• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Naprapats

#3741


ข่าวลือเป็นจริง "นิวเคลียร์ หรรษา กุศลมโนมัย" โพสต์ไอจีเลิกสามี "ดีเจเพชรจ้า วิเชียร กุศลมโนมัย" หลังเคยออกมายอมรับ ว่ามีปัญหากันจริง กำลังแก้ไขอยู่ แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าอะไรๆ มันก็ไม่ดีขึ้น ทั้งทัศนคติ การใช้ชีวิต และเรื่องซับซ้อนมากมาย เลยตกลงเปลี่ยนสถานะ จากสามีภรรยา เป็นเพื่อนรักแทน ยืนยันไม่มีมือที่สาม

"นิวขอพูดตรงนี้ทีเดียวนะคะ...ตอนนี้นิวกับพี่เพชรจ้า เราเปลี่ยนสถานะจากสามีภรรยามาเป็นเพื่อนรักกันสักพักใหญ่ๆแล้วค่ะ หลังจากนี้เราอยากทำหน้าที่พ่อและแม่ของไทก้าให้ดีที่สุด เราไม่ได้โกรธหรือเกลียดกัน ไม่ได้มีเรื่องมือที่สาม พี่เพชรดีกับนิวมาก เป็นพ่อที่ดีที่สุดของไทก้า เรารักกันมาตลอด แต่บางครั้งความรักมันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าคน 2 คนจะสามารถอยู่ด้วยกันได้เสมอไป มันมีเรื่องทัศนคติ การใช้ชีวิต และเรื่องซับซ้อนมากมายที่ทำให้เราทั้งคู่มาถึงสุดทางของเราแล้ว และเราได้พยายามกันที่สุดแล้วจริงๆ

นิวอยากให้ทุกคนยอมรับในการตัดสินใจของเราทั้งคู่นะคะ เราแฮปปี้ที่จะอยู่ในจุดนี้ เรายังห่วงใยกัน ปรึกษากัน เลี้ยงลูกด้วยกัน  และนิวขอโทษพี่ๆ สื่อตรงนี้เลยนะคะ นิวจะไม่ขอตอบพี่สื่อหรือออกรายการเพื่อพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะทุกอย่างที่นิวพูดไป เมื่อไทก้าโต เค้าจะต้องเห็นมัน... เมื่อเค้าเห็น นิวอยากให้ก้ารู้ว่าถึงป๊ากับมี้จะเปลี่ยนไปยังไง แต่สิ่งนึงที่มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเลยนั้นคือ "พ่อ" กับ "แม่" มันจะคงอยู่ตลอดไป เราจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ก้าจะเติบโตมาโดยมีพ่อกับแม่เคียงข้างเสมอนะลูก รักลูกที่สุด

ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เรานะคะ ขอบคุณครอบครัวพี่เพชรที่เอ็นดูนิวมาตลอด โดยเฉพาะครอบครัวของนิวที่เข้าใจและเป็นพลังให้นิวมาเสมอ รักมาก "
#3742


คาริม เบนเซมา เหมาคนเดียวสองประตู ก่อนที่นาโช จะมาบวกอีกหนึ่งลูก พา รีล มาดริด บุกไปเอาชนะ อลาเบส ถึงถิ่น 4-1 เก็บสามคะแนนประเดิมลาลีกา สเปน ซีซั่นใหม่

ศึกฟุต.ลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2021/22 วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564 เกมที่น่าสนใจ "ราชันชุดขาว" รีล มาดริด ยกพลไปเยือน อลาเบส ที่เอสตาดิโอ เมนดิซอร์รอตซ่า

"ราชันชุดขาว" ภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ เกมนี้จัด 3 ประสานในแดนหน้า อย่าง คาริม เบนเซมา, เอเด็น อาซาร์ และแกเร็ธ เบล ลงสนาม โดยมี ลูกา โมดริช กับ คาเซมิโร คุมเกมแดนกลาง 

ขณะที่ อลาเบส นำทัพโดย โฆเซลู หัวหอกตัวเก่ง, มานู การ์เซีย, เอ็ดการ์ เมนเดซ และหลุยส์ ริโอฆา โดยมี ฟาคุนโด เปลลิสตรี ปีกดาวรุ่งที่ยืมตัวมาจาก แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นตัวทีเด็ดบนม้านั่งสำรอง 

ครึ่งเวลาแรกแม้ รีล มาดริด จะเป็นฝ่ายครอง.ได้เหนือกว่า มีโอกาสลุ้นประตูหลายต่อหลายครั้ง แต่จังหวะจบสกอร์ยังทำได้ไม่ดีพอ ขณที่อลาเบส ยังแทบตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ หมดเวลา 45 นาทีแรก เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0

ครึ่งหลัง รีล มาดริด มาได้ประตูออกนำ 1-0 ในนาทีที่ 48 จากจังหวะที่ แกเร็ธ เบล เปิดจากริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายมาให้ ลูคัส บาซเกซ ที่ฝั่งขวา ก่อนจ่ายเข้ากลางมาให้ เอเด็น อาซาร์ กระดก.หนึ่งจังหวะให้ คาริม เบนเซมา วิ่งมาซัดเต็มข้อเข้าไป

น.56 รีล มาดริด มาได้ประตูหนีห่าง 2-0 จากจังหวะที่ ลูกา โมดริช เปิด.จากบริเวณหน้ากรอบเขตโทษเยื้องมาทางฝั่งขวาไปให้ นาโช วิ่งมาตวัดยิงด้วยขวาผ่านมือนายทวารเจ้าถิ่นเข้าไป

น.62 "ราชันชุดขาว" ขยับนำเป็น 3-0 จากจังหวะที่ เฟเดริโก บัลเบร์เด ลาก.มาคนเดียวจากครึ่งสนามหลุดเข้ามาในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนตบเข้ากลางให้ คาริม เบนเซมา ยิงจังหวะแรก.ขลุกขลิกไปติดเซฟของผู้รักษาประตูถิ่น แต่ยังเด้งมาเข้าทางเจ้าตัวซ้ำด้วยซ้ายเข้าไป เป็นประตูที่สองของตัวเองในเกมนี้

น.64 อลาเบส มาได้จุดโทษ จากจังหวะที่ จอห์น กุยเดตติ โดน ธิโบต์ กูร์ตัวส์ สะกิดล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้ให้เป็นจุดโทษ และเป็น โฆเซลู กองหน้าตัวเก่ง ซัดเข้าไปไม่พลาด ช่วยให้เจ้าถิ่นตีตื้นมาเป็น 1-3

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ น.90+2 รีล มาดริด มาได้ประตูตอกฝากโลงหนีห่าง 4-1 จากจังหวะที่ ดาวิด อลาบา บรรจงเปิด.จากริมเขตโทษฝั่งซ้ายมาให้ วินิซิอุส จูเนียร์ โหม่งระยะเผาขนเข้าไป 

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่มีใครทำประตูกันเพิ่มเติม หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที รีล มาดริด บุกชนะ อลาเบส ถึงถิ่น 4-1 คว้าสามคะแนนเปิดหัวลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2021/22 ได้สำเร็จ

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทีมรีล มาดริด
ธิโบต์ กูร์ตัวส์ (GK), ลูคัส บาสเกซ, เอแดร์ มิลิเตา, นาโช, ดาวิด อลาบา, คาเซมิโร, เฟเดริโก บัลเบร์เด, ลูกา โมดริช, แกเร็ธ เบล, เอเด็น อาซาร์, คาริม เบนเซมา


ผลฟุต.าลีกา สเปน วันที่ 14 สิงหาคม 2564 คู่อื่นๆ
บาเลนเซีย 1-0 เกตาเฟ
มายอร์กา 1-1 รีล เบติส
กาดิซ 1-1 เลบานเต
โอซาซูนา 0-0 เอสปันญอล
 
#3743


ค่าเงินบาทปีนี้อ่อนค่าแรงต่อเนื่อง โดยปิดการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 ส.ค.) ที่ระดับ 33.35 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดสิ้นปี 2563 ที่ 29.99 บาทต่อดอลลาร์

โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่า 10% และเป็นการอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินภูมิภาค เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ ดังนี้

1. สถานการณ์เศรษฐกิจกลุ่มประเทศหลักที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดี ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น สร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินภูมิภาคให้ปรับอ่อนค่าลง

2. เงินสกุลภูมิภาคบางประเทศอาจได้รับผลบวกจากปัจจัยเฉพาะ เช่น ประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าสูง หรือประเทศที่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ได้ดี ทำให้สกุลเงินอ่อนไม่มากนัก เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้

3. ไทยยังมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่รุนแรง รวมถึงนักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยลงมากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากมีสัดส่วนพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง

4. นักลงทุนต่างชาติปรับลดการถือครองหุ้นไทย แต่ยังคงเพิ่มการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว สะท้อนความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงฐานะด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง จากปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศที่สูง และสัดส่วนหนี้ต่างประเทศที่ต่ำ

ทั้งนี้ ธปท. ติดตามถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนจนกระทบการปรับตัวของภาคธุรกิจ และแนะนำให้ภาคเอกชนบริหารความเสี่ยงค่าเงินอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้นำเข้า-ส่งออก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงค่าเงินได้ที่ https://bit.ly/35lWOaG
#3744


ทันตแพทย์ชำนาย ชนะภัย กรรมการผู้จัดการทางบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) หรือ RAM แจ้งว่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลรามคำแหง ได้เข้าซื้อหุ้นของโรงพยาบาลธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือTHG เป็นจำนวน 177,013,044 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20.85 % ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของ THG ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ1(ปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ 6ส.ค.64) โดยมีรายละเอียดดังนี้


1. เป็นการทยอยซื้อในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่ 7 ธันวาคม 2560 จนถึงปัจจุบัน

2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุน
2.1 เพื่อเป็นพันธมิตรกับทางธุรกิจโรงพยาบาล
2.2 บริษัทคาดว่าธุรกิจนี้จะให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด


3. ไม่เป็นธุรกิจที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน
RAM และ THG ได้เป็นพันธมิตรที่ดีช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจซึ่งกันและกันตลอดมา แม้ว่าจะประกอบกิจการอันมีสภาพอย่างเดียวกันแต่ไม่ใช่คู่แข่งกัน เนื่องจากทำแลที่ตั้งอยู่ห่างกัน และปัจจุบันไม่มีจังหวัดใดที่มีโรงพยาบาลในเครือที่มีการแข่งขันกันหรืออยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

ส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร THG มีโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ตั้งอยู่ที่ถนนบำรุงเมือง และ RAM มีโรงพยาบาลมเหสักข์ ตั้งอยู่ที่เขตบางรัก ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน แต่ทั้ง 2 แห่ง มีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน โดย

- โรงพยาบาลมเหสักข์ มีกลุ่มลูกค้าประกันสังคมเป็นส่วนใหญ่
- โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง มีกลุ่มลูกค้าเป็นชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
อีกทั้ง THG และ RAM มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่แตกต่างกัน ซึ่ง THG มีความ
เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่ซับซ้อน และ RAM มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการต้นทุน เป็นต้น


ในอนาคตหาก RAM จะลงทุนหรือเข้าร่วมลงทุนในกิจการใด ๆ ก่อนลงทุน RAM ต้องศึกษา ความเป็นไปได้ในธุรกิจ (Feasibility Study) อย่างละเอียด ซึ่งต้องพิจารณาสถานที่ตั้ง กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และคู่แข่งในพื้นที่ เพื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าเหมาะสมในการลงทุน และจะไม่ลงทุนในพื้นที่ที่มีโรงพยาบาลในเครือ THG ตั้งอยู่ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย RAM จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบต่อไป


โรงพยาบาลรามคำแหง ส่งกรรมการ 2 ท่าน เข้าไปเป็นกรรมการที่โรงพยาบาลธนบุรีคือ
1. นายแพทย์เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์
2. นางสาวฤกขจี กาญจนพิทักษ์
แต่เป็นกรรมการที่ไม่มีอำนาจลงนาม และไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร

ด้าน THG แจง สัดส่วนการถือหุ้นใน THG โดยกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง 3ครอบครัว จากข้อมูลปิดสมุดทะเบียน ณ วันที่6
สิงหาคม 2564 รวมกันแล้วเป็นจํานวน 260,307,914 หุ้น คิดเป็ นร้อยละ30.66ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายและชําระ
แล้วทั้งหมดของ THG ซึ่งยังมีสัดส่วนที่มากกว่า RAM ทําให้จํานวนเสียงในที่ประชุมคณะกรรมการยังมีมากกว่า
โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) ครอบครัววนาสิน จํานวน 161,486,344 หุ้น คิดเป็ นร้อยละ 19.02โดยมีกรรมการ 2 ท่าน ได้แก่
นายแพทย์บุญ วนาสิน และนางสาวนลิน วนาสิน
2) ครอบครัวอุนนะนันทน์ จํานวน 60,741,770 หุ้น คิดเป็ นร้อยละ 7.15 โดยมีกรรมการ 1 ท่าน คือ
นายแพทย์อาศิส อุนนะนันทน์ และ
3) ครอบครัวเมฆสวรรค์จํานวน 38,079,800 หุ้น คิดเป็ นร้อยละ 4.48 โดยมีกรรมการ 1 ท่าน คือ นายศิธา
เมฆสวรรค์

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรกของTHG (ข้อมูลณ 15 มี.ค. 2564)

1.บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน)ถือหุ้นจำนวน145,971,739 หุ้น หรือ  17.19%

2.นาง จารุวรรณ วนาสิน  ถือหุ้นจำนวน 118,489,119 หุ้น หรือ13.96%

3.นายแพทย์ อำนวย อุนนะนันทน์ ถือหุ้นจำนวน 43,882,670หุ้น หรือ 5.17%

4.นาย อาษา เมฆสวรรค์ ถือหุ้นจำนวน 29,794,737 หุ้น หรือ 3.51%

5.นาง ณวรา วนาสิน ถือหุ้นจำนวน 28,720,363 หุ้น หรือ3.38%

6.นาย เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ ถือหุ้นจำนวน 18,259,500 หุ้น หรือ 2.15%

7.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 15,147,902 หุ้น หรือ 1.78%

8.Global Health Investment Co., Ltd. ถือหุ้นจำนวน 11,413,340 หุ้น หรือ1.34%

9.บริษัท เอฟแอนด์เอส 79 จำกัด ถือหุ้นจำนวน 8,695,656 หุ้นหรือ 1.02%

10.นาย ศิธา เมฆสวรรค์ ถือหุ้นจำนวน 8,415,063 หุ้น หรือ 0.99%
#3745


นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.37 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าอยู่ที่ระดับ 33.11 บาท/ดอลลาร์ วันนี้บาทเคลื่อนไหวอย่างผันผวนตลอดวัน โดยมีแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ กลับเข้ามาในตลาด คาดว่าเป็น flow ของฝั่งผู้นำเข้า ส่งผลให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง อย่างไรก็ดีวันนี้ยังไม่มีปัจจัยชี้นำที่สำคัญจากต่างประเทศ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.13-33.37 บาท/ดอลลาร์ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทของวันจันทร์ไว้ที่ 33.25-33.40 บาท/ดอลลาร์ ปัจจัยที่ต้องติดตามวันจันทร์ คือการแถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 2/64 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

หุ้นไทยอ่อนตัวลง ชะลอตัวหนีโควิด ฉุดปิด-4.39 จุด วอลุ่ม 8.2 หมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ (13 ส.ค.64) ว่า บรรยากาศวันนี้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างอ่อนตัวลง แม้แนวโน้มไตรมาส 3/64 จะดีแต่ปีนี้มีปัจจัยพิเศษจากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้มองปี 65 อาจชะลอตัว อย่างไรก็ดีมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังฟื้นตัวน้อย

นอกจากนี้ ตลาดบ้านเรายังอยู่ในช่วงใกล้สิ้นสุดการประกาศงบฯที่จะครบกำหนดวันที่ 17 ส.ค.นี้ หลังจากนี้ก็มองงบฯไตรมาส 3/64 มีโอกาสชะลอตัวลงรับผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงต่อเนื่อง แต่กลุ่มพลังงาน, เดินเรือ และปิโตรเคมี ยังเป็นบวก แม้ว่าการฟื้นตัวของการบริโภคในครึ่งปีหลัง (H2/64) ยังไม่ชัดเจน ทั้งนี้ส่งผลให้ตลาดฯปิดวันนี้ที่ระดับ 1,528.32 จุด ลดลง 4.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 82,024.22 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
B ปิดที่ 0.71 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท
TWZ ปิดที่ 0.10 บาท คงที่
7UP ปิดที่ 1.18 บาท ลดลง 0.06 บาท
ACE ปิดที่ 4.22 บาท ลดลง 0.10 บาท
IRPC ปิดที่ 3.78 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท
#3746


เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล แสดงทัศนะว่า ทัพนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีมูลค่ารวมกันมหาศาล ไม่สมควรพลาดหยิบแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้

แมนฯยู มีคิวเปิดศึก พรีเมียร์ ลีก ซีซันใหม่ เจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่บ้านของตัวเอง วันที่ 14 สิงหาคม ขณะเดียวกัน ยังนับเป็นปีที่ 3 แล้วที่ โอเล กุนนาร์ โซลชา เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม

"ผีแดง" ซีซันนี้ใช้เงินก้อนโตจ่ายค่าตัวนักเตะบิ๊กเนมอย่าง เจดอน ซานโช ที่ 73 ล้านปอนด์ และ ราฟาเอล วาราน กองหลังคนใหม่ 42 ล้านปอนด์ ซึ่งหากเมื่อนับค่าตัวของนักเตะชุดปัจจุบันทั้งทีม ก็อยู่ที่ 500 ล้านปอนด์

และนั่นทำให้ คาร์ราเกอร์ อดีตแนวรับ ลิเวอร์พูล มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ลูกทีมของ โซลชา ต้องรีดฟอร์มยอดเยี่ยมไปคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ให้ได้โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เพราะถือว่ามีขุมกำลังที่เพียบพร้อมที่สุดแล้วในปีนี้

"โซลชา กำลังเข้าสู่การทำงานปีที่ 3 ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และสโมสรก็ต่อสัญญากับเขาอีก 3 ปี มันถึงเวลาแล้วที่ ยูไนเต็ด จะต้องลุยเพื่อแชมป์ลีก นั่นคือ ความคาดหวังที่แท้จริง และคุณไม่สามารถลดระดับความทะเยอะทะยานนั้นได้"

"ซีซันที่แล้ว ยูไนเต็ด มีศักยภาพที่จะชิงแชมป์ แต่กลับล้มเหลวเมื่อถึงเดือนมกราคม พวกเขาต้องดีกว่านี้ ยูไนเต็ด มี 11 ตัวจริงที่ราคาแพงที่สุดที่ 500 ล้านปอนด์ ดีกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มี แจ๊ค เกรียลิช ในราคา 100 ล้านปอนด์"

"นี่คือทีมที่ดีและมีราคาแพงทีเดียว ซึ่งน่าจะส่งผลถึงความกดดันที่มีต่อ ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกัน กระนั้น พวกเขาผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว"
#3747


ไทยประกันชีวิตพัฒนาแบบประกัน Par Product "มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 12/6" และ "มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 15/5" ตอบโจทย์คนวัยทำงานที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น ชูจุดเด่นมีเงินคืนตลอดสัญญา พร้อมโอกาสรับเงินปันผล และสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท

นายสวัสดิ์ นฤวรวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Life Operation Officer บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากนโยบายการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต หรือ Life Solutions ผ่านการส่งมอบสุขภาพที่ดีและการสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน ด้วยนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและการเงินที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มในทุกช่วงชีวิต ภายใต้แนวคิด "ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง" หรือ Customer Centric

ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ บริษัทฯ จึงได้พัฒนาแบบประกันใหม่ Life Solutions Product ในกลุ่มมันนี่ฟิต (Money Fit) 2 แบบ คือ "มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 12/6" (มีเงินปันผล) และ "มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 15/5" (มีเงินปันผล) ซึ่งเป็นสินค้าแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) ที่มีการให้ผลประโยชน์เพิ่มเติมในรูปแบบเงินปันผล เหมาะสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานหรือผู้มีเงินได้ ที่ต้องการสร้างหลักประกันชีวิตควบคู่การออมที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า การสร้างกองทุนเกษียณอายุ หรือใช้เป็นกองทุนสำรองในยามฉุกเฉิน เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางการเงินในอนาคต

แบบประกัน "มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 12/6" (มีเงินปันผล) ชำระเบี้ยประกันภัย 6 ปี ระยะเวลาคุ้มครอง 12 ปี ระหว่างสัญญารับเงินคืน 2% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีที่ 1-4 และรับเงินคืนเพิ่มเป็น 3% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีที่ 5-8 และรับเงินคืน 4% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีที่ 9-11 ครบกำหนดสัญญารับเงินก้อน 600% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย กรณีเสียชีวิตระหว่างสัญญาจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดตั้งแต่ 100% - 600% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

และแบบประกัน "มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 15/5" (มีเงินปันผล) ชำระเบี้ยฯ เพียง 5 ปี ให้ความคุ้มครองชีวิตนาน 15 ปี รับเงินคืนระหว่างสัญญา 8% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีที่ 1-10 และรับเงินคืน 10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีที่ 11-14 ครบกำหนดสัญญารับเงินก้อน 400% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย และหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตระหว่างสัญญา รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดตั้งแต่ 100% - 500% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

แบบประกันทั้งสองแบบนี้ ผู้เอาประกันภัยมีโอกาสจะได้รับเงินปันผล ตามอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนกลุ่มสินทรัพย์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล หรือ Par Fund ในแต่ละปี หากมีผลตอบแทนมากกว่าเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนด ผลตอบแทนส่วนที่เกินจะถูกนำมาจัดสรรเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้เอาประกันภัย ในรูปแบบของเงินปันผลระหว่างสัญญา และเงินปันผลเมื่อครบกำหนดสัญญา ซึ่งการพิจารณาจ่ายเงินปันผล จะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนจากการลงทุน Par Fund โดยบริษัทฯ จะพิจารณาจ่ายเงินปันผลทุกวันครบรอบปีกรมธรรม์ ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 2 เป็นต้นไป


"ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในปัจจุบัน แบบประกันที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้น ถือเป็นทางเลือกที่ตอบความต้องการของผู้บริโภค เพราะให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต มีเงินคืนตลอดสัญญา และมีโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มจากเงินปันผล รวมถึงสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท รองรับทุกแผนการเงินในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้สนใจสามารถสมัครได้ง่ายๆ โดยไม่ตรวจและไม่ต้องแถลงสุขภาพอีกด้วย" นายสวัสดิ์กล่าว

นอกจากนี้ ผู้เอาประกันภัยของบริษัทฯ ยังได้รับบริการที่มากกว่าการประกันชีวิต อาทิ ไทยประกันชีวิตฮอตไลน์ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์และเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกที่ ทั่วโลก ไทยประกันชีวิตแคร์เซ็นเตอร์ ศูนย์ดูแลสิทธิประโยชน์และให้บริการข้อมูลแก่ผู้เอาประกันภัย โทร.1124 หรือตรวจสอบข้อมูลพร้อมทำธุรกรรมด้วยตัวเองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ผ่านแอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต โดยมีตัวแทนฯ Life Partner กว่า 50,000 คน พร้อมเป็นที่ปรึกษาดูแลชีวิตและวางแผนการเงินอย่างมืออาชีพ
#3748


เรียกว่าเป็นเจ้าแม่นักจัดกิจกรรมตัวยงจริงๆ สำหรับบอสใหญ่ "ประวีรัตน์ เทวอักษร" เจ้าแม่อาณาจักร บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) ที่ล่าสุด ลุกขึ้นมาสร้างความสุขให้กับคนในครอบครัวคุณาลัย โดยขอเปลี่ยนบ้านให้เป็นโลกแห่งดนตรี ยุคNew Normalโควิด-19 แบบอยู่บ้าน กักตัว ไม่กักใจ ซึ่งงานนี้ขอเกี่ยวก้อย "พี่ป๊อด ธนชัย อุชชิน" มาร้องเพลงเพราะๆให้ฟังแบบชิลๆใกล้ชิดถึงบ้าน กับ LIVE มินิคอนเสิร์ต 12 สิงหาคมนี้ "รักแม่ไม่มีวันหยุด" ผ่านทาง FB KUNALAI (https:// www.facebook.com/VillaKunalai/) ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป งานนี้เรียกว่าสร้างความสุขแบบอบอุ่นให้ทุกคนในครอบครัวจริงๆ สมกับคอนเซ็ปต์ที่ว่า " ความสุขสร้างบ้าน " จริงๆนะคะ KUN


