แข็งแทรกตัวอยู่ในชั้นหินกรวดมนซึ่งเป็นลักษณะเด่น นับได้ว่าที่ดินแห่งนี้เป็นที่ดินที่ ทำเลหายาก ที่ดินทำเลทอง ที่ดินติดทะเลหน้ากว้าง มีทางสาธารณะรถยนต์ขับเข้าถึงที่ดิน
น้ำไฟเข้าถึง แหล่งชุมชน สัมผัสได้ถึงความงามเด่นอันตระการตา สนใจโทร/ไลน์

โทร  0837124115
line id : 0837124115

ปักหมุด
ใกล้ ตำบล ทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย ประจวบคีรีขันธ์
https://maps.app.goo.gl/PL2am3Ehn6rWut786
#3690









เช่ารถโควิดแสนถูก600บาท/วัน เช่านานยิ่งคุ้ม แสนถูก เช่าง่าย รถสะอาดปลอดภัย คุ้มค่า วีออส  ยาริส ซิตี้ อัลเมร่า แคมรี่ อัลติส ซีวิค กระบะมิตซูไททั้น ตู้Volkswagen
รับรถแคราย นนทบุรี สถาบันโรคทรวงอก  
มีบริการส่งถึงที่ ประกันรถ 5000 โทร

083-7124115  
Line id : 0837124115
www.รถเช่าดี.com

https://www.facebook.com/profile.php?id=100004405322209
#3691


ท่อเอสซีจี ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium" ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ใหม่ เป็นรายแรกในประเทศไทย ยืนยันส่งมอบความสะอาด ปลอดภัย มั่นใจอย่างสูงสุดให้แก่ผู้บริโภค ด้วยท่อไร้สารตะกั่ว (LEAD FREE) ซึ่งผ่านกระบวนการผลิตจากเทคโนโลยีสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนตกค้าง ตอบโจทย์ทุกการใช้งานที่หลากหลาย

มาพร้อมสัญลักษณ์ No.1 LEAD FREE และการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) 17-2561 รายแรกในประเทศไทย นับว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ท่อให้ดียิ่งขึ้น โดย มอก.ใหม่นี้ครอบคลุมในเรื่องของกระบวนการผลิตและเนื้อท่อที่จะต้องมีความปลอดภัย ปราศจากโลหะหนักปนเปื้อน อาทิเช่น สารตะกั่ว และแคดเมียม เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ สะอาด และปลอดภัยยิ่งขึ้น ครอบคลุมครบทุกความต้องการ ทั้งภายในบ้าน อาคาร และสถานที่ที่ใส่ใจความอนามัยอย่างสูงสุด

ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการันตีคุณภาพ ทั้งจาก NSF International ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อพีวีซี รองรับการออกแบบอาคาร Green Building ตาม WELL Building Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่คำนึงถึงสุขภาวะหรือคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยเป็นสำคัญ ฉลากเขียว (Green Label) ผลิตภัณฑ์ผลิตจากวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และ SCG Green Choice
โดยอ้างอิงมาตรฐาน ISO14021 ในด้านกลุ่มส่งเสริมสุขภาพและสุขอนามัยที่ดี (Well-being) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างสูงสุด

นอกจากนี้ ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium มีท่อให้เลือกใช้ได้อย่างหลากหลาย จึงพร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกบ้าน (End-user) ช่าง ผู้รับเหมา สถาปนิก หรือเจ้าของโครงการต่างๆ ยกระดับคุณภาพสินค้าอย่างมีมาตรฐาน ควบคู่การยกระดับคุณภาพชีวิต ให้ทุกการใช้งานสะอาด ปลอดภัย มั่นใจยิ่งขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
#3692












ขายบ้านสวยพร้อมเข้าอยู่  ใจกลางชุมชน  ในตัวอำเภอเมือง จ.สมุทรสาคร เนื้อที่ 36 ตารางวา 1,200,000 บาท  ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง สาธ่รณูปโภคครบครัน โฉนดเลขที่ 79680 เลขที่ดิน 103  หน้าสำรวจ 8795  อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก  คสล.ชั้นเดียว  เลขที่  27/6  หมู่่ที่ 3  ต.บางหญ้าแพรก  อ.เมือง จ.สมุทรสาคร  เข้าจากถนนธรรมคุณากร  เลี้ยวเข้าถนนสายสมุทรสาคร-สมุทรปราการ   ที่ตั้งอยู่ใกล้  อบต.บางหญ้าแพรก  อยู่ใกล้วีดโกรกกรากใน  วัดสามัคคีศรัทธาราม   ทางคมนาคมสะดวกสบาย  น้ำไฟถึง 
 
