• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

จับสัญญาณบวกตลาดปลายปี 64 ชี้ 6ปัจจัยปลุกอสังหาฯ “ดีเวลลอปเปอร์” ปูพรมโปรเจกต์ใหม่รับกำลังซื้อฟื้น

Started by Chanapot, November 24, 2021, 05:00:46 PM

Previous topic - Next topic

Chanapot

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดอสังริมทรัพย์หดตัวอย่างหนัก บรรยากาศซื้อขายที่อยู่อาศัยเงียบเหงาอย่างผิดหูผิดตา เมื่อเทียบกับตลาดในช่วงปี 2561 และปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดอสังหาฯ ไทยคึกคักมากที่สุดในรอบ 20 ปีก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ตลาดอสังหาฯ ซบเซาอย่างหนัก แม้ว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ จะจัดแคมเปญกระตุ้นการตัดสินใจซื้อลูกค้า ซึ่งมีทั้งการลดราคาขายกว่า 30-40% แจกของแถมมูลค่าสูงๆ แต่ปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์ประเทศ ภาวการณ์หดตัวเศรษฐกิจในประเทศ รวมไปถึงการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และการหดตัวของกำลังซื้อผู้บริโภคทำให้ตลาดในช่วง 2 ปีทีผ่านมาตลาดไม่มีวี่แววฟื้นตัวกลับมา

อย่างไรก็ตาม ความหวังของผู้ประกอบการอสังหาฯ ไม่เคยหมดไปเพราะต่างเชื่อมั่นว่าเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มลดลงจนกลับมาควบคุมได้ จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อและความเชื่อมั่นทั้งในฝั่งของบริษัทอสังหาฯ และผู้บริโภค ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในช่วงปลายปี 2564 นี้ตลาดอสังหาฯ จะทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ เนื่องจากจำนวนการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 จะเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ภายในประเทศ จากการคาดการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทอสังหาฯ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอสัญญาณบวก และภาวการณ์ฟื้นตัวของตลาดกลับมากอีกครั้ง

และดูเหมือนว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้ สัญญาณบวกและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการฟื้นตัวในตลาดอสังหาฯ จะเริ่มชัดเจนมากขึ้น ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีตลาดมีแนวโน้มกลับมาคึกคักอีกครั้ง แม้ว่าในฝั่งของผู้บริโภคนั้นกำลังซื้อจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาทั้งหมด แต่เมื่อดูจากแนวโน้มของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้วคาดว่าในปี 2565 นี้ กำลังซื้อในฝั่งของผู้บริโภคจะกลับมาชัดเจนมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการขยายตัวในตลาดอสังหาฯ หรือมีสัญญาณที่ชัดเจนกลับมาให้เห็น

สุรเชษฐ กองชีพ
สุรเชษฐ กองชีพ

นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จรัดการ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่เป็นเหมือนสัญญาณดีๆ หลายอย่างมีผลให้ผู้ประกอบการเริ่มขยับเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มากขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ผู้ประกอบการบางรายมีการประกาศเปิดขายโครงการใหม่โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่เริ่มเห็นว่ามีการเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 แล้ว ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรยังคงเป็นประเภทโครงการที่อยู่อาศัยที่ผู้ประกอบการเลือกเปิดขายในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัจจัยหรือสัญญาณบวกที่มีให้เห็นและผู้ประกอบการคาดหวังว่าจะมีผลให้ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นคือ

1.จำนวนคนฉีดวัคซีนในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ 2.จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่ลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังมีจำนวนสูงอยู่ก็ตาม 3.การปลดล็อกดาวน์ของหลายธุรกิจ และกิจกรรมช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศที่มากขึ้น 4.การเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติจาก 63 ประเทศที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดสามารถเข้าประเทศไทยได้โดยที่ไม่ต้องกักตัว 5.การปลดล็อก LTV สำหรับบ้านหลังที่สอง กระตุ้นกำลังซื้อในกลุ่มที่มีความพร้อม และ 6.กิจกรรมทางการตลาดหรือกิจกรรมที่ต้องจัดให้คนจำนวนมากเข้าร่วมสามารถกลับมาทำได้อีกครั้งภายใต้มาตรการป้องกัน