"ASW" ผลประกอบการโตทะยาน ยอดขายทะลุเป้า

หุ้นอสังหาฯผลประกอบการแกร่งตอนนี้ ต้องยกให้กับ บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) สมกับเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ รุ่นใหม่ เดินหน้าเติบโตด้วยกลยุทธ์ "Best Choice" โดยนำกลยุทธ์ขายแบบออนไลน์ ผนึกกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม จนสามารถผลักดันยอดขายทะลุเป้า สะท้อนได้จากผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ออกมาดูดี มีอนาคต กำไรเพิ่มขึ้นกว่า 76.1% แถมยังมีเซอร์ไพรส์ด้วยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เป็นหุ้นในอัตรา 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และเงินสด 0.02206 บาทต่อหุ้น ดีต่อใจจริงๆ แบบนี้สามารถฝ่ากระแสวิกฤติโควิด-19 ไปได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ เอาเป็นว่า ผลงานโค้งหลังปีนี้ จะสดใสขนาดไหน มารอฟังจากซีอีโอคนเก่ง "กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์" ในงาน Opportunity Day ผ่านแพลตฟอร์มระบบออนไลน์ https:// www.set.or.th/streaming/vdos-oppday ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ เวลา 10.15-11.00 น. งานนี้เกาะติดกันไว้ พร้อมเสิร์ฟข้อมูลแน่นๆกันเลย
#3749


บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ว่า  ในไตรมาส 2 ปี 2564 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ จำนวน 967 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% จากไตรมาส 2 ปี 2563 หรือคิดเป็นอัตรากำไรที่ 19.4% ใกล้เคียงกับ 19.6% ในไตรมาส 2 ปี 2563

ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายการพิเศษ กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากไตรมาส 2 ปี 2563 นับว่าเป็นกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทฯ ก่อตั้งมา โดยปัจจัยหลักของกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าที่บริษัทส่งออกไปขายยังต่างประเทศจนทำให้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกขึ้นมาอยู่ที่ระดับ50% 

ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2564มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากไตรมาส 2 ปี2563 โดยมีสาเหตุจากปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% จากไตรมาส 2 ปี 2563 สาเหตุหลักจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ดำเนินการผลิตด้วยตนเอง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นสัดส่วน 79% ของรายได้จากการขายรวม

ฐานะการเงินรวมของบริษัทฯ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เมื่อเทียบกับสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 สินทรัพย์ ดังนี้ 

สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30มิถุนายน 2564 และ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 18,220 ล้านบาทและ 17,087 ล้านบาท ตามลำดับเพิ่มขึ้น 1.134 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 898 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และจากที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 379 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาเมื่อเดือนมิถุนายน

หนี้สิน บริษัทฯ มีหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 8,412 ล้านบาทและ 6,929 ล้านบาท ตามลำดับเพิ่มขึ้น 1,482 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 7.074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,419 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียนจำนวน 1.338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64 ล้านบาท สาเหตุหลักที่หนี้สินเพิ่มขึ้นมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น 2,345ล้านบาท ในขณะที่หุ้นกู้ครบกำหนดชำระจึงลดลงไป 1,090 ล้านบาท

ส่วนของผู้ถือหุ้นชวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 9,809 ล้านบาทและ 10, 157 ล้านบาท ตามลำดับลดลง 349 ล้านบาท เนื่องจากทางบริษัทฯ มีจ่ายปันผลรวมมูลค่า 1,500 ล้านบาทให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 967 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2564
#3750


The 1 ผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้แพลตฟอร์มอันดับ 1 ของไทย จับมือ กลุ่มโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวท ส่งเสริมการดูแลสุขภาพและบริการทางการแพทย์ให้สมาชิก The 1 มอบสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกสามารถสะสมและแลกคะแนน The 1 พร้อมมอบสิทธิพิเศษตลอดทั้งปีในการรับบริการด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชั่นThe 1

ความร่วมมือในครั้งนี้ ได้เริ่มนำร่องแล้วที่โรงพยาบาลปิยะเวท และ โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล และจะขยายต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ ในเครือโรงพยาบาลบางปะกอกจนครบทุกสาขาภายในปีนี้ซึ่งนอกจากสมาชิก The 1 จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการสะสมและแลกคะแนน The 1 เมื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวททั้ง 7 แห่งแล้ว จะยังได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมในด้านบริการสุขภาพ อาทิ โปรแกรมตรวจสุขภาพ โปรแกรมวัคซีน และโปรแกรมดูแลความงาม รวมกว่า 10 รายการ ซึ่งสามารถกดรับสิทธิ์และแสดงบาร์โค้ดสมาชิกเพื่อเข้ารับบริการ พร้อมสะสมและแลกคะแนนได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น The 1

"กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า "The 1 ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายพันธมิตรใน ecosystem เพื่อนำเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ที่ครอบคลุมทุกแง่มุมการใช้ชีวิต ซึ่งบริการด้านสุขภาพและการแพทย์นับเป็นสิ่งที่สมาชิกของเราให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่COVID-19 กำลังแพร่ระบาดในปัจจุบัน"
"โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์แบบองค์รวมซึ่งมีสาขาหลายแห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งศูนย์บริการสุขภาพและความงามที่ได้มาตรฐาน จึงนับเป็นการยกระดับการดูแลลูกค้าของเราให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และบริการด้านสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกที่หลากหลายทั้งด้านเพศ วัย พื้นที่ ไลฟ์สไตล์และความสนใจและช่วยเติมเต็มประสบการณ์ที่ The 1 มอบให้กับสมาชิกได้อย่างครบวงจรภายใต้แนวคิด Your Everyday Lifestyle Application"

"แพทย์หญิงเจรียง จันทรกมล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลในเครือบางปะกอก-ปิยะเวท กล่าวว่า "โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทได้พัฒนาการให้บริการและโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่มุ่งเน้นการรักษาที่ได้มาตรฐานและการบริการที่ประทับใจ โดยมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์แบบองค์รวมที่ได้รับมาตรฐานสากล JCI และ HA รวมถึงศูนย์บริการสุขภาพเฉพาะทางและศูนย์ความงามที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและนานาชาติ สำหรับความร่วมมือกับ The 1 ซึ่งเป็นลอยัลตี้โปรแกรมที่ดีที่สุดในประเทศไทยในครั้งนี้ นับเป็นการเปิดประสบการณ์ด้านการบริการสุขภาพของเครือโรงพยาบาลด้วยข้อเสนอพิเศษเฉพาะสำหรับสมาชิก The 1 ทั้ง 18 ล้านคน โดยสามารถรับสิทธิได้ที่โรงพยาบาลในเครือทั้ง 7 สาขา"
"โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทพร้อมให้การต้อนรับสมาชิก The 1 ทุกท่าน โดยเชื่อมั่นว่าลูกค้า The 1 ที่มาใช้บริการจะได้รับความประทับใจจากมาตรฐานการรักษาและให้บริการของโรงพยาบาลและกลับมาใช้บริการที่โรงพยาบาลอีกครั้งอย่างแน่นอน"
#3751


ถึงนาทีนี้ธุรกิจโรงแรมยังมองไม่เห็นหนทางฟื้นจากอาการโคม่า ล่าสุดแบงก์ชาติเผยผลสำรวจผู้ประกอบการโรงแรมยังอ่วมพิษโควิด-19 ทรุดลงต่อเนื่อง สภาพคล่องหดหายอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 เดือน ขณะที่อัตราการเข้าพักดิ่งสุดเหลือแค่ 10% ร้องขอวัคซีน-พักหนี้-พยุงการจ้างงาน 

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม (HSI) ซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกเดือนยังไม่มีทีท่าจะผ่านพ้นวิกฤต หนำซ้ำกลับหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ด้วยโครงการนำร่อง  "ภูเก็ตแซนด์บอกซ์"  เชื่อมโยงกับจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ ก็ตาม

ล่าสุด ผลสำรวจฯ ในเดือนกรกฎาคม 2564 จากผู้ประกอบการที่พักแรม 304 แห่ง (เป็น ASQ 28 แห่ง Hospitel 4 แห่ง) ระหว่างวันที่ 13-26 กรกฎาคม 2564 พบว่า ผู้ประกอบการที่พักแรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อเนื่อง โดยอัตราการเข้าพักยังอยู่ในระดับต่ำมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 10% ซึ่งทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้เกือบ 60% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่มีสภาพคล่องลดลงจากเดือนก่อน และเพียงพอในการดำเนินธุรกิจไม่เกิน 3 เดือน ขณะที่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติส่งผลบวกต่ออัตราการเข้าพักโดยรวมไม่มากนัก

ทั้งนี้ หากไม่รวมกลุ่มที่ปรับตัวมารับลูกค้าต่างชาติที่ทำงานในไทย และ workation, staycation รวมถึงกลุ่มที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามโครงการ "แซนด์บ็อกซ์" ซึ่งส่วนมากเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคม 2564 จะอยู่ที่เพียง 6.5% เท่านั้น ส่วนคาดการณ์อัตราการเข้าพักทั้งประเทศในเดือนสิงหาคม 2564 จะปรับลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 8% โดยทุกภูมิภาคของประเทศไทยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่ำกว่า 10%

อัตราการเข้าพักที่ลดลงดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบทำให้ 58% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ มีสภาพคล่องลดลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2564 และเพียงพอในการดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน และมีอีก 23% ที่มีสภาพคล่องเพียงพอไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ ขณะที่ 57% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ทั้งหมด รายได้ยังกลับมาไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19

จากการสำรวจสถานะกิจการของผู้ประกอบการ 272 แห่ง (ไม่รวม ASQ และฮอสพิเทล) มีโรงแรมเพียง 40.1% ที่ยังเปิดกิจการปกติ ที่เหลือ 38.2% เปิดกิจการเพียงบางส่วน และอีกกว่า 21.7% ที่ยังปิดกิจการชั่วคราว โดยสัดส่วนของโรงแรมที่ปิดกิจการชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเดือน มิ.ย.เล็กน้อย 2.2%

ผลสำรวจยังบ่งชี้ว่า จากโรงแรมจำนวน 272 แห่ง (ไม่รวมโรงแรมที่เป็น ASQ และ Hospitel) พบว่า 56% ของโรงแรมที่ปิดกิจการชั่วคราวนั้น คาดว่าจะกลับมาเปิดกิจการได้อีกครั้งในไตรมาส 4/2565 และราว 13.6% คาดว่าจะกลับมาเปิดกิจการได้ในไตรมาส 1/2565 ส่วนอีก 6.8% คาดว่าจะกลับมาเปิดกิจการได้ในไตรมาส 2/2565 และอีก 11.9% จะกลับมาเปิดดำเนินกิจการได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565

 ขณะที่สถานการณ์รายได้ในเดือนกรกฎาคม พบว่าโรงแรมส่วนใหญ่ยังมีรายได้อยู่ในระดับต่ำ โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 56.9% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ทั้งหมด มีรายได้กลับมาไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ส่วนโรงแรมที่มีรายได้ที่ระดับ 11-30% มีสัดส่วน 18.3%, โรงแรมที่มีรายได้ระดับ 31-50% มีสัดส่วน 3.6%, โรงแรมที่มีรายได้ระดับ 51-70% มีสัดส่วน 7.1% และโรงแรมที่มีรายได้ระดับมากกว่า 70% มีสัดส่วน 14.2% 

สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ส่งผลบวกต่ออัตราการเข้าพักโดยรวมไม่มากนัก โดยพบว่า 50% ของโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต มองว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นไปตามที่คาด ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 16% ขณะที่อีก 43% ของโรงแรมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มองว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้แย่กว่าที่คาด โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่อยู่ในระดับต่ำเพียง 6% เท่านั้น และพบว่าผู้ประกอบการโรงแรมกว่า 69% เห็นด้วยกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่เป็นโรงแรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโรงแรมกลับมาจ้างงานเฉลี่ย 53% ของช่วงก่อนเกิดโควิด-19 (หากไม่รวมกลุ่มปิดกิจการชั่วคราวจะเฉลี่ยอยู่ที่ 59%)



 นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) ระบุว่า ปัจจุบันการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวลดลงแล้วกว่า 50% หากดูตัวเลขในภาวะปกติจะมีโรงจดทะเบียนกับสมาคม 16,282 โรงแรม มีพนักงานในระบบมากกว่า 860,000 คน แต่หลังจากโควิด-19 คาดว่ามีพนักงานตกงานมากกว่า 460,000 คน และออกจากภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไปแล้ว ที่เหลืออีกประมาณ 400,000 คน อาจได้รับเงินเดือนไม่เต็มเดือน ลดเวลาทำงาน เพราะโรงแรมไม่มีรายได้เลย

หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบ สมาคมโรงแรมไทย ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลให้เข้ามาช่วยเหลือ เช่น การจัดหาและกระจายวัคซีนให้เร็วกว่าแผน, มาตรการช่วยเหลือเงินกู้และพักชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย เพื่อพยุงไม่ให้ผู้ประกอบการขายกิจการทิ้ง, ขอลดต้นทุนค่าไฟฟ้า รวมทั้งการสนับสนุนค่าจ้างเพื่อพยุงการจ้างงานรอวันธุรกิจฟื้นคืน

อย่างไรก็ตาม สำหรับ  "โครงการโกดังพักหนี้"  ที่รัฐบาลออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมนั้น นายกสมาคมโรงแรมไทย สะท้อนว่า ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าเท่าที่ควร เนื่องจากแบงก์พาณิชย์มีเงื่อนไขมากมาย เช่น ให้เฉพาะลูกหนี้ชั้นดี มูลค่าหนี้ต่ำ ทำให้ยากเข้าถึงความช่วยเหลือ

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินำร่อง "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" นั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า ช่วง 40 วันของโครงการ นับจากวันที่ 1 กรกฎาคม – 9 สิงหาคม 25664 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมโครงการสะสม 18,654 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 18,602 คน คัดกรองพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 52 คน

ด้านยอดจองห้องพักโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA+ พบว่าตลอดไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 353,529 คืน แบ่งเป็นเดือนกรกฎาคม 190,843 คืน เดือนสิงหาคม 143,566 คืน และเดือนกันยายน 19,120 คืน ส่วนยอดการจองในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – กุมภาพันธ์ 2565 มีจำนวน 9,797 คืน

แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มียอดผู้ติดเชื้อรายวันทะลุขึ้นหลัก 2 หมื่นคนแล้วนั้น ยังยากที่จะประสบผลสำเร็จ หลายชาติมีคำเตือนต่อพลเมืองที่จะเดินทางมายังไทย โดยล่าสุดหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ หรือ ซีดีซี (U.S. Centers for Disease Control and Prevention) ยกระดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ยังปรับคำเตือนสูงสุดขั้นที่ 4 สำหรับผู้ที่จะเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 70 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มที่ 4 เช่นเดียวกับไทย เช่น บราซิล ชิลี อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขณะที่ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรปได้ถอดรายชื่อประเทศไทยออกจากลิสต์ประเทศที่ปลอดภัย (EU White List) จากการระบาดของโควิด-19

 นับเป็นมหาวิกฤตของธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวที่ยังคงมืดมนอนธการ ไม่ต่างไปจากอนาคตของประเทศไทยในยามนี้ 
#3752


กลายเป็น TALK OF THE TOWN ในทันที่ สำหรับ "ฟ้าทะลายโจร" หลังจากมีข่าว "การถอนผลวิจัย" ที่ชื่อว่า "Efficacy and safety of Andrographis paniculata extract in patients with mild COVID-19: A randomized controlled trial" ของคณะวิจัยจากประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ และเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ "เมดอาซีฟ" (www.medrxiv.org) เว็บไซต์คลังงานวิจัยที่เป็นต้นฉบับที่ยังไม่ตีพิมพ์เกี่ยวกับการแพทย์ การทดลองทางคลินิก และวิทยาศาสตร์สุขภาพอื่น ๆ

งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นผลงานของนักวิจัย 7 คน โดย 5 คนมาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข อีก 2 คนมาจากโรงพยาบาลสมุทรปราการ และสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

เมื่อเรื่องปรากฏต่อสาธารณชน ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นไปทั่วประเทศ เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา "คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ" ได้เพิ่มยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร และยาจากผงฟ้าทะลายโจร เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ให้เป็นยาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อย และประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาต่างก็พากันไปซื้อฟ้าทะลายโจรมาใช้เป็นจำนวนมาก

กระทั่ง "พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ว่า การขอถอนข้อมูลงานวิจัยชิ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นการถูกปฏิเสธจากวารสารวิชาการ แต่นักวิจัยไทยได้ขอถอนงานวิจัยกลับมาชั่วคราว เนื่องจากพบ "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" และระบุว่าผลลัพธ์การทดลองที่มีความคลาดเคลื่อนทางสถิติดังกล่าวไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการกินยาหรือจ่ายยาฟ้าทะลายโจรในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19

หรือแปลไทยเป็นไทยก็คือ ยังสามารถใช้ "ฟ้าทะลายโจร" ในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้ต่อไป

อย่างไรก็ดี ถ้าหากสังคมพินิจพิเคราะห์ "ปรากฏการณ์ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจร" ที่เกิดขึ้นก็จะพบ "ความผิดปกติ" โดยเฉพาะกรณี "ความผิดพลาดของสถิติจุดหนึ่ง" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับ "งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ที่ต้องมีความแม่นยำก่อนที่จะเผยแพร่ผลงานออกไปสู่สาธารณชน ยิ่งเป็นการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำ "มั่วซั่ว" ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่านี่คือ "งานวิจัยทางการแพทย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ซึ่งไม่ใช่ "งานวิจัยทางสังคมศาสตร์" ที่สามารถมีข้อโต้แย้งในภายหลังหากพบ "หลักฐานใหม่"

หลายคนตั้งคำถามว่า หรือจะเป็นเพราะ "คณะวิจัย" ทำด้วย "ความเร่งรีบ" หรือทำงานภายใต้ "ภาวะกดดันบางประการ" จนทำให้เกิด "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" ซึ่งก็มีความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้

ขณะที่อีกหลายคนก็อาจตั้งคำถามว่ามี "อะไรในกอไผ่" หรือไม่ดังสมมติฐานและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น เหมือนดังที่ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งคำถามเอาไว้ว่า "มีคำถามอยู่ว่างานระดับที่ป้อนข้อมูลและใช้การคำนวณโดยโปรแกรมเช่นนี้ เกิดความผิดได้อย่างไร? จนถึงขั้นแปลผลผิดจากแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลายเป็นแตกต่างกันแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมหน้า 48)

ทีนี้ มาดูรายละเอียดในงานวิจัยชิ้นนี้กันว่า เป็นอย่างไร

พญ.อัมพร อธิบายรายละเอียดเอาไว้ว่า งานวิจัยนี้นี้เริ่มต้นในช่วงที่ยังไม่มียาตัวใดเลยที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าสามารถฆ่าไวรัสโคโรนาหรือรักษาโรคโควิด-19 ได้โดยตรง จึงมีการทดลองและเก็บข้อมูลการใช้ยาชนิดต่าง ๆ ที่คาดว่าจะใช้รักษาโควิดได้ เช่น ฟาวิพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ และสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยเป็นการทดลองแบบสุ่มโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ใช้ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อยอายุตั้งแต่ 18-60 ปี จำนวน 57 คน ที่ยืนยันการตรวจพบเชื้อไวรัสด้วยวิธี RT-PCR แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร อีกกลุ่มกินยาหลอก หรือเม็ดยาเปล่า ๆ ที่ไม่ได้มีฟ้าทะลายโจร

"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

จากผู้ป่วย 57 ราย ในกลุ่มผู้ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร 29 ราย ไม่พบอาการปอดอักเสบ แต่ในกลุุ่มที่ได้ยาหลอก 28 ราย พบอาการปอดอักเสบ 3 ราย คิดเป็น 10.7%

สำหรับเรื่องความคงอยู่ของตัวไวรัสในวันที่ 5 พบผู้ป่วยกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร ใน 29 ราย ไวรัสอยู่แค่ 10 ราย (34.5%) ส่วนผู้ป่วยกลุ่มกินยาหลอก 28 ราย เจอว่าไวรัสยังอยู่ 16 ราย (57.1%)

ขณะที่ในเรื่องความคลาดเคลื่อนนั้นอยู่ที่ค่านัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้ยาหลอกในการทดลอง โดยค่านัยสำคัญทางสถิติที่คำนวณได้ครั้งแรกมีความคลาดเคลื่อน กล่าวคือตอนแรกคำนวณได้ว่าเป็น 0.03 และได้นำเสนอไป แต่เมื่อได้กลับพิจารณาอีกครั้ง จึงค้นพบว่ามีจุดอ่อนอยู่จุดหนึ่งแทนที่จะเป็น 0.03 ก็เป็น 0.112 หรือหมายความว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง การค้นพบว่าผลลัพธ์คงเดิมจะอยู่ที่ประมาณ 97 ครั้ง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก แต่ตัวเลขที่คำนวณถูกต้อง หรือ 0.112 จะหมายความได้ว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง ผลลัพธ์ที่เจอว่าเหมือนเดิมจะอยู่ที่ 90 ครั้ง ความคงที่จะลดลงมาในระดับหนึ่ง

วิญญูชนก็น่าจะ "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" พร้อมตั้งคำถามได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย

เอาเป็นว่า หลังจากที่ถอนผลวิจัยออกมาแล้ว คงต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการปรับปรุง "ความผิดพลาดทางสถิติหนึ่งจุด" ดังกล่าว การวิจัยจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่และจะมีการนำเสนอเพื่อกลับไปตีพิมพ์เหมือนเดิมด้วยข้อมูลที่ออกมาในลักษณะไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ "ไม่อาจกระพริบตา" ได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ติดตามเรื่องฟ้าทะลายโจรมาอย่างต่อเนื่อง คงต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" จาก "แพทย์แผนปัจจุบัน" ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่ "นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์" ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งออกมาโพสต์เรื่องการถอนผลวิจัยฟ้าทะลายโจรเป็นรายแรกๆ จนต้องออกมาโพสต์แก้ไขซ้ำอีกครั้ง

นพ.สันต์โพสต์เอาไว้ว่า "คณะผู้วิจัยชาวไทยที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของตนครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้ ซึ่งเป็นการตัดบทความเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผล ทั้งนี้ ตนขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนยังมีไม่มากพอ เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา คือการเกิดปอดบวม ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้ ไม่ได้บ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ"

"แต่ฟ้าทะลายโจรมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่า ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจรก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้"

หรือแม้กระทั่ง "กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก" เอง โดยเฉพาะตัว "อธิบดี" เองที่ให้สัมภาษณ์ในการแถลงข่าวเรื่องการถอนผลงานวิจัยเอาไว้ว่า "เราไม่ได้ต้องการให้เชื่อมั่นในฟ้าทะลายโจรจนเกินความพอดี ใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อโดยไม่ระมัดระวัง อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" ซึ่งฟังดูแล้วต้องใช้คำว่า "แปลกๆ" ทั้งๆ ที่ "คณะทำงานหลัก" ของการวิจัยชิ้นนี้ก็มีถึง 5 คนที่มาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเอง

คำว่า "อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" หมายความว่า ดีแล้วที่มีการถอนการวิจัยออกมาเช่นนั้นหรือ?