สนใจโทร 083-712-4115
LINE ID  : 0837124115

https://www.google.com/maps/place/13%C2%B031'49.8%22N+100%C2%B017'02.1%22E/@13.530491,100.2839079,17z
 
#3693


นายมนัส วงษ์จันทร์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หรือ กฟก. เปิดเผยว่า จากที่มีพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เพราะส่งผลให้การดำเนินงานด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สิน เป็นไปด้วยความคล่องตัว โดยเฉพาะกรณีแก้ปัญหาหนี้ที่ใช้บุคคลค้ำประกัน และได้นำมาสู่การออกระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรว่าด้วยการจัดการหนี้ของเกษตรกร กรณีหนี้ที่มีบุคคลค้ำประกันพ.ศ. 2563 ที่ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ มีอำนาจในการเข้าไปแก้ไขหนี้ที่เกิดจากอาชีพการเกษตรด้วยการกู้ยืมโดยใช้บุคคลค้ำประกัน จากสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น สหกรณ์ ธกส. ธนาคารพาณิชย์ และนิติบุคคล รวมทั้งธนาคารของรัฐ เป็นต้น

" ทั้งนี้ตามกฎหมายเดิมนั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงหนี้ที่ใช้บุคคลค้ำประกัน ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯจัดการได้เฉพาะหนี้ที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน พอรัฐบาลได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้ผลักดันให้แก้กฎหมายจนสำเร็จ และส่งผลให้กองทุนฟื้นฟูฯเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้บุคคลค้ำประกันได้ ดังนั้นจึงขอฝากไปยังพี่น้องเกษตรกรว่า อย่าปล่อยให้ปัญหาหนี้ลุกลามจนถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย หรือถูกฟ้องดำเนินคดีบังคับคดีขายทอดตลาด เมื่อมีปัญหาหนี้สินขอให้พี่น้องเกษตรกรเดินเข้ามาปรึกษา กองทุนฟื้นฟูฯ พร้อมให้คำปรึกษาหาทางออก เพื่อให้ทุกคนสามารถรักษาที่ดินทำกินให้กับลูกหลานไว้ต่อไป "


ผู้อำนวยการสำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร กล่าวต่อไปว่า การเข้าไปจัดการหนี้ให้พี่น้องเกษตรกรตามระเบียบฯ กรณีหนี้ที่มีบุคคลค้ำประกันพ.ศ. 2563 ต้องไม่เกิน 500,000 บาท และ ต้องมีบุคคลมาค้ำประกันซึ่งแบ่งเป็น หนึ่ง หนี้เงินต้นคงค้างไม่เกิน 200,000 บาท ให้องค์กรเกษตรกรร่วมกับเกษตรกรหาผู้ค้ำประกัน 2 คน เช่น ให้บุคคลเดิมมาค้ำประกัน แต่ถ้าบุคคลเดิมหรือทายาทไม่มาค้ำประกัน หรือค้ำประกันแล้วยังไม่พอ สามารถที่จะเอาสมาชิกองค์กรเกษตรกรมาค้ำให้ได้รวม 2 คน สอง หนี้เงินต้นคงค้างตั้งแต่ 200,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ให้องค์กรเกษตรกร ร่วมกับเกษตรกรหาผู้ค้ำประกัน 3 คน โดยให้บุคคลเดิมค้ำรวมทั้งทายาท ถ้ายังไม่พอให้สมาชิกองค์กรเกษตรกรมาค้ำประกัน และสาม หนี้เงินต้นคงค้างตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป ให้องค์กรเกษตรกรร่วมกับเกษตรกรหาผู้ค้ำประกัน 4 คน ประกอบด้วย ทายาท 1 คน และสมาชิกองค์กรเกษตรกร 3 คน