ปัจจัยบวกหรือสัญญาณดีๆ ทั้ง 6 ปัจจัยนี้มีผลให้ผู้ประกอบการคาดหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มมีทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2565 ซึ่งหลายฝ่ายแสดงความมั่นใจว่าเศรษฐกิจในปี 2565 จะดีกว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแน่นอน การมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในหลายเมืองท่องเที่ยวนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยที่พึ่งพากำลังซื้อจากต่างชาติแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังน้อยมากเมื่อเทียบกับก่อนเกิดโควิด-19 แต่ยังดีกว่าไม่มีเลย เพราะต้องให้เวลาในการตัดสินใจเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของชาวต่างชาติด้วย

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมองถึงปีหน้ามากกว่าที่จะคาดหวังว่าปีนี้จะสร้างรายได้หรือมีผลประกอบการที่ดี โดยโครงการต่างๆ ที่เปิดขายในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้เป็นการเปิดขายที่ผู้ประกอบการคาดหวังว่าสามารถทำกิจกรรมต่อเนื่องได้ถึงปีหน้า ไม่ได้คาดหวังว่าต้องปิดการขายหรือมีอัตราการขายที่สูงภายในปีนี้ และยังคงต้องระวังกันต่อเนื่อง เพราะปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วยังไม่มีผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจแบบชัดเจน แค่สร้างแรงกระเพื่อมในระบบเท่านั้น 

แต่ถ้าจำเป็นต้องล็อกดาวน์อีกครั้ เพราะผู้ติดเชื้อมากขึ้น หรือเพราะโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ก็จะเป็นการซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจประเทศมากกว่าเดิม ผู้ประกอบการจึงยังเลือกที่จะเปิดขายโครงการแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ต้องเลือกทำเล รูปแบบโครงการอย่างพิถีพิถันก่อนที่จะเปิดขายโครงการ และทยอยเปิดไล่ๆ กันไป ไม่ใช่การเปิดขายแบบพร้อมๆ กันทีละหลายโครงการอีกแล้ว



รายงานข่าวจาก บริษัท เสนาดี เวลลอปเม้นทท์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เสนาฯ มีแผนจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งโครงการแนวราบ และแนวสูง โดยจะเปิดตัวโครงการแนวราบ 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,356 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเสนา วิลเลจ รามอินทรา กม.9 และโครงการ เสนา เวล่า เทพารักษ์-บางบ่อ ส่วนโครงการแนวสูงจะเปิดตัว 6 โครงการ รวมมูลค่า 3,133 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวคอนโดแบรนด์ "เสนาคิทท์" ซึ่งเป็นไฟติ้งแบรนด์ของเสนาฯ ในปีนี้ ประกอบด้วย เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่ เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที บางแค เสนาคิทท์ ศรีด่าน โครงการ SENA ECO Town รังสิต สเตชั่น โครงการ นิช โมโน พระราม 9 และโครงการเฟล็กซี่สาทร–เจริญนคร เป็นโครงการที่เทกโอเวอร์เข้ามาพัฒนาต่อ

เมื่อนับรวมโครงการเปิดใหม่ทั้งแนวมราบและแนวสูงจะทำให้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เสนาฯ มีโครงการเปิดใหม่ทั้งสิ้น 8 โครงการ โดยโครงการทีเปิดตัวในไตรมาส 4 นี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เลื่อนเปิดขายมาจากกำหนดการเดิมที่จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยโครงการที่นำมาเปิดขายในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีความพร้อมที่จะเปิดขายอยู่แล้ว โดยเฉพาะโครงการที่จับกลุ่มตลาดกลาง-ล่าง แต่รอจังหวะและสัญญาณที่ดีจากตลาด ซึ่งหลังจากมีการปลดล็อกดาวน์เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และปลดล็อกมาตรการ LTV จึงเป็นช่วงเหมาะที่จะนำโครงการที่มีความพร้อมกลับมาเปิดตัวในช่วงปลายปี 2564 นี้