แล้วที่เป็น "ดรามา" ไม่แพ้กันคือ "หมอแล็บคนดัง" ที่ไปแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊กของแพทย์คนหนึ่ง พร้อมระบุว่า งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ผู้วิจัยขอถอนออกไปแล้ว เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ "ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ซึ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียดอย่างที่ "หมอสันต์" ว่า จนเกิดปรากฏการณ์ "ทัวร์ลง" ทว่า "หมอแล็บคนดัง" ก็ออกมาโพสต์ข้อความในเพจว่า "เสียใจ หาฟ้าทะลายโจรมาให้ผู้ป่วยเยอะมาก ล่าสุดแชร์งานวิจัยที่ถูกถอนแค่งานวิจัยเดียว โดนหาว่าด้อยค่าฟ้าทะลายโจรไปอีกครับ ชีวิตอดสูมาก นอนแพ้บ"

แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ เพราะความจริงก็คือ ในเฟซบุ๊กหมอแล็บคนดังได้ลบข้อความที่ระบุว่า "งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ถูกถอดออกไปแล้วครับ เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ออกจากเพจไป ซึ่งมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด ด้วยมีผู้ "แคปข้อความ" เอาไว้ได้เป็นหลักฐานชัดเจน

ความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตมากนักสำหรับ "หมอแล็บคนดัง" ถ้าหากจะยอมรับความผิดพลาดอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่การที่แถไถและลบข้อความออกไป ทำให้นักเทคนิคการแพทย์ผู้นี้ถูกมองว่า "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" อย่างที่เจ้าตัวบ่นพึมพำในเพจเฟซบุ๊กของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่สำคัญคือ การใช้คำว่า "ฟ้าทะลายโจรไม่ต่างจากยาหลอก" ถือเป็นคำที่นัยสำคัญมาก

ในทางการแพทย์ "ยาหลอก" (Placebo) ก็คือยาที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยทำให้มีลักษณะ สี และขนาดต่าง ๆ ให้ดูคล้ายกับยาทั่วไป แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ มีส่วนประกอบหลักที่ทำมาจาก แป้งหรือน้ำตาล จากนั้นก็นำไปให้ผู้ป่วยรับประทานเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่คนไข้มีอาการต่างๆ ดีขึ้น จากการให้ยาที่ไม่ได้มีตัวยาอยู่จริง โดยมีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1785

ที่สำคัญคือ ในการทดลองพบว่า ยาหลอกก็มีผลต่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เช่นกันแม้ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์

แต่ในความเข้าใจของประชาชนคนทั่วไป เมื่อเห็นคำว่า "ยาหลอก" มักเข้าใจว่าคือ "ยาปลอม" ซึ่งไม่ถูกต้อง

ดังนั้น การที่ใช้คำว่า "ไม่ต่างจากยาหลอก" จึงเสมือนเป็นการ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" ทั้งในทางการแพทย์คือมองว่าเป็นยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์กับโควิด-19 ทั้งในความรู้สึกของประชาชนที่อาจเข้าใจว่าเป็น "ยาปลอม" ไปเลยก็ได้

ทั้งๆ ที่มีผลวิจัยและผลการศึกษามากมายที่ยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของฟ้าทะลายโจร หนึ่งในนั้นก็คือสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง "ฟ้าทะลายโจร" เอาไว้ดังนี้

"สืบเนื่องจากมีผู้เผยแพร่ข้อมูลว่าใช้ฟ้าทะลายโจรแล้วทำให้ตับพัง จากงานวิจัยฟ้าทะลายโจรในต่างประเทศที่ใช้ฟ้าทะลายโจรทั้งชนิดผงและสารสกัด ในการรักษาอาการหวัด หลอดลมอักเสบ ไม่มีรายงานว่าฟ้าทะลายโจรก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ นอกจากนั้นในการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของการใช้ผงฟ้าทะลายโจรปริมาณ 12 แคปซูล (4.2 กรัม) ต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน (มีปริมาณสาร Andrographolide 97 มิลลิกรัมต่อวัน) ไม่พบว่าการทำงานของเอนไซม์ตับ AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) ผิดปกติ (Suriyo et al., 2017) สำหรับการศึกษาความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของสารสกัดฟ้าทะลายโจรปริมาณ 9 แคปซูล ต่อวัน (มีปริมาณสาร Andrographolide ขนาด 180 มิลลิกรัมต่อวัน) [อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา] ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นการเพิ่มทั้งขนาดและระยะวันการได้รับฟ้าทะลายโจร ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ตับเช่นกัน

"แต่หากใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีปริมาณสาร Andrographolide ในขนาดสูงถึง 360 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 7 วัน จะพบการเปลี่ยนแปลงของ AST เล็กน้อย ในอาสาสมัคร 1 คนใน 12 คน ซึ่งค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นนี้จะกลับเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนค่าเอนไซม์ ALT จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอาสาสมัคร 4 คน ซึ่งคิดเป็น 33.33% แต่การทำงานของเอนไซม์ก็จะกลับเป็นปกติภายใน 1-3 สัปดาห์ ดังนั้นขนาดของสาร Andrographolide ที่เหมาะสม คือ 180 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน จึงไม่ควรใช้ในขนาดและระยะเวลานานเกินกว่านี้

"เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมากที่ต้องการยารักษาโรคโควิด-19 และยาฟ้าทะลายโจรก็เป็นสมุนไพรที่ได้มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ทั้งกลไกการออกฤทธิ์ อาการข้างเคียง และการศึกษาในทางคลินิกในผู้ติดเชื้อจริง ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน ซึ่งได้มีการใช้ในรูปแบบผง สารสกัด และการพัฒนาสารอนุพันธ์ Andrographolide ให้อยู่ในรูปแบบยาฉีด ดังนั้นหากมีการพบการติดเชื้อโควิด-19 จึงควรใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรทั้งรูปแบบผงและสารสกัดทันที ในขนาดและระยะเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นยาที่มีประโยชน์มากและมีความปลอดภัยในระดับที่รับได้ เป็นการช่วยลดภาระของรัฐบาลและช่วยระบบสาธารณสุขของชาติได้"

จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับ "ฟ้าทะลายโจร" ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ฟันธงแบบไม่กลัว "ธงหัก" ได้เลยว่า สงครามโควิด-19 ซีซั่นใหม่นี้ ไม่อาจกระพริบตาด้วยมีความลึกลับซับซ้อนและปริศนาในทุกมิติเลยทีเดียว.
#3753


ทวิตเตอร์ คือ สิ่งที่เกิดขึ้น #WhatsHappening และสิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึง ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทวิตเตอร์ได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของข่าวสารและข้อมูลล่าสุดที่มาจากแหล่งข่าวน่าเชื่อถือ ในช่วงเวลานี้ที่ #StayAtHome และ #WorkFromHome กลายเป็นเรื่องปกติของใครหลายๆ คน ทำให้

ไลฟ์สไตล์และรูปแบบของการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับหวยออนไลน์การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ของผู้บริโภคในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทวิตเตอร์จึงได้วิจัยบทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคบนทวิตเตอร์ประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020 - 31 พฤษภาคม 2021 พบว่าในช่วงการแพร่ระบาด

ของโควิด-19 มีบทสนทนาเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้ถูกพูดถึง 5 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน

ผลการวิจัยพบว่า ในประเทศไทยมี 3 เทรนด์ที่สำคัญเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่

1.การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซ

ช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 อีคอมเมิร์ซเป็นเพียงเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง แต่ปัจจุบันนี้อีคอมเมิร์ซและการ
ส่งของออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย ตลาดนัดขายของแบบเดิมถูกดิสรัปต์ และ
ทวิตเตอร์ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ผู้บริโภคจะเข้ามาค้นหาข้อมูลและสั่งซื้อสินค้าในปัจจุบัน

2. การล็อกดาวน์บางส่วนไม่ได้เป็นแค่แรงขับเคลื่อนเดียวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในประเทศไทย

ถึงแม้ว่าการล็อกดาวน์บางส่วนและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคจะมีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป จากการวิจัยของทวิตเตอร์พบว่าแม้จะอยู่ในช่วงที่มีการผ่อนปรนมาตรการการลงเพื่อให้ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารเปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการได้ แต่บทสนทนาบนทวิตเตอร์ยังคงพูดถึงเรื่องของการ
ซื้อของที่สะดวกสบาย ซึ่งอีคอมเมิร์ซคือตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของผู้บริโภคไทยที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องในอนาคต

3. แม้ว่าโปรไฟล์กลุ่มเป้าหมายของสินค้าอุปโภคบริโภคแต่ละกลุ่มจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ในบางเรื่อง

ผู้หญิงจะมีอิทธิพลในบทสนทนายอดนิยม 5 อันดับแรกทั้งหมดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เท่ากันทั้งหมดในทุกบทสนทนา แต่จากการวิจัยพบว่าผู้หญิงจะทวีตข้อความเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่าผู้ชาย อีกทั้งยังพบว่านอกเหนือไปจากบทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค 5 อันดับแรก กลุ่มเป้าหมายก็ยังมีความคล้ายคลึงกันใน

บทสนทนาหัวข้ออื่นๆ อย่างเช่นโปรไฟล์ของกลุ่มเป้าหมายในเรื่องของ "ความสนใจอื่นๆ" โดย 2 อันดับแรกที่เหมือนกัน ได้แก่ ดนตรีและศิลปะ

ชานดาน ดีฟ หัวหน้าแผนก Emerging Business ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทวิตเตอร์ เปิดเผยว่า "ไม่แปลกใจเลยที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวิถีการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนในปัจจุบัน รวมไปถึงผู้คนบนทวิตเตอร์ในประเทศไทย เราเห็นว่าเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคได้กลายมาเป็น บทสนทนาที่สำคัญ และคนไทยอยากจะเป็นคนแรกที่ได้ซื้อ ลองใช้ และแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าใหม่ชนิดนั้นอย่างไร แบรนด์เองก็รู้สึกตื่นเต้นที่กลุ่มเป้าหมายขยับใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้นและเลือกใช้ทวิตเตอร์ในการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพนับล้านคนบนทวิตเตอร์"

บทสนทนาเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค 5 อันดับยอดนิยมบนทวิตเตอร์ประเทศไทย ได้แก่

1. ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป (Packaged Food)

บทสนทนาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปบนทวิตเตอร์ประเทศไทยเกิดขึ้นทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และยังเป็นอันดับหนึ่งจากทั้ง 5 อันดับในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งมีการเติบโตขึ้นถึง 22% นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของ ปี 2020 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่งมีแรงประสานร่วมกันที่ชัดเจนระหว่างการเติบโตของบทสนทนาบนทวิตเตอร์และการล็อกดาวน์บางส่วน

เนื่องจากคนไทยที่ใช้งานทวิตเตอร์ชอบพูดคุยกันในเรื่องของอาหารตั้งแต่สินค้า ผลิตภัณฑ์อาหาร ร้านอาหาร ไปจนถึงตัวเลือกในการช้อปปิ้งอาหารผ่านออนไลน์ อีกทั้ง นวัตกรรมสินค้ารสชาติใหม่ๆ ขนมรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น และการเปิดตัวสินค้าบนทวิตเตอร์ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเนื่องจากคนไทยบนทวิตเตอร์ต้องการเป็นคนแรกที่ได้ซื้อและได้ลอง

ในขณะที่ บทสนทนาเกี่ยวกับการทำอาหารและการทำขนมเป็นหัวข้อยอดนิยมมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดโควิด-19 แล้ว แต่ในไตรมาสแรกของปี 2021 บทสนทนาบนทวิตเตอร์ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับความสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะความนิยมเกี่ยวกับขนมขบเคี้ยว ของกินเล่น ความชื่นชอบในการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อและร้านค้าปลีกที่เป็นอีคอมเมิร์ซ

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/NanJeera/status/1370003555654934528

2. เครื่องดื่ม (Beverages)

ช่วงโควิด-19 มีบทสนทนาเกี่ยวกับเครื่องดื่มบนทวิตเตอร์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบทสนทนาเกี่ยวกับเครื่องดื่มมักมีความเชื่อมโยงกับอาหารและได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ และการดึงเหล่าเซเลบริตี้ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ อาทิ เป๊ก ผลิตโชค (@peckpalit) วงแบล็กพิงก์ (@BLACKPINK) และดาราไทยจากซีรีส์ F4 ซึ่งช่วยขับเคลื่อนบทสนทนาและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

