• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

ICHI เป้ายอดขายปี 65 โตแตะ 6.5 พันลบ.ประคองต้นทุนพยุงกำไร,Predictive

Started by Ailie662, March 11, 2022, 09:53:49 PM

Previous topic - Next topic

Ailie662

ICHI เป้ายอดขายปี 65 โตแตะ 6.5 พันลบ.ประคองต้นทุนพยุงกำไร,Predictive เล็งเข้าตลาดหุ้น

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 65 เติบโต 24% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มตลาดชาพร้อมดื่มทั้งในและต่างประเทศยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าจะยังมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ก็ตาม แต่สินค้าชาเขียวเป็นตลาดเครื่องดื่มชนิดเดียวที่มีการเติบโตในปีที่ผ่านมา และในช่วงเดือน ม.ค.65 ยังเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหนุนให้กับยอดขายของบริษัททั้งในไทยและต่างประเทศ

สำหรับตลาดในประเทศไทย ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนที่ยอดขายในประเทศเป็นตัวหลักที่เข้ามาหนุนผลการดำเนินงาน โดยบริษัทยังคงเดินหน้าทำการตลาดเพื่อผลักดันยอดขาย และยังเห็นการเติบโตได้ดี ซึ่งในเดือน ม.ค.65 ตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศเติบโตสูงถึง 28% เป็นปัจจัยบวกต่อยอดขายชาเขียว และภาพรวมยอดขายในไตรมาส 1/65 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทตั้งเป้าเฉพาะยอดขายชาเขียวในประเทศในปีนี้ที่ 5 พันล้านบาท

"การเติบโตของยอดขายในประเทศมาจากร้านค้าโชห่วยมาก จากการที่รัฐบาลมีการอัดเงินให้กับประชาชนไปซื้อของตามร้านค้าโชห่วย และการที่คนอยู่บ้านทำให้มีการซื้อของร้านค้าใกล้บ้าน ทำให้ยอดขายที่เติบโตมาจากร้านค้าโชว์ห่วยมาก และเป็นช่องทางที่เรามีกำไรมากกว่าการขายในโมเดิร์นเทรด"นายตัน กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังคงผลักดันกลุ่มสินค้า Non-tea ในปีนี้ จากการกลับมาทำตลาดอีกครั้งของเครื่องดื่ม "ไบเล่" ที่กลับมาทำตลาดในราคาขวดละ 10 บาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขาย "ไบเล่" ราว 100 ล้านบาทในปีนี้ และจะมีเครื่องดื่มใหม่ที่ทยอยออกมาเพิ่มเติม เช่น ชาไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ตั้งเป้ายอดขายไว้ 135 ล้านบาท และเครื่องดื่มผสมกัญชง คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนมิ.ย.65 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 200 ล้านบาท

ด้านธุรกิจ OEM จ่อเซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหม่เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ราย โดยจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงปลายไตรมาส 2/65 จากปัจจุบันมีลูกค้าหลักอยู่ 2 ราย คือ บริษัท ไทยโคโคนัท และ คิง พาวเวอร์ สนับสนุนให้อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) มากขึ้น และทำให้บริษัทจะมีรายได้จาก OEM เข้ามาในปีนี้ราว 150 ล้านบาท

ส่วนตลาดอินโดนีเซีย ในช่วงต้นปีนี้เติบโตขึ้นค่อนข้างมากจนยอดขายสินค้าของ ICHI สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ได้ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา และยังมีโอกาสในการขยายตลาดอีกมาก โดยเฉพาะช่องทางร้านค้าทั่วไป (TT) ที่บริษัทจะเจาะตลาดให้มากขึ้น และจะเพิ่มสินค้าเครื่องดื่มใหม่เข้าไปจำหน่ายอีกหลายรายการในปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายในอินโดนีเซียปีนี้ไว้ที่ 1.82 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อนที่ 1.4 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทรับรู้กำไรเข้ามาจากกิจการร่วมทุนประมาณ 75 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 55 ล้านบาทในปีก่อน

"การดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียเริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนมาตลอด และบริษัทยังใช้ฐานการผลิตจากผู้ผลิตท้องถิ่นในการผลิตขายในประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีโรงงานที่รับจ้างผลิตเครื่องดื่มให้กับบริษัท 2 ไลน์การผลิตหลัก และบริษัทจะมีการขยายตลาดส่งออกไปยังฟิลิปปินส์และบรูไนเพิ่มเติมในปีนี้"นายตัน กล่าว
นายตัน กล่าวอีกว่า บริษัทยังจะไม่รีบตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตในประเทศอินโดนีเซีย แม้ว่าจะมีที่ดินเตรียมพร้อมรองรับการก่อสร้างโรงงานอยู่แล้วก็ตาม และยอดขายในอินโดนีเซียจะแตะ 1 พันล้านบาทตามเป้าหมาย แต่ขณะนี้โรงงานที่รับจ้างผลิตเครื่องดื่มให้กับบริษัทยังมีกำลังการผลิตเพียงพอ ทำให้ยังไม่มีความจำเป็นในการลงทุนก่อสร้างโรงงานเอง ดังนั้น บริษัทจึงได้ขยับเพิ่มเป้าหมายยอดขายเป็น 2.5 พันล้านบาทก่อนจะลงทุนสร้างโรงงาน

ด้านต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนไปตามสัญญาของบริษัทขนส่งที่บริษัทใช้บริการ โดยบริษัททำสัญญากับผู้ให้บริการขนส่งทุกๆ 6 เดือน และปัจจุบันต้นทุนการขนส่งในสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้ปรับเพิ่มราคาขายส่งกับร้านค้า 2 บาท/ลัง ซึ่งกระทบต่อกำไรของร้านค้าที่ซื้อสินค้าของบริษัทเล็กน้อยราว 1 บาท แต่ยืนยันว่าไม่กระทบต่อราคาขายปลีกที่ขายให้กับลูกค้า

หากราคาน้ำมันยังยืนอยู่ในระดับสูงและยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทมองว่าอาจจะกระทบต่อกำไรในปีนี้ที่อาจจะทำได้แค่ใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่ายอดขายจะเติบโตขึ้น แต่ปัจจุบันต้นทุนการขนส่งเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มจะกลับมาดีขึ้น หลังจากมีสัญญาณที่ดีในเรื่องราคาน้ำมันที่ลดลงมาบ้างจากโอกาสในการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

ส่วนงบการตลาดในปี 65 บริษัทวางไว้ที่ 5.5% ของยอดขาย ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ใช้ไป 5.3% โดยในปีนี้จะไม่ได้ทำแคมเปญใหญ่ในช่วงซัมเมอร์เหมือนกับปีที่แล้ว เพราะบริษัทจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนการตลาดหลังจากทางการได้เก็บสรรพสามิตความหวาน ซึ่งสอดคล้องกับการทำการตลาดของผู้ประกอบการชาพร้อมดื่มในตลาดที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้บริษัทยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ และหันมาใช้การทำการตลาดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

นายตัน ยังกล่าวถึงการเข้าไปถือหุ้นในบริษัท พรีดิกทิฟ จำกัด (Predictive) ในสัดส่วน 25% ว่า เพื่อเป็นการรองรับการทำการตลาดยุคดิจิทัล โดยนำ Big Data มาใช้เป็นหัวใจขับเคลื่อนการตลาดเชิงวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค โดย Predictive มีความเชี่ยวชาญด้าน Data Tech มีผลการดำเนินงานที่ดี การเติบโตเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 62-64) ราว 30% และมีผลงานการให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย และเป็นการต่อยอดโอกาสใหม่ด้วยการสร้าง Data Solution ตอบสนองเทรนด์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างมีอนาคต ซึ่งอีกทั้งบริษัทีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในปี 67