• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Naprapats

#3701


 จากข้อมูลวิจัยบริษัทไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยว่า ตลาดคอนโดช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ยังคงหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลัง 2563  ผลกระทบของโควิด-19 ยังคงแผ่ขยายอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งแรกของปี 2564  ตลอดจนการติดเชื้อที่แพร่ระบาดจากคลื่นลูกใหม่ของโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่งผลให้กำลังซื้อคอนโดมิเนียมจากผู้ซื้อชาวไทยยังคงลดลงและกำลังซื้อจากชาวต่างชาติยังคงไม่กลับมา 
ผู้พัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ต้องเลื่อนหรือชะลอการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เป็นไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ขณะที่หันมาเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อรองรับกลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย


• อุปทานสะสมของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 652,081 หน่วย  ช่วงครึ่งปีแรก 2564  โดยมี 6,293 หน่วย ที่มาจาก 20 โครงการที่เปิดตัวในครึ่งปีแรก 2564  โดยอุปทานใหม่ในครึ่งปีแรก 2564 ลดลง 38.7% เมื่อเทียบกับอุปทานใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563

• จำนวนคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ คิดเป็น 66% ของอุปทานใหม่ทั้งหมดที่เปิดตัวในครึ่งแรกของปี 2564 ขณะที่พื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) คิดเป็น 29% และพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจคิดเป็น 5%

• จากจำนวน 6,293 หน่วยของอุปทานใหม่ มีเพียง 2,333 หน่วยที่ขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ คิดเป็นอัตราการขายที่ 37.1% ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการขายที่เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 • ราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมย่านศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 240,609 บาทต่อตร.ม. ลดลง 4.3% จากครึ่งปีหลัง 2563 คอนโดมิเนียมย่านรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) อยู่ที่ 116,225 บาทต่อตร.ม. ลดลง 5.9 % จากครึ่งปีหลัง 2563  และคอนโดมิเนียมย่านชานเมืองกรุงเทพฯ อยู่ที่ 64,390 บาทต่อตร.ม. ลดลง 6.6% จากครึ่งปีหลัง 2563 


ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้หันไปเน้นการพัฒนาตลาดแนวราบสำหรับบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ แม้ว่าตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯจะมีผลประกอบการที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แนวโน้มการทำงานจากที่บ้าน (work from home) ได้รับแรงผลักดันจากความจำเป็นที่เกิดขึ้น  โควิด-19 ได้เปลี่ยนความคาดหวังของผู้ซื้อมาเป็นความต้องการบ้านขนาดใหญ่หรือมีจำนวนห้องเพิ่มเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับทำงาน ซึ่งยังช่วยผลักดันให้เกิดความความต้องการบ้านในพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯ ซึ่งมีราคาถูกกว่า


• ตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปถือเป็นตลาดบ้านระดับลักชัวรี ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเล็กและมีความต้องการจำกัด

• ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีทั้งสิ้น 578 หน่วย

• มีโครงการบ้านจัดสรรพร้อมขายจำนวน 224 โครงการ โครงการเหล่านี้มีหน่วยทั้งหมดรวมกัน 20,018 หน่วย โดยขายได้แล้วที่ประมาณ 13,276 หน่วย จาก 20,018 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ 66%

 • หากจำแนกตามระดับราคา พบว่าบ้านที่มีความต้องการสูงที่สุดมีราคาขายระหว่าง 10 ถึง 20 ล้านบาท โดยมียอดขายสะสม 7,218 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ 61% ส่วนบ้านราคาขายระหว่าง 21 ถึง 30 ล้านบาท และ 31 ถึง 40 ล้านบาท มีความต้องการอยู่ที่ 2,612 หน่วย และ 1,871 หน่วย ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการขายที่ 77% และ 73% ตามลำดับ 

• หน่วยขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มีจำนวน 1,610 หน่วย แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนหน่วยขายใหม่ที่ขายได้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่มีจำนวนหน่วยใหม่ที่ขายได้เฉลี่ยเพียง 2,500 หน่วยต่อปีเท่านั้น
#3702


นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน "ศบค." (ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) เตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ธุรกิจน้อยใหญ่หลายระลอก หวังลดแรงกดดันจากภาคธุรกิจที่ร้อนรนจนนั่งไม่ติด ขณะที่ภาคประชาชนเอง ก็กำลังจะอกแตกตาย เพราะไม่ได้ช้อปปิ้ง กินข้าวนอกบ้าน ระบายความเครียดสะสมจากสถานการณ์โควิด-19

ประกอบกับ "คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ" ประเมินว่า โควิด-19 น่าจะแตะจุดพีคไปแล้ว ประเทศไทยสมควรจะปรับโหมดการเปลี่ยนผ่านจาก "ภาวะวิกฤต" มาสู่ "ฤดูกาลแห่งการเรียนรู้" ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับโควิด-19 ต่อไป (Smart Control and Living with Covid-19)

ดูเหมือนว่าในก้าวจังหวะที่โควิด-19 กำลังเปลี่ยนสถานะจาก "โรคระบาด" มาสู่ "โรคประจำถิ่น" ในโลกของธุรกิจเองก็กำลังสปีดตัวเอง เปลี่ยนผ่านองค์กรจาก "ปัจจุบัน" สู่ "อนาคต" เพื่อการเรียนรู้ และใช้ชีวิตร่วมกับดิจิทัลราวกับสมูทตี้

"ถ้าองค์กรจะผ่านโควิด-19 ไปให้ได้ ต้องดูประโยชน์หลักๆ ในภาพรวม แล้วจัดลำดับความสำคัญ เอาเทคโนโลยีโลยีมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลที่มันซ้ำๆ อย่าสิ้นเปลืองแรงงานคน" ปฐมา จันทรักษ์ Vice President for Indochina Expansion & Managing Director IBM มองทางรอดเพียงหนึ่งเดียว ท่ามกลางสถานการณ์ที่เดายาก

ถึงแม้โควิด-19 จะสร้างความมึนอึนไปทั่วโลก แต่ยุคเฟื่องขององค์กรและพนักงานหลังโควิด-19 จบซีซันส์ ก็ยังเป็นไปได้ ท่ามกลางคนตกงานนับล้านคน ทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าที่เดินชนกันให้ควั่ก

ปฐมาวิเคราะห์แนวโน้มที่สำคัญ จากการบรรยายในหัวข้อ "Thriving in the Post Covid-19 Era : Organizations & Workforce" (virtual conference) ในงาน Learning Development Forum 2021 จัดโดย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2564 ว่า

องค์กรเริ่มเหนื่อยล้าจากการมาของโควิด-19 เปรียบเหมือนก็อตซิลล่าที่ฟาดหัวฟาดหางถล่มเมือง พ่นไฟทำลายล้างแล้วจากไป ทิ้งโลกที่ไม่เหมือนเดิมเอาไว้ข้างหลัง

"โลกเปลี่ยนแปลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างปิด เราไม่เคยเจอแบบนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้โลกชัทดาวน์ สายการบินชะงัก การเดินทางหยุดนิ่ง โรคระบาดสร้างการช็อกโลก เกิดอะไรขึ้นบ้าง? สถานการณ์คนตกงาน รอตังค์ รอความช่วยเหลือ รอติดโควิด-19 รอตรวจ รอเตียง โรงพยาบาลเต็ม รอเตาเผา

ทำยังไงถึงจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยกัน หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น องค์กรพยายามปรับตัว แต่ผลกระทบมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในอเมริกาเองในบางรัฐ ช่วงนี้ก็ต้องกลับมาใส่หน้ากากอนามัยกันใหม่ ผู้คนเริ่มติดเชื้อมากขึ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการปรับตัวในหลายองค์กรอย่างมาก"

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือ การปรับกลยุทธ์เป็นพัลวัน พนักงานต้องเปลี่ยนเก้าอี้นั่งจากที่ทำงานเป็นที่บ้าน การใช้เทคโนโลยีไม่ซ้ำแบบในองค์กร ทั้งระบบการทำงานอัตโนมัติ การจัดเก็บเนื้องานไว้ที่คลาวด์ และมีคนทำงานไม่น้อยกว่า 340 ล้านคนทั่วโลก ตกงานในชั่วข้ามคืน

แนวโน้มการจัดการองค์กรปี 2020 แม้ว่าจะมีโควิด-19 มาฮึ่มๆ แต่หลายองค์กรก็ยังมองโลกสวย มองไปที่การแข่งขัน การสร้างแพลทฟอร์ม การเอาเทคโนโลยีควอนตัมมาจัดเก็บข้อมูล การสร้างพนักงานให้เก่งและเข้าถึงใจลูกค้า และเรื่องของทักษะการทำงานที่บ้าน แต่พอมาปี 2021 นี้ สถานการณ์ที่บีบรัด ทำให้ทั้งคนและองค์กรต้องขยันปรับตัว ภายใต้ 5 เทรนด์ที่สำคัญคือ

1. ความไม่เท่าเทียมกันของแต่ละประเทศ ความแตกต่างทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบให้บริการและสวัสดิการภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการกักตุนวัคซีน เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด

"ไอบีเอ็มให้พนักงานทำงานที่บ้านมา 19 เดือนแล้ว เป็นการเตรียมความพร้อม ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย จนกลายเป็น black swan event (เหตุการณ์ที่มีความร้ายแรง แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เหมือนที่คนคิดว่าโลกนี้มีแต่หงส์ขาว แล้วจู่ๆ หงส์ดำก็โผล่มา) ความรุนแรงที่ฉุดไม่อยู่นี้ แม้แต่ดิสนีย์ยังต้องตัดใจเลย์ออฟพนักงานสวนสนุก บางองค์กรก็ให้พนักงานลาออกแบบสมัครใจ หรือไม่ก็พักงานโดยไม่มีค่าจ้าง บางประเทศพิมพ์แบงก์เพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าผู้นำต้องเตรียมความพร้อมไว้เสมอ เผื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด"

2. Work From Home (WFH) ไม่ได้เวิร์กสำหรับทุกคน บางคนสนุกกับการทำงานจากบ้านในช่วงแรกๆ เพราะไม่ต้องเดินทาง แต่พอต้องนั่งติดเก้าอี้เป็นวันๆ ก็เริ่มตระหนักว่า การทำงานจากบ้าน งานไม่ได้น้อยลงเลย ติดแหง็กกับการประชุมและงานตรงหน้า กระดิกไปไหนไม่ได้ กระทบกับสุขภาพ และภาวะจิตใจจนแทบซึมเศร้า

3. Supply Chain เริ่มส่งผลกระทบรุนแรง หลายโรงงานต้องปิดตัวลง เพราะพนักงานติดโควิด-19 ทำให้อยู่นอกเหนือการควบคุม ทำอย่างไรให้องค์กรสามารถกำหนดอนาคตตัวเองได้ หรือนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อไม่ให้กระบวนการผลิตสะดุด

4. แพ้หรือชนะขึ้นกับเทคโนโลยี หลายองค์กรจะแพ้หรือชนะ หรือจะผ่านจากฝันร้ายโควิด-19 ไปได้ ขึ้นกับการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ สร้างการแข่งขันให้เกิดขึ้น โดย 400% ขององค์กร ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ สามารถก้าวข้าม หรือรับมือกับสถานการณ์ตึงเครียดได้

"วันนี้โลกเสมือนกลายเป็นของจริง เกิดการยอมรับมากขึ้น ฟิตเนสออนไลน์ทำให้ราคาถูกลงจาก 3,000 บาท เหลือ 89 บาท"

5. เหตุการณ์หลักยังคงต่อเนื่อง แม้โควิด-19 จะหายไปแล้ว แต่การปรับเปลี่ยนจะยิ่งเห็นได้ชัดเจนใน 5 เหตุการณ์ย่อยคือ

5.1 โควิด-19 เป็นตัวเร่งการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งในแง่ความเร็ว การอัดฉีดเงินลงทุนทางด้านดิจิทัล โดยไม่ได้ช้อปปิ้งเทคโนโลยีแบบไก่กา แต่เลือกเอาตัวท็อปๆ มาใช้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้องค์กร โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติ

5.2 การทำงานทางไกลจะมาแรง (remote working) การทำงานร่วมกันทั้งองค์กรแต่ไม่เจอกันตัวเป็นๆ HR จะบริหารแรงงานที่กระจัดกระจายอย่างไร?

