• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ufa

ufabet

ปูนปั้น

สล็อตเว็บตรง

สล็อตเว็บตรง

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

pgslot

PG SLOT

PG SLOT

pg slot

PG SLOTเว็บตรง

PG SLOT เว็บตรง

pg slot

บาคาร่า

PG SLOT

pg slot

PG SLOT

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อต

บาคาร่า168

PG SLOT

สล็อตเว็บตรง

pg slot

สล็อตเว็บตรง

เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด

สล็อต pg เว็บตรง แตกหนัก

พลัสฯ ชี้ปลดล็อก LTV สัญญาณบวกที่อยู่อาศัย

Started by deam205, December 15, 2021, 03:45:45 PM

Previous topic - Next topic

deam205

พลัสฯ ชี้ปลดล็อก LTV สัญญาณบวกที่อยู่อาศัย ครอบคลุมทุกช่วงราคา เปิดผลสำรวจตลาดคอนโด-บ้าน-ทาวน์โฮม

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ มองการผ่อนคลายมาตรการ LTV เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ในทุกช่วงราคา พร้อมเปิดผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยรอบครึ่งปีแรก พบคอนโดกลุ่มราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท มีการตอบรับที่ดีกว่ากลุ่มราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยมีอัตราขาย 67.5% ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในกลุ่มราคาไม่เกิน 10 ล้านและกลุ่มราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมีอัตราขายได้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยบ้านเดี่ยวมีอัตราขายเฉลี่ย 57% ส่วนทาวน์โฮมมีอัตราขายเฉลี่ย 53% เชื่อว่าการปลดล็อก LTV จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยได้ แต่อาจใช้เวลาอีก 1-2 ปีหลังโควิดคลี่คลาย ตลาดจึงจะฟื้นกลับสู่ภาวะปกติ หากมีมาตรการยาแรงกระตุ้นเพิ่มเติมที่ได้อานิสงส์ในทุกช่วงระดับราคา น่าจะช่วยได้มากขึ้นอีก

นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการปลดล็อกเกณฑ์ LTV ล่าสุด ที่ผ่อนคลายมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมาเป็น 100% ในทุกระดับราคา ครอบคลุมสัญญาทุกหลัง โดยมีผลจนถึงสิ้นปี 2565 มองว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ในทุกระดับราคา จากเดิมช่วงปีที่ผ่านมาที่ผู้ประกอบการเน้นเปิดตัวโครงการในระดับราคาที่เข้าถึงง่ายให้สอดรับกับกำลังซื้อของลูกค้าที่ชะลอตัว แต่จากสัญญาณบวกเรื่องการเปิดประเทศและแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการปลดล็อกเกณฑ์ LTV เชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะค่อยๆ ฟื้นตัว ทั้งที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเข้าถึงง่ายรวมทั้งกลุ่มโครงการลักซ์ชัวรี่ระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปก็จะได้รับอานิสงส์จากเกณฑ์ LTV ใหม่นี้ด้วย

ในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยรอบสำรวจครึ่งปีแรก 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัสฯ พบว่า คอนโดมิเนียม มีจำนวนอุปทานเปิดใหม่ทั้งสิ้น 10,018 ยูนิต ลดลง 38% จากครึ่งปีหลัง 2563 โดยจากจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ทั้งหมด ระดับราคา 40,000 - 90,000 บาทต่อตารางเมตร ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดที่ 44%  และในรอบสำรวจนี้พบว่ามีอุปทานใหม่ที่ระดับราคาต่ำกว่า 40,000 บาทต่อตารางเมตรและระดับราคาสูงกว่า 150,000 บาทต่อตารางเมตรเปิดตัวเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลัง 2563 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเน้นจับกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้นในปีนี้ ในส่วนของการตอบรับพบว่ามีอัตราการขายเฉลี่ยจากโครงการที่สำรวจ (ทั้งโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย) อยู่ที่ 67% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด 180,261 ยูนิต โดยหากจำแนกตามกลุ่มหลักเกณฑ์ LTV เดิมที่ประกาศใช้ในช่วงดังกล่าว คือกลุ่มราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท มีจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 166,315 ยูนิต มีอัตราขาย 68% ส่วนกลุ่มราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 13,946 ยูนิต และมีอัตราขาย 60.5%