"แต่กรณีไม่มีทายาทมาค้ำประกัน ตามระเบียบได้เปิดโอกาสให้ให้องค์กรเกษตรกรมอบหมายกรรมการองค์กรเกษตรกรหรือสมาชิกองค์กรเกษตรกรมาค้ำประกันแทนได้ ถือเป็นข้อดีและเป็นประโยชน์ ถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นคำตอบว่า ทำไม กองทุนฟื้นฟูฯจึงต้องกำหนดให้เกษตรกรสังกัดองค์กร สืบเนื่องจาก เกษตรกรที่จะมาเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องไปเป็นสมาชิกองค์กรเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกองทุนฟื้นฟูฯ ดังนั้นการทำกิจกรรมหรือทำภาระผูกพันใดๆ องค์กรเกษตรกรต้องรับรู้ รวมทั้งมาค้ำประกัน นั่นหมายความว่า สมาชิกเองต้องเข้าร่วมกิจกรรม กรรมการองค์กรก็ต้องเข้ามาดูแลสมาชิก ทำให้เป็นความผูกพัน เกิดการช่วยเหลือกัน นำมาซึ่งความเข้มแข็งให้กับองค์กรเกษตรกร " นายมนัส กล่าวในที่สุด
#3694


"สรรพากร"เล็งแก้โครงสร้างภาษีใหม่ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำประโยชน์คนรวย-เอื้อคนชั้นกลาง เล็งปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่"สอท."เปิดผลสำรวจโควิดหนัก แรงงานขาด ฉุดกำลังผลิตส่งออกวูบ จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนแรงงาน ม.33

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.64 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า แนวทางการปรับโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องกับกรมสรรพากรคือการปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีและการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยหลักการคือจะต้องดำเนินการเพื่อเอื้อให้คนชั้นกลางได้ผลประโยชน์มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากค่าลดหย่อนทางภาษีเงินได้ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนที่ได้ประโยชน์คือ คนที่มีรายได้สูง ส่วนคนชั้นกลางที่อยู่ในฐานภาษีได้รับประโยชน์ที่น้อยกว่า ส่วนการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น จะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเห็นว่าหากจะปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะต้องลดให้กับคนชั้นกลางลงมาที่อยู่ในฐานภาษี อย่างไรก็ตามการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องแก้ไขประมวลกฎหมายของกรมฯ และมีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นอัตราแบบขั้นบันใด ( Progressive Rate)

"ปัจจุบันค่าลดหย่อนทางภาษีที่กรมฯให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีมากเกือบ 20 รายการ คิดเป็นค่าลดหย่อนทางภาษีรวมกันทุกรายการมากกว่า 2 ล้านบาท เช่น ค่าลดหหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 6 หมื่นบาท, ค่าลดหย่อนบุตร 3 หมื่นบาท, ค่าใช้จ่ายในการซื้อเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป หักลดหย่อนตามจริงแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีการลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการซื้อหน่วยลงทุน RMF 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท และเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่เกิน 15 % ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นต้น"

สำหรับบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งได้ปรับปรุงอัตราและขั้นบันใดของเงินได้ใหม่ และเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2560 ได้กำหนด 8 ขั้นบันใดของเงินได้ เริ่มตั้งแต่เงินได้ที่ไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี, เงินได้ที่มากกว่า 150,000 แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท เสียในอัตรา 5 % และขั้นบันใดสุดท้าย หรืออัตราสูงสุด คือ รายได้ที่มากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป จ่ายในอัตรา 35%
แหล่งข่าว กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา รายได้ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รัฐบาลต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีของประเทศ โดยการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลลงมา แต่ยังไม่สามารถปรับเพิ่มภาษีโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้รายได้ของรัฐบาลลดต่ำลง

ทั้งนี้ ใน 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ณ เดือนพ.ค.นี้ รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.441 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.98 แสนล้านบาท หรือ 12.1% ขณะที่ กรมสรรพากร ซึ่งเป็นกรมฯที่ทำรายได้มากที่สุดของรัฐบาล ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 จัดเก็บได้ 1.059 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.38 แสนล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมาย 11.5 % ส่วนในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 2.394 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3.36 แสนล้านบาท หรือ 12.3%

วันเดียวกัน นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ "การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้งรักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วนใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 53.6 มีการจ้างงานลดลง 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 31.3 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 - 20% คิดเป็นร้อยละ 10.3 และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 4.8

โดยในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง น้อยกว่า 30% คิดเป็นร้อยละ 45.2 โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 26.5 โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 - 50% คิดเป็นร้อยละ 20.5 และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 7.8 เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค หรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็นร้อยละ 51.8 รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็นร้อยละ 49.4 และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 41.6

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็นร้อยละ 50.0 รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็นร้อยละ 48.8 และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็นร้อยละ 45.8