"กรมสรรพากร เป็นตัวอย่างที่ดี ในการใช้เทคโนโลยีโลยีเข้ามาปรับกระบวนการทำงาน โดยเริ่มต้นจากให้ผู้บริหารเปลี่ยนชุดความคิด (mindset) เอาผู้บริหารมาทำเวิร์กชอป เอาแนวคิด outside in มาช่วยขับเคลื่อนระบบการให้บริการ ที่ตรงเป้า ตรงกลุ่ม ตรงใจ ช่วงเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด กรมสรรพากรเตรียมความพร้อม จนไม่สะดุดงานบริการเสียภาษี"

การที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จ ในกรณีที่ผู้บริหารเอาเทคโนโลยีมาใช้ แต่คนในองค์กรยังไม่พร้อม คือ

1. เพิ่มความสามารถ

2. ลองผิดลองถูก

3. เปลี่ยนแปลงปรับตัว

"ความท้าทายขององค์กร ที่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนขององค์กรเอง ทักษะพนักงานที่ไม่เพียงพอ การทำงานล้นมือ จะไม่เกิดถ้าเอาเทคโนโลยีมาใช้ และฝึกฝนพนักงานให้มีความพร้อม ซึ่งจะทำให้อีก 2 ปีข้างหน้า องค์กรได้ปรับปรุงเรื่องการให้บริการ และทำให้พนักงานพึงพอใจเพิ่มขึ้นถึง 23%"

"Spotify" เป็นตัวอย่างขององค์กรที่ mix & match พนักงานกับเทคโนโลยีเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยใช้แนวคิด people driven เปลี่ยนวัฒนธรรมการคิด เปลี่ยนมุมมองการทำงาน รองรับความแตกต่างของผู้ใช้งานยุคใหม่ โดยตั้งทีมเล็กๆ ที่เรียกว่า "speed boat" ให้ทำงานคล่องตัวมากขึ้น ทำงานแบบเร็วๆ ใช้กำลังคนเพียงแค่ 6-12 คน

การขับเคลื่อนองค์กร เริ่มจากคำแรกคือ ทำอย่างไรให้ง่ายขึ้น ผู้ฟัง Spotify สามารถปรับเลือกฟังเฉพาะเพลงที่ชอบ เปิดกว้างให้พนักงานบริหารเวลาทำงานได้เอง ให้พนักงานแสดงความคิดเห็นได้เสรี โดยไม่ตีค่าว่าความคิดเห็นอันไหนผิด ทำให้พนักงานหัดทดลองทำ ต่อให้สถานการณ์ย่ำแย่ขนาดไหน พนักงานก็ไม่หยุดลองผิดลองถูก ทำให้ Spotify เป็นองค์กรก้าวผ่าน เตรียมความพร้อมให้พนักงานทำงานได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

5.3 ความเครียดเป็นสาเหตุสังเกตุได้ ไอบีเอ็มมองว่าความเครียดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันสามารถ hijack กลยุทธ์องค์กรได้ ความเครียดจากการทำงานหนัก ทำให้พนักงาน 60% ยื่นข้อเรียกร้องว่า ถ้าสถานการณ์โควิด-19 กลับมาปกติ คนกลุ่มนี้ขอทำงานที่บ้าน 1 วัน เพื่อบำบัดภาระงานที่ตึงเครียด

"วันนี้ลูกค้าสั่งซื้อออนไลน์มากขึ้น supply chain หลายองค์กรเตรียมความพร้อมให้องค์กรลดต้นทุน มีกระแสเงินสด ปตท.เทรดดิ้ง เป็นอีกตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีโลยี และ AI มาใช้ เสริมประสิทธิภาพใหม่ๆ สนับสนุนกระบวนการ ที่ช่วยให้พนักงานลดขั้นตอนการทำงาน ลดโหลดการทำงานจากที่บ้าน ได้ 5 เท่า ภายใน 3 ปี และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้องค์กรได้ 17 ล้านบาท"

5.4 ไม่มีองค์กรไหนทำงานเพียงลำพังอีกต่อไป ทำอย่างไรองค์กรถึงจะเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อสร้างโอกาส "Airbnb" เป็นตัวอย่างที่ดีของการอธิบายแนวคิดนี้

ผู้บริหาร Airbnb ประกาศว่า แม้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เราจะกลับมาใหม่ และถึงแม้ว่าโรคระบาดจะยังคงมีต่อเนื่อง และวันนี้ถึงแม้ลูกค้าจะไม่ได้ใช้บริการ Airbnb แต่ก็ขอให้เชื่อมั่นในเรา

Airbnb มองว่า โลกยุคใหม่ เทคโนโลยีสามารถเป็นได้ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่อำนวยความสะดวกให้กับพนักงาน แต่สามารถเอาแนวคิดภูมิทัศน์ มาปรับใช้กับการทำงานทุกภาคส่วน ร่วมกับธนาคาร เปิดให้บริการต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวก จับมือไขว้กันไปมาระหว่างอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และเอ็นจีโอ มองเป็นภาพเดียวกันคือ ระบบนิเวศทางธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

5.5 นำความยั่งยืนมาใช้กับกลยุทธ์องค์กร เหตุการณ์ไฟไหม้ป่าที่แคลิฟอร์เนีย น้ำแข็งขั้วโลกละลาย วิกฤติสภาพอากาศ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องแก้ไข ไม่ใช่มีแต่โรคระบาด การจัดการภัยพิบัติโดยใช้เทคโนโลยีโลยีจึงสำคัญ

"ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ก๊าซเรือนกระจก ดักจับคาร์บอน เอาเทคโนโลยี เอา AI มาเร่งหาดักจับคาร์บอนในพื้นที่ต่างๆ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่เอาเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กร แต่มาใช้ในการรวบรวมข้อมูลสภาพอากาศ ดาวเทียม แพลทฟอร์มต่างๆ เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ"

อีกตัวอย่างอินเทรนด์ที่ไม่ควรมองข้ามคือ ยุคเรืองรองของ gig economy (เทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ โดยเน้นการจ้างงานในรูปแบบชั่วคราว สัญญาจ้าง ฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่คนที่ทำธุรกิจส่วนตัวแบบที่ไม่มีลูกน้อง)

gig economy ก่อร่างสร้างตัวจาก 3 ปัจจัยคือ

1. สังคมออนไลน์ งานฟรีแลนซ์

2. เศรษฐกิจแบ่งปัน เอาของที่มี มาให้คนอื่นได้ใช้

3. ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่

แมกเคนซี่ บอกว่า gig economy มีประชากรสายพันธุ์นี้อยู่ทั่วโลก 68 ล้านคน แต่ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับอาชีพอิสระ

งานวิจัยในออสเตรเลีย บอกว่า คนอายุ 18-19 ปี เริ่มเข้าสู่การทำงาน และ 70% ของงาน ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ

การที่จะทำให้คนทำงานวัยใสมีลู่วิ่งต่อไปได้ องค์กรต้องคำนึง 3 เรื่องคือ

1. เอาระบบอัตโนมัติมาใช้

2. ให้คนทำงานทำอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้

3. ทำอะไร? ทำที่ไหน? ทำอย่างไร?

ถือเป็น 3 เรื่องที่สำคัญสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ในยุคที่ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งงานที่เดียวอีกต่อไป

"ถ้าองค์กรจะผ่านโควิด-19 ไปให้ได้ ต้องดูประโยชน์หลักๆ ในภาพรวม แล้วจัดลำดับความสำคัญ เอาเทคโนโลยีโลยีมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลที่มันซ้ำๆ อย่าสิ้นเปลืองแรงงานคน"

อย่าลืมนะ

URL



 
#3703


โพล เอสปาร์กาโร่ นักบิดจอมฝีมือของ เรปโซล ฮอนด้า คัมแบ็กตำแหน่งกริดสตาร์ทแถวหน้าสุดครั้งแรกในรอบปี หลังทำเวลาต่อรอบเร็วที่สุดในด่านควอลิฟายของศึก บริติช กรังด์ ปรีซ์ ที่อังกฤษ

ศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี สนามที่ 12 ของปี รายการ บริติช กรังด์ ปรีซ์ ณ สนาม ซิลเวอร์สโตน อังกฤษ โดยวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นรอบควอลิฟาย จัดกริดสตาร์ทให้นักแข่งก่อนชิงชนะเลิศวันถัดไป

ปรากฏว่า โพล เอสปาร์กาโร่ จอมบิดวัย 30 ปีของ เรปโซล ฮอนด้า ได้ออกสตาร์ทคันแรกสุดหลังทำความเร็วต่อรอบไว้ที่ 1 นาที 58.889 วินาที ส่งให้เจ้าตัวได้ครอง โพล โพซิชัน ครั้งแรกนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ทำได้คือศึกยูโรเปียน กรังด์ ปรีซ์ ที่สเปน เมื่อปีก่อน

ขณะที่กริดที่ 2 สตาร์ทโดย ฟรานเชสโก้ บานาญ่า นักบิดเลือดอิตาเลียนของทีมดูคาติ ด้านกริดที่ 3 คือ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ มือ 1 แห่ง มอนสเตอร์ ยามาฮ่า ส่วน มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลก 8 สมัยจาก เรปโซล ฮอนด้า ได้กริดที่ 5 มีลุ้นแซงขึ้นโพเดียมในวันชิง

สำหรับรอบชิงชนะเลิศ โมโตจีพี รายการ บริติช กรังด์ ปรีซ์ จะชิงชัยกันในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ แข่งเวลา 19.00น. ของเมืองไทย
#3704


​​​วันนี้ (28 ส.ค.64) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ 'พอช.' มีการบรรยายผ่านระบบซูม (Zoom Meetings) ให้ความรู้เรื่อง 'การทำศูนย์พักคอยในชุมชน' หรือ 'Community Isolation (CI) เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อโควิดในชุมชน โดยนายอดิเรก แสงใสแก้ว อุปนายก และเลขาธิการสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นผู้บรรยายให้ความรู้เรื่องการจัดทำ CI ซึ่งมีผู้นำชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ พอช.ประมาณ 50 คนร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์

นายอดิเรก กล่าวว่า การจัดตั้ง CI จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น การจัดตั้ง CI ที่เขตราษฎร์บูรณะ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมวางระบบ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชน (ศรีไทยซุปเปอร์แวร์) ให้ใช้โกดังเก็บสินค้าที่ไม่ได้ใช้งาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื้อที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร มาปรับปรุงเป็น CI โดยติดตั้งเตียงกระดาษ ระบบประปา ไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ ระบบน้ำทิ้ง การจัดการขยะติดเชื้อ ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา ติดตั้งระบบวงจรปิดดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งมีห้องความดันลบสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ใช้เวลาดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ประมาณ 10 วันจึงเปิดบริการได้ โดยมีโรงพยาบาลประชาพัฒน์ดูแลผู้ป่วย รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 300 เตียง และตั้งเป้าว่า CI แห่งนี้จะช่วยเหลือผู้ป่วยได้ประมาณ 10,000 คน
​​
นายอดิเรก กล่าวด้วยว่า การจัดตั้ง CI ในชุมชนนั้น ผู้นำชุมชนจะต้องชี้แจงสร้างความเข้าใจกับชาวชุมชน และท้องถิ่น เพราะบางคนอาจกลัวว่า CI จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ทำให้เกิดการต่อต้าน และต้องมีการจัดวางระบบเพื่อความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเน้นการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ชุมชนมีอยู่ หรือสินค้ามือสองมาปรับปรุงเป็นอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อความประหยัด

ทั้งนี้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรฯ สนับสนุนการจัดตั้ง CI ในชุมชนต่างๆ โดยล่าสุด มีการจัดตั้งไปแล้วใน 4 ชุมชน เช่น ชุมชนคลองลัดภาชี เขตภาษีเจริญ ชุมชนคลองลำนุ่น เขตคันนายาว ชุมชนรุ่งมณี เขตวังทองหลาง ฯลฯ ทั้งหมดเป็น CI ขนาดเล็กตามสภาพของชุมชน และยังมีการจัดเตรียม CI อีก 4 แห่งในกรุงเทพฯ คือ 1.ชุมชนตึกแดง เขตบางซื่อ ใช้ศูนย์เด็กเล็กในชุมชนเป็น CI ขณะนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุง รองรับผู้ติดเชื้อได้ประมาณ 50 คน 2.ชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลู เขตสาธร 3.บริเวณลานกีฬาใต้ทางด่วนชุมชนภักดี เขตจตุจักร รองรับ 7 ชุมชนโดยรอบ และ 4. ชุมชนนันทิศา เขตคลองสามวา