นอกจากค่ายเสนาฯ แล้ว บริษัท ออริจิ้น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัท มีการเปิดตัวโครงการใหม่หลายโครงการพร้อมๆ กันในช่วงไตรมาส 4 โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,295 ล้านบาท ซึ่งตามแผนธุรกิจออริจิ้นฯ จะแบ่งการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการมูลค่าโครงการรวม 1,695 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการออริจิ้นเวลเนส เรสซิเดนซ์ แบริ่ง 2.ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ รามอินทรา 3.บริกซ์ตันเกษตร ศรีราชา แคมปัส และโครงการบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,600 ล้านบาท ประกอบด้วย1.โครงการไบรตัน บางปะกง 2.บริทาเนีย แพรกษาสเตชั่น 3.บริทาเนีย ติวานนท์-ราชพฤกษ์ 4.แกรนด์ บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 5.แกรนด์ บริทาเนีย นนทบุรี สเตชั่น 6.แกรนด์บริทาเนีย สุวรรณภูมิ



ขณะที่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) คืออีกหนึ่งค่ายอสังหาฯ ประกาศปูพรมเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายรวดเดียว 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,570 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่ารวม 5,010 ล้านบาทด้วยจุดขาย "พลิกแนวคิดชีวิตแนวตั้ง" กับทาวน์โฮมแบรนด์บ้านกลางเมือง ประกอบด้วย โครงการบ้านกลางเมือง The Edition พหลโยธิน-รามอินทรา มูลค่า 630 ล้านบาท,บ้านกลางเมือง สุขุมวิท-อ่อนนุช มูลค่า 650 ล้านบาท

โครงการทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์พลีโน่ประกอบด้วย โครงการแกรนด์ พลีโน่ พหลฯ-วิภาวดี มูลค่า 1,120 ล้านบาท พลีโน่ ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 2 มูลค่า 270ล้านบาท พลีโน่ ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 3 มูลค่า300 ล้านบาท แกรนด์ พลีโน่ บางนา-อ่อนนุช มูลค่า 410 ล้านบาท พลีโน่ ราชพฤกษ์-สาทร มูลค่า 560 ล้านบาท พลีโน่ วิภาวดี-ดอนเมือง มูลค่า 890 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์เซนโทร 3 โครงการใหม่ ซึ่งย้ำจุดยืน "บ้านที่เข้าใจชีวิต" มูลค่า 3,560 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เซนโทร ปิ่นเกล้า มูลค่า 1,620 ล้านบาท, เซนโทร ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ มูลค่า 1,100 ล้านบาท และโครงการ เซนโทร บางนา-ศรีนครินทร์ มูลค่า 840 ล้านบาท



ส่วน บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งแม้ในช่วงปลายปีนี้จะไม่มีโหมดเปิดโครงการใหม่พร้อมกันหลายโครงการ แต่ ศุภาลัยฯ ถือเป็นค่ายที่เดียวที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในทุกๆ ไตรมาสตามแผนธุรกิจที่มีการประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี โดย ในช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร คอนโดมิเนียม High Rise ใจกลางเมือง และล่าสุด เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวลักชัวรีภายใต้แบรนด์ใหม่ "เอเลแกนซ์" บนทำเลบนถนนบรมราชชนนี มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท หลังจากสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 มีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น

"หากเทียบจำนวนการเปิดัวโครงการใหม่กับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 และจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในสปลายปีนี้ถือว่ามีจำนวนไม่มาก แต่หากเทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อน และทุกๆ ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2564 ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ถือว่ามีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่มากเป็นพิเศษ ซึ่งน่าจะเกิดจากปัจจัยบวกไม่ว่าจะเปิดการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ การปลดล็อกดาวน์ทั่วประเทศ และการปลดล็อกดาวน์ LTV ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยบวกต่างๆ ที่เข้ามาจะไม่ชัดเจนมากแต่เป้นสัญญาณบวกที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต่างรอคอยอยู่ ดังนั้น เมื่อสัญญาณตลาดและแนวโน้มตลาดเป็นใจจึงทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่รอจังหวะการเปิดโครงการใหม่กลับมาทำตลาดได้อย่างเต็มที่ในช่วงปลายปีนี้" นายสุรเชษฐ์ กล่าว