ส่วนกรณีที่ภาครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใดพบว่า 3 อันดับแรกได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 69.9 รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 66.9 และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 65.1

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน ม.33 คิดเป็นร้อยละ 92.8 รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) คิดเป็นร้อยละ 69.9 และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือร้อยละ 1 ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 66.9

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็นร้อยละ 83.1 รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็นร้อยละ 68.1 และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็นร้อยละ 65.7
#3695


วิจัยกรุงศรีรายงานว่าอุปสงค์ในประเทศเดือนมิถุนายนยังคงซบเซา แต่เศรษฐกิจยังพอได้แรงหนุนจากการส่งออก ส่วนภาคการผลิตในไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแม้ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนบ้างเล็กน้อย (+1.2% MoM sa) แต่โดยรวมยังอ่อนแอ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน (+0.2%) โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามทิศทางการส่งออก ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียงเล็กน้อย จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกที่เติบโตในอัตราสูง (46.1%YoY) ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเติบโตกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ



เศรษฐกิจไตรมาส 2 อ่อนแอลงจากไตรมาสแรก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสามของ COVID-19 ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจหดตัวจากไตรมาสแรกที่ -0.6% QoQ sa แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนอาจขยายตัวได้ 7% YoY ซึ่งเป็นผลของฐานที่ติดลบหนักเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลต้า โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.และปริมณฑล มาตรการควบคุมการระบาดจึงเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและอาจกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้และอาจจะติดลบมากกว่าในไตรมาส 2



โดยกระทรวงการคลังประเมินเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 1.3% และจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ 4-5% ในปีหน้า ด้านวิจัยกรุงศรีชี้ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือขยายตัว 1.3% จากเดิมคาด 2.3% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาไทยลดลงจากเดิม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก นอกจากนี้ สศค. ยังชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นเป็น 4-5% ในปี 2565 แรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลงและมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น กอปรกับการส่งออกจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง

ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ปีนี้จะขยายตัว 1.2% (เดิมคาด 2.0%) ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด และจากแบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงต่ำกว่า 1,000 ราย ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนมาตรการควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจึงยังคงซบเซา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะมีเพียง 2.1 แสนคน (เดิมคาด 3.3 แสนคน) นอกจากนี้ อานิสงส์จากการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ หนุนให้มูลค่าส่งออกของไทยในปีนี้เติบเติบโตถึง 15% แม้ในช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกอาจชะลอลงบ้าง ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นในช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นและการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กอปรกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการจัดหาและการกระจายวัคซีนของไทย รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้า

ด้านเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีแนวโน้มแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น IMF คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัว 6% แต่การเติบโตยังถูกกดดันจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและความไม่แน่นอนหลายด้าน จากประมาณการเศรษฐกิจรอบล่าสุด IMF คงตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP โลกในปี 2564 ที่ 6.0% แม้จะปรับเพิ่มการขยายตัวของ GDP กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็น 5.6% (เดิม 5.1%) นำโดยสหรัฐฯเป็น 7.0% (เดิม 6.4%) และยูโรโซน 4.6% (เดิม 4.4%) แต่ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ลงสู่ 6.3% (เดิม 6.7%) โดยเฉพาะจีนเป็น 8.1% (เดิม 8.4%)

สำหรับการคาดการณ์ล่าสุดของ IMF สะท้อนว่าการฟื้นตัวของหลายประเทศมีความแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับการเข้าถึงวัคซีน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจโลกทั้งแรงกดดันชั่วคราวด้านราคาจากข้อจำกัดด้านอุปทาน การระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่รุนแรงขึ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงและส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งซ้ำเติมการฟื้นตัวของประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดแคลนวัคซีนและมีภาระหนี้สูง และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดที่อาจยืดเยื้อ เนื่องจากข้อจำกัดในการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติม

ส่วนการปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP จีนนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากต้นปี ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้มาตรการเพื่อควบคุมการเก็งกำไรในบางภาคเศรษฐกิจและสร้างความเป็นธรรมในตลาด ล่าสุดทางการจีนห้ามบริษัท Tencent ผูกขาดธุรกิจเพลงออนไลน์ และห้ามการแสวงหากำไรในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การใช้นโยบายดังกล่าวบ่งชี้ว่าจีนให้ความสำคัญกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพมากกว่าการขยายตัวของ GDP ในอัตราสูง ขณะที่ยังสนับสนุนการเติบโตของภาคเศรษฐกิจจริงต่อไป

เฟดประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตต่อเนื่องและอาจเริ่มส่งสัญญาณ QE Tapering ปลายเดือนนี้ ขณะที่ GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 6.5% QoQ เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการ QE ทั้งนี้ เฟดประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายระยะยาว มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย GDP ไตรมาส 2/2564 ขยายตัว 6.5% QoQ เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 3.5% YoY สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2534 สำหรับเดือนกรกฎาคมดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board แตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 129.1 ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 กรกฎาคมลดลงจากสัปดาห์ก่อนสู่ระดับ 4.0 แสนราย

เศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฟดประเมินว่าการฟื้นตัวอยู่บนเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายระยะยาว จากปัจจัยหนุนทั้งความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและมาตรการภาครัฐ ทั้งนี้ เฟดอาจส่งสัญญาณ QE Tapering ในช่วงการประชุมธนาคารกลางทั่วโลกที่เมืองแจ็กสัน โฮล ระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคมนี้ และคาดว่าจะประกาศแผน Tapering ในไตรมาส 4/2564 จากนั้นอาจจะเริ่มปรับลด QE ช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า

GDP ยูโรโซนกลับมาขยายตัวในไตรมาส 2/2564 โดยเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ในไตรมาสที่ 2 GDP ยูโรโซนขยายตัว 2.0% QoQ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนอัตราการว่างงานเดือนมิถุนายน ลดลงสู่ระดับ 7.7% ต่ำสุดในรอบ 15 เดือน สำหรับในเดือนกรกฎาคมอัตราเงินเฟ้อทั่วไปแตะระดับ 2.2% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2561 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยูโรโซนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 119.0

ข้อมูลล่าสุดสะท้อนการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดย GDP ไตรมาส 2/2564 กลับมาขยายตัวหลังจากที่เผชิญภาวะการถดถอยทางเทคนิคในช่วง 2 ไตรมาสก่อน จากแรงหนุนทั้งการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเร่งกระจายวัคซีนโดยมีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสสูงถึง 59.2% ของประชากร ปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ประกอบกับการเริ่มเบิกจ่ายเงินภายใต้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูของสหภาพยุโรป (EU Recovery Fund) ในไตรมาส 3/2564 จึงคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
#3696


บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จัดทำกล่อง "GULF CARE" (กัลฟ์แคร์) บรรจุยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งไม่แสดงอาการรุนแรง สามารถแยกรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) แยกรักษาตัวในชุมชน (Community Isolation) หรืออยู่ระหว่างรอเตียง เตรียมส่งมอบให้หน่วยงานและกลุ่มจิตอาสาที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 เช่น เส้นด้าย และมูลนิธิกระจกเงา ตั้งเป้า 10,000 ชุด มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถแจ้งความประสงค์ขอรับกล่อง GULF CARE โดยกรอกแบบฟอร์มที่ https://bit.ly/gulfcareform หรือสแกน QR Code ด้านล่าง ทั้งนี้โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "Gulf Sparks Smiles จุดพลังให้คนไทยยิ้มได้" ที่ริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งช่วยเหลือคนหลากหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจ https:// www.facebook.com/GulfSPARK.TH/


นายสิตมน รัตนาวะดี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวางแผนธุรกิจ ตัวแทนบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ  GULF กล่าวว่า จากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง มีผู้ป่วยจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการแยกรักษาตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) หรือแยกรักษาตัวในชุมชน  (Community Isolation) บางกลุ่มอาจอยู่ระหว่างรอเตียง ซึ่งหลายคนอาจยังไม่มีความพร้อมเรื่องยาและอุปกรณ์ในการตรวจเช็คอาการระหว่างรักษาตัวที่บ้าน ทาง GULF จึงทำกล่อง GULF CARE (กัลฟ์แคร์) ขึ้นมา โดยภายในกล่องประกอบด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ปรอทวัดไข้แบบดิจิทัล ยาพาราเซตามอล ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการรักษาตัวอย่างน้อย 14 วัน รวมทั้งมีคำแนะนำสำหรับการรักษาตนเองที่บ้านด้วย โดยทางเราหวังว่ากล่อง GULF CARE (กัลฟ์แคร์) จะเป็นอีกแรงที่ช่วยสนับสนุน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นหรือหายป่วยได้ในเร็ววัน
#3697
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3698