ทั้งนี้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเป็นที่ปรึกษาในการวางระบบและให้ความรู้ กระบวนการ ขั้นตอน การออกแบบ และจัดทำ CI ส่วนสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ จะสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ ระบบสาธารณูปโภค การจัดทำครัวกลาง ฯลฯ ขณะที่ชุมชนจะจัดเตรียมสถานที่ อาสาสมัครดูแลผู้ป่วย ประสานกับ สปสช.และศูนย์สาธารณสุข กทม.เพื่อจ่ายยา อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องวัดอ๊อกซิเจนในเลือด ปรอทวัดไข้ และดูแลผู้ป่วยผ่านระบบ telemedicine หรือให้คำแนะนำผ่านโทรศัพท์ หรือสื่อออนไลน์
#3705

ล้วงกลยุทธ์ 'เจ้าสัวคีรี กาญจนพาสน์' เจ้าของอาณาจักรแสนล้าน 'บีทีเอสกรุ๊ปโฮลดิ้งส์' ! หมากเกมนี้...ลึกแต่ไม่ลับ ดันโมเดลหาหลากเพื่อนใหม่ ต่อ 'จิ๊กซอว์ 4 ธุรกิจ' ผลัดดันองค์กรโตหลายเด้ง ปิดดีลใหญ่ส่ง VGI-U ผนึกกำลัง JMART-SINGER มูลค่า 1.75 หมื่นล้าน

เหมือนกำลังจะกลายเป็นวัฒนธรรมประจำของ 'ตระกูลกาญจนพาสน์' เจ้าพ่ออาณาจักร 'ให้บริการรถไฟฟ้า' ที่เคยเป็นหนึ่งในบริษัทมีหนี้สินจำนวน 'มหาศาล' จากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เพราะเกือบตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาต้องเห็น 'เจ้าสัวคีรี กาญจนพาสน์' เจ้าของ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS โดดเข้าถือหุ้นในธุรกิจใหม่ๆ ในหลากหลายวงการ เพื่อต่อยอด 'ความมั่งคั่ง' (Wealth) ให้ 4 ธุรกิจหลัก 1. ธุรกิจให้บริการเดินรถไฟฟ้า 2. ธุรกิจสื่อโฆษณา 3.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจบริการ

สะท้อนผ่านธุรกิจในเครือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อาทิ บมจ. วีจีไอ หรือ VGI ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณา บีทีเอส ถือหุ้น 51.60% กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ถือเป็นการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรกของประเทศไทย บีทีเอสถือหุ้น 33.33% บมจ. ยู ซิตี้ หรือ U ธุรกิจพัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บีทีเอสถือหุ้น 36.22% และ บมจ. มาสเตอร์ แอด หรือ MACO ธุรกิจสื่อนอกบ้าน บีทีเอสถือหุ้น 41.16% (ตัวเลข ณ 4 ส.ค.2564)

จากวันวานที่เคยมีหนี้สินมหาศาล ทว่าในวันนี้กลับกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มี 'มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด' (Market Cap) เพิ่มพูนจาก 3,000-4,000 ล้านบาท มาอยู่ในระดับสูงถึงแสนล้านบาท ! ฉะนั้น เรื่องแหล่งเงินทุนในการซื้อสินทรัพย์ใหม่ๆ แทบไม่มีปัญหา สะท้อนผ่านช่องทางการระดมทุนต่างๆ ทั้งในตลาดเงิน-ตลาดทุน 

สอดคล้องกับประโยคที่ลูกชายคนโตของ 'เจ้าสัวคีรี' อย่าง 'กวิน กาญจนพาสน์' กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 'บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์' ที่เคยเล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ' ฟังว่า ในมุมมองของคีรี (พ่อ) และเขา เห็นตรงกันว่า.. 'ผมและคุณคีรี (พ่อ) มีมุมมองว่าที่ผ่านมาใช้เวลาในการขยายธุรกิจเยอะมากทั้งที่สร้างขึ้นมาเองและการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ฉะนั้นเปรียบเหมือนกินอาหารสะสมมาร่วม 10 ปี ทำให้ตอนนี้เราอ้วนมากแล้ว !'

ดังนั้น หลังสะสมขุมกำลังทางธุรกิจมามาก ผ่านการขยายเครือข่ายธุรกิจอื่นๆ แบบลงทุนเอง และร่วมกับพันธมิตร เกมธุรกิจจากนี้ในสเต็ปต่อไป จะเป็นเกมของการ Synergy (ผนึกกำลัง) ของแต่ละธุรกิจในกลุ่มและพันธมิตรทางธุรกิจอย่างแท้จริง !!

เขายังระบุด้วยกว่า หากไม่ปรับตัวองค์กรแห่งนี้จะขยับตัวลำบาก โดยจะเห็นผลชัดในระยะไม่เกิน 3-5 ปีจากนี้ ตามเป้าหมายองค์กรแห่งนี้ต้องแข็งแรงทั้งในและนอก ด้วย 'กลยุทธ์' ต่อจากนี้คือ บีทีเอสจะไม่เดินคนเดียวแต่จะหาเพื่อนใหม่ๆ เข้ามาร่วม เสมือนให้มาเป็นเพื่อนกับบีทีเอส และเป็นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มและทำความรู้จักกับลูกค้ารายใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยรู้จักบีทีเอสมาก่อน

หากย้อนดู เมื่อฟื้นธุรกิจกลับมาได้ ในปี 2550 บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนผ่าน 'กลุ่มบีทีเอส' เข้าไปลงทุนถือหุ้นในหลากหลายธุรกิจ อย่าง บมจ. แพลนบี มีเดีย หรือ PLANB ธุรกิจสื่อนอกบ้าน ถือหุ้น 18.59% บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ถือหุ้น 9.13% 

บมจ. บางกอก เดค-คอน หรือ BKD ธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายใน ถือหุ้น 9.25% บมจ. ฮิวแมนิก้า หรือ HUMAN ธุรกิจเทคโนโลยี ถือหุ้น 10.01% บมจ. อาฟเตอร์ ยู หรือ AU ธุรกิจขนมหวาน ถือหุ้น 9.77% บมจ. เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX ธุรกิจขนส่ง ถือหุ้น 18.06% บมจ. อิ๊กดราซิล กรุ๊ป หรือ YGG ธุรกิจเทคโนโลยี ถือหุ้น 9.08% 

ขณะที่ อ้างอิงตามที่ 'กลุ่มบีทีเอส' แจ้งการลงทุนเข้าซื้อหุ้นเนื่องจากไม่ปรากฏสัดส่วนการถือหุ้น 10 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ อาทิ บมจ. คอมเซเว่น หรือ COM7 ธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไอที ถือหุ้น 4.92% , บมจ. อาร์เอส หรือ RS ธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม , สื่อ ถือหุ้น 6.06% และ บมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง หรือ SPI ธุรกิจลงทุนในธุรกิจสินค้าอุปโภคอาหารและเครื่องดื่ม ถือหุ้น 0.87% 

และล่าสุดกับ 'บิ๊กดีลระดับหมื่นล้านบาท !!' ของ 'กลุ่มบีทีเอส' หลังทุ่มเงินมูลค่า '1.75 หมื่นล้านบาท' ผ่าน บมจ. วีจีไอ หรือ VGI และ บมจ. ยู ซิตี้ หรือ U เข้าซื้อหุ้นของ บมจ. เจ มาร์ท หรือ JMART และ บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย หรือ SINGER 

 'อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ มาร์ท บริษัทโฮลดิ้งคอมพานีที่ลงทุนในบริษัทอื่นที่มีศักยภาพ (Investment Holding Company) กล่าวว่า บมจ. วีจีไอ หรือ VGI และ บมจ. ยู ซิตี้ หรือ U ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม BTS Group Holdings เข้ามาร่วมลงทุนในกลุ่มเจมาร์ทครั้งนี้ นับเป็นโอกาสใหญ่ที่ได้ผสานพลังร่วมกับกลุ่มผู้นำในธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจสื่อโฆษณา และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอีโคซิสเต็มครบวงจร 

สะท้อนความเชื่อมั่นใน JMART SINGER และ JMT ที่มีศักยภาพการเติบโตอีกมาก สิ่งที่เข้ามาปลดล็อกในครั้งนี้ คือ การปลดล็อกฐานเงินทุนที่จะเพิ่มขึ้น และแผนการ Transform และ Synergy ร่วมกันในทุกรูปแบบ โดยเป็นการมองระยะยาวไปอีก 3 - 5 ปีจากนี้ ด้วยเม็ดเงินระดมทุนก้อนใหญ่ ที่สามารถรองรับการขยายธุรกิจ แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด ก็เชื่อมั่นได้ว่า เจมาร์ทมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ และมีประสิทธิภาพ 

สำหรับแผนการ Synergy ร่วมกันในช่วงต่อจากนี้ คาดจะได้เห็นการขยายฐานลูกค้า การขยายผลิตภัณฑ์และบริการในเครือของเจมาร์ท ในธุรกิจค้าปลีก การเงิน ประกัน และเทคโนโลยี ไปสู่ขอบเขตการให้บริการที่เป็นมากกว่า Online-to-Offline (O2O) โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณาของ VGI ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ 

ในแง่ของช่องทางการจำหน่าย SINGER ยังถือเป็นเบอร์หนึ่งที่สามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านตัวแทนขายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีร้านสาขาและแฟรนไชส์รวมกว่า 2,800 แห่ง รวมทั้ง ช่องทางร้านค้ากลุ่มสินค้าเทคโนโลยี JAYMART MOBILE และบริษัทในเครือ เป็นเครือข่ายการกระจายสินค้าและเข้าถึงผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ผสานกับ KERRY เพิ่มโอกาสการต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์ในเครือเจมาร์ทได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

รวมทั้ง ทางด้านเทคโนโลยีทางการเงิน Blockchain รวมทั้งศึกษาเรื่อง Digital Token และการนำเอา JFIN Token มาใช้บนอีโคซิสเต็มของกลุ่ม BTS เป็นโอกาสในการสร้างระบบนิเวศน์ในเครือเจมาร์ทให้ครบวงจร

นอกจากธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นแล้ว การเพิ่มทุนครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนของกลุ่มเจมาร์ท ทำให้มีงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้น มีโอกาสที่เครดิตเรทติ้งจะดีขึ้น และการขยายธุรกิจด้วยต้นทุนการเงินที่ลดลงของ SINGER และ JMT จะสะท้อนกลับมาที่ JMART ในแง่ของกำไรที่โดดเด่นชัดเจน 


โดยตั้งเป้าภาพรวมกำไรปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 50% ต่อปี ซึ่งยังไม่นับรวมการผนึกพันธมิตรต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกับบริษัท VGI และ U ภายในกลุ่ม BTS ทั้งนี้ VGI และ U เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP ของ JMART รวมสัดส่วน 24.9% ของทุนที่ชำระแล้ว โดย VGI เข้ามาถือสัดส่วน 15% ส่วน U ถือสัดส่วน 9.9% 

พร้อมกันนี้ JMART ในฐานะเป็นบริษัทแม่ของ JMT และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SINGER พร้อมนำเงินจากพันธมิตรที่ได้จากการออก PP ครั้งนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท สนับสนุนแผนเพิ่มทุน (RO) ของ SINGER คิดเป็นมูลค่าราว 1,300 ล้านบาท รองรับการขยายโอกาสในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 

และอีกส่วนหนึ่งใช้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (RO) ของ JMT มูลค่าประมาณ 5,300 ล้านบาท รองรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร ท่ามกลางสถานการณ์ของอุตสาหกรรมที่สนับสนุนการเติบโตของกิจการในอนาคต ซึ่ง JMT เป็นผู้บริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ของประเทศ โดยผู้ถือหุ้นท่านใดที่เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตนี้ ก็สามารถมีส่วนร่วมเติบโตไปด้วยกันในครั้งนี้ พร้อมให้วอแรนท์ชุดใหม่ รองรับการเติบโตในอนาคต

ด้าน บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย หรือ SINGER เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ RO และ PP รวมได้เงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการออก PP ให้ บมจ. ยู ซิตี้ หรือ U ถือหุ้นสัดส่วน 24.9% มีแผนจะนำเงินที่ได้ 7,700 ล้านบาท ใช้สนับสนุนการขยายพอร์ตสินเชื่อของ SINGER ให้เติบโตโดดเด่น ด้วยต้นทุนทางการเงินในระดับต่ำมาก และเงินส่วนที่เหลือนำไปคืนหนี้หุ้นกู้ในอีก 2 ปีข้างหน้า
#3706


