• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

“ทรีนีตี้” ให้กรอบลงทุนหุ้นเดือน พ.ย.ที่ระดับดัชนี 1,580-1,660 จุด

Started by Hanako5, November 02, 2021, 05:42:48 PM

Previous topic - Next topic

Hanako5



"ทรีนีตี้" ให้กรอบลงทุนหุ้นเดือน พ.ย.ที่ระดับดัชนี 1,580 – 1,660 จุด แนะลงทุนหุ้น 4 กลุ่ม REIT ค้าปลีก ขนส่ง ท่องเที่ยว รับความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นและการเปิดเมือง

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในเดือน พ.ย.2564 คือระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะมีผลต่อไปยังคาดการณ์เงินเฟ้อและคาดการณ์ดอกเบี้ยในตลาดโลก ซึ่งหากยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องอีก จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในภาพรวมได้
 

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามการประชุมร่วมของสมาชิกกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ ว่าจะมีการคงระดับการคืนกำลังการผลิตเข้าสู่ตลาดวันละ 4 แสนบาร์เรลต่อไปหรือไม่ หากคงไว้ที่ระดับดังกล่าวจริง ราคาน้ำมันมีโอกาสยืนในระดับสูงต่อไปได้ ซึ่งอาจจะทำให้ระดับเงินเฟ้อในตลาดอยู่สูงต่อไป จนสร้างความกังวลต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเร็วกว่ากำหนด


ขณะที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 2-3 พ.ย.นี้ มีโอกาสสูงที่เฟดจะประกาศเริ่มการลดวงเงิน QE (Tapering) อย่างเป็นทางการที่ระดับเดือนละ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็น Treasury เดือนละ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และMBS เดือนละ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้โครงการดังกล่าว ไปสิ้นสุดลงในเดือนมิ.ย.ปีหน้า แต่ปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่อยู่ในคาดการณ์ของตลาดไปเกือบหมดแล้ว จึงไม่น่ามีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด

 


ณัฐชาต เมฆมาสิน
ณัฐชาต เมฆมาสิน

นายณัฐชาต กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน พ.ย.ประเมินว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,580-1,660 จุด โดยหากดัชนียังคงแกว่งอยู่บริเวณกึ่งกลางของกรอบที่ให้ไว้ มองว่านักลงทุนสามารถที่จะจำกัดการซื้อขายของตนเองได้ และแนะนำเพียงถือครองหุ้นในสัดส่วนเดิมต่อไป โดยหากระหว่างเดือนดัชนี มีการปรับขึ้นไปบริเวณกรอบบนที่ระดับ 1,650-1,660 จุดแนะนำให้ใช้จังหวะดังกล่าวในการลดพอร์ต  ในทางกลับกัน หากดัชนีปรับลงมาแถวบริเวณกรอบล่างที่ระดับ 1,580 จุด ให้ใช้บริเวณดังกล่าวในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้
 

สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำประจำเดือน พ.ย.นี้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.กลุ่ม Property Fund & REIT โดยแนะนำลงทุนที่น้ำหนัก 10% ของพอร์ต ผ่านกองทุนรวมในประเทศที่กระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างๆ ใน Sector นี้ มองเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนตามธีม Reopening มากที่สุด ณ เวลานี้ จากระดับราคาที่ยังคง Laggard อย่างมาก และมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
 

2.กลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นผู้บริโภค และคาดการณ์รายได้ในอนาคตที่สูงขึ้น ได้แก่ CRC, GLOBAL 3.กลุ่มขนส่ง ร้านอาหาร และโรงภาพยนตร์ ที่ได้ประโยชน์จากการออกมาสัญจรของผู้คนที่มากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนี Google mobility ในกลุ่ม Retail & Recreation ที่ล่าสุดมีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง ได้แก่ BEM, BTS, M, MAJOR
 

4.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว หลังคาดว่าจะเริ่มมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามามากขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ แม้ว่าในแง่ของจำนวนคงจะไม่มีนัยสำคัญในช่วงแรก แต่ด้วยราคาหุ้นบางตัวที่ยังคงต่ำกว่าช่วง Pre-Covid อยู่ค่อนข้างมาก จึงมองว่ามี Risk-Reward ในระดับที่น่าสนใจ ได้แก่ AOT, AWC, ERW

 

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องติมตามคือ การประกาศปรับเปลี่ยนรายชื่อสมาชิกรอบใหม่ของดัชนี MSCI ทั่วโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น ประเมินหุ้น 3 ตัวที่มีโอกาสถูกนำเข้าสู่ดัชนี MSCI Thailand Standard Index ในรอบถัดไป เรียงตามลำดับความน่าจะเป็น จะได้แก่ TTB, KCE, GLOBAL ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะสั้น มองว่าสามารถซื้อเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มนี้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนและหาจังหวะ Sell on fact หลังจากการประกาศผลของ MSCI ในช่วงเช้าตรู่วันที่ 12 พ.ย.นี้ได้
 

ขณะที่ปัจจัยระยะสั้นที่เกิดขึ้นล่าสุดได้แก่ ผลการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่นที่ออกมาไม่ได้มีอะไร Surprise ในทางลบ โดยพรรคร่วมรัฐบาลยังคงสามารถครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้ต่อไป ส่งผลให้การสานต่อทางด้านนโยบายมีแนวโน้มเป็นไปอย่างราบรื่น และทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตอบรับเชิงบวกอย่างสำคัญในช่วงต้นสัปดาห์นี้
 

ในทางกลับกัน ตัวเลขภาคการผลิตของจีนประจำเดือน ต.ค.ที่ออกมาล่าสุดปรากฏว่าอยู่เพียงระดับ 49.2 ต่ำกว่าเดือนก่อนและต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยระดับยอดคำสั่งซื้อใหม่หรือ New orders ยังคงตกลงอย่างต่อเนื่อง มองเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคการส่งออกของไทยโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปจีนต่อไป