แม่ฮ่องสอน - เครือข่าย "สะพานบุญครูหนึ่ง" ผนึกชาวแม่ฮ่องสอน ร่วมลงขัน-ลงแรงทำ "น้ำพริกคั่ว" เมนูที่ขาดไม่ได้ของชาวไต แพ็คส่งช่วยเหลือพี่น้องชาวไทใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาดฟรีทั่วประเทศ

สถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนจำนวนมากอยู่ในขณะนี้ มีผู้ได้รับความเดือดร้อนมากมาย โดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงเข้มที่จะต้องใช้มาตรการเข้มงวดทั้งล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว เพิ่มเป็น 29 จังหวัด

และแน่นอนว่าตามจังหวัดเหล่านี้..มีพี่น้องชาวไทใหญ่หรือแรงงานชาวไต ทั้งจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบอยู่ด้วย ประกอบกับมาตรการในการกักตัวหรือระหว่างการรักษาตัวก็จะมีเรื่องอาหารการกินเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ ทำให้ที่ผ่านมาก็จะมีการติดต่อกับญาติพี่น้องในภูมิลำเนาเพื่อขอให้จัดส่งสิ่งของหรืออาหารไปให้เป็นระยะ

โดยหนึ่งในเมนูบนสำรับกับข้าวของพี่น้องชาวไทใหญ่ หรือพี่น้องไต ที่ขาดไม่ได้คือ "น้ำพริกไทใหญ่หรือน้ำพริกคั่ว" ซึ่งผู้คนที่ต้องกักตัวตามต่างจังหวัดก็จะลำบากที่ไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบมาทำได้

ล่าสุดชาวบ้านในจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็ได้ประสานความร่วมมือกับ "สะพานบุญครูหนึ่ง" ที่มีนายชาติชาย น้อยสกุล หรือครูหนึ่ง โต๊ะอิหม่ามหรือผู้นำศาสนาอิสลามของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นฟันเฟืองหลักผสานความร่วมมือกับคริสตจักรและวัดต่างๆ ในรูปแบบภาคี 3 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้ด้อยโอกาส และตอนนี้ยังรวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

พร้อมกับรวบรวมวัตถุดิบที่จะต้องใช้ในการทำน้ำพริกคั่วไทใหญ่ และระดมกำลังของชาวบ้านหรือผู้ที่ว่างงาน มาช่วยกันลงมือปรุงน้ำพลิกคั่วไทใหญ่ทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้รสชาดแบบดั้งเดิมของชาวไตในแม่ฮ่องสอน



ซึ่งการทำน้ำพริกคั่วไทใหญ่นั้น วัตถุดิบหลักๆก็จะมีหอมแดง กระเทียม ปลาเกล็ดขาวเล็ก กุ้งแห้ง พริกแห้ง เครื่องปรุงรสต่างๆ เกลือ น้ำมันพืชและที่ขาดไม่ได้คือถั่วเน่า (ถั่วเหลืองหมักและแปรรูปเป็นแผ่นตากแห้ง เป็นเครื่องปรุงรสเหมือนกับปลาร้าหรือกะปิ)

แต่ละคนจะต้องมาช่วยกันทั้งแกะและซอยหอมแดง กระเทียมหลังจากแกะเปลือกแล้วก็จะต้องตำให้แหลก ส่วนถั่วเน่าที่ถือว่าเป็นวัตถุดิบหลักของน้ำพริกคั่วก็ต้องนำมาย่างให้หอมแล้วนำมาตำให้ละเอียด

ขั้นตอนที่ยากและต้องใช้เวลามากก็คือต้องนำวัตถุดิบทั้งกระเทียมตำละเอียดกับหอมแดงที่ซอยไว้นั้นมาทอดในน้ำมันให้หอม ก่อนที่จะนำมาพักให้หายร้อนและสะเด็ดน้ำมัน เช่นเดียวกับปลาเกล็ดขาวเล็กก็ต้องนำมาทอดเช่นเดียวกัน ส่วนกุ้งแห้งหลังจากนำมาทอดพอหอมแล้วนำมาโขลกพอหยาบ พริกแห้งก็ต้องนำมาคั่วให้แห้งและโขลกให้ละเอียด

จากนั้นก็จะเป็นวิธีการนำทุกอย่างที่เตรียมไว้พักให้เย็นแล้ว นำมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกันในอัตราส่วนที่พอดีตามสูตรของชาวไทใหญ่ ก่อนที่จะบรรจุใส่ถุงและแพ็คใส่กล่องไปรษณีย์ส่งไปยังปลายทางตามที่มีผู้ป่วย หรือผู้กักตัวได้ร้องขอมา โดยส่งให้ฟรีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