แคสเปอร์สกี้เผยโมบายมัลแวร์คุกคามองค์กรและพนักงานเพิ่มสูง รับกระแส Remote working ยอดโจมตีไทยพุ่งขึ้นอันดับสองของอาเซียน

ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 พนักงานจำนวนมากจึงต้องจัดสภาพแวดล้อมสำหรับการทำงานจากระยะไกล แนวโน้มนี้ช่วยให้ประชากรมีความปลอดภัยทางกายภาพมากขึ้น แต่ก็เป็นการเปิดช่องโหว่องค์กรทางออนไลน์ด้วยเช่นกัน

แคสเปอร์สกี้ บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก ได้ตรวจพบและบล็อกการโจมตีผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านมือถือจำนวน 382,578 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมี 336,680 ครั้ง

แม้ว่าการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงานหรือ BYOD จะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์โรคระบาด แต่การใช้งานก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2020 เนื่องจากบริษัทต่างๆ ได้ปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้พนักงานมีบาทบาทในการรักษาความปลอดภัยเน็ตเวิร์กของบริษัทเพิ่มขึ้นเช่นกัน

การสำรวจเรื่อง "How COVID-19 changed the way people work" ของแคสเปอร์สกี้เมื่อปีที่แล้วเปิดเผยว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากกว่าสองในสามกำลังใช้อุปกรณ์ส่วนตัวเพื่อทำงานจากที่บ้าน นอกจากนี้พนักงานยังใช้อุปกรณ์ในการทำงานเพื่อทำกิจกรรมส่วนตัว เช่น ดูวิดีโอและเนื้อหาเพื่อการศึกษา อ่านข่าว และเล่นวิดีโอเกม


ที่น่าสนใจที่สุดคือพนักงาน 33% จาก 6,017 คนที่ตอบแบบสอบถามจากทั่วโลกยอมรับว่าใช้อุปกรณ์สำนักงานเพื่อดูเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นเนื้อหาประเภทหนึ่งที่มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์


นายเซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า "คอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการทำงาน แต่อุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟนก็ยังใช้เพื่อเข้าถึงอีเมลสำนักงานและระบบที่เกี่ยวข้องกับงานตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด การใช้อุปกรณ์การทำงานสำหรับเรื่องส่วนตัวและเข้าถึงความบันเทิงที่อันตราย ถือเป็นวิธีปฏิบัติที่เสี่ยงต่อภัยออนไลน์ ด้วยแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นในสภาพแวดล้อมโฮมออฟฟิศเสมือนจริงนี้ บริษัทต่างๆ ควรทบทวนนโยบาย สิทธิ์การเข้าถึง และการตั้งค่าความปลอดภัยเพื่อบล็อกอาชญากรไซเบอร์ไม่ให้เข้าสู่เน็ตเวิร์กองค์กรผ่านอุปกรณ์ที่ติดมัลแวร์"

มัลแวร์บนมือถือ หรือโมบายมัลแวร์ (mobile malware) หมายถึงซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายซึ่งกำหนดเป้าหมายไปยังอุปกรณ์พกพาโดยเฉพาะ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และสมาร์ทแกดเจ็ตอื่นๆ แม้ว่ามัลแวร์บนอุปกรณ์พกพาจะไม่เทียบเท่าคอมพิวเตอร์ในแง่ของปริมาณหรือความซับซ้อน แต่ผู้เชี่ยวชาญก็พบมัลแวร์ที่ออกแบบเพื่อใช้กับฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟนหรือช่องโหว่ของแท็บเล็ต

โดยเฉพาะ ในยุคของการทำงานจากระยะไกลอย่างต่อเนื่อง มัลแวร์บนอุปกรณ์พกพาสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้แต่ละคน และยังเป็นจุดเริ่มสำหรับการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมายต่อนายจ้างของผู้ใช้ได้อีกด้วย

ตั้งแต่ปี 2020 แคสเปอร์สกี้ได้เฝ้าติดตามและบล็อกการโจมตีของมัลแวร์บนอุปกรณ์พกพามากกว่าหนึ่งแสนรายการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อหนึ่งไตรมาส โดยในไตรมาสแรกของปี 2021 มีตัวเลขสูงสุดโดยตรวจพบเหตุการณ์การพยายามโจมตี 205,995 ครั้ง

อินโดนีเซียมีสถิติการโจมตีผ่านมือถือสูงสุดในภูมิภาคช่วงเดือนมกราคม 2020 ถึงมิถุนายน 2021 ตามมาด้วย "ไทย" และ "มาเลเซีย" โดยอินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลกที่ตรวจพบมัลแวร์บนมือถือมากที่สุดในไตรมาสที่สองของปีนี้ รัสเซียและยูเครนอยู่ในอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับ อินเดียอยู่ในอันดับที่ 4 และตุรกีอยู่ในอันดับที่ 5

สำหรับตัวเลขเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ถูกโจมตีโดยมัลแวร์มือถือ ผู้ใช้ 4.42% ในมาเลเซียตกเป็นเป้าหมายในช่วงครึ่งแรกของปี ตามด้วยประเทศไทย (4.26%) และอินโดนีเซีย (2.95%) สิงคโปร์มีตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน โดยมีผู้ใช้มือถือ 2.83% ที่เกือบติดเชื้อจากภัยคุกคามประเภทนี้ ฟิลิปปินส์ (2.27%) และเวียดนาม (1.13%) มีตัวเลขต่ำสุด

ภัยคุกคามทางมือถือที่พบบ่อยที่สุด 3 รายการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้

• Trojan – โทรจันคือโปรแกรมที่เป็นอันตรายซึ่งดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ โทรจันจะลบ บล็อก แก้ไข คัดลอกข้อมูล และขัดขวางประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์หรือเน็ตเวิร์กคอมพิวเตอร์

• Trojan-Downloader – ดาวน์โหลดและติดตั้งเวอร์ชันใหม่ของโปรแกรมที่เป็นอันตราย รวมทั้งโทรจันและ AdWare บนคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ เมื่อดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตแล้ว โปรแกรมจะเปิดทำงานหรือรวมอยู่ในรายการโปรแกรมที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อระบบปฏิบัติการเริ่มทำงาน

• Trojan-Dropper – โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อแอบติดตั้งโปรแกรมที่เป็นอันตรายซึ่งสร้างไว้ในรหัสไปยังคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ โปรแกรมที่เป็นอันตรายประเภทนี้มักจะบันทึกไฟล์ช่วงหนึ่งไปยังไดรฟ์ของเหยื่อ และเปิดใช้งานโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ (หรือการแจ้งเตือนปลอมเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการเก็บ เวอร์ชันระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย ฯลฯ)

'เยียวยาประกันสังคมมาตรา 40' เช็คโอนพร้อมเพย์-ทบทวนสิทธิ์ ยังไม่ได้เงินทำไง?
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังตายสูง! พบเสียชีวิต 292 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 17,984 ราย ไม่รวม ATK อีก 2,535 ราย
เตรียมตัวให้พร้อม "ร้านนวด-เสริมสวย" คลายล็อก 1 ก.ย. นี้
นายเซียง เทียง โยว กล่าวเสริมว่า ทั้งพนักงานและ CIO ในภูมิภาคนี้ต่างยอมรับประโยชน์จากการทำงานจากระยะไกลในปัจจุบันและสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดในอนาคต แต่บริษัทควรพิจารณาประเด็นช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยเช่นกัน

"เทรนด์ BYOD นั้นจะอยู่กับเราอีกนาน บริษัทควรดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเพิ่มการป้องกัน สิ่งสำคัญคือต้องฝึกอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ แจ้งเรื่องภัยคุกคามทางออนไลน์ล่าสุด และจัดหาเครื่องมือ เช่น อุปกรณ์ที่เข้ารหัส การป้องกันเครื่องเอ็นด์พอยต์และ VPN สิ่งสำคัญที่สุดคือ สร้างวัฒนธรรมความไว้วางใจและความรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความปลอดภัยขององค์กร"

เคล็ดลับป้องกันเน็ตเวิร์คและอุปกรณ์ จากอาชญากรไซเบอร์ มีดังต่อไปนี้

• ตรวจสอบว่าพนักงานมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานจากที่บ้านอย่างปลอดภัย และให้ข้อมูลว่าต้องติดต่อใครหากต้องเผชิญกับปัญหาด้านไอทีหรือความปลอดภัย

• จัดกำหนดการการฝึกอบรมความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงาน ซึ่งสามารถทำได้ทางออนไลน์ให้ครอบคลุมแนวทางปฏิบัติที่จำเป็น เช่น การจัดการบัญชีออนไลน์และรหัสผ่าน การรักษาความปลอดภัยของอีเมล การรักษาความปลอดภัยปลายทาง และการท่องเว็บ โดยแคสเปอร์สกี้ และ Area9 Lyceum ได้เตรียมหลักสูตรฟรีเพื่อช่วยให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้อย่างปลอดภัย 

• ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงการเปิดใช้การป้องกันด้วยรหัสผ่าน การเข้ารหัสอุปกรณ์ที่ทำงาน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้สำรองข้อมูลไว้เรียบร้อย

• ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน และบริการต่างๆ ได้รับการอัปเดตด้วยแพตช์ล่าสุด

• ติดตั้งซอฟต์แวร์การป้องกันที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เช่น Kaspersky Endpoint Security Cloud บนเครื่องเอ็นด์พอยต์ปลายทางทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์พกพา และเปิดไฟร์วอลล์

• สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลภัยคุกคามล่าสุด (threat intelligence) เพื่อสนับสนุนโซลูชันการป้องกันเพื่อความปลอดภัย

• ตรวจสอบการป้องกันบนอุปกรณ์มือถืออีกครั้ง ตัวอย่างเช่น ควรเปิดใช้ฟีเจอร์การป้องกันการโจรกรรม เช่น ตำแหน่งของอุปกรณ์ระยะไกล การล็อกและการล้างข้อมูล การล็อกหน้าจอ รหัสผ่าน และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยแบบไบโอเมตริก เช่น Face ID หรือ Touch ID ตลอดจนเปิดใช้การควบคุมแอปพลิเคชันเพื่อให้พนักงานใช้เฉพาะแอปพลิเคชันที่ได้รับอนุมัติเท่านั้น

เคล็ดลับสำหรับผู้ใช้และพนักงานในช่วงเวลาที่อยู่บ้าน เพื่ออุดช่องโหว่การโจมตี มีดังต่อไปนี้

• ตรวจสอบว่าเราเตอร์รองรับและทำงานได้อย่างราบรื่นเมื่อส่ง Wi-Fi ไปยังอุปกรณ์หลายเครื่องพร้อมกัน แม้ว่าพนักงานหลายคนจะออนไลน์และมีทราฟฟิกหนาแน่น (เช่นกรณีเมื่อใช้การประชุมทางวิดีโอ)

• อัปเดตเราเตอร์เป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น

• ตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมสำหรับเราเตอร์และเน็ตเวิร์ก Wi-Fi 

• หากทำได้ ให้ทำงานบนอุปกรณ์ที่นายจ้างให้มาเท่านั้น การใส่ข้อมูลบริษัทลงในอุปกรณ์ส่วนตัวอาจนำไปสู่ปัญหาด้านความปลอดภัยและการรักษาความลับที่อาจเกิดขึ้น

• อย่าเปิดเผยรายละเอียดบัญชีงานแก่ผู้อื่น

• พูดคุยกับทีม IT หรือทีม IT Security ของบริษัทหากมีข้อกังวลหรือปัญหาใดๆ ขณะทำงานจากที่บ้าน

• ปฏิบัติตามกฎของสุขอนามัยทางไซเบอร์ ได้แก่ ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมสำหรับทุกบัญชี ห้ามเปิดลิงก์ที่น่าสงสัยจากอีเมลและข้อความ ห้ามติดตั้งซอฟต์แวร์จากตลาดเธิร์ดปาร์ตี้ ตื่นตัวต่อภัยคุกคาม 
#3707