เครดิตทวีต: https:// twitter.com/winnieboy_2102/status/1409496936739004416

เทรนด์ของบทสนทนาเกี่ยวกับเครื่องดื่มในไตรมาสแรกของปี 2021 จะเป็นพวกเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ช่วยในเรื่องของความงามและผิวพรรณ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน

3. ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม (Hair Care)

บทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศที่มีจำนวนมากที่สุดในช่วงที่มีการแพร่ระบาด คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมโดยมีวัฒนธรรมป็อบเป็นตัวหลักในการจุดกระแสของบทสนทนาหัวข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นสีผมหรือสไตล์ทรงผมล่าสุดของศิลปินดารา K-pop และไอดอลไทยที่ทำให้แฟนๆ เข้ามาพูดคุยและตอบรับกับกระแสอย่างต่อเนื่อง

บนทวิตเตอร์ บทสทนาที่กำลังมาแรงนี้มีวิวัฒนาการตั้งแต่การขายสินค้าและการรีวิวสินค้าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2020 มาจนถึงการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะในไตรมาสแรกของปี 2021 เนื่องจากคนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้นและมีการแชร์เคล็ดลับรวมถึงการแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/eri_pmpm/status/1365135239983423489


เนื่องจากความอยากที่เป็นผู้นำเทรนด์ล่าสุด คนไทยบนทวิตเตอร์จึงเป็นคนกลุ่มแรกที่อยากซื้อและทดลองใช้สินค้าหรือสไตล์ใหม่ๆ ล่าสุด นอกจากนี้ยังกระตือรือร้นที่จะแชร์คำแนะนำต่อให้กับคนอื่นๆ ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นตลาดในการขายสินค้าและเป็นแหล่งข้อมูลใหม่ล่าสุดของเทรนด์ในการดูแลเส้นผมอีกด้วย

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/Hamkdy_/status/1421072145329709066

4. ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว (Personal and Skin Care)

บทสนทนาที่เกี่ยวกับความงามบนทวิตเตอร์ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมและแทบไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าบทสนทนาหัวข้อนี้ได้รับความนิยมมากสุดในกลุ่มผู้หญิง 62% แต่การทวีตข้อความที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิวก็ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชายมากถึง 38%

กลุ่มเป้าหมายชาวไทยบนทวิตเตอร์เปิดใจรับกับผลิตภัณฑ์ความงาม ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นสถานที่สำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการเปิดตัวสินค้าดูแลและบำรุงผิวตัวใหม่ล่าสุด และด้วยความอยากลองใช้สินค้าตัวใหม่ล่าสุด คนไทยบน ทวิตเตอร์จึงรีบไปซื้อสินค้ามาลองใช้เพื่อแชร์ประสบการณ์ในการใช้งาน

นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ยังชอบแนะนำและ ขายต่อ ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามและแบรนด์ต่างๆ เพราะว่าคนไทยยังคงมองหาสินค้าที่จะมาใช้ในกิจวัตรการดูแลความงามของตัวเองอย่างต่อเนื่องในช่วงโควิด

ซึ่งบทสนทนาในหัวข้อนี้ก็ไม่ได้ขับเคลื่อนเฉพาะแค่เรื่องความปรารถนาที่จะดูดีเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องของสุขภาพก็เป็นอีกหนึ่งบทสนทนาที่สำคัญเนื่องจากผู้คนหันมาใช้ทวิตเตอร์ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพผิว ตั้งแต่เรื่องสิว ไปจนถึงเรื่องของการมีผิวกระจ่างใสและขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องผิวพรรณ

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/FKYz_/status/1420332191708454912

5. ผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน (Home Care)

การแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงแรกผู้คนต่างมุ่งความสนใจไปในเรื่องการฆ่าเชื้อโรคในบ้านทำให้บทสนทนาที่เกี่ยวกับการดูแลบ้านเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ติดอยู่ใน 5 อันดับบทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค แม้ว่าบทสนทนาใน
หัวข้อนี้จะลดน้อยลงไปในระดับหนึ่ง แต่การดูแลบ้านยังคงเป็นหัวข้อบทสนทนาที่มีความสำคัญอยู่บนทวิตเตอร์ประเทศไทย

ชาวทวิตภพมักทวีตเกี่ยวกับการดูแลรักษาและการป้องกันบ้านที่อยู่ของพวกเขา และจากการสนทนาเกี่ยวกับการดูแลรักษาที่อยู่อาศัย มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2021 เทรนด์การสนทนาได้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของความงามและสุนทรียศาสตร์แทนเนื่องจากคนส่วนใหญ่หันมาโชว์บ้านหรือห้องของตัวเองที่ดูสะอาดสะอ้านสบายตาและการตกแต่งที่ดูดีมีสไตล์ทำให้บทสนทนาในหัวข้อนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องบนทวิตเตอร์ประเทศไทย

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/JorOrYor/status/1416250284364369920

คลิกที่นี่ครบจบ เช็คสิทธิ 'ประกันสังคม' www.sso.go.th ม.33 ม.39 ม.40
ยึดทรัพย์​กว่า 100 ล้าน ปธ.สโมสรฟุต.ดังเมืองเหนือ น้องใหม่ไทยลีก 2 คดีค้ายาเสพติด
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยิ่งหนัก! พบติดเชื้อเพิ่ม 23,418 ราย เสียชีวิต 184 ราย ไม่รวม ATK อีก 1,523 ราย
การเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของผู้บริโภคสร้างโอกาสใหม่ให้กับแบรนด์

การวิจัยของทวิตเตอร์แสดงให้เห็นว่าเทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ความ
ชื่นชอบที่เกิดจากความพึงพอใจในทันทีผ่านการซื้อของออนไลน์และการช้อปปิ้งที่ร้านสะดวกซื้อทำให้เทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆ

และหากมองจากมุมมองของแบรนด์ ทวิตเตอร์ ถือเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งที่แบรนด์สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ โดยผู้ใช้งาน 71% ให้คะแนนในการโต้ตอบกับแบรนด์ว่า "ดี / ดีเยี่ยม" (มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ) นอกจากนี้ทวิตเตอร์ยังเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการเปิดตัวสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ๆ

โดยผู้ใช้งาน 77% ให้คะแนนในเรื่องของการที่ทวิตเตอร์แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกอยู่ในขณะนั้นว่า "ดีมาก / ดีที่สุด" (มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ) ดังนั้นแบรนด์ที่ชาญฉลาดจะใช้ประโยชน์จากทวิตเตอร์ในการทำความเข้าใจเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต ขณะเดียวกันยังเป็นการเชื่อมต่อกับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพผ่านการใช้เครื่องมือโฆษณาสร้างสรรค์ของทวิตเตอร์และใช้พลังของการสนทนาบนทวิตเตอร์ได้อีกด้วย
#3754
อาชีพนักเดินเรือ รายได้สูง ท่องเที่ยวรอบโลก
เราคงพอจะรู้กันดีว่ามีหนึ่งอาชีพในประเทศไทยที่ค่าตอบแทนรายเดือนสูงมาก ถ้าหากเทียบกันในหลายๆสาขาวิชาชีพ นั่นคืออาชีพคนประจำเรือ หรือ พาณิชย์นาวี นั่นเอง ตัวอย่างเช่นเงินเดือนขั้นต่ำของลูกเรือ เริ่มต้นเงินเดือน ก็ถึง 25,000 บาท ไม่ต้องเอ่ยถึงระดับสูงๆนะ ว่าเท่าไร บางบริษัทกัปตันค่าตอบแทนรายเดือน 300,000 บาทต่อเดือน แถมในอาชีพนี้ดีถึงขั้นภาษีเงินได้ไม่จำเป็นที่ต้องจ่ายกันเลย

เหตุผลหลักๆของผู้เรียนรวมทั้งสนใจงานเรือสินค้า  คือ 1. รักรวมทั้งถูกใจงานเรือจริงๆ 2. รายได้สูงกว่าการทำงานบก 3. ชอบเดินทางได้แวะท่องเที่ยวตามเมืองท่าสำคัญๆของโลก แอบกระซิบว่าบางคนเดินทางรอบโลกกันเป็นว่าเล่น





มาลองดูการเริ่มต้นอาชีพนักเดินเรือได้ง่ายๆในหลักสูตรนายท้าย ค่าใช้จ่ายไม่มาก ได้เริ่มปฏิบัติงานเร็ว มีรายได้หลังเรียนจบทันที
มาดูๆ นักเรียนเค้าฝึกถือท้ายเรือใหญ่ด้วยเรือย่อส่วนเสมือนจริง เพื่อให้ผู้เรียนได้รู้อาการเรือ แล้วก็ฝึกหัดถือท้ายด้วยคำสั่งภาษาอังกฤษ พวกเค้าจะได้ต่อยอดไปเป็นนายท้ายอีกขั้น





รับสมัครรุ่น 4 เปิดภาคเรียนตุลาคม นี้
ต้องการสมัครกดลิ้งค์ : https://lin.ee/VwT7dvr
เรียนกับพวกเราสิแล้วคุณจะได้
ได้งานทำแน่นอน
บ้านพักฟรี เอกสาร ตำราเรียนฟรี
ได้ฝึกหัดกับอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัย
ได้เอกสารครบจบแล้วลงเรือได้เลย
ยื่นสอบและก็ติวสอบตั๋ว(II/4) ฟรี
วางแผนทางต่อยอดเพื่อพัฒนาสู่ตำแหน่งนายประจำเรือ
เชื่อมั่นได้ ว่ามีเรือลงปฏิบัติงานชัวร์

(sure) เนื่องจากว่าสถานที่เรียนของเรามี บริษัท จัดหางาน ทีเอสทีซีไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดหาคนเรือไทย ให้กับสายการเดินเรือทั้งไทยแล้วก็ต่างประเทศ เป็นบริษัทในเครือ (sure) https://m.facebook.com/tstcthai/ #tstc #งานเรือ #สมัครงานเรือ #ดำเนินงานเรือ #หางานเรือ #maritimeschool #seamanthai





เกณฑ์ผู้สมัคร เรียนเดินเรือ
1.เพศชาย อายุ 18- 40 ปี
2.สำเร็จการศึกษาระดับ มัธยม3/ ปวช. หรือเทียบเท่าขึ้นไป
3.ไม่มีรอยสัก นอกร่มผ้า
4.สุขภาพต้องผ่านการตรวจและก็รับรองจากแพทย์ ดังต่อไปนี้
4.1 ตาไม่บอดสี
4.2 การได้ยินอยู่ในเกณฑ์ปกติ
4.3 ไม่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี
5.ใจพร้อม กายพร้อม

สอบถาม/สมัคร
Tel. 0661259598 (พี่จ๋า)
กดลิ้งค์เลย : https://lin.ee/VwT7dvr
ปรึกษาเรื่องเรียน
Tel. 0661299598 (กัปตันธนา)
กดลิ้งค์เลย : https://lin.ee/0CXmbYW
https://www.facebook.com/SpeedyNauticalSchool/
https://www.facebook.com/speedycruiseacademy
www.speedynautical.ac.th
www.speedycruise.net
     
#MaritmeSchool #งานเรือสินค้า #การขนส่งสินค้าทางทะเล #ลูกเรือ #นายประจำเรือ #การฝึกอบรม #ม3 #ม6 #การศึกษาต่อ #เรือสำราญ #STCW2010 #อาชีพนักเดินเรือ #การโรงแรม #เดินเรือ #ช่างกลเรือ #พาณิชย์นาวี #SeaMan #Seafarer #Maritime #Ship #Aboat #เชี่ยวชาญการศึกษาก้าวหน้าระดับสากล #ตารางฝึกอบรมคนประจำเรือ #คนประจำเรือ #คนเรือ #SpeedyNauticalSchool
#3755


กระแสความสนใจของประชาชน วันนี้ กรณีการแจกเงินเยียวยา ให้แก่ประชาชนแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ที่ประกาศ ล็อกดาวน์ โดยประกันสังคม เปิดลงทะเบียนผ่าน www.sso.go.th สำหรับผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 (ม.33) , มาตรา 39 (ม.39) และมาตรา 40 (ม.40) ดังนี้


ผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ คลิกตรวจสอบสิทธิ์

แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์หวยออนไลน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ นั้น ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น

สำหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จำนวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้นมีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการเยียวยาแล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคมโดยถ้าเป็นนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลต้องแนบเลขบัญชีธนาคารกลับมาด้วย แต่ถ้าเป็นนายจ้างบุคคลธรรมดาให้นายจ้างผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนเพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว


ผู้ประกันตนมาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40 คลิกตรวจสอบสิทธิ์


เช้าวันนี้ ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ย้ำว่าผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ตรวจสิทธิรับเงินเยียวยาได้แล้ว ประกันสังคม เปิดให้ ผู้ประกันตน มาตรา 39 และ มาตรา 40 (29 จังหวัดแดงเข้ม 9 กลุ่มกิจการ) ตรวจสอบสิทธิ รับเงินเยียวยา รายละ 5,000 บาท ได้แล้ว คลิกตรวจสอบสิทธิ์


ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร

กระทรวงแรงงาน ย้ำยื่นก่อนได้ก่อน รับเงินเยียวยานายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ
นายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม และอยู่ใน 9 ประเภทกิจการที่ถูกควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
จะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาทต่อลูกจ้าง 1 คน (สูงสุดไม่เกิน 200 คน) สำนักงานประกันสังคมจะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชี ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2564 นี้ เป็นต้นไป

ที่มา - สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
#3756


ก่อนหน้านี้ คงเคยได้ยินเรื่องของสินเชื่อเงินทอนหรือว่าการขอสินเชื่อธนาคารเกินวงเงินหรือเกินมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักประกัน ซึ่งเกิดขึ้นมากมายจนถึงกับมีโค้ชเปิดสอน หรือมีคนรับทำแบบนี้จนธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องออกมาเตือน

นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัทฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนคอนซัลแทนซี่ จำกัด อธิบายว่า เรื่องสินเชื่อเงินทอน กลายเป็น 1 ในปัจจัยสำคัญ ที่ธปท.ออกเกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่หรือที่เรียกกันสั้นๆ ง่ายๆ ว่า LTV (Loan To Value) โดยกำหนดให้ผู้ที่จะซื้อที่อยู่อาศัยทุกคนที่ขอสินเชื่อธนาคารจะได้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารมาที่ 80 – 90% ไม่ใช่ 100% แบบก่อนหน้านี้

โดยคนที่จะได้สินเชื่อ 90% คือคนที่ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นครั้งแรก หรือสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เคยขอมาก่อนหน้านี้มีระยะเวลาเกิน 3 ปีแล้ว แต่เรื่องของสินเชื่อเงินทอนนี้ก็ไม่ได้หายไปจากตลาดอสังหาริมทรัพย์

แม้ว่าจะมีมาตรการ LTV ออกมาควบคุมสินเชื่อธนาคารได้ 2 ปีกว่าแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของสินเชื่อเงินทอนยังคงมีอยู่ให้เห็นหรือมีคนเล่าให้ฟัง อีกทั้งยังมีการโฆษณาให้เห็นต่อเนื่องในช่องทางออนไลน์ต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ทันที ผู้ที่สนใจซื้อจะสามารถเข้าชมบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จนั้นได้ทันที จากนั้นก็ดำเนินเรื่องการขอสินเชื่อกับทางพนักงานขายหรือเจ้าหน้าที่ของโครงการ 

โดยเรื่องของ สินเชื่อเงินทอน ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มี LTV ควบคุมอยู่ก็ยังสามารถทำได้ เพราะหลายโครงการของหลายผู้ประกอบการมีการลดราคาขายของยูนิตในโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ โดยเป็นการลดราคาขายลงมามากถึง 20 – 30% จากราคาขาย และเมื่อเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ก็ต้องเป็นโครงการที่มีราคาประเมินราชการพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งราคาขายที่ฝั่งของโครงการเสนอให้กับผู้ซื้อนั้น ต่ำกว่าราคาประเมินราชการ และแม้ว่ามีเกณฑ์ LTV มาควบคุมวงเงินสินเชื่อ ผู้จะซื้อที่ขอสินเชื่อธนาคารก็ยังคงได้รับสินเชื่อธนาคารในวงเงินที่มากกว่าราคาซื้อขายจริง ที่พวกเขาได้รับการนำเสนอจากฝั่งของโครงการเพราะอ้างอิงจากราคาประเมินราชการ ซึ่งวงเงินที่เกินมานี้อาจจะไม่มากแต่ก็หลักแสนบาท เป็นวงเงินที่ทางผู้ซื้อพอใจ และเป็นวงเงินที่ทางธนาคารก็พอใจเช่นกัน

ช่วงปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการหลายรายพร้อมใจกันลดราคาขายที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมอยู่ของพวกเขาซึ่งหลายโครงการที่พวกเขาลดราคานั้นเป็นโครงการที่มีราคาขายสูงมาก หรือเป็นโครงการที่ผู้ประกอบการตั้งราคาขายไว้สูงกว่าราคาขายเฉลี่ยในทำเลนั้นๆ นอกจากนี้ยังเป็นโครงการที่มีต้นทุนเดิมทั้งเรื่องของราคาที่ดิน และต้นทุนการก่อสร้าง เพราะเป็นโครงการที่เปิดขายก่อนหน้านี้ 2 – 3 ปี แต่ตั้งราคาขายไว้สูงกว่าราคาเฉลี่ยแบบที่กล่าวไปแล้ว เพราะฝั่งของผู้ประกอบการก็ต้องการวงเงินสินเชื่อสูงๆ จากธนาคารในการก่อสร้างโครงการเช่นกัน เพราะมูลค่าของโครงการก็อ้างอิงจากราคาขายของทุกยูนิตในโครงการรวมกัน ซึ่งเมื่อโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ราคาประเมินราชการที่จะตั้งสำหรับแต่ละโครงการนั้นก็อ้างอิงหรือสอดคล้องกับราคาขายที่ผู้ประกอบการตั้งไว้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นผู้ซื้อจะเกิดปัญหาได้ ผู้ประกอบการจึงได้รับประโยชน์จากการที่โครงการมีราคาประเมินสูงๆ และมีช่องในการลดราคาเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ซื้อ ด้วยการลดราคาขายลงมา และบอกว่าผู้ซื้อสามารถขอสินเชื่อธนาคารได้โดยอ้างอิงจากราคาประเมินราชการ 

ฝั่งของธนาคารเองก็ไม่ได้เข้มงวดในจุดนี้มากนัก เพราะพวกเขาได้ประโยชน์จากวงเงินสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และมีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกันอยู่ ฝั่งของผู้ซื้ออาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตอนโอนกรรมสิทธิ์ และจดจำนองกับทางธนาคาร เพราะคิดตามวงเงินสินเชื่อ

ผู้ซื้อบางราย อาจจะขอสินเชื่อธนาคารพร้อมกันหลายยูนิต ซึ่งถ้าทุกยูนิตที่พวกเขายื่นขอสินเชื่อธนาคารได้รับเงินส่วนต่างจากเรื่องนี้ตลอด จะมีผลให้พวกเขาได้เงินมาเป็นจำนวนไม่น้อยเลย

แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ผู้ที่ขอสินเชื่อเหล่านี้จะต้องรับผิดชอบเงินสินเชื่อที่ได้รับจากธนาคารก็ตาม แต่ในมุมมองของธปท.คือ การก่อภาระหนี้สินที่มีความเสี่ยง และสร้างความเสี่ยงให้กับภาคธนาคารด้วยเช่นกัน เพราะผู้ซื้อบางส่วนไม่ได้ต้องการที่จะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้จริงๆ พวกเขาแค่ต้องการเงินส่วนเกินนี้เท่านั้นเอง และต้องการขายอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ทันทีไม่ได้ต้องการเป็นเจ้าของในระยะยาว ซึ่งผู้ขอสินเชื่อกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจับตามองสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่ช่วงนี้อาจจะกู้ธนาคารกันยากกว่าช่วงเวลาที่สถานการณ์ปกติ

ตัวอย่างจากธปท.

สมมุติซื้อบ้านที่ผู้ขายบอกราคา 3 ล้านบาท แต่ในทางปฏิบัติสามารถต่อรองได้ เช่น ลดเหลือ 2.5 ล้านบาท แต่สถาบันการเงินเอา 3 ล้านบาทไปเป็นราคาทำสัญญา และให้เงินกู้บวกไปอีกเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ค่าตกแต่ง ดังที่เรียกกันว่าเงินกู้เอนกประสงค์ บวกไปอีก 10% เป็นกู้ทั้งหมด 3.3 ล้านบาท ในขณะที่จ่ายจริง 2.5 ล้านบาท คนกู้เหลือเงินสด 8 แสนบาท สำหรับใช้จ่าย ซึ่งสมมติว่าถ้าคนที่กู้ 4 สัญญา (4 ยูนิต) พร้อมกัน เขาก็ได้เงินจากสินเชื่อเงินทอนถึง 3.2 ล้านบาท.
#3757


รอยเตอร์ - รัฐบาลเวียดนามระบุว่าประเทศกำลังเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดจากจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นและการขาดแคลนวัคซีน ในขณะที่ประเทศได้เห็นจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เกือบทำนิวไฮอีกครั้งจากการระบาดครั้งที่รุนแรงและยาวนานที่สุด

กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 9,667 คน ส่วนใหญ่พบในนครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางการระบาด และจังหวัดอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียง คือ จ.บิ่งเซวือง และ จ.ด่งนาย ขณะที่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รายใหม่มีทั้งหมด 326 คน ในวันพฤหัสฯ (12) ทำให้ยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 4,813 คน

"สถานการณ์โรคตึงเครียดมาก และเรากำลังเผชิญกับการขาดแคลนวัคซีนทั่วประเทศ" รองนายกรัฐมนตรี หวู ดึ๊ก ดาม ที่เป็นหัวหน้าคณะทำงานด้านโควิด-19 ของประเทศ กล่าว

หวู ดึ๊ก ดาม กล่าวว่า เวียดนามมีข้อตกลงจัดหาวัคซีนหลายร้อยล้านโดสแต่การส่งมอบล่าช้า และในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้นำเวียดนามได้โทรศัพท์ติดต่อคู่เจรจาต่างชาติราว 20 ครั้ง ในความพยายามที่จะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม

เวียดนามเคยเป็นประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย แต่สถานการณ์แย่ลงเรื่อยๆ ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวันสูงกว่าจำนวนที่บันทึกไว้ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา

ข้อมูลของทางการระบุว่า มีประชากรไม่ถึง 1.1 ล้านคน จากทั้งหมด 98 ล้านคนของประเทศ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 เข็ม ซึ่งนับเป็นอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และจนถึงตอนนี้เวียดนามได้รับวัคซีนแล้วประมาณ 18 ล้านโดส

ปัจจุบันประเทศมีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมมากกว่า 246,500 คน โดยผู้ป่วยติดเชื้อส่วนใหญ่พบตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.เป็นต้นมา.
 