นายชาติชาย น้อยสกุล แกนนำเครือข่ายสะพานบุญครูหนึ่ง บอกว่า ตอนนี้พี่น้องชาวไใหญ่ที่อยู่ในหลายจังหวัดต้องการน้ำพริกคั่วไทใหญ่มากขึ้น ต้องระดมทั้งคนและวัตถุดิบต่างๆ มาทำ พอทำเสร็จก็จะทยอยส่งไปเรื่อยๆ คาดว่าจะต้องทำไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและเป็นอาหารที่ถูกปากของชาวไทใหญ่อยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งกำลังใจของชาวแม่ฮ่องสอนส่งไปให้กับผู้ได้รับความเดอืดร้อนในขณะนี้

ทั้งนี้ "สะพานบุญครูหนึ่ง" เริ่มต้นช่วยเหลือผู้อื่นจากทุนทรัพย์ของตนเอง ปัจจุบันนี้องค์กรในนามสะพานบุญครูหนึ่งก็ได้รับความสนใจจากผู้คนช่วยกันบริจาคทั้งเงิน สิ่งของเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ไม่เพียงแต่ผู้คนในแม่ฮ่องสอนเท่านั้น ในขณะนี้มีผู้ใจบุญร่วมกันบริจาคมาจากทั่วประเทศและมีบางรายอยู่ต่างประเทศ

และที่ผ่านมา ชาวแม่ฮ่องสอนจะเห็นภาพ สะพานบุญครูหนึ่ง ทำหน้าที่รับบริจาค รวบรวมสิ่งของจำพวกข้าวสาร อาหารแห้ง ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็กและผู้ใหญ่ เสื้อผ้า ยา ขนม และสิ่งที่จำเป็นในยุคนี้ก็คือหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล วัสดุทางการแพทย์จำพวกชุด PPE เพื่อมอบแก่ทีมแพทย์และพยาบาล รวมไปถึงการก่อสร้างที่พักให้แก่ผู้ที่ไร้บ้าน ผู้พิการ พร้อมไปกับการเข้าไปดูแลอย่างต่อเนื่องในรายที่กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงแบบถาวร
#3699


เมื่อวันที่ 1 ส.ค. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,103 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 40.6 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 346 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 164 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 158.01 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (73% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 68.15 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 17,685,974 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 52.64%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,104 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 17,685,974 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 13,802,916 โดส (20.9% ของประชากร)
-เข็มสอง 2 3,883,058 โดส (5.9% ของประชากร)

2. จำนวนวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 1 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 17,685,974 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 259,447 โดส/วัน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 832,316 โดส
- เข็มที่ 2 153,776 โดส
วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 7,679,588 โดส
- เข็มที่ 2 320,491 โดส
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 5,291,012 โดส
- เข็มที่ 2 3,408,791 โดส

3. รายงานผู้มีอาการข้างเคียงภายหลังได้รับการฉีดวัคซีน
- 96.65% ไม่มีผลข้างเคียง
- 3.35% มีผลข้างเคียงไม่รุนแรง ประกอบด้วย
- ปวดกล้ามเนื้อ 0.80%
- ปวดศีรษะ 0.60%
- ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด 0.43%
- เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 0.39%
- ไข้ 0.26%
- คลื่นไส้ 0.18%
- ท้องเสีย 0.12%
- ผื่น 0.10%
- ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง 0.08%
- อาเจียน 0.05%
- อื่น ๆ 0.34%