วันนี้ (27 ส.ค.) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงหน้าฝน ปัญหาที่พบบ่อยคือเสื้อผ้ามีกลิ่นอับชื้น เนื่องจากเปียกฝนหรือสวมใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง รวมถึงการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยที่เปียกชื้นอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้ ดังนั้น เมื่อกลับถึงบ้านแล้วควรนำเสื้อผ้าที่เปียกไปแขวนผึ่งให้แห้ง ก่อนใส่ตะกร้าเพื่อรอการซัก ไม่ควรทิ้งไว้นาน ๆ เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราบนเสื้อผ้าได้ หากนำมาสวมใส่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนังจากเชื้อราตามมา อาทิ โรคกลาก เกลื้อน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง มีขุยรอบ ๆ เกิดอาการคัน ทำให้เป็นผื่นแพ้และติดเชื้อได้ ไม่ควรเกาหรือปล่อยไว้จนลุกลาม ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป ซึ่งการทำความสะอาดเสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับชื้นหรือปัญหาเชื้อราบนผ้า สามารถทำได้ด้วย 2 วิธีคือ วิธีที่ 1 ซักตามปกติแล้วนำไปต้มในน้ำเดือดนาน 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ส่วนวิธีที่ 2 แช่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่สามารถหาได้ในครัวเรือน ได้แก่ น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมโซเดียมไฮโปคลอไรด์ โดยเติม 1 ฝา ต่อน้ำ 10 ลิตร แช่ผ้าไว้นาน 5-15 นาที หรือใช้น้ำส้มสายชู 2-3 ถ้วยตวง ต่อน้ำ 1-2 ลิตร แช่ผ้าไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง แล้วซักตามปกติ จากนั้นนำไปตากแดดจัดหรือตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทจนแห้ง แล้วนำมารีดทั้งข้างในและข้างนอกตัวเสื้อ โดยก่อนทำความสะอาดเสื้อผ้า ควรอ่านป้ายสัญลักษณ์การดูแลรักษาเสื้อผ้า เพื่อเลือกวิธีทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดและป้องกันเสื้อผ้าชำรุด ส่วนหน้ากากผ้า ควรเปลี่ยนทุกวัน หรือเปลี่ยนเมื่อรู้สึกเปียกชื้นในระหว่างวัน และให้ซักหน้ากากผ้าให้สะอาดทุกวันด้วยสบู่หรือผงซักฟอกแล้วตากแดดให้แห้ง กรณีสวมหน้ากากอนามัย ให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยชิ้นใหม่ทุกวัน หรือเมื่อหน้ากากเปียกชื้น และควรพกหน้ากากอนามัยสำรองไว้ติดตัว เพื่อให้สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ทันที

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า ในช่วงหน้าฝน สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการกำจัดเชื้อราในบ้าน เพราะหน้าฝนความชื้นในอากาศ สามารถทำให้ภายในบ้านมีความชื้นสูง อาจเป็นแหล่งของเชื้อราได้ อาทิ ห้องน้ำ ห้องนอน และห้องครัว เชื้อราจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้น สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่สีดำ น้ำตาล เขียว แดงเหลือง และขาว พบได้เป็นกลุ่มๆ ในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น ฝ้าและผนัง เพดาน เฟอร์นิเจอร์ ใต้พื้นพรม เครื่องนอน เครื่องปรับอากาศ หากสปอร์ของเชื้อราเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพต่าง ๆ ตามมา เช่น หากเข้าตาและจมูก จะทำให้เกิดการระคายเคือง มีอาการจาม น้ำมูกไหล มีไข้ บางรายก่อให้เกิดโรคหอบหืด ภูมิแพ้ และปอดอักเสบในที่สุด ซึ่งกลุ่มที่ต้องระวังคือ ผู้สูงอายุ และเด็กอ่อน

"ทั้งนี้ สามารถเช็ดทำความสะอาดบ้านเรือนที่ปนเปื้อนเชื้อราได้ 3 ขั้นตอน คือ 1. พื้นผิววัสดุที่พบเชื้อรา ให้ใช้กระดาษทิชชูแผ่นหนาและขนาดใหญ่หรือกระดาษหนังสือพิมพ์พรมน้ำให้เปียกเล็กน้อย เช็ดพื้นผิวไปในทางเดียว แล้วนำกระดาษทิชชูหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ดังกล่าวทิ้งลงในถังขยะที่ปิดมิดชิด 2. ใช้กระดาษทิชชู แผ่นหนาและขนาดใหญ่ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ชุบลงในน้ำผสมกับสบู่หรือน้ำยาล้างจาน เช็ดซ้ำในจุดที่มีเชื้อราอีกครั้ง และ 3. ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรา เช่น น้ำส้มสายชู 5-7 เปอร์เซ็นต์ หรือแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 60-90 เปอร์เซ็นต์ เช็ดทำความสะอาดเพื่อเป็นการทำลายเชื้อในขั้นตอนสุดท้าย" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
#3708


น้อยคนนักจะรู้ว่า "ครีมกันแดด" นั้นมีส่วนผสมที่สามารถทำร้ายสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งหลายคนมองข้ามจุดนี้ไป เพื่อรักษาผิวกายให้สวยงามแต่หลงลืมเรื่องการรักษาธรรมชาติรอบๆ ตัว กระทั่งในปัจจุบันเริ่มมีกระแสการใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีประกาศการงดใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมทำร้ายปะการัง จึงทำให้หลายคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ เกิดความตระหนัก และเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และแบรนด์ "KAANI" ครีมกันแดดฝีมือคนไทย ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สามรถตอบโจทย์ทั้งเรื่องกันแสงแดด ดูแลผิว และรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปพร้อมๆ กันได้

นางสาวชนิภา สารสิน (ซ้าย) นายพชร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (กลาง) นางสาวดิษย์ลดา ดิษยนันท์ (ขวา) สามเพื่อนซี้ที่ชื่นชอบการดำน้ำ ผู้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์ "KAANI" 
นางสาวชนิภา สารสิน (ซ้าย) นายพชร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (กลาง) นางสาวดิษย์ลดา ดิษยนันท์ (ขวา) สามเพื่อนซี้ที่ชื่นชอบการดำน้ำ ผู้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์ "KAANI"

นางสาวชนิภา สารสิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ "KAANI" (คานิ) เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า ครีมกันแดดรักษ์โลก เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันกับ นายพชร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และ นางสาวดิษย์ลดา ดิษยนันท์ ที่ได้มารู้จักและได้เป็นเพื่อนกันเนื่องจากชื่นชอบกิจกรรมดำน้ำเหมือนกัน และด้วยการเห็นความงดงามของโลกใต้ท้องทะเลที่สวยแปลกตาต่างจากโลกบนดิน ทำให้เราทั้งสามคนได้ตระหนักว่าธรรมชาติโลกใต้ท้องทะเลนั้น ก็มีชีวิตและเปราะบางเหมือนกับธรรมชาติบนพื้นดิน และในการดำน้ำและการเที่ยวทะเลในทุกๆ ครั้ง ก็ต้องมีการใช้ครีมกันแดดซึ่งส่วนใหญ่มีสวนผสมของสารที่ทำร้ายปะการัง และก่อมลพิษทางอ้อม จึงได้มีการเปลี่ยนมาใช้ครีมกันแดดสูตร Reef-safe ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อนำมาใช้ที่ประเทศไทยกลับไม่ตอบโจทย์ในการใช้ เพราะอากาศร้อนจึงทำให้ครีมเหนียวเหนอะหนะ และด้วยเหตุนี้ครีมกันแดดรักษ์โลกฝีมือคนไทยจึงได้เกิดขึ้นในชื่อแบรนด์ "KAANI"

นางสาวชนิภา สารสิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ "KAANI" 
นางสาวชนิภา สารสิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ "KAANI"

ในช่วงแรกในการทำการตลาดนั้น ทางแบรนด์ KAANI ได้ผลิตครีมกันแดดเพื่อตอบโจทย์กลุ่มนักดำน้ำ และกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวทะเลที่ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม ในรุ่น "AcTive" โดยได้ได้มีการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ร้านผลิตภัณฑ์รักสิ่งแวดล้อม และในโรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวชายทะเล ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเนื้อครีมของ KAANI นั้น ไม่เหนียวเหนอะหนะและกันแดดได้ดีทำให้ลูกค้าชื่นชอบ อีกทั้งยังมีประกาศจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศห้ามนำครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ จึงทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ในการเป็นครีมกันแดดรักษ์โลกที่เกิดขึ้นจากฝีมือคนไทย



และแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้การท่องเที่ยวทางทะเลในหลายๆ แห่งต้องหยุดชะงัก แต่ครีมกันแดดของทางแบรนด์ก็ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากมีส่วนผสมที่เป็นมิตรต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม ทำให้ไม่เกิดเป็นสารตกค้างในร่างกาย และด้วยเนื้อครีมที่สัมผัสแล้วสบายผิว จึงทำให้แบรนด์ KAANI สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ได้ดีอีกด้วย โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม "แม่และเด็ก" ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแรกเริ่ม แต่แบรนด์สามารถตอบโจทย์ในเรื่องความอ่อนโยนของผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กได้ ซึ่งทำให้คุณแม่หลายๆ คนไว้วางใจแบรนด์ในการเป็นครีมกันแดดสำหรับลูกๆ



และด้วยการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ทางแบรนด์จึงต่อยอดด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์รุ่น "Everyday" ซึ่งทางแบรนด์ได้เน้นการตลาดในเรื่องการให้ความสำคัญในการใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอยู่มากมาย และบางชนิดก็สามารถสร้างผลกระทบในระยะยาวให้กับผิวหนังได้ และได้ผลพลอยได้คือการได้รักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ทำให้เรื่องการดูแลผิวกายและการดูแลธรรมชาติกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว และสามารถทำได้ในทุกๆ วัน ด้วยแนวคิดนี้จึงทำให้แบรนด์ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้น



"หลายคนคิดว่าถ้าใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมกันแดดแบบรักษ์โลก จะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง เช่น ความเหนียวเหนอะหนะไม่สบายผิว หรือกันแดดได้ไม่ดี เพราะขาดส่วนประกอบบางชนิด เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่กลัวผิวคล้ำ แต่ KAANI ตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ ไม่ต้องแลกกับอะไร"  .... นางสาวชนิภา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์กล่าวเสริม



นอกจากจุดเด่นในเรื่องการเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของครีมกันแดด KAANI ที่ทำให้ลูกค้ายอมรับนั้น ก็คือส่วนผสมที่ทางแบรนด์ใช้เวลากว่า 1 ปี ในการพัฒนาส่วนผสมต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตของคนไทย ด้วยสูตร Reef-safe ครีมกันแดดที่ไม่ใส่สารเคมี ในแบบ Physical sunscreen ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นกระจกสะท้อนหรือหักเหรังสี UV ออกไปจากผิว ทำให้เนื้อครีมสัมผัสไม่เหนียวเหนอะหนะสบายผิว ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และไม่มีสารตกค้าง ทำให้ลูกค้าที่ใช้สามารถลืมภาพครีมกันแดดที่เหนียวเหนอะหนะไปได้ และยอมรับในการใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกได้อย่างสบายใจ



อีกหนึ่งจุดเด่นของแบรนด์ก็คือ การนำมาตรฐานของ "สาธารณรัฐปาเลา" หนึ่งในประเทศที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล ที่ได้มีการออกกฎหมายแบนสารเคมีในครีมกันแดดมากกว่า 10 ชนิด ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงที่สุดในโลกมาเป็นมาตรฐานของแบรนด์ จึงทำให้ครีมกันแดด KAANI ไม่ได้ตอบโจทย์แค่เฉพาะในตลาดประเทศไทย แต่ยังตอบโจทย์และสามารถนำไปใช้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกได้อีกด้วย เนื่องจากในปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่างให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะวิกฤตสภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ครีมกันแดดจากฝีมือคนไทย "KAANI" จึงเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งการดูแลผิวและดูแลสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมๆ กันได้เป็นอย่างดี
#3709


เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม จีนและลาวได้ร่วมกันปล่อยขบวนรถบรรทุกสินค้าทางถนน เชื่อมระหว่างนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน กับนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว

โดยรถคอนเทนเนอร์ขนาด 18 ล้อ บรรทุกเครื่องจักร อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่ารวม 3 ล้านหยวน ได้ออกเดินทางจากนครคุนหมิง ข้ามด่านชายแดนจีนที่เมืองบ่อหาน เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เข้ามายังดินแดนลาวที่เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา จากนั้นเดินทางต่อลงมาตามถนนหมายเลข 13 จนถึงนครหลวงเวียงจันทน์

ในเวลาเดียวกัน รถคอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้า ซึ่งถูกระบุเพียงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษของลาว ได้เดินทางออกจากนครหลวงเวียงจันทน์ ข้ามชายแดนบ่อเต็น-บ่อหาน ต่อขึ้นไปถึงนครคุนหมิง ซึ่งถูกใช้เป็นจุดกระจายสินค้าที่บรรทุกจากลาวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน

ขบวนรถบรรทุกสินค้าข้ามประเทศครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลการจราจร ต้นทุน ค่าใช้จ่าย รวมถึงอุปสรรคและข้อบกพร่องที่อาจพบ ในการเดินทางระหว่างนครคุนหมิงกับนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับเตรียมเปิดเส้นขนส่งสินค้าทางถนนจีน-ลาว ซึ่งจะใช้คู่ขนานกับเส้นทางรถไฟลาว-จีน (เวียงจันทน์-คุนหมิง) ที่กำหนดเริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 2 ธันวาคมที่จะถึงนี้

ที่ผ่านมา ในช่วงที่โควิด-19 ยังไม่ระบาด มีข้อตกลงให้รถจีนและลาววิ่งข้ามไป-มาระหว่างกันได้ เพราะเป็น 2 ประเทศที่มีชายแดนติดกัน อย่างไรก็ตาม รถจากจีนสามารถเดินทางไปยังทุกแขวงของลาว แต่รถจากลาว ไม่สามารถเดินทางไปได้ทุกมณฑลของจีน เพราะแต่ละพื้นที่มีกฏระเบียบที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่ หากเป็นรถสัญชาติลาว ส่วนมากมักวิ่งขึ้นไปไม่ถึงนครคุนหมิง ต้องเปลี่ยนไปใช้หัวรถจีน หรือเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกสัญชาติจีนเสียก่อน
#3710


วันนี้ (27 ส.ค. 64) นางสาวลัดดา แซ่ลี้ โฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคม ได้ร่วมมือกับ 'ShopeePay' (ช้อปปี้เพย์) ผู้ให้บริการด้านการชำระผ่าน Mobile Wallet เพิ่มช่องการให้บริการรับชำระเงินกองทุนประกันสังคมผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เพิ่มเติมอีก 1 ช่องทาง ผ่านแอปพลิเคชั่น 'Shopee' (ช้อปปี้) พร้อมเปิดให้บริการแล้ว

ขั้นตอนการชำระผ่าน Shopee "ผู้ประกันตน ม.40"
1. ผู้ประกันตนดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Shopee 

2. "Top-up Bill & Movies"

3. แล้วไปที่เมนู "บิลประกัน และประกันสังคม"

4. จากนั้นเลือกเมนู "ประกันสังคมมาตรา 40"

ผู้ประกันตนก็สามารถชำระเงินสมทบและเงินสมทบเพิ่มเติม (ถ้ามี) งวดเดือนปัจจุบัน และชำระเงินสมทบงวดเดือนล่วงหน้าไม่เกิน 12 งวดเดือน รวมชำระเงินสมทบ ได้ไม่เกิน 13 งวดเดือน กรณีเงินสมทบเพิ่มเติมชำระได้ไม่เกินละ 1,000 บาท และไม่สามารถชำระเงินสมทบและเงินสมทบเพิ่มเติมงวดเดือนย้อนหลังได้ พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถพิมพ์ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ได้ด้วยตนเองบนเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม https://www.sso.go.th/erc ในวันถัดไปจากวันที่ชำระเงินตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป 

'ฤกษ์ไหว้' ขอขมาฟ้าดินใน 'วันฟ้าอภัย' หรือ 'วันเทียงเสี่ยยิก' 28 สิงหาคม 2564 โดย อาจารย์ คฑา ชินบัญชร
ผู้ประกันตน ม. 40 ชำระเงินสมทบ ผ่าน 'Shopee' ได้แล้ววันนี้
กางหลักเกณฑ์ 'สินบน-เงินรางวัล' รถหรู
ผู้ประกันตน สามารถติดต่อสอบถามการสมัครใช้บริการหรือแจ้งปัญหาได้ที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ของบริษัทฯ ผ่าน Call Center เบอร์โทรศัพท์ 02-017-8399 e-mail : help@support.shopee.co.th และกรอกแบบฟอร์มเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับที่ https://help.shopee.co.th/s/contactusform

หากผู้ประกันตนตามมาตรา 40 มีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลสำนักงานประกันสังคมโทรศัพท์ 1506 ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ หรือที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ
#3711


ร้านอาหารคึกคัก พร้อมกลับมาเปิดให้บริการ หลังรัฐเตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ 1 ก.ย. 64 เซ็นฯ เผยระยะแรกเป็นช่วงฮันนีมูน ผู้ประกอบการต้องร่วมมือรัฐเต็มที่ เพื่อป้องกันโรคระบาด ทั้งฉีดวัคซีน ตรวจคัดกรองเอทีเคให้พนักงาน ยอมรับส่งผลต้นทุนสูงขึ้นหลักล้าน เพนกวิน อีท ชาบู ชี้มาถึงจุดที่ผู้ประกอบการยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ร้านได้เปิด มีเงิน จ่ายค่าจ้างพนักงาน  

นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการร้านอาหารมีความพร้อมมากในการกลับมาเปิดให้บริการนั่งทานในร้านหรือไดอินอีกครั้ง พร้อมร่วมมือดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัย และป้องกันโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการฉีดวีคซีนให้กับพนักงาน รวมถึงการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจเอทีเค ตามมาตรการป้องกันตนเองในการให้บริการแก่ลูกค้า

ทั้งนี้ ยอมรับว่าการตรวจคัดกรองด้วยชุดเอทีเค ส่งผลต่อต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นหลักล้านบาท เนื่องจากชุดตรวจมีราคาค่อนข้างสูงหลัก 200-300 บาท และบริษัทมีพนักงานราว 3,000 คน จึงสร้างความลำบากใจให้กับผู้ประกอบการเล็กน้อย ดังนั้นการคัดกรองจึงอาจทำเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงของโรค ยังไม่ได้รับวัคซีน

"การตรวจคัดกรองพนักงานด้วยชุดเอทีเค อาจต้องมีการปรับจูน ทำความเข้าใจเล็กน้อย"


บุญยง ตันสกุล

ขณะเดียวกัน ร้านอาหารที่มีการเปิดเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ สามารถให้บริการนั่งทานในร้าน 50% ของความจุที่นั่ง ส่วนร้านที่ไม่ได้เปิดแอร์ให้บริการนั่งทานในร้านได้ 75% ความจุที่นั่ง อัตราดังกล่าวถือว่าพอใจแล้ว โดยเฉพาะร้านที่ไม่ได้เปิดแอร์ เพราะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ร้านนอกศูนย์การค้าต่างๆจะได้กลับมาต่อลมหายใจธุรกิจอีกครั้ง ซึ่งหากพิจารณาอัตราลูกค้าเข้าใช้บริการบางร้านไม่เต็ม 100% อยู่แล้ว ช่วงเวลาการกลับมาเปิดให้นั่งทานในร้านอีกครั้งยังถือเป็นช่วงฮันนีมูนด้วย

"เปิดให้นั่งทานในร้าน 50% หรือ 75% ได้ ถือว่าดีใจแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารคงต้องช่วยกันดูแลเรื่องมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งพนักงาน ลูกค้า รวมถึงผู้ประกอบการ โดยคาดว่าจะกินเวลาราว 60 วัน อาจไม่ต้องทำตลอด เพราะในไตรมาส 4 เราจะมีวัคซีนทางเลือกที่เอกชนหลายรายนำเข้ามา รวมถึงวัคซีนที่รัฐจัดหาด้วย ถือว่าเรามาถูกทางแล้ว แต่ช่วงการกลับมาเปิดให้นั่งทานในร้านเป็นฮันนีมูนพีเรียด ทุกคนต้องร่วมมือกัน จากนั้นธุรกิจไตรมาส 4 น่าจะปรับตัวดีขึ้น ปีนี้คาดว่าจะสดใส"

สำหรับเซ็นฯ เตรียมตัวรับการคลายล็อกดาวน์ร้านอาหาร โดยเริ่มมีการสั่งซื้อวัถุดิบมาไว้เสิร์ฟผู้บริโภคาแล้ว รวมถึงการคัดสรรพนักงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า โดยประเมินร้านที่มีสาขาในศูนย์การค้าจะมีลูกค้าหรือทราฟฟิกเข้ามาใช้บริการ 70-80%


นอกจากนี้ บริษัทต้องบริหารจัดการครัวกลางหรือคลาวด์คิทเช่นที่อยู่นอกศูนย์การค้า สาขาไหนที่อยู่ใกล้ร้านที่ตั้งในห้างค้าปลีก ซึ่งมีความซ้ำซ้อน อาจต้องยุติให้บริการ นำมารวมที่สาขาดังเดิม ส่วนโมเดลไหนที่ขยายต่อระยะยาวได้ ยังเดินหน้า เช่น คลาวด์คิทเช่นสำหรับแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น ทั้งอากะ เซ็น และออน เดอะ เทเบิล และจะหาโอกาสขยายพื้นที่เพิ่มผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด สาขาในห้างและนอกห้าง

"การเข้าหารือกับกระทรวงสาธารณสุขครั้งนี้ ภาครัฐรับฟังข้อเสนอของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจอย่างมาก ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบอกว่าเมื่อมาแล้วต้องไม่กลับมือเปล่า"

ด้านนายธนพันธ์ วงศ์ชินศรี ผู้ร่วมก่อตั้งร้านเพนกวิน อีท ชาบู กล่าวว่า เมื่อรัฐเตรียมประกาศคลายล็อกดาวน์ให้ร้านอาหารกลับมาเปิดบริการนั่งทานในร้านได้อีกครั้งโดยมีเงื่อนไขการฉีดวัคซีน การตรวจคัดกรองพนักงานด้วยชุดตรวจเอทีเค รวมถึงมาตรการอื่น ในฐานะผู้ประกอบการยืนดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง


ธนพันธ์ วงศ์ชินศรี  Cr.Thanapan Vongchinsri

"ขณะนี้มาถึงจุดที่ผู้ประกอบการยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เปิดร้านอีกครั้ง แม้จะมีต้นทุนพิ่มจากการตรวจคัดกรองพนักงานด้วยชุดตรวจเอทีเคก็ตาม เพราะอย่างน้อยร้านจะมีรายได้จ่ายพนักงาน ส่วนพนักงานก็จะมีรายได้เช่นกัน และการเปิดร้าน 50% หรือ 75% ย่อมดีกว่าไม่ได้เปิดเลย"

ทั้งนี้ เพนกวินฯ เตรียมความพร้อมเปิดร้านแล้ว ทั้งการทำความสะอาด อบรมพนักงานในการให้บริการแก่ลูกค้า เป็นต้น แต่ยอมรับว่าการเปิดร้านครั้งนี้ไม่สามารถทำได้ครบทุกสาขา ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ 6-7 สาขา จากเดิมมี 10 สาขา เนื่องจากขาดแคลนพนักงาน บางส่วนมีการหยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือนหรือลีฟ วิท เอาท์ เปย์ ฯ ขณะเดียวกัน ยังมีการพิจารณาจะปิดร้านเพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ ยังเตรียมกลยุทธ์การตลาด ออกโปรโมชั่นสำหรับหน้าร้าน และโปรโมชั่นสำหรับเดลเวอรี่โดยเฉพาะ เพื่อรักษายอดขายทั้ง 2 ส่วนไม่ให้หดตัว

"เบื้องต้นคาดว่าจะกลับมาเปิดร้านได้เพียง 4 สาขาเท่านั้น เพราะไม่มีกำลังคนเพียงพอเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า พร้อมกันนี้เราเตรียมทำโปรโมชั่นเพื่อรักษายอดขายเดลิเวอรี่ไม่ให้ตก และไม่ให้กระทบยอดขายหน้าร้านด้วย"
#3712


เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ผู้ให้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส  ถูกโจมตีด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งส่งผลให้มีการเข้าถึงระบบสารสนเทศของบริษัทฯ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและโดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อบริษัทฯ ทราบเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทฯ ร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้ดำเนินการตรวจสอบ และควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทันที  ในขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนอย่างเร่งด่วนเพื่อระบุข้อมูลอาจได้รับความเสียหาย และผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงระบบ สารสนเทศของบริษัทฯ ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

จากการตรวจสอบเบื้องต้น บริษัทฯ พบว่าอาจมีข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเข้าถึงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้รับอนุญาต อาทิ ชื่อ นามสกุล สัญชาติ เพศ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ ช่องทางการติดต่อสื่อสาร ข้อมูลหนังสือเดินทาง  ประวัติการเดินทาง ข้อมูลบัตรเครดิตบางส่วน และข้อมูลอาหารพิเศษของผู้โดยสาร

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และระบบความปลอดภัยด้านการบิน