บ้านเดี่ยว มีจำนวนอุปทานบ้านเดี่ยวเปิดใหม่ทั้งหมด 2,561 ยูนิต ลดลง 46% จากช่วงครึ่งปีหลัง 2563 โดยสัดส่วนระดับราคาที่เปิดตัวมากที่สุดคือ 5-8 ล้านบาท โดยเป็นกลุ่มหลักที่ผู้ประกอบการเน้นเปิดตัวในรอบสำรวจนี้ ต่างจากปีก่อนที่เน้นเปิดโครงการระดับบน ในขณะที่อัตราการขายเฉลี่ยจากโครงการที่ทำการสำรวจ (ทั้งโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย) อยู่ที่ 57% จากจำนวนทั้งหมด44,693 ยูนิต โดยหากจำแนกตามกลุ่มหลักเกณฑ์ LTV เดิมที่ประกาศใช้ในช่วงดังกล่าว กลุ่มราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท มีจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 33,846 ยูนิต มีอัตราขาย 56.7% ส่วนกลุ่มราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 10,847 ยูนิต และมีอัตราขาย 58.1%



ทาวน์โฮม มีจำนวนยูนิตเปิดใหม่ลดลงมากที่สุดจากทั้ง 3 ตลาด โดยมีโครงการเปิดใหม่ทั้งสิ้น 5,462 ยูนิต ลดลง 58% จากครึ่งปีหลัง 2563 โดยโครงการเปิดใหม่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับราคา 4-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีสัดส่วนอุปทานเปิดใหม่ที่ประมาณ 80% มาตั้งแต่ปี 2561 ในขณะที่อัตราการขายเฉลี่ยจากโครงการที่ทำการสำรวจ (ทั้งโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย) อยู่ที่ 53% จากจำนวนทั้งหมด 80,452 ยูนิต โดยมีความต้องการทาวน์โฮมสูงในพื้นที่รถไฟฟ้าสายสีเหลืองในโซนตะวันออก ประกอบกับเป็นบริเวณที่ใกล้เคียงกับแหล่งงานที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเดินทางเข้าเมืองโดยรถยนต์สะดวก โดยหากจำแนกตามกลุ่มหลักเกณฑ์ LTV เดิมที่ประกาศใช้ในช่วงดังกล่าว กลุ่มราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท มีจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 80,197 ยูนิต มีอัตราขาย 53.4% ส่วนกลุ่มราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 255 ยูนิต และมีอัตราขาย 49.8%

"การปลดล็อกมาตรการ LTV ใหม่นี้ ส่งผลดีต่อที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา ทั้งโครงการมือหนึ่งและมือสอง ช่วยกระตุ้นทั้งกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อให้ตัดสินใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคอนโด เนื่องจากปัจจุบันมีราคาถูกจากโปรโมชั่นพิเศษ หากซื้อมาเก็บไว้เป็นสินทรัพย์จนตลาดกลับมาดีในอนาคตราคาจะเพิ่มขึ้น และสำหรับนักลงทุนปล่อยเช่า ราคาเช่าในทำเลดีๆ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ได้ผลตอบแทนในเปอร์เซ็นที่สูงขึ้น และเชื่อว่ามาตรการนี้จะไม่เพิ่มความต้องการของนักเก็งกำไร จากสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัวอยู่ก่อนหน้าจึงไม่สามารถเก็งกำไรเกินจริงได้ ซึ่งหากมีมาตรการอื่นช่วยกระตุ้นเสริมไปในทิศทางเดียวกัน เช่นขยายเพดานการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองให้ครอบคลุมทุกระดับราคา หรือมาตรการยาแรงอื่นๆ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสการฟื้นตัวของตลาดได้  อย่างไรก็ตาม การประเมินทิศทางของตลาดที่อยู่อาศัยยังคงต้องติดตามสถานการณ์แวดล้อมอย่างใกล้ชิด ทั้งปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของโควิดในไทยที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมทั้งเรื่องความมั่นคงและการจ้างงานที่มีผลต่อกำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ ที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะนำมาพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วย" นางสาวสมสกุล กล่าว.