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 114.7% เข็มที่2 99.1%
- อสม เข็มที่1 47.3% เข็มที่2 21.3%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 23% เข็มที่2 1.4%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 28% เข็มที่1 4.8%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 46% เข็มที่2 27.1%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 25.5% เข็มที่2 7.1%
รวม เข็มที่1 27.6% เข็มที่2 7.8%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 45.9% เข็มที่2 10.7% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 64.3% เข็มที่2 13.8%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 27.9% เข็มที่2 13.1%
- นนทบุรี เข็มที่1 30.9% เข็มที่2 10.6%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 30.7% เข็มที่2 5.5%
- ปทุมธานี เข็มที่1 22.7% เข็มที่2 5.4%
- นครปฐม เข็มที่1 15% เข็มที่2 3.0%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 12.2% เข็มที่2 4.0%
- ภูเก็ต เข็มที่1 75.3% เข็มที่2 59.2%
- ระนอง เข็มที่1 36.8% เข็มที่2 11.6%
- สุราษฎร์ธานี เข็มที่1 20% เข็มที่2 7.9%
- เกาะสมุย เข็มที่1 36% เข็มที่2 10.1%
- เกาะเต่า เข็มที่1 19.8% เข็มที่2 5.7%
- เกาะพะงัน เข็มที่1 28.1% เข็มที่2 3.6%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 158,013,044 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 68,151,247 โดส (17.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 20,533,660 โดส (42.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 20,008,331 โดส (10.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 17,685,974 โดส (20.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 12,088,317 โดส (43.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca และ Sinovac
6. สิงคโปร์ จำนวน 7,626,939 โดส (73.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
7. เวียดนาม จำนวน 6,203,866 โดส (5.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,050,711 โดส (16.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 163,999 โดส (30.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 65.25%
2. อเมริกาเหนือ 12.05%
3. ยุโรป 14.38%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.38%
5. แอฟริกา 1.58%
6. โอเชียเนีย 0.36%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,637.40 ล้านโดส (58.5% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 467.26 ล้านโดส (17.1%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 345.64 ล้านโดส (54.0%)
4. บราซิล จำนวน 141.74 ล้านโดส (34.7%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (78.4% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (78.1%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. บาห์เรน (72.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
4. อุรุกวัย (68.0%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
5. กาตาร์ (67.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. ชิลี (66.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. สิงคโปร์ (65.0%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
8. แคนาดา (65.3%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
9. สหราชอาณาจักร (63.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
10. เดนมาร์ก (63.5%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)  
#3700


โอเอช ลูเวิน ลงสนามในเกมจูปิแลร์ โปรลีก นัดที่ 2 ของฤดูกาลบุกไปเสมอกับ เซอร์เคิ่ล บรูจ 1-1 เก็บเพิ่มอีกหนึ่งแต้ม เป็นการเสมอติดต่อกัน 2 นัด ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้

มาร์ค บรีส์ เปลี่ยนผู้เล่นแค่คนเดียวจากเกมเปิดบ้านเสมอ ซูลเต้ วาเรเก็ม โดยส่ง ทูน เรแมเคอร์ส ลงเล่นแทน หลุยส์ พาทริส ในตำแหน่งกองหลัง

เริ่มเกมเจ้าบ้าน ที่ชนะ ลูเวิน มารวดในการพบกัน 2 นัดหลังสุดเป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่า แต่เป็น ลูเวิน ที่ออกนำไปก่อนจากจังหวะที่ ซาเวียร์ แมร์ซิเอร์ จ่ายทะลุช่องให้ โธมัส อองรี หลุดเข้าในเขตโทษยิงขึ้นนำ 1-0 เป็นการยิง 2 ประตูจาก 2 นัดแรกของ อองรี ด้วย

ครึ่งหลังแม้ ลูเวิน จะเป็นฝ่ายครอง.ได้มากกว่า หาโอกาสทำประตูได้มากกว่า แต่กลับเป็น เซอร์เคิ่ล บรูจ ที่มาได้ประตูตีเสมอ จากการขึ้น.ทางขวาของ วิตินโญ่ แบ็กจอมลุยชาวบราซิล ที่เปิด.เข้ากลาง และแนวรับ ลูเวิน เคลียร์.ไม่ขาด .ไปเข้าทาง วัลโด รูบิโอ มาร์ติน ตวัดยิงเข้าไป เสมอกันที่ 1-1

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่านัดนี้ยังคงไม่มีรายชื่อของ "ตอง" กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นายทวารทีมชาติไทย ทั้งตำแหน่งตัวจริง และตัวสำรองเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน แม้จะมีรายงานว่าเจ้าตัวยังพร้อมจะอยู่แย่งชิงตำแหน่งต่อไปก็ตาม

สำหรับ โอเอช ลูเวิน เก็บได้ 2 คะแนนจาก 2 นัดยังอยู่อันดับที่ 10 ของตาราง ส่วนเซอร์เคิ่ล บรูจ มี 4 คะแนนจาก 2 นัดขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูง

ขณะที่นัดต่อไป ลูเวิน จะกลับมาเล่นในบ้านพบกับ สปอร์ติ้ง ชาร์เลอรัว วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2564 เวลา 21.00 น.