บริษัทฯ ได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และเพื่อเป็นการป้องกันในเบื้องต้น บริษัทฯ แนะนำให้ผู้โดยสารติดต่อไปยังธนาคาร หรือผู้ให้บริการบัตรเครดิต และดำเนินการตามคำแนะนำของหน่วยงานดังกล่าว และเปลี่ยนรหัสผ่านที่อาจได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้บริษัทฯ ขอให้ระมัดระวังกลโกงทางโทรศัพท์ รวมถึงอีเมลที่น่าสงสัยและมิชอบ เนื่องจากผู้โจมตีระบบอาจอ้างตนว่าเป็นสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เพื่อพยายามหลอกลวงในการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล (หรือที่เรียกกันว่า "phishing")

ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่มีนโยบายที่จะติดต่อผู้โดยสารเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิต และ/หรือ ข้อมูลทางการเงิน และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวผู้โดยสารควรดำเนินการตามกฎหมาย 

 สำหรับผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถติดต่อสายการบินฯได้ตามช่องทางต่างๆดังนี้
- ภายในประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 1800-010-171 (ไม่เสียค่าบริการ) เวลา 08.00 น. – 17.30 น.
- ต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 800-8100-6688 เวลา 08.00 น. – 17.30 น.(ตามเวลาประเทศไทย)
- อีเมล infosecurity@bangkokair.com

บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการปกป้องและเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด และบริษัทฯ
ขออภัยต่อความกังวล และความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
#3713


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการประมูลสุดยอดกาแฟ รางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า กาแฟเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย มีมูลค่าการค้ากว่า 33,000 ล้านบาท เมื่อพูดถึงทิศทางของตลาดกาแฟไทยในปัจจุบันพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไทยมีความต้องการใช้เมล็ดกาแฟเฉลี่ยที่ 88,862 ตันต่อปี แต่สามารถผลิตเมล็ดกาแฟดิบได้เฉลี่ยเพียง 24,671 ตันต่อปี หรือประมาณ 28% ของความต้องการใช้เมล็ดกาแฟเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภคในประเทศ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมกาแฟไทยยังมีโอกาสเติบโตต่อไป หากเกษตรกรไทยสามารถเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพ และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศหลายกลุ่มที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ และพร้อมจะทดลองรสชาติใหม่ๆ

 นอกจากนี้ ด้านตลาดต่างประเทศนั้น กาแฟไทย ถือว่าเป็นกาแฟที่มีคุณภาพดี ไม่เป็นรอง ปัจจุบัน เรามีตลาดส่งออกเมล็ดกาแฟดิบที่สำคัญ คือ แคนาดา ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา และมีตลาดส่งออกกาแฟคั่วที่สำคัญ คือ กัมพูชา มาเลเซีย และฮ่องกง โดยที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่องในทุกสินค้าที่มีศักยภาพ แม้สถานการณ์โควิด-19 จะทำให้การบริโภคกาแฟในภาพรวมลดลง แต่เมื่อมองแนวโน้มและพิจารณาตลาดกาแฟในระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่าสินค้ากาแฟยังคงมีโอกาสทางการตลาดสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ



"ปีนี้ก็อีกเป็นปีหนึ่งที่มีการจัดงานนี้ขึ้นซึ่งผมขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับเกษตรกรทุกท่านที่ชนะการประกวดและได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณสูงสุด และเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งและขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับการคัดเลือกให้นำเมล็ดกาแฟเข้าร่วมประมูล ซึ่งต้องบอกว่าเมล็ดกาแฟไทยทุกรายการที่นำมาประมูลมีคุณภาพสูง มีเอกลักษณ์ทั้งด้านกลิ่นและรสชาติ พิเศษกว่าเมล็ดกาแฟระดับพรีเมียมทั่วไป เพราะเป็น Specialty Coffee ที่ได้รับคะแนน Cupping จากผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟทั้งของไทยและระดับโลก 80 คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน"นายจุรินทร์ กล่าว

นายกีรติ รัชโน ระบุด้วยว่า งานในวันนี้ ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร สมาคม โรงคั่วกาแฟ ร้านกาแฟ กลุ่มนักบริโภคกาแฟยุคใหม่ รวมทั้งสิ้นกว่า 1,500 ราย โดยราคาเปิดประมูลเมล็ดกาแฟโรบัสตา จำนวน 10 รายการ เริ่มต้นที่ กิโลกรัม(กก.)ละ 150 บาท เคาะราคาประมูลสูงสุดที่ 20,000 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับเมล็ดกาแฟอะราบิกา จำนวน 30 รายการ ราคาประมูลเริ่มต้นที่ กิโลกรัมละ 200 บาท เคาะราคาสูงสุดที่ 6,400 บาทต่อกิโลกรัม ในภาพรวมสามารถสร้างมูลค่าได้สูงกว่าราคาตลาดปกติโดยเฉลี่ยถึง 60 เท่า ซึ่งรายได้ที่ได้จากการประมูลทั้งหมด จะจ่ายตรงให้กับเกษตรกรโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเมล็ดกาแฟที่ประมูลราคาสูงสุดพันธุ์อะราบิกาเป็นของนายฉิ่ง แซ่ท้าว เกษตรกรจังหวัดน่าน 6,400 บาทต่อกก. และเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสตา ของนายธนาสิทธิ์ สอนสุภา เกษตรกร จ.ชุมพร เคาะราคาประมูลที่ 20,000บาทต่อกก.
#3714


ถกทุกประเด็นร้อน แรงแซงทุกกระแสจนได้รับความนิยมจากแฟนข่าวไม่น้อย สำหรับรายการ ถกไม่เถียง ที่ดำเนินรายการโดย พิธีกรมืออาชีพ ทิน โชคกมลกิจ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนสะพานเชื่อมต่อทุกความคิด พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.00-17.30 น. ทางช่อง 7HD 

ด้วยเนื้อหาที่ดุเดือดของรายการนั้น ยังไม่จุใจแฟนๆ พอจึงมีการเรียกร้องให้เพิ่มเวลาออกอากาศกันมามากมาย วันนี้ไม่ต้องรอแล้วจ้า เมื่อช่อง 7HD ไฟเขียวเพิ่มเวลาให้รายการ ถกไม่เถียง เป็นที่เรียบร้อย พบกันเดือนหน้า กันยายน ชมรายการ ถกไม่เถียง แบบเต็มที่ ยาวไปเลย 1 ชั่วโมงเต็มอิ่ม ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 17.00-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 ทั้งนี้พิธีกรคนเก่ง "ทิน โชคกมลกิจ" เผยความรู้สึกให้ฟังว่า...

"หลังจากทำรายการมา 5 เดือน ก็มีเสียงเรียกร้องมาตลอด อย่างต่อเนื่อง จากหลายๆ ทาง ทั้งแฟนรายการเอง คนรู้จักบอกว่ารายการสั้นไปยังดูไม่จุใจเลย จริงๆเราก็พยายามจะปรับเนื้อหาให้กระชับจบได้ถูกใจแฟนๆ ที่สุด แต่บางเรื่องราวต้องยอมรับว่ามันมีรายละเอียดมากกว่านั้น ผู้ชมยังอยากลงลึก เข้าถึงข้อมูลไปอีก ด้วยเวลาเท่านี้ผมเลยมองว่ามันเลยขาดความกลมกล่อมไปหน่อย

สุดท้ายต้องขอบคุณผู้บริหารทางช่อง 7HD ที่ได้รับทราบและเข้าใจ ยินดีอนุมัติเพิ่มเวลาให้รายการถกไม่เถียง เป็น 1 ชั่วโมงเต็ม ทุกวันจันทร์- พฤหัสบดี เริ่มเดือนกันยายนนี้ ซึ่งแน่นอนครับในเวลาที่เพิ่มขึ้น คุณผู้ชมจะได้พบกับความเข้มข้นของเนื้อหา ลงลึกถึงข้อมูล และเราจะลงพื้นที่มากขึ้นเน้นช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนอย่างแท้จริง 

อย่างไรก็ตามผมขอขอบคุณผู้ชมและแฟนรายการที่สนับสนุนรายการถกไม่เถียง เป็นอย่างดีมาโดยตลอด รับรองว่าเวลาที่เพิ่มมาเต็มอิ่มคุ้มค่าแน่นอน อย่าลืมนะครับ เดือดร้อน ไร้ที่พึ่ง นึกถึง ถกไม่เถียง"
#3715


นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดทุนไทย ยังมีความน่าสนใจดึงดูดนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะต่างประเทศ   เนื่องจากส่วนตัวเชื่อว่า บริษัทจดทะเบียนในไทย (บจ.) มีความแข็งแกร่ง ด้วยความสามารถออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศ  พบว่า มีบจ. สัดส่วน 47% ที่มีรายได้จากต่างประเทศและมีหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มชั้นนำระดับโลก  เช่น กลุ่มเกษตร,ปิโตรเคมี ,อาหาร,การค้า,สาธารณสุข และการท่องเที่ยว 

อีกทั้งแม้แต่ธุรกิจดังเดิมก็มีการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์  โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด  สะท้อนจากผลการดำเนินงานของบจ.ในช่วงครึ่งปีแรก 2564 ที่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและระบบพลังงานหมุนเวียนมาปรับใช้                                

รวมถึงบจ.ยังให้ความสำคัญกับการทำ ESG เข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นกระแสที่นักลงทุนทั่วโลกตระหนักและตื่นตัวเพราะเป็นเทรนด์ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต


นายภากร กล่าวว่า สำหรับแผนงานของตลท.วางเป้าหมายใช้ตลาดทุนไทยเป็นตัวกลางดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น  ขณะนี้ ตลท. อยูู่ระหว่างการหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เพื่อศึกษาหาแนวทางหรือเอื้อให้บริษัทต่างชาติเดินหน้าเข้ามาระดมทุนในประเทศไทยได้สะดวกมากขึ้น 

รวมถึงผลักดัน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็น New S – Curve เข้ามาระดมทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น หลังจากออกประกาศหลักเกณฑ์ไปแล้ว ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้น่าจะธุรกิจเป็น   New S – Curve ยื่นไฟล์ลิ่งเข้ามาบ้างและน่าจะเห็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นในปีหน้า 

นอกจากนี้ตลท.ยังมีความคิดที่จะเอาผลิตภัณฑ์การลงทุนในต่างประเทศเข้ามาบริการให้แก่นักลงทุนไทยมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย 

นายภากร กล่าวว่า การจัดงาน "Thailand Focus 2021 : Thriving in the Next Normal" ระหว่าง 25-27 ส.ค.2564   ในปีนี้ถือว่ามีผู้ลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทะเบียนร่วมงาน 110 ราย หรือเพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่มีราว 88 ราย พบว่า ผู้ลงทุนส่วนใหญ่สัดส่วน50% ยังคงมาจากสิงคโปร์และฮ่องกง ที่เหลืออีกราว 50%  ยังคงมาจากสหราชอาณาจักร,สหรัฐฯ  แต่พบว่ามีประเทศใหม่ๆในภูมิภาคอาเซียนที่ให้ความสนใจ เช่น มาเลเซีย,อินโดนีเซีย และเวียดนาม อีกทั้งผู้ลงทุนสถาบันให้ความสนใจบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai มากขึ้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส กล่าวว่า จากการศึกษาการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส 5 ครั้งที่ผ่านมา มีโอกาส 80% ที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาในช่วงที่จัดงาน  หลังจากที่ผ่านช่วงจัดงานไปแล้ว ก็ปรับตัวลดลง ซึ่งในการจัดงานรอบปีนี้ มองว่า ยังมีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยขึ้น  เพราะสภาพแวดล้อมไม่ได้มีปัจจัยลบเพิ่มเติม

สำหรับดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาทดสอบ 1,600จุด ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ซึ่งปิดตลาดวานนี้ ( 25 ส.ค.)ที่ระดับ 1,600.49 จุด เพิ่มขึ้น 13.51 จุดหรือเพิ่มขึ้น0.85%มูลค่าการซื้อขาย 92,934.26 ล้านบาท  แต่ปัจจัยที่ทำให้เงินลงทุนต่างชาติกลับเข้ามา ยังขึ้นกับยอดผู้ติดเชื้อรายวันลดลงต่อเนื่องและการประชุมเฟดรอบวันที่ 26-28 ส.ค.นี้

วานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 3,606.64 ล้านบาท ซึ่งซื้อติดต่อกัน 3 วันทำการ
#3716
พัดลมผนัง หลายคนอาจจะเรียกกันว่า พัดลมติดผนัง ทุกคนคงจะรู้จักกันดีเพราะว่ามีใช้กันทั้งที่บ้านและที่ทำงานทั้งหมด ถามว่าทำไมคนถึงนิยมใช้พัดลมลักษณะนี้กันเป็นจำนวนมากในยุคปัจจุบัน มันเป็นเพราะว่าทำให้เราเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานของตัวบ้านเราได้มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันบ้านแต่ละหลังนั้นมีอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์มากมายหลากหลายชนิด ทำให้พื้นที่ในบ้านที่เคยกว้างขวางใหญ่โตก็แคบลงไปในทันที จำเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์หลาย ๆ ชนิดหรือเฟอร์นิเจอร์หลาย ๆอย่างที่ติดผนังได้ก็ควรจะต้องใช้ติดผนัง และแน่นอนว่าตัวของพัดลมนั้นก็สามารถที่จะใช้ติดผนังและใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากมายกว่าในปกติ ขนาดพัดลมที่นิยมกันเป็นจำนวนมากในตอนนี้ก็คือ พัดลมติดผนัง 18 นิ้ว

ด้วยขนาดความใหญ่โตของพัดลม ทำให้พื้นที่ในห้องของเรานั้นไม่ว่าจะกว้าง 4 X 4 เมตรหรือ 5 x 6 เมตร ก็ใช้งานได้สะดวกสบาย และลมนั้นกระจายไปทั่วทั้งห้องได้เป็นอย่างดี บางคนนั้นอาจจะใช้การเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์ไปด้วย จะทำให้ลมกระจายได้เป็นอย่างดี การมีลมที่กระจายทั่วห้องจะทำให้อากาศนั้นมีการถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา บางคนอาจจะคิดว่าการเปิดพัดลมคู่กับแอร์นั้นอาจจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าเราลองมาคำนวณให้ดีความเย็นจากแอร์นั้นถึงแม้จะเย็นแต่ก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มแรงลมไปทางทิศทางไกลได้ การใช้แรงลมจากตัว พัดลมผนัง จะช่วยส่งความเย็นไปทั่วทั้งห้องได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลักการนี้มีการวิเคราะห์และบอกกล่าวมาจากกระทรวงพลังงานเป็นที่เรียบร้อย

ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว พัดลมผนังเป็นสิ่งที่เราก็ต้องใช้งานเปิดกันทุกวัน เรียกว่าเปิดกันตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแค่สลับการเปิดแต่ละตัวเท่านั้น มาถึงจุดนี้เป็นการบอกย้ำให้กับทุกคนว่าการเลือกซื้อพัดลมติดบ้านสัก 1 เครื่อง เราควรจะเลือกซื้อพัดลมที่เป็น พัดลมติดผนัง 18 นิ้ว เพียงแค่เครื่องเดียวจะใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งปัจจุบันราคาไม่แพงและสามารถติดตั้งได้ง่าย ๆ คุณเองซื้อไปติดตั้งเองก็สามารถทำได้ เลือกอุปกรณ์ใช้งานทั้งทีเลือกแบบที่ดีและใช้งานให้คุ้มที่สุด
#3717
 
 
 
 ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ตั้งครรภ์
'ข้าวอินทรีย์' ดีต่อสุขภาพ  เส้นทางผลิตข้าวอินทรีย์สุรินทร์   วิธีปลูกข้าวอินทรีย์   ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค (ข้าวอินทรีย์สุรินทร์)
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์  " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวสุขภาพมะลินิล, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.  ข้าวหอมมะลิorganic, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5. ข้าวกล้องปะกาอำปึลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6. ข้าวปะกาอำปึลเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :   ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิเพื่อสุขภาพ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก
3.  ข้าวปะกาอำปึลorganic   ข้าวผกาอำปึลออร์แกนิค(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์จังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงorganic 6.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์
7. ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวไรซ์เบอร์รี่เกษตรอินทรีย์

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 
 
#3718

กรุงเทพมหานคร จัดตั้งศูนย์พักคอย (Community Isolation) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมกันจัดตั้งให้ครอบคลุมทั้ง 50 เขต แล้ว 65 แห่ง และจะทยอยเปิดอีก 5 แห่ง ให้ครบ 70 แห่ง

เพจเฟซบุ๊ค ผู้ว่าฯ อัศวิน โดย พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ข้อมุลว่าการจะหยุดหรือลดการแพร่ระบาดได้นั้น ต้องแยกผู้ป่วยให้ออกจากครอบครัวหรือชุมชน ผู้ป่วยติดเชื้อหลายคนใน กทม. ไม่สามารถแยกกักรักษาตัวที่บ้านได้ จำเป็นต้องมีศูนย์พักคอยรองรับ

ตอนนี้ มีเตียงรองรับผู้ป่วยได้ทั้งสิ้น 8,804 เตียง ซึ่งเมื่อรวมกับศูนย์พักคอยที่กำลังจะเปิดอีก 5 แห่ง จะมีเตียงเพิ่มขึ้นอีกรวมเป็น 9,684 เตียง ในจำนวนนี้ได้ปรับศูนย์พักคอย 7 แห่งให้เป็นกึ่งโรงพยาบาลสนาม (CI Plus) รองรับผู้ป่วยเหลืองได้ 1,240 ราย

ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโควิดอาการสีเขียวและสีเหลืองเข้ามาพักรักษาตัวที่ศูนย์พักคอยแล้วทั้งสิ้น 15,498 ราย โดยส่งต่อเข้ารักษาในโรงพยาบาล และมีผู้ป่วยหายกลับบ้านแล้วรวมทั้งสิ้น 12,384 ราย ซึ่งยังมีผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ 3,586 ราย

"ศูนย์พักคอย ยังสามารถเปิดรับผู้ป่วยได้อีก 5,218 เตียง ซึ่งเพียงพอต่อการแยกผู้ป่วยออกจากชุมชนและครอบครัว ไม่ให้แพร่ระบาดไปยังผู้อื่น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดลงโดยเร็วที่สุด และได้ขยายศักยภาพระบบการรักษา ทำให้ผู้ป่วยโควิดเข้าสู่ระบบการรักษาให้เร็วที่สุดและให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยครับ"

สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการพักรักษาที่ศูนย์พักคอยสามารถโทรติดต่อได้ที่ สายด่วนโควิดเขต ทั้ง 50 เขต ลิ้งค์ตามนี้ http://www.prbangkok.com/th/hotnews/view/MDY1cDBzNnM0NHIyb3Ezc3E2NnEyNDk0cDRyOTQzcjQ1MzI2Mg
#3719


รอยเตอร์ – รองผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงจาการ์ตาแถลงวันจันทร์( 23 ส.ค)ยืนยันว่า ในเวลานี้เมืองหลวงอินโดนีเซียประสบความสำเร็จสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้เป็นครั้งแรก และในวันเดียวกันได้ออกกฎผ่อนคลายมาตรการป้องกันในกรุงจาการ์ตาและบางพื้นที่อนุญาตให้ร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการได้บางส่วน รวมถึงห้างสรรพสินค้า มัสยิด

รอยเตอร์รายงานวันนี้(23 ส.ค)ว่า เมื่อวันที่ 12 ก.คที่ผ่านมากรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 14,600 คนแต่ทว่าในวันอาทิตย์(22)ตัวเลขกลับลดลงเหลือแค่ 700 คนเท่านั้น

อาห์หมัด ไรเซีย ปาเตรีย (Ahmad Rizia Patria) รองผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงจาการ์ตาออกมาแถลงกับนักข่าววานนี้(22)ว่า "กรุงจาการ์ตาเข้าสู่โซนสีเขียวและประสบความสำเร็จการมีภูมิคุ้มกันหมู่ได้"

โดยทางรองผู้ว่าฯได้ชี้ไปถึงอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19ที่อยู่ในระดับสูงโดยมีประชากรกว่า 54% ของเมืองหลวงได้รับวัคซีนโควิด-19ครบโดสแล้วและส่วนใหญ่ที่ได้รับ 1 เข็ม เทียบกับอัตรากว่า 11% ของประชากรอินโดนีเซียทั้งหมดที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็มนับตั้งแต่อินโดนีเซียเริ่มต้นโครงการแจกวัคซีนมาตั้งแต่มกราคม

แต่ทว่านักระบาดวิทยาประจำมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ปานดู ริโอโน(Pandu Riono) กล่าวแสดงความเห็นว่า รองผู้ว่าการจังหวัดอินโดนีเซียเข้าใจผิดในความหมายของภูมิคุ้มกันหมู่

"ถึงแม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ครบ 100% แต่ระดับภูมิคุ้มกันยังคงต่ำกว่า 80% " เขากล่าว และเสริมต่อว่า ประสิทธิภาพวัคซีนมีเพียงแค่ 55% เท่านั้น

รอยเตอร์ชี้ว่า ถึงแม้อินโดนีเซียจะมีเคสลดลงอย่างมากทั่วประเทศแต่ทว่าในวันอาทิตย์(22)ยังคงเห็นเคสใหม่มากกว่า 12,000 คน

ทั้งนี้ในวันจันทร์(23)ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โจโก วิโดโด ประกาศผ่อนคลายมาตรการโควิด-19ที่กรุงจาการ์ตาและบางพื้นที่ อนุญาตให้ร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการได้บางส่วน รวมถึงห้างสรรพสินค้า มัสยิดและโบสถ์ เป็นต้น
#3720
อ่างล้างจาน หลายคนชอบจะใช้อ่างล้างจานขนาดที่พอเหมาะติดไม่กลับบ้านเพราะว่าคิดว่าความจำเป็นสำหรับการใช้งานนั้นมีเพียงแค่ 1 อันก็ควรจะพอเหมาะพอดี แต่ก็มีหลายคนให้ข้อสังเกตสำหรับผู้ที่ใช้งานมาก่อนว่าการใช้งานล้างจานควรจะเลือกที่เป็นลักษณะแบบ 2 หลุมติดกัน อย่างน้อยที่สุดเวลาที่เราจะต้องทำกับข้าวจำนวนหลายอย่างการล้างผักแยกกับการล้างเนื้อสัตว์ก็จะทำให้การทำงานรวดเร็วมากยิ่งขึ้น บางคนพิถีพิถันในเรื่องของการล้างแยกในส่วนของแก้วน้ำและถ้วยจานชามช้อนไปคนละส่วน โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กการแยก อ่างล้างจาน หรือ ซิงค์ล้างจาน กันคนละที่ก็จะสร้างเรื่องของสุขอนามัยที่ดีสำหรับตัวเราเองด้วยเช่นกัน

มันจึงเป็นเรื่องที่บอกต่อกันมาว่าสำหรับผู้ที่สร้างบ้านใหม่หรือผู้ที่กำลังจะ เลือก ซิงค์ล้างจาน ไว้ใช้งาน ถ้าเรามีพื้นที่ขนาดที่พอเหมาะแนะนำว่าควรจะเลือก ซิงค์ล้างจาน ที่มี 2 หลุม ไม่จำเป็นที่จะต้องมีขนาดใหญ่จนเกินไปแต่ใช้ขนาดที่พอเหมาะเพื่อการใช้งานอย่างชัดเจนจะทำให้การใช้งานของเรานั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่ามันไม่จำเป็นเพราะบ้านเราอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนหรือการใช้งานของเราไม่ได้บ่อยมากนะแต่ลองคิดดูว่าในวันที่เราจำเป็นจะต้องใช้งานขึ้นมาจริงแต่การใช้งานนั้นไม่เพียงพอ ถ้าจะทำให้อารมณ์เสีย มีเรื่องถกเถียงกันในครอบครัวกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ได้

ซึ่งปัจจุบันนี้ ซิงค์ล้างจาน ราคา ไม่แพงเอาเสียเลย เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกขนาดที่มี 1 ช่องหรือขณะที่มี 2 ช่องการเพิ่มเงินเพียงเล็กน้อยการใช้งานคุ้มค่ากว่าเป็นอย่างมาก คนที่เขาใช้งานมาก่อนหรือผู้ที่ใช้งานในลักษณะนี้มาก่อนแนะนำต่อกันมาว่าควรจะเลือกลักษณะแบบ 2 หลุม ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นจึงเป็นการบอกให้กับทุกคนที่กำลังจะเลือกอ่างล้างจานว่าคนจะเลือกแบบไหนกันดี ลองพิจารณากันใหม่ถ้ามีพื้นที่ที่สามารถวาง อ่างล้างจาน แบบขนาด 2 หลุมได้ก็ควรที่จะเก็บไว้พิจารณาเรื่องนี้กันสักหน่อย