#3758


ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ หัวหน้างานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า จังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ดำเนินโครงการ "การพัฒนาสมรรถนะนักสังคมสงเคราะห์และรูปแบบการดูแลทางสังคม" ดูแลและติดตามคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว แต่ต้องกักตัวอยู่บ้านอีก 14 วัน รวมถึงผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงแยกกักตัวดูแลตนเองที่บ้าน หรือ HOME ISOLATION

ซึ่งจากการลงพื้นที่ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ ลดความกังวลใจ พบว่า ผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถรับ-ส่งในการเดินทางมาโรงพยาบาล จึงต่อยอดขยายผลจัดทำโครงการ 'อาสาTAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' โดยชักชวนอดีตผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาชีพขับแท็กซี่ เคยรักษาในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ รวมกลุ่มแท็กซี่ ขับรถรับ-ส่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยในการมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ขณะนี้มีแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้วจำนวน 6 คัน

"จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถส่วนตัว ในการเดินทางมาตรวจเอกซเรย์ปอด หรือรักษาที่โรงพยาบาล กลุ่มจิตอาสา และเครือข่ายผู้ขับรถแท็กซี่ จึงอาสาเข้ามาช่วย โดยร่วมกันปรับปรุงรถแท็กซี่ให้ใช้งานรับส่งผู้ป่วยไป-กลับบ้าน และโรงพยาบาล ทำฉากกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร และคนขับแท็กซี่ทุกคนจะใส่ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ตลอดการขับขี่ เช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ส่วนค่าบริการจะคิดตามราคามิเตอร์ ในกรณีผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจะพิจารณาช่วยเหลือค่าโดยสารเป็นรายๆ ไป" ดร.ขนิษฐา กล่าว


นายพจนารถ แย้มยิ้ม จิตอาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด กล่าวว่า ได้มาเป็นแท็กซี่จิตอาสารับ-ส่งผู้ป่วย เนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 ในการระบาดระลอกแรก ช่วงเดือนมีนาคม 2563 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ ได้พบกับกลุ่มนักสังคมสงเคราะห์ที่เข้ามาให้กำลังใจ พอหายดีกลับมาขับแท็กซี่พบว่า จำนวนผู้โดยสารลดลงส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอ

กลุ่มนักสังคมสงเคราะห์จึงชักชวนให้มาขับรถแท็กซี่เพื่อรับ-ส่ง ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ พบว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่สามารถเดินทางมาเข้ารับการรักษาได้ จึงได้ชักชวนเพื่อนแท็กซี่มาเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากจะมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย



'มิสทีน' เปิดลงทะเบียน 'มิสทินสู้โควิด' แจก 1 พันบาท-สินค้า เริ่ม 12 -14 ส.ค.นี้
อัพเดท! มิสทีนสู้โควิด.com เว็บล่มไม่เลิก เช็คเลื่อนเวลาลงทะเบียน แจกเงิน 1,000 บาท
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ติดสูง! พบติดเชื้อเพิ่ม 22,782 ราย เสียชีวิต 147 ราย ไม่รวม ATK อีก 3,673 ราย
"รู้สึกตื้นตันใจทีได้ช่วย ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีรถมาโรงพยาบาล และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล หน่วยงานสาธารณสุข รถกู้ภัย ในการช่วยเหลือผู้ป่วย และยังลดการติดเชื้อจากการสัญจรของผู้ติดเชื้อได้ ซึ่งผู้โดยสารหลายคนดีใจมากที่มีรถมารับ บางครั้งหากผู้โดยสารไม่มีทุนทรัพย์ก็ไม่คิดเงินถือว่าได้ช่วยเหลือกัน"

"นอกจากงานแท็กซี่จิตอาสาแล้ว ยังร่วมกับทีมนักสังคมสงเคราะห์ ในการให้คำปรึกษา แนะนำดูแลเฝ้าระวัง และการป้องกันตนเองจากโควิด-19 ให้กับชุมชน พร้อมมอบของอุปกรณ์ยังชีพต่างๆ เพื่อให้กำลังใจด้วย" นายพจนารถ กล่าว

ทั้งนี้ หากท่านใดต้องการใช้บริการ 'อาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 061-868-5246 แจ้งล่วงหน้า 1 วัน รับ-ส่งในพื้นที่ กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล
#3759


นายพุน ฉง กิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO) กล่าวว่า ไตรมาสแรกของงวดปี 64/65 บริษัทมีผลการดำเนินงานเชิงบวกเมื่อเทียบปีต่อปี แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจโฆษณา 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3% คิดเป็นสัดส่วน 33.3% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งมาจากรายได้ของธุรกิจโฆษณาในประเทศ 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.5% ผลมาจากการรับรู้ค่าตอบแทนขั้นต่ำรายไตรมาสจาก บมจ.แพลน บี มีเดีย (PLANB) และรายได้ธุรกิจโฆษณาในต่างประเทศ 30 ล้านบาท ลดลง 35.7% จากวิกฤตโควิด-19

ด้านรายได้จากงานด้านระบบครบวงจรเพิ่มขึ้น 9.5% คิดเป็นสัดส่วน 66.7% ของรายได้ทั้งหมด หรือ 402 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของการบริหารโครงการ

รวมถึงในไตรมาสนี้บริษัทมีต้นทุนขายลดลงจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานสื่อโฆษณาของสนามบินในประเทศมาเลเซีย 437 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 27.6% จาก 11.4% และมีรายได้อื่นอยู่ที่ 200 ล้านบาท จากการกลับรายการค่าสัมปทานสนามบินในมาเลเซีย จำนวน 188 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ไม่เกิดขึ้นประจำดังกล่าวเป็นผลจากการเจรจากับทางการสนามบินมาเลเซียเพื่อขอลดค่าสัมปทานสำหรับงวดปี 63/64 ได้ประสบความสำเร็จ

สำหรับทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท VGI MACO (Singapore) Private Limited และ Trans.Ad Solution Co.,Ltd. สามารถเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามเพิ่มเติมได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จากความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้ MACO สามารถเดินตามกลยุทธ์ได้อย่างเต็มกำลัง ทั้งในส่วนของธุรกิจโฆษณาและงานด้านระบบครบวงจร ผ่านการดำเนินงานโดย VGI Vietnam Joint Stock Company และ Transad Vietnam Joint Stock Company และนอกจากนี้ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ ได้เติบโตอย่างมีศักยภาพในอุตสาหกรรมโฆษณาของเวียดนามที่นับเป็นเส้นทางสำคัญของการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) ในประเทศเวียดนามได้ตามทิศทางที่วางไว้อีกด้วย

แม้ทั่วโลกจะเริ่มได้รับวัคซีนโควิด-19 แต่วิกฤตการแพร่ระบาดยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่แน่นอนไปทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา อย่างไรก็ตาม MACO ยังคงยืนหยัดในแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ดังเช่นการเจรจาธุรกิจในต่างประเทศที่ได้บรรลุผลสำเร็จดังที่กล่าวไปในข้างต้น นอกจากนี้ ข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับ PLANB สำหรับการชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำล่วงหน้าทั้งปีนั้นได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นข้อตกลงที่ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในประเทศของบริษัทฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้

สำหรับความมั่นคงทางการเงิน บริษัทฯ ดำเนินงานภายใต้การบริหารต้นทุนและสร้างสภาพคล่องของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสดและเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ให้พร้อมรับมือกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ยังคงมีความยืดเยื้อ สุดท้ายนี้เราได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าจากวิกฤตดังกล่าว ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการท่ามกลางภาวะหยุดชะงักของการดำเนินงานในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาบริษัทผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปได้ และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ
#3760


บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,873.1 ล้านบาท และ 260.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.3% และ 93.2% จากไตรมาส 1/2564 โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,892.5 ล้านบาท และ 282.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% และ 53.6% จากไตรมาสที่แล้ว สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,278.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 394.9 ล้านบาท โดยหากพิจารณาผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 3,346.8 ล้านบาท และกำไรปกติ 466.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% และ ลดลง 31.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2563

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจในครึ่งปีแรกว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ เติบโตตามความต้องการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าคุณภาพสูงของธุรกิจ E-Commerce และผู้ประกอบการในกลุ่ม Consumer ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 279.9 ล้านบาท และ 556.9 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจำนวนกว่า 56,000 ตารางเมตร สูงกว่าเป้าหมายสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่วางไว้ 50,000 ตารางเมตรสำหรับปีนี้ ซึ่งความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลทำให้อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ทของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 90%

นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง แห่งที่ 2 ซึ่งนับเป็นโครงการแห่งที่ 38 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บนพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 50,000 ตารางเมตร โดยมีผู้เช่าหลักเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มโลจิสติกส์เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนากระบวนการทำงาน และการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนในบริษัทและธุรกิจ Startups กลุ่มโลจิสติกส์หลายราย โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทราบผลของการเจรจาภายในสิ้นปีนี้

สำหรับแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ ในปี 2564 ล่าสุดผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้มีมติอนุมัติให้ทำการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักครั้งที่ 7 จำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,549.7 ล้านบาท ทรัพย์สินประกอบด้วยโครงการ WHA Mega Logistics Center (วังน้อย 62) โครงการ WHA Mega Logistics Center (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) และโครงการ WHA E-Commerce Park อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คิดเป็นพื้นที่รวม 184,329 ตารางเมตร โดยสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ของบริษัททั้งหมดและคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2564 ตามแผนงานที่วางไว้ รวมถึง บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) และสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Asset-backed Token) เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ อีกด้วย


นอกจากนั้นเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว "WHA Office Solutions" พื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิร์ลคลาส บน 6 ทำเลที่มีศักยภาพสูงในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ รวมพื้นที่สำนักงานให้เช่ากว่า 100,000 ตร.ม. ได้แก่ โครงการ WHA Tower, โครงการ SJ Infinite I, อาคารสำนักงาน @Premium, โครงการ WHA Bangna Business Complex, ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม TusPark WHA และโครงการ WHA KW S25 ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม  6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 274 ไร่ (ไทย 241 ไร่/ เวียดนาม 33 ไร่) และยอดเซ็นต์ MOU รวม 83 ไร่ (เวียดนาม) โดยบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกรวม 691.8 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 154.1 ล้านบาทแล้วรายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในไตรมาส 2 ของบริษัทฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 537.7 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะการลงทุนและการส่งออกของประเทศไทยในไตรมาสที่ผ่านมาที่เริ่มกลับมาส่งสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่น ยุโรป จีนและไต้หวัน รวมถึงนักลงทุนอินเดียที่แสดงความสนใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น ภายหลังจากประเทศอินเดียต้องประสบกับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินทั้งสิ้น 33 ไร่ และยอด MOU 83 ไร่ เนื่องจากเขตนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 เหงะอานของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงเร่งสานต่องานก่อสร้างในพื้นที่เฟส 1B ส่วนที่เหลือจำนวน 2,100 ไร่ พร้อมขยายการก่อสร้างในเฟส 2 และเฟส 3 คิดเป็นพื้นที่เพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ รวมถึงการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่งในจังหวัดถั่งหัว (Thanh Hoa) บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ ที่ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มเข้าไปพัฒนาพื้นที่ในเขตอุตสาหกรรม WHA Northern Industrial Zone และ WHA Smart Technology Industrial Zone ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มเปิดให้บริการพื้นที่แก่นักลงทุนที่สนใจภายในปีหน้า ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิตและการกระจายวัคซีนของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ซึ่งในช่วงผ่านมาบริษัทฯ ก็ยังคงได้รับการติดต่อจากนักลงทุนที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจจำนวนมากกว่า 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ขายรวมกว่า 2,000 ไร่ทั้งไทยและเวียดนาม ซึ่งหากการดำเนินการด้านวัคซีนของประเทศต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านการค้าและการลงทุนของภูมิภาคต่อไป

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ หรือ Smart ECO Industrial Estate ที่มีความทันสมัยทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต ขนส่ง สื่อสาร ฯลฯ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้บริการ Digital Healthcare อย่างครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ พนักงาน/ แรงงาน และผู้อยู่อาศัยทั้งภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุน บริษัท เพอเซ็ปทรา (Perceptra) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสนามในการวินิจฉัยและตรวจรักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย

นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมส่วนกลาง (Unified Control Center, "UOC") ณ อาคาร WHA Tower สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ พร้อมเปิดดำเนินการแบบเต็มรูปแบบแล้ว โดยศูนย์ UOC ดังกล่าวสามารถนำเสนอข้อมูล และติดตามผลการทำงาน รวมถึงได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติงานประจำวันหรือในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยระบบดังกล่าวจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้รับผิดชอบที่ศูนย์ UOC รวมถึงแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาสที่ผ่านมามีความโดดเด่น โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 รวมเท่ากับ 35.2 ลูกบาศก์เมตร และ 67.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 595.8 และ 1,182.1 ล้านบาท ตามลำดับ

ปริมาณยอดขายน้ำในประเทศมีการเติบโตดีขึ้นสำหรับทุกประเภทผลิตภัณฑ์ โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวนเท่ากับ 29.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 56.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 27.3% และ 16.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมในทุกอุตสาหกรรม และกลุ่มลูกค้าใหม่ในกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ GC Oxirane ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายปีและมีปริมาณการใช้น้ำประมาณ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือลูกค้าโรงไฟฟ้า อาทิ Gulf SRC ที่ขยายกำลังการผลิตทำให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 12,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมถึงยังสะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) ที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย